SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  60
Télécharger pour lire hors ligne
การส่ งเสริ มการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริ หารการจัดการปลูกข้าว

The Promotion of Rice Intensification by Rice Management Method


                        (RMM)




                                 โดย



                       สุ รวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
                          ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
สารบัญ

       เรื่อง                                                          หน้ า
สารบัญ                                                                 ๒
คํานํา                                                                 ๓
ความเป็ นมา                                                            ๔
ความสําคัญ และ ที่มาของปั ญหา                                          ๖
ทฤษฎี สมมติฐาน และ/หรื อ กรอบแนวความคิดของการพัฒนาแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม   ๘
ไฮโดรโปนิกส์                                                           ๑๒
ปุ๋ ย                                                                  ๒๐
ข้าว                                                                   ๒๒
การปฏิบติตามหลักการ อาร์ เอ็ม เอ็ม
          ั                                                            ๒๖
หลักการปฏิบติของระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม
                ั                                                      ๒๗
เทคนิคการทํานาแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม                                       ๓๐
บทสรุ ป                                                                ๔๑
บทความพิเศษ                                                            ๔๒
ภาคผนวก                                                                ๔๙
      ก. การทําปุ๋ ยหมักแบบไม่กลับกอง                                  ๔๙
      ข. การใช้พืชปุ๋ ยสด                                              ๕๑
      ค. การใช้สารสะเดาในการผลิตข้าวนา และ ข้าวไร่                     ๕๒
      ง. วิธีการกํา จัดปู และ หอย                                      ๕๕
      จ. การทํานํ้าสกัดชีวภาพ                                          ๕๖
      ฉ. ภาพร่ างเครื่ องกําจัดวัชพืช                                  ๕๗
เอกสารอ้างอิง                                                          ๕๙
คํานํา
          ชาวภาคเหนือตอนบน ส่ วนใหญ่เป็ นเกษตรกรรายย่อย มีพ้นที่ทานาเฉลี่ย ๕ ไร่ วัตถุประสงค์ของการ
                                                                     ื ํ
ปลูกข้าวในฤดูฝนจึงปลูกเพือบริ โภค แนวทางการผลิตข้าวเป็ นการปลูกข้าวโดยเน้นการลดความเสี่ ยง และ ให้
                              ่
ความสําคัญกับเสถียรภาพของการผลิต นอกจากนี้การเลือกใช้พนธุ์ขาว มักจะเลือกข้าวที่มีคุณสมบัติในการหุง
                                                                  ั ้
ต้มดี ดังนั้น ข้าวเหนียวพันธุ์ กข.๖ จงเป็ นพันธุ์ขาวที่ได้รับความนิยมมาเป็ นอันดับหนึ่ง กระบวนการเพิมผลผลิต
                                                  ้                                                 ่
ข้าวโดยอาศัยปุ๋ ยเคมีไม่ได้ทาให้พนธุ์ขาว กข.๖ เพิ่มผลผลิตมากขึ้น
                                ํ  ั ้
          ระบบการผลิตข้าวแบบ System of Rice Intensification (SRI) เป็ นวิธีการที่ถูกพัฒนาโดย Fr. Henri de
Laulanie,S.J. ในขณะที่ทา งานในประเทศมาดากัสก้าร์ ระหว่างปี ๒๕๐๒ ถึง ๒๕๓๘ เพื่อปรับปรุ งการผลิตข้าว
                          ํ
                            ่
และ ยกระดับความเป็ นอยูของเกษตรกรในประเทศดังกล่าวต่อมา วิธีการดังกล่าวนี้ได้มีการขยายผล โดยหลาย
องค์กร อาทิเช่น Association Tefy Saina (ATS) ที่ประเทศมาดากัสการ์ และ ศูนย์ CIIFAD ของมหาวิทยาลัยคอร์
เนล สหรัฐอเมริ กา เอกสารนี้รวบรวม, แก้ไข และ เพิ่มเติม เนื้อหาจากฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเรี ยบเรี ยงโดย
Professor Dr.Norman Uphoff ผูอานวยการศูนย์ CIIFAD ร่ วมกับ ATS ต่อมาระบบการผลิตข้าวแบบ SRI ได้ถูก
                                  ้ํ
พัฒนาขึ้นใหม่โดย Eng’r Suravut Snidvongs (สุ รวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) เป็ น “การส่ งเสริ มการเพิ่มผลผลิตของ
ข้าวโดยการบริ หารการจัดการปลูกข้าว” The Promotion of Rice Intensification by Rice Management Method”
ซึ่งระบบการปลูกข้าวแบบใหม่น้ ีให้ความสําคัญกับศักยภาพที่แท้จริ งของต้นข้าว การปลูกข้าวจึงพยายามที่จะ
สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริ ญเติบโตของต้นข้าวอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การเตรี ยมพื้นที่เพาะปลูก, การ
ตรวจสอบสารอาหารในดิน, การตรวจสอบคุณภาพ และ สารอาหาร ในนํ้า, การเตรี ยมเมล็ดพันธุ์, การศึกษา
วัชพืชในแปลงนา, การศึกษาโรคพืช และ แมลงในแปลงนา, การเตรี ยมสารอาหารให้เหมาะสมต่อต้นข้าวในแต่
ละพื้นที่, การเตรี ยมยาฆ่าแมลง และ การกําจัดวัชพืช, การเตรี ยมกล้า, ลักษณะของการเตรี ยมดิน, วิธีการย้ายต้น
กล้า, การจัดการนํ้าในแปลงนา
          ระบบการผลิตข้าวแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างมากโดยไม่ตองใช้ปัจจัยการผลิต
                                                                                             ้
เพิ่มขึ้นจากเดิม เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีการปลูก และ วิธีการจัดการในนาข้าวขึ้นใหม่ ผูพฒนาเห็นว่า วิธีการนี้
                                                                                         ้ ั
เป็ นทางเลือกหนึ่งของการเพิ่มผลผลิตข้าว โดยไม่ตองเพิ่มต้นทุนการผลิต และ คิดว่าเหมาะสมกับเกษตรกรราย
                                                    ้
ย่อย ที่มีวิธีการปลูกข้าวแบบนาดํา จึงได้นาวิธีน้ ีมาทดลองในราชอาณาจักรไทย และ ประยุกต์ใช้ให้ได้ผลที่ดี
                                             ํ
มากที่สุด หวังว่าท่านที่อ่านคู่มือนี้ เมื่อนําไปปฏิบติแล้วจะสามารถเพิมผลผลิตของข้าวได้สูงขึ้น และ หาก
                                                        ั                ่
ต้องการแสดงข้อคิดเห็น หรื อ ช่วยปรับปรุ งเอกสารตลอดจนวิธีการผลิต ขอได้โปรดร่ วมแสดงความคิดเห็น

                                                        สุ รวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
                                            มูลนิธิพฒนา และ ส่ งเสริ มพลังงานทดแทนแห่ งเอเซีย
                                                    ั
ความเป็ นมา

                                                                ่
           การปลูกข้าวแต่โบราณเมื่อประมาณ ๓๐ ถึง ๔๐ ปี ที่ผานมา การปลูกข้าวในเนื้อที่ ๑ ไร่ สามารถให้ขาว     ้
ได้ถึง ๒ เกวียน หรื อ ๒,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ หรื อ ๒ ตันต่อไร่ ทําไมผลผลิตของข้าวถึงได้ลดลงอย่างมาก และ
จะทําอย่างไรถึงจะเพิ่มผลผลิตของข้าวให้ได้เท่าเดิม หรื อ ดีกว่าเดิมในอดีต
           ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากมนุษย์ ความมักง่ายของมนุษย์นนเองที่เป็ นสาเหตุ การใช้สารอาหาร และ แร่ ธาตุ
                                                                  ั่
        ่
ที่มีอยูในดินเรื่ อยไป โดยไม่มีการเพิ่มเติม หรื อ รักษาสารอาหาร และ แร่ ธาตุในดิน จึงทําให้ดินเสื่ อมสภาพไม่
สามารถใช้ในการเพาะปลูกได้อีกต่อไป อีกทั้งยังทําให้ดินไม่สามารถดูดซับนํ้าไว้ในดินได้อีก จึงทําให้เกิดภัย
                                        ่
แล้ง และ เกิดนํ้าท่วม จะเห็นได้วาในปัจจุบนจะเกิดนํ้าท่วมโดยฉับพลัน และ เมื่อนํ้าลดก็จะเกิดภัยแล้งอย่าง
                                                   ั
รุ นแรง การเพาะปลูกได้ผลผลิตที่นอยมาก ไม่คุมต่อการลงทุน
                                      ้              ้
           ทําอย่างไรจะช่วยให้ดินกลับสู่ สภาพที่อุมนํ้า, เก็บความชื้นได้ดี, และ มีสารอาหารพอเพียงต่อการ
                                                       ้
เพาะปลูก ระบบการการส่ งเสริ มการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริ หารการจัดการปลูกข้าว The Promotion of
Rice Intensification by Rice Management Method (RMM) จะทําให้ดินกลับสู่สภาพเดิมได้ แต่เฉพาะวิธีการ
จัดการคงไม่เพียงพอ และ สําเร็ จได้ตามวัตถุประสงค์ หากไม่ได้รับความร่ วมมือจากประชาชน
           ระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว และ หากมีการจัดระบบอย่างดีให้แก่
ต้นข้าว, ดิน และ นํ้า ผลผลิตสามารถเพิ่มเป็ น ๑,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ หรื อ มากกว่าได้ ที่ต้ งเป้ าไว้คือ
                                                                                                    ั
๖,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ (ประเทศเวียตนามสามารถผลิตข้าวได้เฉลี่ย ๘,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ปี ๒๕๕๐)
           หนังสื อเล่มนี้เป็ นการเสนอแนวคิดพื้นฐาน และ แนวทางปฏิบติ ในเพิ่มผลผลิตเป็ นของข้าว ข้อมูลนี้
                                                                         ั
เป็ นเสมือนเครื่ องชี้ทาง สําหรับเกษตรกรใช้ทดสอบ และ ประเมินผล วิธีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ตนข้าวเจริ ญเติบโต
                                                                                            ้
ให้ผลผลิตมากขึ้น
           แต่เดิมระบบ เอส อาร์ ไอ (SRI) ได้ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศมาดากัสการ์ โดยชาวฝรั่งเศสชื่อ อองรี เดอ
โลลานี ซึ่งทํางานร่ วมกับเกษตรกร และ เพื่อนร่ วมงานชาวมาลากาซี ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๖๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔) ถึง
ค.ศ. ๑๙๙๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) เพื่อปรับปรุ งวิธีผลิตข้าวในประเทศ ด้วยความปรารถนาที่จะให้ชาวมาลากาซี มีชีวิต
               ่
ความเป็ นอยูที่ดีข้ ึน และ มีความสุ ขมากขึ้น ระบบดังกล่าวได้รับการศึกษา, การประเมินผลจากนักวิทยาศาสตร์
และ เกษตรกรผูปลูกข้าวจากหลายๆ ประเทศว่าได้ผลดี
                   ้
                                                         ่
           เอส อาร์ ไอ (SRI) เริ่ มจากหลักปรัชญาที่วา ต้นข้าวต้องได้รับความเคารพ และ จุนเจือประหนึ่งสิ่ งมีชีวิต
ที่มีศกยภาพ ซึ่งจะนํามาใช้ได้กต่อเมื่อเราอํานวยสภาวะที่ดีที่สุด ที่เอื้อต่อการเติบโตของพืช หากเราช่วยให้พช
      ั                             ็                                                                          ื
เจริ ญเติบโตด้วยหนทางที่ดีกว่า พืชก็จะตอบแทนความพยายามนั้นกลับคืนเป็ นหลายเท่า เราจะไม่ปฏิบติต่อพืช   ั
เยียงเครื่ องจักรน้อยๆ ที่ถูกบังคับให้ทาสิ่ งที่ฝืนธรรมชาติของตนเอง
   ่                                      ํ
ระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากระบบ เอส อาร์ ไอ โดยเพิมการตรวจสอบ และ การวิเคราะห์
                                                                            ่
ดิน, นํ้า, วัชพืช, แมลง สภาพแวดล้อมต่างๆ จึงทําให้ได้ประสิ ทธิภาพที่สูงขึ้นจากระบบ เอส อาร์ ไอ
                                                                    ่          ั ั
           สิ่ งที่เกษตรกรในราชอาณาจักรไทย ตลอดจนประเทศอื่นๆ ทัวโลกปฏิบติกนมานับร้อยๆปี เพื่อให้ขาว    ้
เจริ ญเติบโต กลับทําให้ศกยภาพตามธรรมชาติของต้นข้าวลดลง ระบบใหม่ที่จะใช้ขยายผลผลิตข้าวนี้เป็ นการ
                             ั
เปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบติระบบเดิม เพื่อนําศักยภาพสําคัญในต้นข้าวออกมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต
                           ั
           การปลูกข้าวที่เกษตรกรทําในปั จจุบน อาทิ การหว่านเมล็ด, การเตรี ยมดิน, การควบคุมนํ้า, คุณภาพดิน
                                              ั
และ พันธุ์ขาวที่จะใช้ปลูก มีความเหมาะสมต่อสภาพการเจริ ญเติบโต หรื อ ไม่ เพราะหากมีความไม่เหมาะสม
                ้
แล้ว ต้นข้าวก็ไม่สามารถให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่
ความสํ าคัญ และ ทีมาของปัญหา
                                                  ่
          การปลูกข้าวในปั จจุบนมีตนทุนการผลิตที่สูง แต่ได้ผลผลิตที่ต่า ไม่คุมค่าต่อการลงทุนของชาวนา อีกทั้ง
                                  ั ้                                      ํ    ้
ยังมีปัญหาที่ดินที่ใช้ในการทํานาลดน้อยลง เนื่องมาจากการเสื่ อมสภาพของดิน, ความแห้งแล้ง, โรคระบาด, ราคา
ปุ๋ ย และ ยาฆ่าแมลงที่มีราคาสู ง มีการดื้อยา และ การใช้ปุ๋ยในปริ มาณที่สูงขึ้น แต่ยงได้ผลผลิตลดลง ชาวนาจึงหัน
                                                                                      ั
ไปปลูกพืชอื่นที่ได้ราคาสูงกว่า มีตนทุนการผลิตตํ่า และ สามารถปลูกพืชให้เจริ ญเติบโตได้ดีในดินทุโภชนา โดย
                                      ้
                                    ่                                                             ่ ั
ปกติผลผลิตของข้าวไทยเฉลี่ยอยูที่ ๓๐๐ – ๖๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่ งถือว่าตํ่ามาก ทั้งนี้ ผลผลิตขึ้นอยูกบปั จจัยต่างๆ
จํานวนมาก
          การปลูกข้าวในอดีตถึงปั จจุบน ยังคงใช้วิธีการปลูกแบบดังเดิมที่ใช้มาแต่อดีต ทําให้ตองใช้น้ ามาก มีการ
                                        ั                                                     ้       ํ
ใช้เครื่ องจักรกลเข้าช่ วยเพื่อเป็ นการผ่อนแรง ได้มีการปรั บปรุ งสายพันธุ์ขาว เพื่อให้มีความต้านทานโรค, มี
                                                                                  ้
ผลผลิตที่สูงขึ้น, มีสายพันธุ์ที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม และ พื้นที่เพาะปลูก มีการเปลี่ยนจากการใช้ปุ๋ยเคมี และ
ยาฆ่าแมลงที่เป็ นเคมี มาเป็ นปุ๋ ยชีวภาพ และ ยาฆ่าแมลงชีวภาพ เพื่อลดปริ มาณสารพิษตกค้างในดิน และ ป้ องกัน
ดินเสื่ อมสภาพ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้บางส่ วน แต่ไม่ยงยืน เพราะผลผลิตที่ได้ยงไม่แน่นอน ต้นข้าวใน
                                                                      ั่                  ั
แปลงเจริ ญเติบโตไม่สมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารไม่ทงถึง ในดินแต่ละพื้นที่มีสารอาหาร และ สารตกค้างที่
                                                                  ั่
ไม่เท่ากัน ทําให้เก็บเกี่ยวได้ไม่พร้อมกันทั้งแปลง ใช้เวลาในการปลูกนาน มีปัญหาโรคพืช และ แมลง จากการที่มี
การพัฒนาสายพันธุ์ และ การหันมาใช้ปุ๋ยอินทรี ย ์ ปุ๋ ยชี วภาพ การใช้ยาฆ่าแมลงที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น และ
ปรับปรุ งการปลูกข้าวหลายประการ ทําให้ผลผลิตของข้าวเพิ่มขึ้นเป็ น ๓๐๐ – ๑,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่
          ปั จจุบนปุ๋ ยที่ใส่ ลงไปในดินส่ วนมากเป็ นปุ๋ ยเคมี ซึ่ งพืชสามารถดูดซับ และ นําไปใช้ในการสังเคราะห์
                 ั
แสงได้ แต่ปุ๋ยเคมีมีคุณสมบัติบางประการที่ไม่เหมาะสม เพราะองค์ประกอบของปุ๋ ยเคมีมีแต่แม่ปุ๋ย หรื อ ธาตุ
อาหารหลัก (Main Elements) ซึ่ งได้แก่ ไนโตรเจน N, ฟอสฟอรัส P, และ โปแตสเซี่ ยม K ซึ่ งไม่มีการให้
สารอาหาร หรื อ แร่ ธาตุที่จาเป็ นต่อการเจริ ญเติบโตของพืชอื่นได้ ปุ๋ ยเคมีโดยทัวไปจะขาดส่ วนธาตุอาหารรอง
                                ํ                                                   ่
(Minor Elements), แมกนิเซี่ ยม Mg, แคลเซี่ ยม Ca, กํามะถัน S, และ ธาตุอาหารเสริ ม (Trace Elements) สังกะสี
Zn, โคบอล Co, แมงกานี สโบรอน Mn, เหล็ก Fe, นิเกิล Ni, ทองแดง Cu ,โมลิบดินม Mo, และ โซเดียม Na ซึ่ ง
                                                                                        ั
สารเหล่านี้ ใช้ในปริ มาณเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทําให้พืชแข็งแรงต่อ โรค และ แมลง มีผลผลิตสู งขึ้นอย่าง
มาก การให้แม่ปุ๋ย, เหล็กคีเลท, และ Trace Elements อาจพอเพียงสําหรับพืชบางประเภท แต่อาจต้องมีการเพิ่ม
ฮอร์โมนบ้าง หรื อ ไคโตซาน บ้างหากพืชต้องการ
          โดยปกติธาตุไนโตรเจนในดินจะสู ญเสี ยไปโดยการถูกกัดเซาะของดิน กล่าวคือ การถูกกัดเซาะของดิน
                                                          ่
โดยนํ้า ในขณะเดียวกันธาตุฟอสฟอรัสจะหลงเหลืออยูในดินที่ถูกนํ้ากัดเซาะ ทําให้ธาตุโปแตสเซี่ยมที่เหลืออยูใน       ่
                                                                             ่
ดิน พืชไม่สามารถนําไปใช้งานได้ การสู ญเสี ยธาตุอาหารในดินจะมีอยูตลอดเวลา ทําให้ตองเพิ่มปริ มาณปุ๋ ยเคมี
                                                                                            ้
ขึ้นเรื่ อยๆ เพราะดิ นไม่ สามารถดู ดซับปุ๋ ยเคมีไว้ได้ เพราะดิ นเสื่ อมสภาพอยู่ตลอดเวลา เนื่ องจากปุ๋ ยเคมีไม่มี
คุณสมบัติในการรักษาดินให้คงสภาพทนต่อการกัดกร่ อน, เก็บความชื้น, เก็บธาตุอาหาร, และ มีความร่ วนซุย
           ในอดีตถึงปั จจุบนชาวนาทํานาโดยอาศัยความชํานาญ หรื อ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน แต่ไม่มีความชํานาญใน
                            ั
เรื่ องของสารเคมี และ การใช้เครื่ องมือทดสอบ ปัจจุบนชาวนาไม่มีเครื่ องมือในการตรวจสอบคุณภาพดิน และ นํ้า
                                                       ั
อีกทั้ง ยังไม่เข้าใจทฤษฎีของปุ๋ ย, โรคพืช และ ยาฆ่าแมลง เพราะภาครัฐมิได้มีการเผยแพร่ และ ถ่ายทอดความรู ้
ให้แก่ชาวนา อย่างเป็ นรู ปธรรม และ จริ งจัง
           หากชาวนาเข้าใจถึงทฤษฎีของปุ๋ ย, โรคพืช และ ยาฆ่าแมลง อย่างถ่องแท้ เมื่อผนวกเข้ากับความชํานาญ
หรื อ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน จะทําให้ชาวนาสามารถเพิ่มผลผลิตของข้าวได้อย่างแน่ นอน ภาครัฐต้องสนับสนุ นทาง
วิชาการ และ เครื่ องมือในการตรวจสอบ ให้แก่ชาวนา ภาครัฐต้องออกมาให้ความรู ้กบชาวนาทุกหมู่บาน เพื่อให้
                                                                                     ั                ้
เข้าใจในทฤษฎีของปุ๋ ย, โรคพืช, ยาฆ่าแมลง และ การใช้เครื่ องมือทดสอบดิน ทดสอบนํ้า
           การเพิ่มผลผลิตของข้าวให้มีปริ มาณสู ง โดยสามารถลดปริ มาณนํ้าที่ใช้, ปุ๋ ยเคมี และ ยาฆ่าแมลง เพื่อลด
ต้นทุนการผลิต, ลดปริ มาณสารตกค้างในดิน, ลดโรคพืช และ ป้ องการดินเสื่ อมสภาพ มีความจําเป็ นที่ตองมีการ   ้
สํารวจหาข้อมูลของพื้นที่เพาะปลูก อาทิเช่น ประเภทของนํ้า, ประเภทของดิน, ความหนาของชั้นสารอาหารใน
ดิน, ความหนาของชั้นดินแต่ละประเภท, ปริ มาณสารอาหารในแต่ละพื้นที่ของแปลง, ความเป็ นกรด, กลาง, ด่าง,
และ ความเค็มของดิน, ปริ มาณสารพิษตกค้างในดิ น, ภูมิทศน์ของแปลงปลูกข้าว เพื่อนํามาทําแผนที่ของแปลง
                                                            ั
ปลูกข้าว ใช้ในการ ปรับสภาพนํ้า, ปรับสภาพพื้นที่, ปรับปริ มาณสารอาหาร, ปรับความเป็ น กรด, ด่าง, กลาง และ
เค็ม ของดิน, ปรับปริ มาณยาฆ่าแมลงที่จาเป็ น เพื่อให้เหมาะสมต่อพันธุ์ขาว และ การปลูกข้าวในแต่ละพื้นที่ของ
                                          ํ                              ้
แปลงปลูกข้าว ทําให้ตนข้าวในแปลงเจริ ญเติบโตสมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารทังถึงไม่เหลือสารตกค้าง จึง
                          ้                                                            ่
สามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งแปลง และ ใช้เวลาในการปลูกสั้นขึ้น อีกทั้งยังลดปั ญหาโรคพืช, ศัตรู พืชลงได้
จึงเป็ นการแก้ปัญหา และ เพิ่มผลผลิตของข้าวอย่างยังยืน ซึ่ งคาดว่า ผลผลิตของข้าวจะเพิ่มขึ้นจาก ๓๐๐ – ๖๐๐
                                                     ่
กิโลกรัมต่อไร่ เป็ น ๓,๐๐๐-๖,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่
                                   ั                            ่
           ปั จจุบนมีผลการศึกษาวิจย และ พัฒนาการปลูกข้าวอยูมากมาย ซึ่ งการวิจยส่ วนใหญ่เน้นแต่การวิจยเป็ น
                  ั                                                              ั                        ั
แต่ละหัวข้อ เมื่อได้ผลสําเร็ จก็มิได้มีการนําผลการวิจยดังกล่าว มาวิจยแบบรวมหัวข้อ หรื อ พัฒนาอย่างต่อเนื่ อง
                                                         ั             ั
และ มิได้มีการนําผลการวิจยต่างๆเผยแพร่ ออกมา หรื อ ทําให้เป็ นรู ปธรรมต่อชาวนา ดังนั้นชาวนาจึงยังคงใช้
                              ั
วิธีการปลูกข้าวแบบดังเดิ ม ทําให้มีตนทุนสู ง และ ผลผลิตตํ่า รายได้ของชาวนาตํ่า จึงยากจน ดังนั้นจึงมีความ
                                        ้
จําเป็ นที่จะต้องส่ งเสริ ม และ เผยแพร่ ผลการวิจย และ การพัฒนาการปลูกข้าว ที่ได้ผลผลิตสู งให้แก่ชาวนาได้
                                                 ั
นําไปใช้ และ พัฒนาต่อไป
ทฤษฎี สมมติฐาน และ/หรือ กรอบแนวความคิดของการพัฒนาแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม
           การปลูกข้าวในอดีตถึงปัจจุบน ยังคงใช้วิธีการปลูกข้าวแบบดังเดิมซึ่งต้องใช้น้ ามาก แต่ได้มีการใช้
                                            ั                                                ํ
เครื่ องจักรกล เข้าช่วยเพื่อเป็ นการผ่อนแรง ได้มีการปรับปรุ งสายพันธุ์ขาว เพื่อให้มีความต้านทานโรค, มีผลผลิต
                                                                       ้
ที่สูงขึ้น, มีสายพันธุ์ ที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม และ พื้นที่เพาะปลูก มีการเปลี่ยนจากการใช้ปุ๋ยเคมี และ ยา
ฆ่าแมลงที่เป็ นเคมี มาเป็ นปุ๋ ยชีวภาพ และ ยาฆ่าแมลงชีวภาพ เพื่อลดปริ มาณสารพิษตกค้างในดิน และ ป้ องกัน
ดินเสื่ อมสภาพ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้บางส่ วน แต่ไม่ยงยืน เพราะผลผลิตที่ได้ยงไม่แน่นอน ต้นข้าวใน
                                                                  ั่                       ั
แปลงเจริ ญเติบโตไม่สมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารไม่ทงถึง ในดินแต่ละพื้นที่มีสารอาหาร และ สารตกค้างที่
                                                             ั่
ไม่เท่ากัน ทําให้เก็บเกี่ยวได้ไม่พร้อมกันทั้งแปลง ใช้เวลาในการปลูกนาน มีปัญหาโรคพืช และ แมลง
           การเพิ่มผลผลิตของข้าวให้มีปริ มาณสูง อีกทั้งสามารถลดปริ มาณนํ้าที่ใช้, ปุ๋ ยเคมี และ ยาฆ่าแมลง เพื่อ
ลดต้นทุนการผลิต, ลดปริ มาณสารตกค้างในดิน, ลดโรคพืช และ ป้ องการดินเสื่ อมสภาพ มีความจําเป็ นที่ตองมี      ้
การสํารวจหาข้อมูลของพื้นที่เพาะปลูก อาทิเช่น ประเภทของนํ้า, ประเภทของดิน, ความหนาของชั้นสารอาหาร
ในดิน, ความหนาของชั้นดินแต่ละประเภท, ปริ มาณสารอาหารในแต่ละพื้นที่ของแปลง, ความเป็ นกรด, กลาง,
ด่าง, และ ความเค็มของดิน, ปริ มาณสารพิษตกค้างในดิน, ภูมิทศน์ของแปลงปลูกข้าว เพื่อนํามาทําแผนที่ของ
                                                                     ั
แปลงปลูกข้าว เพื่อใช้ในการ ปรับสภาพนํ้า, ปรับสภาพพื้นที่, ปรับปริ มาณสารอาหาร, ปรับความเป็ น กรด, ด่าง,
กลาง และ เค็ม ของดิน, ปรับปริ มาณยาฆ่าแมลงที่จาเป็ น เพื่อให้เหมาะสมต่อพันธุ์ขาว และ การปลูกข้าวในแต่
                                                     ํ                                ้
ละพื้นที่ของแปลงปลูกข้าว ทําให้ตนข้าวในแปลงเจริ ญเติบโตสมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารทังถึง ในดินแต่
                                          ้                                                       ่
ละพื้นที่มีสารอาหารเท่าเทียวกัน และ ไม่เหลือสารตกค้าง จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งแปลง และ ใช้เวลา
ในการปลูกสั้นขึ้น อีกทั้งยังลดปั ญหาโรคพืช, ศัตรู พชลงได้ จึงเป็ นการแก้ปัญหา และ เพิ่มผลผลิตของข้าวอย่าง
                                                       ื
ยังยืน
  ่
           การปรับปรุ งการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ร่ วมกับการปลูกพืชแบบ SRI และ ปัจจัยอื่นๆ ทําให้เกิดเป็ น
ระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ซึ่งมีความเหมาะสมต่อพันธุ์พืช และ ภูมิประเทศ สามารถทําให้พืชสมบูรณ์แข็งแรง, มี
ภูมิคุมกันต่อโรคพืช และ ศัตรู พืช พืชจึงเจริ ญเติบโตไว ใช้น้ าน้อย สามารถปลูกข้าวในฤดูแล้ง หรื อ นํ้าน้อยได้
       ้                                                        ํ
ให้ผลผลิตสู ง ทําให้ลดปริ มาณปุ๋ ยเคมี และ ยาปราบศัตรู พชเคมี ลงได้อย่างมาก ทําให้ลดปริ มาณสารตกค้าง และ
                                                           ื
ทําให้ดินสมบูรณ์ข้ ึน จึงทําให้มีตนทุนการผลิตที่ต่าลง
                                    ้              ํ
           การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน (Soiless Culture) หรื อ เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า Hydroponic นั้นเป็ นกรรมวิธีที่
                                                                            ่
นักวิทยาศาสตร์การเกษตรได้ใช้มานานกว่า ๑๐๐ ปี แล้ว พืชจะถูกปลูกให้อยูในนํ้าที่มีสารละลายต่างๆ ตามที่พืช
                                      ่ ั
ต้องการ รากของพืชจะยึดเกาะอยูกบวัสดุที่เป็ นกลาง ไม่เน่าเปื่ อย เช่น กรวดหยาบ, ทรายหยาบ, หิ นภูเขาไฟบด
เป็ นก้อนเล็กๆ ฯลฯ อาหารที่จะใช้เลี้ยงพืชอยูในรู ปสารละลาย ใส่ ในภาชนะที่ปลูกพืชอยู่ วิธีน้ ีจะทําให้พืชได้
                                                ่
                                                         ่                               ่
อาหารอย่างสมบูรณ์ เติบโตเร็ ว รากเกาะวัสดุปลูกแช่อยูในนํ้ายา เชื้อราจึงไม่สามารถอยูได้ พืชจะได้รับการปลูก
เลี้ยงโดยไม่มีเชื้อราเข้าทําลาย นํ้ายาที่ใช้ในการปลูกพืชจะมีการให้ฟองอากาศผ่านอยูเ่ สมอ พืชจึงได้รับทั้งอาหาร
และ ออกซิเจนตลอดเวลา ซึ่งออกซิเจนจะละลายปนเข้ากับนํ้า ช่วยให้พืชเติบโตเร็วกว่าที่ปลูกโดยใช้ดิน เพราะ
ออกซิเจนเข้าสู่ รากพืชไม่สะดวก แม้วาจะได้มีการพรวนดินเป็ นครั้งคราวก็ตาม อีกทั้งการพรวนดินจะทําให้ราก
                                          ่
ของพืชกระทบกระเทือน และ ทําให้พชชลอการเจริ ญเติบโต การพรวนดินต้องใช้แรงงานมาก การเลี้ยงแบบ
                                              ื
Hydroponic สารละลาย และ ออกซิเจน จะผ่านรากของพืชได้โดยสมํ่าเสมอ พืชเจริ ญเติบโตเร็ ว ไม่มีโรคที่แพร่
            ่
ระบาดอยูในดินมาทําลายพืชให้เสี ยหาย
           เมื่อต้นไม้แข็งแรงเติบโตเร็ ว การให้ผลผลิตจะใช้เวลาน้อยกว่าพืชที่ปลูกในดิน ไม้ดอกออกดอกมาก
พืชผักโตเร็ วให้ผลผลิตสูง อีกทั้งอาจจะใช้วิธีน้ ีปลูกผัก และ ผลไม้ ที่ปกติตองปลูกในเขตหนาว นํามาปลูกใน
                                                                                   ้
เขตร้อนได้ ได้มีการทดลองว่าผักหลายอย่างที่ปลูกในที่เย็นบนดอย สามารถปลูกในภาคกลางที่มีอุณหภูมิสูงกว่า
                         ่
ได้ โดยพืชสามารถอยูได้อย่างสมบูรณ์ และ ให้ผลผลิตได้เป็ นอย่างดี
                                                           ่
           ความสําคัญของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินอยูที่ Chelate Iron ซึ่งเป็ นส่ วนประกอบสําคัญของคลอโรฟิ ล
                                            ่
ที่พืชใช้ในการสังเคราะห์แสง ถึงแม้วาจะมีการให้ปริ มาณแม่ปยแก่พืชในปริ มาณสูง แต่หากดินขาด Chelate
                                                                     ุ๋
Iron ซึ่งเป็ นส่ วนสําคัญในการสังเคราะห์แสง พืชก็ไม่สามารถนําแม่ปุ๋ยเหล่านั้นไปใช้ในการสังเคราะห์แสงได้
เรี ยกว่าเกิด Chlorosis จึงทําให้สิ้นเปลืองแม่ปุ๋ยที่ใส่ ให้แก่พืช เพราะแม่ปุ๋ยเหล่านั้นพืชไม่สามารถนําไปใช้ได้ ยัง
เป็ นการสู ญเสี ยแม่ปุ๋ยไปโดยใช้เหตุ เหมือนการตํานํ้าพริ กละลายแม่น้ า อีกทั้งการใช้แม่ปุ๋ยจํานวนมากทําให้เสี ย
                                                                          ํ
ค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังทําให้ดินเสี ยอีกด้วย
           อีกทั้งการให้ปุ๋ยของชาวนาในปัจจุบน ที่ใส่ ลงไปในดินส่ วนมากเป็ นปุ๋ ยเคมี ซึ่งพืชไม่สามารถดูดซับ
                                                ั
และ นําไปใช้ในการสังเคราะห์แสงได้ เนื่องจากปุ๋ ยเคมีที่ใช้ มีคุณสมบัติบางประการที่ไม่เหมาะสม เพราะ
องค์ประกอบของปุ๋ ยเคมีที่ชาวนาใช้ มีแต่แม่ปุ๋ย หรื อ ธาตุอาหารหลัก (Main Elements) ซึ่งได้แก่ ไนโตรเจน N,
ฟอสฟอรัส P, และ โปแตสเซี่ยม K ซึ่งไม่มีการให้สารอาหาร หรื อ แร่ ธาตุที่จาเป็ นต่อการเจริ ญเติบโตของพืชอื่น
                                                                                 ํ
ได้ ปุ๋ ยเคมีโดยทัวไปจะขาดส่ วนธาตุอาหารรอง (Minor Elements), แมกนิเซี่ยม Mg, แคลเซี่ยม Ca, กํามะถัน S,
                    ่
และ ธาตุอาหารเสริ ม (Trace Elements) สังกะสี Zn, โคบอล Co, แมงกานีสMn, โบรอน Bo, เหล็ก Fe, นิเกิล Ni,
ทองแดง Cu, โมลิบดินม Mo, และโซเดียม Na ซึ่งสารเหล่านี้ใช้ในปริ มาณเพียงเล็กน้อยก็พอเพียงสําหรับพืชที่
                            ั
จะทําให้พืชแข็งแรงต่อโรค และ แมลง เพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นอย่างมาก การให้แม่ปุ๋ย, เหล็กคีเลท (Chelate Iron),
และ Trace Elements อาจพอเพียงสําหรับพืชบางประเภท แต่อาจต้องมีการเพิ่ม ฮอร์โมนบ้าง หรื อ ไคโตซาน
หากพืชต้องการ
           โดยปกติธาตุไนโตรเจนในดิน จะสูญเสี ยไปโดยการถูกกัดเซาะจากนํ้า ในขณะเดียวกันธาตุฟอสฟอรัส
                      ่                                                 ่
จะคงหลงเหลืออยูในดินที่ถกนํ้ากัดเซาะ ธาตุโปแตสเซี่ยมที่เหลืออยูในดิน พืชไม่สามารถนํ้าไปใช้งานได้ การ
                              ู
                                   ่
สู ญเสี ยธาตุอาหารในดินจะมีอยูตลอดเวลา ทําให้ตองเพิ่มปริ มาณปุ๋ ยเคมีข้ ึนเรื่ อยๆ เพราะดินไม่สามารถดูดซับ
                                                         ้
่
ปุ๋ ยเคมีไว้ได้ เนื่องจากดินเสื่ อมสภาพอยูตลอดเวลา เนื่องจากปุ๋ ยเคมีไม่มีคุณสมบัติในการรักษาดินให้คงสภาพ
ทนต่อการกัดกร่ อน, เก็บความชื้น, เก็นธาตุอาหาร, และ มีความร่ วนซุย
          การเลือกประเภทของปุ๋ ย และ กรรมวิธีการใช้ปุ๋ย เป็ นเรื่ องสําคัญ ต่อการดูดซับสารอาหารของพืช และ
การรักษาดินให้คงคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช การใช้ปุ๋ยมีประสิ ทธิภาพสูงสุ ด ทําให้ลดต้นทุน และ
เพิ่มผลผลิตได้สูง อีกทั้งยังลดปริ มาณสารตกค้างในดินลงได้มาก ทําให้ดินไม่เสื่ อมสภาพคงคุณสมบัติที่
เหมาะสมต่อการปลูกพืชได้ยาวนาน พืชมีความแข็งแรง สามารถต้านทานโรคพืช และ ศัตรู พืชได้ดี

ปุ๋ ยที่ดีควรมีคุณสมบัติดงนี้
                         ั
      1. มีสารอาหารครบ อันได้แก่ สารอาหารหลัก, สารอาหารรอง, และ สารอาหารย่อย
      2. มีวสุดที่ช่วยให้ดินร่ วนซุย
              ั
      3. พืชสามารถนําไปใช้งานได้ง่าย
      4. มีสารพิษตกค้างตํ่า
      5. ไม่ทาให้ค่าความเป็ นกรด, ด่าง, กลาง และ เค็ม ของดินเปลี่ยนแปลง
                ํ

                     ้              ้                                                   ั
           โรงงานผูผลิตปุ๋ ยไม่ตองการขายเหล็กคีเลท และ/หรื อ สูตรปุ๋ ยที่เหมาะสมให้กบเกษตรกร เพราะจะทํา
ให้ปริ มาณการใช้แม่ปุ๋ยลดลงเป็ นจํานวนมากหากเกษตรกร รู ้จกถึงการใช้เหล็กคีเลท และ/หรื อ สู ตรปุ๋ ยอื่นๆ ใน
                                                               ั
ปริ มาณที่ถูกต้อง และ เหมาะสม จึงเป็ นเหตุให้เหล็กคีเลท และ/หรื อ ปุ๋ ยสู ตรมีราคาแพง ไม่สามารถซื้อขายได้
โดยสดวกในท้องตลาด จึงมีความจําเป็ นที่ตองผสมเหล็กคีเลท และ/หรื อ สูตรปุ๋ ย ที่เหมาะสมต่อพันธุ์พืช และ
                                              ้
                                                    ่ ั่                                    ่
พื้นที่ที่ใช้ปลูกพืช ขึ้นใช้เองจากสารเคมีที่มีขายอยูทวไปในท้องตลาด เหล็กคีเลท ที่มีขายอยูในต่างประเทศ มัก
ทําเป็ นสูตรปุ๋ ยสําเร็ จรู ป มิได้แยกขายเฉพาะแต่เหล็กคีเลท การสังตัวยาสําเร็ จจากต่างประเทศทําได้ง่าย แต่มีราคา
                                                                 ่
แพง จนไม่สามารถดําเนินการในรู ปของการค้าได้
           ปัจจุบนมหาวิทยาลัยต่างๆ ในราชอาณาจักรไทย ที่มีคณะเกษตร, พืชสวน, หรื อ ป่ าไม้ ได้มีการทดลอง
                 ั
เรื่ องการปลูกพืชไร้ดินมานานแล้ว การเตรี ยมตัวยาต่างๆ ไม่ใช่เรื่ องลี้ลบแต่ประการใด ในวิทยานิพนธ์ของ
                                                                            ั
ห้องสมุดต่างๆ ได้แสดงวิธีปลูก วิธีผสมนํ้ายาไว้อย่างชัดแจ้ง สมควรที่เอกชนจะได้นาวิทยาการเหล่านี้มาใช้
                                                                                          ํ
ประโยชน์ ในการเกษตรขนาดเล็ก หรื อ ใหญ่ เพื่อได้ผลผลิตคุณภาพสู งราคาเหมาะสม เพื่อใช้บริ โภค หรื อ
ส่ งออกสู่ ตลาดโลก เพื่อเป็ นรายได้ช่วยการครองชีพในขณะภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า เป็ นการประหยัดเงินตรา
ต่างประเทศได้มาก สารเคมีบางตัวอาจต้องสังจากต่างประเทศ แต่เป็ นสารขั้นพื้นฐานที่มีราคาไม่แพงจนเกินไป
                                                ่
เมื่อนํามาผลิตเป็ นตัวยาเพื่อใช้ในระบบ Hydroponic ย่อมถูกกว่ามาก ทําให้สามารถขยายการเพาะเลี้ยงต้นไม้ได้
อย่างกว้างขวาง และ มีราคาถูกกว่าสังตัวยาสําเร็ จจากต่างประเทศ เป็ นการใช้ภูมิปัญญาของคนไทยเพื่อประหยัด
                                       ่
ดุลย์การค้าได้เป็ นอย่างดี
                                   ั                           ่
           ปัจจุบนมีผลการศึกษาวิจย และ พัฒนาการปลูกข้าวอยูมากมาย ซึ่งการวิจยส่ วนใหญ่เน้นแต่การวิจยเป็ น
                 ั                                                            ั                      ั
แต่ละหัวข้อ เมื่อได้ผลสําเร็ จก็มิได้มีการนําผลการวิจยดังกล่าว มาวิจยแบบรวมหัวข้อ หรื อ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
                                                     ั              ั
และ มิได้มีการนําผลการวิจยต่างๆเผยแพร่ ออกมา หรื อ ทําให้เป็ นรู ปธรรมต่อชาวนา ดังนั้นชาวนาจึงยังคงใช้
                               ั
วิธีการปลูกข้าวแบบดังเดิม ทําให้มีตนทุนสู ง และ ผลผลิตตํ่า รายได้ของชาวนาตํ่า จึงยากจน ดังนั้นจึงมีความ
                                         ้
จําเป็ นที่จะต้องส่ งเสริ ม และ เผยแพร่ ผลการวิจย และ การพัฒนาการปลูกข้าว ที่ได้ผลผลิตสู งให้แก่ชาวนาได้
                                                 ั
นําไปใช้ และ พัฒนาต่อไป
ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics)

         ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน นับเป็ นวิธีการใหม่ในการปลูกพืช โดย เฉพาะ
การปลูกผัก และ พืชที่ใช้เป็ นอาหาร เนื่องจากประหยัดพื้นที่ และ ไม่ปนเปื้ อนกับสารเคมีต่างๆ ในดินทําให้ได้
พืชผักที่สะอาดเป็ นอาหาร ปัจจุบนนี้ในเทคนิคการปลูกพืชแบบไร้ดินหลายแบบด้วยกัน
                               ั

ประวัติ
         นักวิจยด้านเมตาบอลิซึมของพืชได้คนพบว่าพืชจะดูดซึมสารอาหารมาเป็ นไอออนในนํ้า
                 ั                          ้                                                    ซึ่งมีโครง
สร้างไม่ซบซ้อน ในสภาพตามธรรมชาติน้ น ดินจะทําหน้าที่เป็ นแหล่งสารอาหาร แต่ดินเองนั้นไม่จาเป็ นต่อการ
           ั                            ั                                                      ํ
เติบโตของพืช เมื่อสารอาหารในดินละลายไปกับนํ้า รากของพืชก็จะสามารถดูดซึมสารอาหารนั้นได้ เมื่อใส่
สารอาหารที่จาเป็ นสําหรับพืชไว้ในแหล่งนํ้าที่สร้างขึ้น ก็ไม่จาเป็ นต้องใช้ดินเพือเป็ นแหล่งอาหารของพืชอีก
               ํ                                              ํ                 ่
ต่อไป พืชส่ วนใหญ่จะเติบโตด้วยวิธี ไฮโดรโปนิกส์ ได้ แต่เติบโตได้ดีมากน้อยแตกต่างกัน การปลูกพืชไร้ดินนี้
ทําได้ง่าย สะดวก และ ประหยัดพื้นที่ แต่ตองมีอุปกรณ์ที่จาเป็ นอย่างอื่น นอกจากสารอาหารสําหรับพืชที่ละลาย
                                          ้            ํ
   ่
อยูในนํ้าแล้ว

ประโยชน์
      ไฮโดรโปนิกส์ นั้นมีประโยชน์หลักๆ ๒ ประการด้วยกัน
       1. ช่วยให้มีสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้มากขึ้นสําหรับการเติบโตของพืช แทนที่จะเป็ นการใช้ดินอย่างเดิม
                 ํ
          ทําให้กาจัดตัวแปรที่ไม่ทราบออกไปจากการทดลองได้จานวนมาก
                                                               ํ
       2. พืชหลายชนิดจะให้ผลผลิตได้มากในเวลาที่นอยกว่าเดิม และ มีคุณภาพที่ดีกว่าเดิม
                                                     ้

           ในสภาพแวดล้อม และ สภาพการเศรษฐศาสตร์หนึ่งๆ การปลูกพืชแบบ ไฮโดรโปนิกส์ จะให้ผลกําไร
แก่เกษตรกรได้มากขึ้น และ ด้วยการปลูกที่ไม่ใช้ดิน จึงทําให้พืชไม่มีโรคที่เกิดในดิน ไม่มีวชพืช และ ไม่ตอง
                                                                                        ั             ้
                                        ั
จัดการดิน และ ยังสามารถปลูกพืชใกล้กนมากได้ ด้วยเหตุน้ ีพืชจึงให้ผลผลิตในปริ มาณที่มากกว่าเดิม ขณะที่ใช้
พื้นที่จากัด นอกจากนี้ยงมีการใช้น้ าน้อยมาก เพราะมีการใช้ภาชนะ หรื อ ระบบวนนํ้าแบบปิ ด เพือหมุนเวียนนํ้า
         ํ              ั          ํ                                                        ่
เมื่อเทียบกับการเกษตรแบบเดิมแล้ว นับว่าใช้น้ าเพียงส่ วนน้อยนิดเท่านั้น ไฮโดรโปนิกส์ เหมาะอย่างยิงสําหรับ
                                              ํ                                                  ่
ผูที่ตองการปลูกพืชโดยการการควบคุมปั จจัยที่เกี่ยวข้องได้มากที่สุด และ มีความหนาแน่นสูงสุ ด
  ้ ้
           ตัวอย่างของความพยายามในช่วงแรกๆ ที่จะปลูกพืชไร้ดิน ก็คือ สวนลอยบาบิโลน เมื่อราว ๖๐๐ ปี ก่อน
คริ สตกาล และ สวยลอยแห่งอัสเต็กซ์ ในช่วงคริ สตศวรรษที่ ๑๑ นักวิจยการปลูกพืชไร้ดินคนแรกๆ ก็คือ จอห์น
                                                                    ั
วูดเวิด (John Woodward) ชาวอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๔๒ เขาได้ปลูกพืชในนํ้า โดยได้เติมดินลงไปหลายชนิด
การปลูกพืชครั้งนั้นเป็ นการสาธิตว่า นอกจากนํ้าแล้วในโลกเรานั้นมีสสารหลายขนิดที่พืชต้องการ ครั้นเมื่อกลาง
คริ สต์ศตวรรษที่ ๑๙ นักสรี รวิทยาพืช (plant physiologists) ชาวเยอรมัน ชื่อซาคส์ (Sachs) และ คนอพ (Knop)
ได้ปลูกพืชในสารละลายอย่างง่ายของเกลืออนินทรี ยเ์ มื่อ พ.ศ. 2472 ศาสตราจารย์ Gericke แห่งมหาวิทยาลัย
แคลิฟอร์เนีย ที่เมืองเดวิส ได้สาธิตว่าพืชจะเติบโตโดยไม่ใช้ดิน สามารถเติบโตไปได้จนโตเต็มที่ ครั้งนั้นเขาได้
ปลูกมะเขือเทศในนํ้า จนได้ผลขนาดใหญ่อย่างน่าแปลกใจ และ เขาได้เทียบคําศัพท์ในภาษากรี ก ที่มีความหมาย
ว่า การเกษตร คือ geoponics ซึ่งหมายถึง ศาสตร์แห่งการปลูกพืชโดยใช้ดิน ด้วยเหตุน้ ีเขาจึง คิดคําใหม่วา " ่
ไฮโดรโปนิกส์ " (hydroponics) ซึ่งหมายถึง การปลูกพืชในนํ้า จากภาษากรี ก hydros (นํ้ า) และ ponos (แรงงาน)

เทคนิคการปลูกพืชแบบไร้ดิน
       มีการใช้เทคนิคต่างๆ มากมายในการปลูกพืชแบบไร้ดิน บ้างก็ใช้วสดุจาพวกโลหะเฉื่อย เป็ นตัวคํ้ายัน
                                                                 ั ํ
รากของพืช บ้างก็ใช้วสดุแบบอื่นๆ โดยให้สารละลายที่มีสารอาหารโดยตรงแก่รากด้วยวิธีต่างๆ ที่หลาก หลาย
                    ั

การปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์
          สําหรับราชอาณาจักรไทยเพิงมีการปลูกพืชด้วยวิธีน้ ีเป็ นเชิงพาณิ ชย์มาไม่นาน และ ยังไม่แพร่ หลายมาก
                                     ่
แต่ในระดับงานวิจยได้มีการศึกษาค้นคว้ากันมากว่า ๓๐ ปี แล้ว โดยการวิจยเริ่ มแรกทําการทดสอบกับพืชผัก
                   ั                                                          ั
หลายชนิดที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าเทคนิคปลูกในสารละลายแบบนํ้าลึก (liquid culture, deep water)
ประสบความสําเร็ จน่าพอใจ แต่ระบบให้น้ าไหลผ่านรากพืชเป็ นชั้นบางๆ (nutrient film technique, NFT)
                                             ํ
ในขณะนั้นยังต้องมีการปรับปรุ ง และ พัฒนา
          ในระยะ ๑๐ ปี นี้มีการวิจยในหลายสถาบัน เช่น ระหว่างปี ๒๕๓๐ - ๒๕๓๕ ได้มีการศึกษาเพื่อ
                                   ั
พัฒนาการปลูกพืชไม่ใช้ดิน ณ พระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อจะได้นาเทคนิคนี้ไปใช้ในการปลูกพืชในพื้นที่ที่ดิน
                                                                    ํ
มีปัญหาในการเพาะปลูก การปลูกพืชใช้ระบบวัสดุปลูกรดด้วยนํ้าสารละลายธาตุอาหาร โดยใช้กระบะบรรจุ
สารละลายธาตุอาหารเป็ นแปลงปลูก พบว่าสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด เช่น พืชผัก ได้แก่ คะน้า กวางตุง             ้
กะหลํ่าดอก ผักกาดหัว ผักกาดขาว ผักบุงจีน ผักกาดหอม คึ่นฉ่าย ผักชี หอมแบ่ง มะเขือ มะเขือเทศ แตงเทศ ไม้
                                           ้
ดอก ได้แก่ ดาวเรื อง บานชื่น พิทูเนีย กุหลาบ และ ไม้ประดับ เช่น โกสน หมากผูหมากเมีย สาวน้อยประแป้ ง ไผ่
                                                                                ้
ฟิ ลิปปิ นส์ ซึ่งผลจากการวิจย ได้มีผสนใจนําไปปรับใช้ในการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์เป็ นการค้าจนถึง
                             ั          ู้
ปัจจุบน (กระบวน, ๒๕๔๒)
       ั
          ด้านกองเกษตรเคมี กรมวิชาการเกษตร ก็ได้มีการทดลองปลูกพืชผักหลายชนิด เช่น ผักกวางตุง                ้
ผักกาดขาว ผักกาดขาวปลี ผักกาดฮ่องเต้ และ ผักกาดหัว โดยใช้สารเคมีสูตร Hoagland แต่เติมโซเดียม และใช้
เหล็ก EDTA เป็ นสารให้ธาตุเหล็ก ทําการปลูกในถังพลาสติก หุ มด้วยกระดาษเพื่อลดอุณหภูมิ และ ใช้แผ่นโฟม
                                                                ้
รองด้วยผ้าพลาสติกกันนํ้าออก มีการให้ก๊าซอ๊อกซิเจนด้วยปั๊ มอากาศ และ หมันดูแลไม่ให้น้ ายาแห้ง พบว่าเป็ น
                                                                              ่           ํ
วิธีที่ได้ผลดีพอสมควร
            สถาบันที่มีการวิจยการปลูกพืชโดยวิธีไฮโดรโปนิกส์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ คือสถาบันเทคโน
                                  ั
โลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จนถึงปั จจุบนได้มีการพัฒนาถึงขั้นจัดทําโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้
                                                          ั
คํานวณปริ มาณธาตุอาหารในการเตรี ยมสารละลายธาตุอาหารพืช (อิทธิสุนทร, ๒๕๔๒) และ ดัดแปลงระบบที่
ใช้อยูเ่ ป็ นระบบขนาดเล็กเพือปลูกพืชผักสวนครัว หรื อ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็ นงานอดิเรกอีกด้วย (อิทธิสุนทร, 2
                                    ่
๒๕๔๒)
                                                                                     ็ ํ
            เมื่อมีการตื่นตัวเรื่ องการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษ บริ ษทเจริ ญโภคพันธุ์กได้ทาการศึกษาความเป็ น
                                                                    ั
ไปได้ ในการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ โดยใช้เทคนิคนี้ควบคู่กบระบบโรงเรื อน แต่ใน
                                                                                        ั
ที่สุดก็ไม่ได้นาเทคโนโลยีน้ ีมาใช้ (เปรมปรี , ๒๕๔๒) เอกชนอีกรายที่ทาการศึกษาวิจยเพื่อหาเทคนิคการปลูก
                   ํ                                                        ํ         ั
พืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ที่เหมาะสมสําหรับราชอาณาจักรไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่าจะเป็ นวิธีการปลูกพืชที่
จําเป็ นในอนาคต คือบริ ษท ที เอ บี วิจย และ พัฒนา จํากัด ดําเนินการที่อาเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยได้รับ
                               ั             ั                            ํ
ทุนสนับสนุนการวิจยจากสํานักงานคณะกรรมการวิจยแห่งชาติ
                          ั                             ั
            ระยะหลังได้มีการนําการปลูกพืชด้วยวิธี ไฮโดรโปนิกส์ มาปลูกพืชผักเป็ นการค้ากันบ้างแล้วในประ
เทศไทย โดยระบบที่นามาใช้กนแพร่ หลายมีอยู่ ๒ ระบบ คือ ระบบ NFT ซึ่งเป็ นระบบสําเร็ จรู ปที่นาเข้าจาก
                            ํ         ั                                                            ํ
ประเทศออสเตรเลีย และ ระบบสารละลายหมุนเวียนชนิดไม่เติมอากาศ ซึ่งศึกษาและพัฒนาขึ้น ณ พระราช วัง
สวนจิตรลดา

ข้อดี และ ข้อเสี ยการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์
          การปลูกพืชโดยวิธีไฮโดรโปนิกส์ เป็ นการปลูกพืชโดยใช้หลักวิชาการแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่โดย
การเลียนแบบการปลูกพืชบนดิน แต่ไม่นาดินมาใช้เป็ นวัสดุปลูก พืชสามารถเจริ ญเติบโตได้โดยอาศัยธาตุอาหาร
                                          ํ
                                                   ่
ต่างๆ ที่ละลายลงในนํ้าเพื่อทดแทนธาตุอาหารที่มีอยูในดิน ซึ่งวิธีการนี้มีขอดีหลายประการ เช่น
                                                                        ้
          ๑. สามารถปลูกพืชได้ต่อเนื่องตลอดปี เมื่อเก็บผลผลิตผักแล้วสามารถปลูกพืชผักรุ่ นต่อไปได้ทนทีเนื่อง
                                                                                                 ั
จากไม่ได้ปลูกพืชลงดินจึงไม่ตองทิ้งระยะเวลาเพื่อทําการพักดิน ตากดิน กําจัดวัชพืช และ เตรี ยมแปลงปลูกใหม่
                                  ้
การปลูกพืชในดินต่อเนื่องเป็ นเวลานานยังทําให้เกิดปั ญหาดินเสื่ อมสภาพ แต่การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์
สามารถปลูกพืชต่อเนื่องได้โดยไม่ตองกลัวปัญหานี้ เนื่องจากแหล่งอาหารของพืชไม่ได้มาจากดิน แต่มาจากธาตุ
                                      ้
อาหารต่างๆ ที่ให้ทางสารละลายธาตุอาหาร นอกจากนั้นการปลูกพืชด้วยเทคนิคนี้ไม่ข้ ึนกับฤดูกาล เพราะมีการ
ควบคุมสภาพแวดล้อม จึงเป็ นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้ปลูกได้ต่อเนื่องตลอดปี
                                              ํ
                                                                               ่
          ๒. สามารถปลูกพืชได้แม้ในที่ที่ไม่มีพ้นที่สาหรับปลูกพืช การอาศัยอยูในชุมชนเมืองซึ่งที่ดินมีราคา
                                                 ื ํ
        ้ ่
แพง ผูอยูอาศัยในที่ที่มีพ้ืนที่จากัด เช่น ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ อาคารชุด และ หอพัก ไม่มีพ้ืนที่สาหรับปลูกพืช
                                ํ                                                            ํ
สามารถปลูกพืชผักสวนครัว สมุนไพร หรื อไม้ดอกไม้ประดับ ได้โดยใช้ระบบไฮโดรโปนิกส์ขนาดเล็กวาง
บริ เวณพื้นที่วางที่มีอยูเ่ ล็กน้อย เช่น ริ มหน้าต่าง ทางเดิน ดาดฟ้ า พื้นที่เล็กๆ หลังบ้าน
               ่
                                                                                    ่
         ๓. สามารถปลูกพืชในที่ที่ดินไม่เหมาะสม ในบางพื้นที่มีพ้ืนที่อยูมากมาย แต่ใช้ทาการเพาะปลูกพืช
                                                                                                 ํ
ไม่ได้ เนื่องจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ดินทะเลทราย พื้นที่ที่เป็ นหิ น พื้นที่ภูเขา ดินเค็ม ดินกรด ดินด่าง พื้นที่
    ่
อยูในเขตแห้งแล้ง หรื อ ขาดแคลนนํ้าชลประทานการแก้ปัญหาเหล่านี้ทาได้ยาก ต้องใช้เวลานาน และ ใช้
                                                                                  ํ
                                                 ่
งบประมาณมาก สามารถใช้พ้ืนที่ที่มีอยูปลูกพืชได้ดวยวิธีไฮโดรโปนิกส์ เพราะนอกจากไม่ตองใช้ดินเป็ นแหล่ง
                                                          ้                                   ้
อาหารสําหรับพืชแล้ว ยังเป็ นวิธีที่ใช้น้ าน้อย และใ ช้อย่างมีประสิ ทธิภาพ พืชไม่มีปัญหาขาดนํ้า ไม่มีการสูญเสี ย
                                             ํ
นํ้าจากการซึมลึก การไหลทิ้ง หรื อ การแย่งนํ้าจากวัชพืช ไม่มีปัญหาการให้น้ ามากเกินไป    ํ
         ๔. พืชเจริ ญเติบโตได้เร็ ว และ ให้ผลผลิตสู ง การปลูกพืชด้วยวิธีด้ งเดิมไม่สามารถกําหนดปริ มาณธาตุ
                                                                                      ั
                 ั
อาหารให้พอดีกบความต้องการของพืชได้ นอกจากนั้นยังมีการสูญเสี ยธาตุอาหารจากกระบวนการต่างๆ ที่
เกิดขึ้นในดิน และ ในอากาศ ตลอดจนการแย่งธาตุอาหารจากวัชพืช แต่การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์
สามารถควบคุมปริ มาณสารอาหารได้ดีกว่าการปลูกในดิน สามารถกําหนดปริ มาณธาตุอาหารให้ตรงกับความ
ต้องการของพืช พืชได้รับสารอาหารในรู ปอนินทรี ยโดยตรง ทําให้การใช้ปุ๋ยเป็ นไปอย่างมีประสิ ทธิภาพ
                                                              ์
นอกจากนี้ยงไม่มีปัญหาการแย่งธาตุอาหารโดยวัชพืช จึงทําให้พืชเจริ ญเติบโตเร็ วและได้ผลผลิตสูง ในอีกแง่
             ั
                                                                                          ็
หนึ่ง ถ้าคํานึงถึงผลผลิตต่อปี ผลผลิตจากการผลิตด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์กจะสู งกว่าการปลูกด้วยวิธีด้ งเดิม      ั
เนื่องจากการเก็บเกี่ยวได้เร็ วขึ้น และ ปลูกต่อเนื่องได้ตลอดปี ไม่ข้ ึนกับฤดูกาล ทําให้สามารถปลูกพืชได้มากครั้ง
กว่าในเวลาเท่ากัน
         ๕. ผลผลิตมีความสมํ่าเสมอ สะอาด และ คุณภาพดี เนื่องจากมีการควบคุมปริ มาณธาตุอาหารตามที่พืช
ต้องการ ตลอดจนควบคุมปั จจัยทางด้านสภาพแวดล้อมได้ทวถึง ทําให้ได้ผลผลิตที่มีความสมํ่าเสมอ มีรูปร่ าง สี
                                                                 ั่
ขนาด ใกล้เคียงกัน ผลผลิตไม่ได้สมผัสกับดิน จึงสะอาดและดูน่ารับประทาน การปลูกพืชวิธีน้ ีจึงเป็ นวิธีที่เหมาะ
                                        ั
ที่จะผลิตพืชผักที่ตองการผลผลิตที่มีคุณภาพ และ ความสมํ่าเสมอ เช่น ผักส่ งออก ผักทดแทนการนําเข้า และ ผัก
                     ้
ส่ งขายในซุปเปอร์มาร์เก็ต
         ๖. ใช้แรงงานน้อยลง การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์จะใช้แรงงานน้อยกว่าการปลูกพืชด้วยวิธีด้ งเดิม     ั
เนื่องมาจากไม่ตองมีการเตรี ยมดิน ไม่ตองทําการเขตกรรม เช่น ให้น้ า ใส่ ปุ๋ย กําจัดวัชพืช มีศตรู พชน้อยกว่า จึง
                   ้                           ้                             ํ                  ั ื
ใช้แรงงานในการกําจัดน้อยกว่า การเพาะเมล็ด การย้ายปลูก การเตรี ยมแปลงปลูก และ การเก็บเกี่ยว ทําได้ง่าย
กว่า จึงใช้แรงงานน้อยกว่า
         ๗. ลดการใช้สารเคมี เนื่องจากมีการควบคุมสภาพแวดล้อม ควบคุมศัตรู พืชได้ง่าย เพราะการไม่ใช้ดิน
                                                       ่
ในการปลูกพืช ทําให้ไม่มีปัญหาโรคแมลงที่อยูในดินตลอดจนไม่มีปัญหาวัชพืช ส่ วนโรคแมลงที่ระบาดทาง
อากาศก็สามารถลดการใช้สารเคมีได้โดยการใช้โรงเรื อนตาข่าย
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว
การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว

Contenu connexe

Similaire à การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว

แผนการเรียนรู้เกษตร1
แผนการเรียนรู้เกษตร1แผนการเรียนรู้เกษตร1
แผนการเรียนรู้เกษตร1juckit009
 
งานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพด
งานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพดงานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพด
งานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพดKanitha Panya
 
กลุ่ม4
กลุ่ม4กลุ่ม4
กลุ่ม4punloveh
 
เรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรเรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรchompoo28
 
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียงsombat nirund
 
เรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง  การทำการเกษตรเรื่อง  การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรdaiideah102
 
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสาน
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสานเอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสาน
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสานSompop Petkleang
 
เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่Chung Bowji
 
เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่Chung Bowji
 
กิจของชาวนา Presentation 20140831
กิจของชาวนา Presentation 20140831กิจของชาวนา Presentation 20140831
กิจของชาวนา Presentation 20140831Prachak Boonkaew
 
6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)
6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)
6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)Nutthakorn Songkram
 
Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54SkyPrimo
 
Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54SkyPrimo
 
เกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรทฤษฎีใหม่เกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรทฤษฎีใหม่Intrapan Suwan
 
บทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุงบทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุงkasetpcc
 
Thailand rice production reform
Thailand rice production reform Thailand rice production reform
Thailand rice production reform somporn Isvilanonda
 

Similaire à การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว (20)

Gap
GapGap
Gap
 
แผนการเรียนรู้เกษตร1
แผนการเรียนรู้เกษตร1แผนการเรียนรู้เกษตร1
แผนการเรียนรู้เกษตร1
 
งานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพด
งานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพดงานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพด
งานวิจัยโยเกิร์ตข้าวโพด
 
กลุ่ม4
กลุ่ม4กลุ่ม4
กลุ่ม4
 
เรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรเรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตร
 
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง
 
เรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง  การทำการเกษตรเรื่อง  การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตร
 
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสาน
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสานเอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสาน
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การปลูกกล้วยน้ำว้าผสมผสาน
 
เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่
 
เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่เกษตรทฤษฏีใหม่
เกษตรทฤษฏีใหม่
 
กิจของชาวนา Presentation 20140831
กิจของชาวนา Presentation 20140831กิจของชาวนา Presentation 20140831
กิจของชาวนา Presentation 20140831
 
6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)
6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)
6 ผลงานภารกิจปลดทุกข์ลุงสำราญ (กฤษณา)
 
Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54
 
Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54Farming System 23/06/54
Farming System 23/06/54
 
เกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรทฤษฎีใหม่เกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรทฤษฎีใหม่
 
Moa with ministry of education
Moa with ministry of educationMoa with ministry of education
Moa with ministry of education
 
บทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุงบทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุง
 
Bio diesel
Bio dieselBio diesel
Bio diesel
 
Thailand rice production reform
Thailand rice production reform Thailand rice production reform
Thailand rice production reform
 
254 8
254 8254 8
254 8
 

Plus de Jack Wong

Low Speed Surface Aerator Controller
Low Speed Surface Aerator ControllerLow Speed Surface Aerator Controller
Low Speed Surface Aerator ControllerJack Wong
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์Jack Wong
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์Jack Wong
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์Jack Wong
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์Jack Wong
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์Jack Wong
 
เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์Jack Wong
 
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3Jack Wong
 
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์Jack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3Jack Wong
 
Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator
Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator
Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator Jack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3Jack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Ssurface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Ssurface Aerator PVChaipattana Low Speed Ssurface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Ssurface Aerator PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PVChaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PVJack Wong
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PVChaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PVJack Wong
 

Plus de Jack Wong (20)

Low Speed Surface Aerator Controller
Low Speed Surface Aerator ControllerLow Speed Surface Aerator Controller
Low Speed Surface Aerator Controller
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
 
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ แสงอาทิตย์
 
เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์
เครื่องเติมออกซิเจนแสงอาทิตย์
 
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์ RX-2-3
 
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์
กังหันน้ำชัยพัฒนา แสงอาทิตย์
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV RX-2-3
 
Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator
Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator
Solar Water Wheel Low Speed Surface Aerator
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-2 PV
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
 
Chaipattana Low Speed Ssurface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Ssurface Aerator PVChaipattana Low Speed Ssurface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Ssurface Aerator PV
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PVChaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator RX-2-3 PV
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PVChaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV
 
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PVChaipattana Low Speed Surface Aerator PV
Chaipattana Low Speed Surface Aerator PV
 

การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริหารการจัดการปลูกข้าว

  • 1. การส่ งเสริ มการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริ หารการจัดการปลูกข้าว The Promotion of Rice Intensification by Rice Management Method (RMM) โดย สุ รวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
  • 2. สารบัญ เรื่อง หน้ า สารบัญ ๒ คํานํา ๓ ความเป็ นมา ๔ ความสําคัญ และ ที่มาของปั ญหา ๖ ทฤษฎี สมมติฐาน และ/หรื อ กรอบแนวความคิดของการพัฒนาแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ๘ ไฮโดรโปนิกส์ ๑๒ ปุ๋ ย ๒๐ ข้าว ๒๒ การปฏิบติตามหลักการ อาร์ เอ็ม เอ็ม ั ๒๖ หลักการปฏิบติของระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ั ๒๗ เทคนิคการทํานาแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ๓๐ บทสรุ ป ๔๑ บทความพิเศษ ๔๒ ภาคผนวก ๔๙ ก. การทําปุ๋ ยหมักแบบไม่กลับกอง ๔๙ ข. การใช้พืชปุ๋ ยสด ๕๑ ค. การใช้สารสะเดาในการผลิตข้าวนา และ ข้าวไร่ ๕๒ ง. วิธีการกํา จัดปู และ หอย ๕๕ จ. การทํานํ้าสกัดชีวภาพ ๕๖ ฉ. ภาพร่ างเครื่ องกําจัดวัชพืช ๕๗ เอกสารอ้างอิง ๕๙
  • 3. คํานํา ชาวภาคเหนือตอนบน ส่ วนใหญ่เป็ นเกษตรกรรายย่อย มีพ้นที่ทานาเฉลี่ย ๕ ไร่ วัตถุประสงค์ของการ ื ํ ปลูกข้าวในฤดูฝนจึงปลูกเพือบริ โภค แนวทางการผลิตข้าวเป็ นการปลูกข้าวโดยเน้นการลดความเสี่ ยง และ ให้ ่ ความสําคัญกับเสถียรภาพของการผลิต นอกจากนี้การเลือกใช้พนธุ์ขาว มักจะเลือกข้าวที่มีคุณสมบัติในการหุง ั ้ ต้มดี ดังนั้น ข้าวเหนียวพันธุ์ กข.๖ จงเป็ นพันธุ์ขาวที่ได้รับความนิยมมาเป็ นอันดับหนึ่ง กระบวนการเพิมผลผลิต ้ ่ ข้าวโดยอาศัยปุ๋ ยเคมีไม่ได้ทาให้พนธุ์ขาว กข.๖ เพิ่มผลผลิตมากขึ้น ํ ั ้ ระบบการผลิตข้าวแบบ System of Rice Intensification (SRI) เป็ นวิธีการที่ถูกพัฒนาโดย Fr. Henri de Laulanie,S.J. ในขณะที่ทา งานในประเทศมาดากัสก้าร์ ระหว่างปี ๒๕๐๒ ถึง ๒๕๓๘ เพื่อปรับปรุ งการผลิตข้าว ํ ่ และ ยกระดับความเป็ นอยูของเกษตรกรในประเทศดังกล่าวต่อมา วิธีการดังกล่าวนี้ได้มีการขยายผล โดยหลาย องค์กร อาทิเช่น Association Tefy Saina (ATS) ที่ประเทศมาดากัสการ์ และ ศูนย์ CIIFAD ของมหาวิทยาลัยคอร์ เนล สหรัฐอเมริ กา เอกสารนี้รวบรวม, แก้ไข และ เพิ่มเติม เนื้อหาจากฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเรี ยบเรี ยงโดย Professor Dr.Norman Uphoff ผูอานวยการศูนย์ CIIFAD ร่ วมกับ ATS ต่อมาระบบการผลิตข้าวแบบ SRI ได้ถูก ้ํ พัฒนาขึ้นใหม่โดย Eng’r Suravut Snidvongs (สุ รวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) เป็ น “การส่ งเสริ มการเพิ่มผลผลิตของ ข้าวโดยการบริ หารการจัดการปลูกข้าว” The Promotion of Rice Intensification by Rice Management Method” ซึ่งระบบการปลูกข้าวแบบใหม่น้ ีให้ความสําคัญกับศักยภาพที่แท้จริ งของต้นข้าว การปลูกข้าวจึงพยายามที่จะ สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริ ญเติบโตของต้นข้าวอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การเตรี ยมพื้นที่เพาะปลูก, การ ตรวจสอบสารอาหารในดิน, การตรวจสอบคุณภาพ และ สารอาหาร ในนํ้า, การเตรี ยมเมล็ดพันธุ์, การศึกษา วัชพืชในแปลงนา, การศึกษาโรคพืช และ แมลงในแปลงนา, การเตรี ยมสารอาหารให้เหมาะสมต่อต้นข้าวในแต่ ละพื้นที่, การเตรี ยมยาฆ่าแมลง และ การกําจัดวัชพืช, การเตรี ยมกล้า, ลักษณะของการเตรี ยมดิน, วิธีการย้ายต้น กล้า, การจัดการนํ้าในแปลงนา ระบบการผลิตข้าวแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างมากโดยไม่ตองใช้ปัจจัยการผลิต ้ เพิ่มขึ้นจากเดิม เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีการปลูก และ วิธีการจัดการในนาข้าวขึ้นใหม่ ผูพฒนาเห็นว่า วิธีการนี้ ้ ั เป็ นทางเลือกหนึ่งของการเพิ่มผลผลิตข้าว โดยไม่ตองเพิ่มต้นทุนการผลิต และ คิดว่าเหมาะสมกับเกษตรกรราย ้ ย่อย ที่มีวิธีการปลูกข้าวแบบนาดํา จึงได้นาวิธีน้ ีมาทดลองในราชอาณาจักรไทย และ ประยุกต์ใช้ให้ได้ผลที่ดี ํ มากที่สุด หวังว่าท่านที่อ่านคู่มือนี้ เมื่อนําไปปฏิบติแล้วจะสามารถเพิมผลผลิตของข้าวได้สูงขึ้น และ หาก ั ่ ต้องการแสดงข้อคิดเห็น หรื อ ช่วยปรับปรุ งเอกสารตลอดจนวิธีการผลิต ขอได้โปรดร่ วมแสดงความคิดเห็น สุ รวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา มูลนิธิพฒนา และ ส่ งเสริ มพลังงานทดแทนแห่ งเอเซีย ั
  • 4. ความเป็ นมา ่ การปลูกข้าวแต่โบราณเมื่อประมาณ ๓๐ ถึง ๔๐ ปี ที่ผานมา การปลูกข้าวในเนื้อที่ ๑ ไร่ สามารถให้ขาว ้ ได้ถึง ๒ เกวียน หรื อ ๒,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ หรื อ ๒ ตันต่อไร่ ทําไมผลผลิตของข้าวถึงได้ลดลงอย่างมาก และ จะทําอย่างไรถึงจะเพิ่มผลผลิตของข้าวให้ได้เท่าเดิม หรื อ ดีกว่าเดิมในอดีต ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากมนุษย์ ความมักง่ายของมนุษย์นนเองที่เป็ นสาเหตุ การใช้สารอาหาร และ แร่ ธาตุ ั่ ่ ที่มีอยูในดินเรื่ อยไป โดยไม่มีการเพิ่มเติม หรื อ รักษาสารอาหาร และ แร่ ธาตุในดิน จึงทําให้ดินเสื่ อมสภาพไม่ สามารถใช้ในการเพาะปลูกได้อีกต่อไป อีกทั้งยังทําให้ดินไม่สามารถดูดซับนํ้าไว้ในดินได้อีก จึงทําให้เกิดภัย ่ แล้ง และ เกิดนํ้าท่วม จะเห็นได้วาในปัจจุบนจะเกิดนํ้าท่วมโดยฉับพลัน และ เมื่อนํ้าลดก็จะเกิดภัยแล้งอย่าง ั รุ นแรง การเพาะปลูกได้ผลผลิตที่นอยมาก ไม่คุมต่อการลงทุน ้ ้ ทําอย่างไรจะช่วยให้ดินกลับสู่ สภาพที่อุมนํ้า, เก็บความชื้นได้ดี, และ มีสารอาหารพอเพียงต่อการ ้ เพาะปลูก ระบบการการส่ งเสริ มการเพิ่มผลผลิตของข้าว โดยการบริ หารการจัดการปลูกข้าว The Promotion of Rice Intensification by Rice Management Method (RMM) จะทําให้ดินกลับสู่สภาพเดิมได้ แต่เฉพาะวิธีการ จัดการคงไม่เพียงพอ และ สําเร็ จได้ตามวัตถุประสงค์ หากไม่ได้รับความร่ วมมือจากประชาชน ระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว และ หากมีการจัดระบบอย่างดีให้แก่ ต้นข้าว, ดิน และ นํ้า ผลผลิตสามารถเพิ่มเป็ น ๑,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ หรื อ มากกว่าได้ ที่ต้ งเป้ าไว้คือ ั ๖,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ (ประเทศเวียตนามสามารถผลิตข้าวได้เฉลี่ย ๘,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ปี ๒๕๕๐) หนังสื อเล่มนี้เป็ นการเสนอแนวคิดพื้นฐาน และ แนวทางปฏิบติ ในเพิ่มผลผลิตเป็ นของข้าว ข้อมูลนี้ ั เป็ นเสมือนเครื่ องชี้ทาง สําหรับเกษตรกรใช้ทดสอบ และ ประเมินผล วิธีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ตนข้าวเจริ ญเติบโต ้ ให้ผลผลิตมากขึ้น แต่เดิมระบบ เอส อาร์ ไอ (SRI) ได้ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศมาดากัสการ์ โดยชาวฝรั่งเศสชื่อ อองรี เดอ โลลานี ซึ่งทํางานร่ วมกับเกษตรกร และ เพื่อนร่ วมงานชาวมาลากาซี ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๖๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔) ถึง ค.ศ. ๑๙๙๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) เพื่อปรับปรุ งวิธีผลิตข้าวในประเทศ ด้วยความปรารถนาที่จะให้ชาวมาลากาซี มีชีวิต ่ ความเป็ นอยูที่ดีข้ ึน และ มีความสุ ขมากขึ้น ระบบดังกล่าวได้รับการศึกษา, การประเมินผลจากนักวิทยาศาสตร์ และ เกษตรกรผูปลูกข้าวจากหลายๆ ประเทศว่าได้ผลดี ้ ่ เอส อาร์ ไอ (SRI) เริ่ มจากหลักปรัชญาที่วา ต้นข้าวต้องได้รับความเคารพ และ จุนเจือประหนึ่งสิ่ งมีชีวิต ที่มีศกยภาพ ซึ่งจะนํามาใช้ได้กต่อเมื่อเราอํานวยสภาวะที่ดีที่สุด ที่เอื้อต่อการเติบโตของพืช หากเราช่วยให้พช ั ็ ื เจริ ญเติบโตด้วยหนทางที่ดีกว่า พืชก็จะตอบแทนความพยายามนั้นกลับคืนเป็ นหลายเท่า เราจะไม่ปฏิบติต่อพืช ั เยียงเครื่ องจักรน้อยๆ ที่ถูกบังคับให้ทาสิ่ งที่ฝืนธรรมชาติของตนเอง ่ ํ
  • 5. ระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากระบบ เอส อาร์ ไอ โดยเพิมการตรวจสอบ และ การวิเคราะห์ ่ ดิน, นํ้า, วัชพืช, แมลง สภาพแวดล้อมต่างๆ จึงทําให้ได้ประสิ ทธิภาพที่สูงขึ้นจากระบบ เอส อาร์ ไอ ่ ั ั สิ่ งที่เกษตรกรในราชอาณาจักรไทย ตลอดจนประเทศอื่นๆ ทัวโลกปฏิบติกนมานับร้อยๆปี เพื่อให้ขาว ้ เจริ ญเติบโต กลับทําให้ศกยภาพตามธรรมชาติของต้นข้าวลดลง ระบบใหม่ที่จะใช้ขยายผลผลิตข้าวนี้เป็ นการ ั เปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบติระบบเดิม เพื่อนําศักยภาพสําคัญในต้นข้าวออกมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต ั การปลูกข้าวที่เกษตรกรทําในปั จจุบน อาทิ การหว่านเมล็ด, การเตรี ยมดิน, การควบคุมนํ้า, คุณภาพดิน ั และ พันธุ์ขาวที่จะใช้ปลูก มีความเหมาะสมต่อสภาพการเจริ ญเติบโต หรื อ ไม่ เพราะหากมีความไม่เหมาะสม ้ แล้ว ต้นข้าวก็ไม่สามารถให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่
  • 6. ความสํ าคัญ และ ทีมาของปัญหา ่ การปลูกข้าวในปั จจุบนมีตนทุนการผลิตที่สูง แต่ได้ผลผลิตที่ต่า ไม่คุมค่าต่อการลงทุนของชาวนา อีกทั้ง ั ้ ํ ้ ยังมีปัญหาที่ดินที่ใช้ในการทํานาลดน้อยลง เนื่องมาจากการเสื่ อมสภาพของดิน, ความแห้งแล้ง, โรคระบาด, ราคา ปุ๋ ย และ ยาฆ่าแมลงที่มีราคาสู ง มีการดื้อยา และ การใช้ปุ๋ยในปริ มาณที่สูงขึ้น แต่ยงได้ผลผลิตลดลง ชาวนาจึงหัน ั ไปปลูกพืชอื่นที่ได้ราคาสูงกว่า มีตนทุนการผลิตตํ่า และ สามารถปลูกพืชให้เจริ ญเติบโตได้ดีในดินทุโภชนา โดย ้ ่ ่ ั ปกติผลผลิตของข้าวไทยเฉลี่ยอยูที่ ๓๐๐ – ๖๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่ งถือว่าตํ่ามาก ทั้งนี้ ผลผลิตขึ้นอยูกบปั จจัยต่างๆ จํานวนมาก การปลูกข้าวในอดีตถึงปั จจุบน ยังคงใช้วิธีการปลูกแบบดังเดิมที่ใช้มาแต่อดีต ทําให้ตองใช้น้ ามาก มีการ ั ้ ํ ใช้เครื่ องจักรกลเข้าช่ วยเพื่อเป็ นการผ่อนแรง ได้มีการปรั บปรุ งสายพันธุ์ขาว เพื่อให้มีความต้านทานโรค, มี ้ ผลผลิตที่สูงขึ้น, มีสายพันธุ์ที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม และ พื้นที่เพาะปลูก มีการเปลี่ยนจากการใช้ปุ๋ยเคมี และ ยาฆ่าแมลงที่เป็ นเคมี มาเป็ นปุ๋ ยชีวภาพ และ ยาฆ่าแมลงชีวภาพ เพื่อลดปริ มาณสารพิษตกค้างในดิน และ ป้ องกัน ดินเสื่ อมสภาพ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้บางส่ วน แต่ไม่ยงยืน เพราะผลผลิตที่ได้ยงไม่แน่นอน ต้นข้าวใน ั่ ั แปลงเจริ ญเติบโตไม่สมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารไม่ทงถึง ในดินแต่ละพื้นที่มีสารอาหาร และ สารตกค้างที่ ั่ ไม่เท่ากัน ทําให้เก็บเกี่ยวได้ไม่พร้อมกันทั้งแปลง ใช้เวลาในการปลูกนาน มีปัญหาโรคพืช และ แมลง จากการที่มี การพัฒนาสายพันธุ์ และ การหันมาใช้ปุ๋ยอินทรี ย ์ ปุ๋ ยชี วภาพ การใช้ยาฆ่าแมลงที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น และ ปรับปรุ งการปลูกข้าวหลายประการ ทําให้ผลผลิตของข้าวเพิ่มขึ้นเป็ น ๓๐๐ – ๑,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ปั จจุบนปุ๋ ยที่ใส่ ลงไปในดินส่ วนมากเป็ นปุ๋ ยเคมี ซึ่ งพืชสามารถดูดซับ และ นําไปใช้ในการสังเคราะห์ ั แสงได้ แต่ปุ๋ยเคมีมีคุณสมบัติบางประการที่ไม่เหมาะสม เพราะองค์ประกอบของปุ๋ ยเคมีมีแต่แม่ปุ๋ย หรื อ ธาตุ อาหารหลัก (Main Elements) ซึ่ งได้แก่ ไนโตรเจน N, ฟอสฟอรัส P, และ โปแตสเซี่ ยม K ซึ่ งไม่มีการให้ สารอาหาร หรื อ แร่ ธาตุที่จาเป็ นต่อการเจริ ญเติบโตของพืชอื่นได้ ปุ๋ ยเคมีโดยทัวไปจะขาดส่ วนธาตุอาหารรอง ํ ่ (Minor Elements), แมกนิเซี่ ยม Mg, แคลเซี่ ยม Ca, กํามะถัน S, และ ธาตุอาหารเสริ ม (Trace Elements) สังกะสี Zn, โคบอล Co, แมงกานี สโบรอน Mn, เหล็ก Fe, นิเกิล Ni, ทองแดง Cu ,โมลิบดินม Mo, และ โซเดียม Na ซึ่ ง ั สารเหล่านี้ ใช้ในปริ มาณเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทําให้พืชแข็งแรงต่อ โรค และ แมลง มีผลผลิตสู งขึ้นอย่าง มาก การให้แม่ปุ๋ย, เหล็กคีเลท, และ Trace Elements อาจพอเพียงสําหรับพืชบางประเภท แต่อาจต้องมีการเพิ่ม ฮอร์โมนบ้าง หรื อ ไคโตซาน บ้างหากพืชต้องการ โดยปกติธาตุไนโตรเจนในดินจะสู ญเสี ยไปโดยการถูกกัดเซาะของดิน กล่าวคือ การถูกกัดเซาะของดิน ่ โดยนํ้า ในขณะเดียวกันธาตุฟอสฟอรัสจะหลงเหลืออยูในดินที่ถูกนํ้ากัดเซาะ ทําให้ธาตุโปแตสเซี่ยมที่เหลืออยูใน ่ ่ ดิน พืชไม่สามารถนําไปใช้งานได้ การสู ญเสี ยธาตุอาหารในดินจะมีอยูตลอดเวลา ทําให้ตองเพิ่มปริ มาณปุ๋ ยเคมี ้
  • 7. ขึ้นเรื่ อยๆ เพราะดิ นไม่ สามารถดู ดซับปุ๋ ยเคมีไว้ได้ เพราะดิ นเสื่ อมสภาพอยู่ตลอดเวลา เนื่ องจากปุ๋ ยเคมีไม่มี คุณสมบัติในการรักษาดินให้คงสภาพทนต่อการกัดกร่ อน, เก็บความชื้น, เก็บธาตุอาหาร, และ มีความร่ วนซุย ในอดีตถึงปั จจุบนชาวนาทํานาโดยอาศัยความชํานาญ หรื อ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน แต่ไม่มีความชํานาญใน ั เรื่ องของสารเคมี และ การใช้เครื่ องมือทดสอบ ปัจจุบนชาวนาไม่มีเครื่ องมือในการตรวจสอบคุณภาพดิน และ นํ้า ั อีกทั้ง ยังไม่เข้าใจทฤษฎีของปุ๋ ย, โรคพืช และ ยาฆ่าแมลง เพราะภาครัฐมิได้มีการเผยแพร่ และ ถ่ายทอดความรู ้ ให้แก่ชาวนา อย่างเป็ นรู ปธรรม และ จริ งจัง หากชาวนาเข้าใจถึงทฤษฎีของปุ๋ ย, โรคพืช และ ยาฆ่าแมลง อย่างถ่องแท้ เมื่อผนวกเข้ากับความชํานาญ หรื อ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน จะทําให้ชาวนาสามารถเพิ่มผลผลิตของข้าวได้อย่างแน่ นอน ภาครัฐต้องสนับสนุ นทาง วิชาการ และ เครื่ องมือในการตรวจสอบ ให้แก่ชาวนา ภาครัฐต้องออกมาให้ความรู ้กบชาวนาทุกหมู่บาน เพื่อให้ ั ้ เข้าใจในทฤษฎีของปุ๋ ย, โรคพืช, ยาฆ่าแมลง และ การใช้เครื่ องมือทดสอบดิน ทดสอบนํ้า การเพิ่มผลผลิตของข้าวให้มีปริ มาณสู ง โดยสามารถลดปริ มาณนํ้าที่ใช้, ปุ๋ ยเคมี และ ยาฆ่าแมลง เพื่อลด ต้นทุนการผลิต, ลดปริ มาณสารตกค้างในดิน, ลดโรคพืช และ ป้ องการดินเสื่ อมสภาพ มีความจําเป็ นที่ตองมีการ ้ สํารวจหาข้อมูลของพื้นที่เพาะปลูก อาทิเช่น ประเภทของนํ้า, ประเภทของดิน, ความหนาของชั้นสารอาหารใน ดิน, ความหนาของชั้นดินแต่ละประเภท, ปริ มาณสารอาหารในแต่ละพื้นที่ของแปลง, ความเป็ นกรด, กลาง, ด่าง, และ ความเค็มของดิน, ปริ มาณสารพิษตกค้างในดิ น, ภูมิทศน์ของแปลงปลูกข้าว เพื่อนํามาทําแผนที่ของแปลง ั ปลูกข้าว ใช้ในการ ปรับสภาพนํ้า, ปรับสภาพพื้นที่, ปรับปริ มาณสารอาหาร, ปรับความเป็ น กรด, ด่าง, กลาง และ เค็ม ของดิน, ปรับปริ มาณยาฆ่าแมลงที่จาเป็ น เพื่อให้เหมาะสมต่อพันธุ์ขาว และ การปลูกข้าวในแต่ละพื้นที่ของ ํ ้ แปลงปลูกข้าว ทําให้ตนข้าวในแปลงเจริ ญเติบโตสมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารทังถึงไม่เหลือสารตกค้าง จึง ้ ่ สามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งแปลง และ ใช้เวลาในการปลูกสั้นขึ้น อีกทั้งยังลดปั ญหาโรคพืช, ศัตรู พืชลงได้ จึงเป็ นการแก้ปัญหา และ เพิ่มผลผลิตของข้าวอย่างยังยืน ซึ่ งคาดว่า ผลผลิตของข้าวจะเพิ่มขึ้นจาก ๓๐๐ – ๖๐๐ ่ กิโลกรัมต่อไร่ เป็ น ๓,๐๐๐-๖,๐๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ั ่ ปั จจุบนมีผลการศึกษาวิจย และ พัฒนาการปลูกข้าวอยูมากมาย ซึ่ งการวิจยส่ วนใหญ่เน้นแต่การวิจยเป็ น ั ั ั แต่ละหัวข้อ เมื่อได้ผลสําเร็ จก็มิได้มีการนําผลการวิจยดังกล่าว มาวิจยแบบรวมหัวข้อ หรื อ พัฒนาอย่างต่อเนื่ อง ั ั และ มิได้มีการนําผลการวิจยต่างๆเผยแพร่ ออกมา หรื อ ทําให้เป็ นรู ปธรรมต่อชาวนา ดังนั้นชาวนาจึงยังคงใช้ ั วิธีการปลูกข้าวแบบดังเดิ ม ทําให้มีตนทุนสู ง และ ผลผลิตตํ่า รายได้ของชาวนาตํ่า จึงยากจน ดังนั้นจึงมีความ ้ จําเป็ นที่จะต้องส่ งเสริ ม และ เผยแพร่ ผลการวิจย และ การพัฒนาการปลูกข้าว ที่ได้ผลผลิตสู งให้แก่ชาวนาได้ ั นําไปใช้ และ พัฒนาต่อไป
  • 8. ทฤษฎี สมมติฐาน และ/หรือ กรอบแนวความคิดของการพัฒนาแบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม การปลูกข้าวในอดีตถึงปัจจุบน ยังคงใช้วิธีการปลูกข้าวแบบดังเดิมซึ่งต้องใช้น้ ามาก แต่ได้มีการใช้ ั ํ เครื่ องจักรกล เข้าช่วยเพื่อเป็ นการผ่อนแรง ได้มีการปรับปรุ งสายพันธุ์ขาว เพื่อให้มีความต้านทานโรค, มีผลผลิต ้ ที่สูงขึ้น, มีสายพันธุ์ ที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม และ พื้นที่เพาะปลูก มีการเปลี่ยนจากการใช้ปุ๋ยเคมี และ ยา ฆ่าแมลงที่เป็ นเคมี มาเป็ นปุ๋ ยชีวภาพ และ ยาฆ่าแมลงชีวภาพ เพื่อลดปริ มาณสารพิษตกค้างในดิน และ ป้ องกัน ดินเสื่ อมสภาพ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้บางส่ วน แต่ไม่ยงยืน เพราะผลผลิตที่ได้ยงไม่แน่นอน ต้นข้าวใน ั่ ั แปลงเจริ ญเติบโตไม่สมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารไม่ทงถึง ในดินแต่ละพื้นที่มีสารอาหาร และ สารตกค้างที่ ั่ ไม่เท่ากัน ทําให้เก็บเกี่ยวได้ไม่พร้อมกันทั้งแปลง ใช้เวลาในการปลูกนาน มีปัญหาโรคพืช และ แมลง การเพิ่มผลผลิตของข้าวให้มีปริ มาณสูง อีกทั้งสามารถลดปริ มาณนํ้าที่ใช้, ปุ๋ ยเคมี และ ยาฆ่าแมลง เพื่อ ลดต้นทุนการผลิต, ลดปริ มาณสารตกค้างในดิน, ลดโรคพืช และ ป้ องการดินเสื่ อมสภาพ มีความจําเป็ นที่ตองมี ้ การสํารวจหาข้อมูลของพื้นที่เพาะปลูก อาทิเช่น ประเภทของนํ้า, ประเภทของดิน, ความหนาของชั้นสารอาหาร ในดิน, ความหนาของชั้นดินแต่ละประเภท, ปริ มาณสารอาหารในแต่ละพื้นที่ของแปลง, ความเป็ นกรด, กลาง, ด่าง, และ ความเค็มของดิน, ปริ มาณสารพิษตกค้างในดิน, ภูมิทศน์ของแปลงปลูกข้าว เพื่อนํามาทําแผนที่ของ ั แปลงปลูกข้าว เพื่อใช้ในการ ปรับสภาพนํ้า, ปรับสภาพพื้นที่, ปรับปริ มาณสารอาหาร, ปรับความเป็ น กรด, ด่าง, กลาง และ เค็ม ของดิน, ปรับปริ มาณยาฆ่าแมลงที่จาเป็ น เพื่อให้เหมาะสมต่อพันธุ์ขาว และ การปลูกข้าวในแต่ ํ ้ ละพื้นที่ของแปลงปลูกข้าว ทําให้ตนข้าวในแปลงเจริ ญเติบโตสมํ่าเสมอ เพราะได้รับสารอาหารทังถึง ในดินแต่ ้ ่ ละพื้นที่มีสารอาหารเท่าเทียวกัน และ ไม่เหลือสารตกค้าง จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งแปลง และ ใช้เวลา ในการปลูกสั้นขึ้น อีกทั้งยังลดปั ญหาโรคพืช, ศัตรู พชลงได้ จึงเป็ นการแก้ปัญหา และ เพิ่มผลผลิตของข้าวอย่าง ื ยังยืน ่ การปรับปรุ งการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ร่ วมกับการปลูกพืชแบบ SRI และ ปัจจัยอื่นๆ ทําให้เกิดเป็ น ระบบ อาร์ เอ็ม เอ็ม ซึ่งมีความเหมาะสมต่อพันธุ์พืช และ ภูมิประเทศ สามารถทําให้พืชสมบูรณ์แข็งแรง, มี ภูมิคุมกันต่อโรคพืช และ ศัตรู พืช พืชจึงเจริ ญเติบโตไว ใช้น้ าน้อย สามารถปลูกข้าวในฤดูแล้ง หรื อ นํ้าน้อยได้ ้ ํ ให้ผลผลิตสู ง ทําให้ลดปริ มาณปุ๋ ยเคมี และ ยาปราบศัตรู พชเคมี ลงได้อย่างมาก ทําให้ลดปริ มาณสารตกค้าง และ ื ทําให้ดินสมบูรณ์ข้ ึน จึงทําให้มีตนทุนการผลิตที่ต่าลง ้ ํ การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน (Soiless Culture) หรื อ เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า Hydroponic นั้นเป็ นกรรมวิธีที่ ่ นักวิทยาศาสตร์การเกษตรได้ใช้มานานกว่า ๑๐๐ ปี แล้ว พืชจะถูกปลูกให้อยูในนํ้าที่มีสารละลายต่างๆ ตามที่พืช ่ ั ต้องการ รากของพืชจะยึดเกาะอยูกบวัสดุที่เป็ นกลาง ไม่เน่าเปื่ อย เช่น กรวดหยาบ, ทรายหยาบ, หิ นภูเขาไฟบด เป็ นก้อนเล็กๆ ฯลฯ อาหารที่จะใช้เลี้ยงพืชอยูในรู ปสารละลาย ใส่ ในภาชนะที่ปลูกพืชอยู่ วิธีน้ ีจะทําให้พืชได้ ่ ่ ่ อาหารอย่างสมบูรณ์ เติบโตเร็ ว รากเกาะวัสดุปลูกแช่อยูในนํ้ายา เชื้อราจึงไม่สามารถอยูได้ พืชจะได้รับการปลูก
  • 9. เลี้ยงโดยไม่มีเชื้อราเข้าทําลาย นํ้ายาที่ใช้ในการปลูกพืชจะมีการให้ฟองอากาศผ่านอยูเ่ สมอ พืชจึงได้รับทั้งอาหาร และ ออกซิเจนตลอดเวลา ซึ่งออกซิเจนจะละลายปนเข้ากับนํ้า ช่วยให้พืชเติบโตเร็วกว่าที่ปลูกโดยใช้ดิน เพราะ ออกซิเจนเข้าสู่ รากพืชไม่สะดวก แม้วาจะได้มีการพรวนดินเป็ นครั้งคราวก็ตาม อีกทั้งการพรวนดินจะทําให้ราก ่ ของพืชกระทบกระเทือน และ ทําให้พชชลอการเจริ ญเติบโต การพรวนดินต้องใช้แรงงานมาก การเลี้ยงแบบ ื Hydroponic สารละลาย และ ออกซิเจน จะผ่านรากของพืชได้โดยสมํ่าเสมอ พืชเจริ ญเติบโตเร็ ว ไม่มีโรคที่แพร่ ่ ระบาดอยูในดินมาทําลายพืชให้เสี ยหาย เมื่อต้นไม้แข็งแรงเติบโตเร็ ว การให้ผลผลิตจะใช้เวลาน้อยกว่าพืชที่ปลูกในดิน ไม้ดอกออกดอกมาก พืชผักโตเร็ วให้ผลผลิตสูง อีกทั้งอาจจะใช้วิธีน้ ีปลูกผัก และ ผลไม้ ที่ปกติตองปลูกในเขตหนาว นํามาปลูกใน ้ เขตร้อนได้ ได้มีการทดลองว่าผักหลายอย่างที่ปลูกในที่เย็นบนดอย สามารถปลูกในภาคกลางที่มีอุณหภูมิสูงกว่า ่ ได้ โดยพืชสามารถอยูได้อย่างสมบูรณ์ และ ให้ผลผลิตได้เป็ นอย่างดี ่ ความสําคัญของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินอยูที่ Chelate Iron ซึ่งเป็ นส่ วนประกอบสําคัญของคลอโรฟิ ล ่ ที่พืชใช้ในการสังเคราะห์แสง ถึงแม้วาจะมีการให้ปริ มาณแม่ปยแก่พืชในปริ มาณสูง แต่หากดินขาด Chelate ุ๋ Iron ซึ่งเป็ นส่ วนสําคัญในการสังเคราะห์แสง พืชก็ไม่สามารถนําแม่ปุ๋ยเหล่านั้นไปใช้ในการสังเคราะห์แสงได้ เรี ยกว่าเกิด Chlorosis จึงทําให้สิ้นเปลืองแม่ปุ๋ยที่ใส่ ให้แก่พืช เพราะแม่ปุ๋ยเหล่านั้นพืชไม่สามารถนําไปใช้ได้ ยัง เป็ นการสู ญเสี ยแม่ปุ๋ยไปโดยใช้เหตุ เหมือนการตํานํ้าพริ กละลายแม่น้ า อีกทั้งการใช้แม่ปุ๋ยจํานวนมากทําให้เสี ย ํ ค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังทําให้ดินเสี ยอีกด้วย อีกทั้งการให้ปุ๋ยของชาวนาในปัจจุบน ที่ใส่ ลงไปในดินส่ วนมากเป็ นปุ๋ ยเคมี ซึ่งพืชไม่สามารถดูดซับ ั และ นําไปใช้ในการสังเคราะห์แสงได้ เนื่องจากปุ๋ ยเคมีที่ใช้ มีคุณสมบัติบางประการที่ไม่เหมาะสม เพราะ องค์ประกอบของปุ๋ ยเคมีที่ชาวนาใช้ มีแต่แม่ปุ๋ย หรื อ ธาตุอาหารหลัก (Main Elements) ซึ่งได้แก่ ไนโตรเจน N, ฟอสฟอรัส P, และ โปแตสเซี่ยม K ซึ่งไม่มีการให้สารอาหาร หรื อ แร่ ธาตุที่จาเป็ นต่อการเจริ ญเติบโตของพืชอื่น ํ ได้ ปุ๋ ยเคมีโดยทัวไปจะขาดส่ วนธาตุอาหารรอง (Minor Elements), แมกนิเซี่ยม Mg, แคลเซี่ยม Ca, กํามะถัน S, ่ และ ธาตุอาหารเสริ ม (Trace Elements) สังกะสี Zn, โคบอล Co, แมงกานีสMn, โบรอน Bo, เหล็ก Fe, นิเกิล Ni, ทองแดง Cu, โมลิบดินม Mo, และโซเดียม Na ซึ่งสารเหล่านี้ใช้ในปริ มาณเพียงเล็กน้อยก็พอเพียงสําหรับพืชที่ ั จะทําให้พืชแข็งแรงต่อโรค และ แมลง เพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นอย่างมาก การให้แม่ปุ๋ย, เหล็กคีเลท (Chelate Iron), และ Trace Elements อาจพอเพียงสําหรับพืชบางประเภท แต่อาจต้องมีการเพิ่ม ฮอร์โมนบ้าง หรื อ ไคโตซาน หากพืชต้องการ โดยปกติธาตุไนโตรเจนในดิน จะสูญเสี ยไปโดยการถูกกัดเซาะจากนํ้า ในขณะเดียวกันธาตุฟอสฟอรัส ่ ่ จะคงหลงเหลืออยูในดินที่ถกนํ้ากัดเซาะ ธาตุโปแตสเซี่ยมที่เหลืออยูในดิน พืชไม่สามารถนํ้าไปใช้งานได้ การ ู ่ สู ญเสี ยธาตุอาหารในดินจะมีอยูตลอดเวลา ทําให้ตองเพิ่มปริ มาณปุ๋ ยเคมีข้ ึนเรื่ อยๆ เพราะดินไม่สามารถดูดซับ ้
  • 10. ่ ปุ๋ ยเคมีไว้ได้ เนื่องจากดินเสื่ อมสภาพอยูตลอดเวลา เนื่องจากปุ๋ ยเคมีไม่มีคุณสมบัติในการรักษาดินให้คงสภาพ ทนต่อการกัดกร่ อน, เก็บความชื้น, เก็นธาตุอาหาร, และ มีความร่ วนซุย การเลือกประเภทของปุ๋ ย และ กรรมวิธีการใช้ปุ๋ย เป็ นเรื่ องสําคัญ ต่อการดูดซับสารอาหารของพืช และ การรักษาดินให้คงคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช การใช้ปุ๋ยมีประสิ ทธิภาพสูงสุ ด ทําให้ลดต้นทุน และ เพิ่มผลผลิตได้สูง อีกทั้งยังลดปริ มาณสารตกค้างในดินลงได้มาก ทําให้ดินไม่เสื่ อมสภาพคงคุณสมบัติที่ เหมาะสมต่อการปลูกพืชได้ยาวนาน พืชมีความแข็งแรง สามารถต้านทานโรคพืช และ ศัตรู พืชได้ดี ปุ๋ ยที่ดีควรมีคุณสมบัติดงนี้ ั 1. มีสารอาหารครบ อันได้แก่ สารอาหารหลัก, สารอาหารรอง, และ สารอาหารย่อย 2. มีวสุดที่ช่วยให้ดินร่ วนซุย ั 3. พืชสามารถนําไปใช้งานได้ง่าย 4. มีสารพิษตกค้างตํ่า 5. ไม่ทาให้ค่าความเป็ นกรด, ด่าง, กลาง และ เค็ม ของดินเปลี่ยนแปลง ํ ้ ้ ั โรงงานผูผลิตปุ๋ ยไม่ตองการขายเหล็กคีเลท และ/หรื อ สูตรปุ๋ ยที่เหมาะสมให้กบเกษตรกร เพราะจะทํา ให้ปริ มาณการใช้แม่ปุ๋ยลดลงเป็ นจํานวนมากหากเกษตรกร รู ้จกถึงการใช้เหล็กคีเลท และ/หรื อ สู ตรปุ๋ ยอื่นๆ ใน ั ปริ มาณที่ถูกต้อง และ เหมาะสม จึงเป็ นเหตุให้เหล็กคีเลท และ/หรื อ ปุ๋ ยสู ตรมีราคาแพง ไม่สามารถซื้อขายได้ โดยสดวกในท้องตลาด จึงมีความจําเป็ นที่ตองผสมเหล็กคีเลท และ/หรื อ สูตรปุ๋ ย ที่เหมาะสมต่อพันธุ์พืช และ ้ ่ ั่ ่ พื้นที่ที่ใช้ปลูกพืช ขึ้นใช้เองจากสารเคมีที่มีขายอยูทวไปในท้องตลาด เหล็กคีเลท ที่มีขายอยูในต่างประเทศ มัก ทําเป็ นสูตรปุ๋ ยสําเร็ จรู ป มิได้แยกขายเฉพาะแต่เหล็กคีเลท การสังตัวยาสําเร็ จจากต่างประเทศทําได้ง่าย แต่มีราคา ่ แพง จนไม่สามารถดําเนินการในรู ปของการค้าได้ ปัจจุบนมหาวิทยาลัยต่างๆ ในราชอาณาจักรไทย ที่มีคณะเกษตร, พืชสวน, หรื อ ป่ าไม้ ได้มีการทดลอง ั เรื่ องการปลูกพืชไร้ดินมานานแล้ว การเตรี ยมตัวยาต่างๆ ไม่ใช่เรื่ องลี้ลบแต่ประการใด ในวิทยานิพนธ์ของ ั ห้องสมุดต่างๆ ได้แสดงวิธีปลูก วิธีผสมนํ้ายาไว้อย่างชัดแจ้ง สมควรที่เอกชนจะได้นาวิทยาการเหล่านี้มาใช้ ํ ประโยชน์ ในการเกษตรขนาดเล็ก หรื อ ใหญ่ เพื่อได้ผลผลิตคุณภาพสู งราคาเหมาะสม เพื่อใช้บริ โภค หรื อ ส่ งออกสู่ ตลาดโลก เพื่อเป็ นรายได้ช่วยการครองชีพในขณะภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า เป็ นการประหยัดเงินตรา ต่างประเทศได้มาก สารเคมีบางตัวอาจต้องสังจากต่างประเทศ แต่เป็ นสารขั้นพื้นฐานที่มีราคาไม่แพงจนเกินไป ่ เมื่อนํามาผลิตเป็ นตัวยาเพื่อใช้ในระบบ Hydroponic ย่อมถูกกว่ามาก ทําให้สามารถขยายการเพาะเลี้ยงต้นไม้ได้
  • 11. อย่างกว้างขวาง และ มีราคาถูกกว่าสังตัวยาสําเร็ จจากต่างประเทศ เป็ นการใช้ภูมิปัญญาของคนไทยเพื่อประหยัด ่ ดุลย์การค้าได้เป็ นอย่างดี ั ่ ปัจจุบนมีผลการศึกษาวิจย และ พัฒนาการปลูกข้าวอยูมากมาย ซึ่งการวิจยส่ วนใหญ่เน้นแต่การวิจยเป็ น ั ั ั แต่ละหัวข้อ เมื่อได้ผลสําเร็ จก็มิได้มีการนําผลการวิจยดังกล่าว มาวิจยแบบรวมหัวข้อ หรื อ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ั ั และ มิได้มีการนําผลการวิจยต่างๆเผยแพร่ ออกมา หรื อ ทําให้เป็ นรู ปธรรมต่อชาวนา ดังนั้นชาวนาจึงยังคงใช้ ั วิธีการปลูกข้าวแบบดังเดิม ทําให้มีตนทุนสู ง และ ผลผลิตตํ่า รายได้ของชาวนาตํ่า จึงยากจน ดังนั้นจึงมีความ ้ จําเป็ นที่จะต้องส่ งเสริ ม และ เผยแพร่ ผลการวิจย และ การพัฒนาการปลูกข้าว ที่ได้ผลผลิตสู งให้แก่ชาวนาได้ ั นําไปใช้ และ พัฒนาต่อไป
  • 12. ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน นับเป็ นวิธีการใหม่ในการปลูกพืช โดย เฉพาะ การปลูกผัก และ พืชที่ใช้เป็ นอาหาร เนื่องจากประหยัดพื้นที่ และ ไม่ปนเปื้ อนกับสารเคมีต่างๆ ในดินทําให้ได้ พืชผักที่สะอาดเป็ นอาหาร ปัจจุบนนี้ในเทคนิคการปลูกพืชแบบไร้ดินหลายแบบด้วยกัน ั ประวัติ นักวิจยด้านเมตาบอลิซึมของพืชได้คนพบว่าพืชจะดูดซึมสารอาหารมาเป็ นไอออนในนํ้า ั ้ ซึ่งมีโครง สร้างไม่ซบซ้อน ในสภาพตามธรรมชาติน้ น ดินจะทําหน้าที่เป็ นแหล่งสารอาหาร แต่ดินเองนั้นไม่จาเป็ นต่อการ ั ั ํ เติบโตของพืช เมื่อสารอาหารในดินละลายไปกับนํ้า รากของพืชก็จะสามารถดูดซึมสารอาหารนั้นได้ เมื่อใส่ สารอาหารที่จาเป็ นสําหรับพืชไว้ในแหล่งนํ้าที่สร้างขึ้น ก็ไม่จาเป็ นต้องใช้ดินเพือเป็ นแหล่งอาหารของพืชอีก ํ ํ ่ ต่อไป พืชส่ วนใหญ่จะเติบโตด้วยวิธี ไฮโดรโปนิกส์ ได้ แต่เติบโตได้ดีมากน้อยแตกต่างกัน การปลูกพืชไร้ดินนี้ ทําได้ง่าย สะดวก และ ประหยัดพื้นที่ แต่ตองมีอุปกรณ์ที่จาเป็ นอย่างอื่น นอกจากสารอาหารสําหรับพืชที่ละลาย ้ ํ ่ อยูในนํ้าแล้ว ประโยชน์ ไฮโดรโปนิกส์ นั้นมีประโยชน์หลักๆ ๒ ประการด้วยกัน 1. ช่วยให้มีสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้มากขึ้นสําหรับการเติบโตของพืช แทนที่จะเป็ นการใช้ดินอย่างเดิม ํ ทําให้กาจัดตัวแปรที่ไม่ทราบออกไปจากการทดลองได้จานวนมาก ํ 2. พืชหลายชนิดจะให้ผลผลิตได้มากในเวลาที่นอยกว่าเดิม และ มีคุณภาพที่ดีกว่าเดิม ้ ในสภาพแวดล้อม และ สภาพการเศรษฐศาสตร์หนึ่งๆ การปลูกพืชแบบ ไฮโดรโปนิกส์ จะให้ผลกําไร แก่เกษตรกรได้มากขึ้น และ ด้วยการปลูกที่ไม่ใช้ดิน จึงทําให้พืชไม่มีโรคที่เกิดในดิน ไม่มีวชพืช และ ไม่ตอง ั ้ ั จัดการดิน และ ยังสามารถปลูกพืชใกล้กนมากได้ ด้วยเหตุน้ ีพืชจึงให้ผลผลิตในปริ มาณที่มากกว่าเดิม ขณะที่ใช้ พื้นที่จากัด นอกจากนี้ยงมีการใช้น้ าน้อยมาก เพราะมีการใช้ภาชนะ หรื อ ระบบวนนํ้าแบบปิ ด เพือหมุนเวียนนํ้า ํ ั ํ ่ เมื่อเทียบกับการเกษตรแบบเดิมแล้ว นับว่าใช้น้ าเพียงส่ วนน้อยนิดเท่านั้น ไฮโดรโปนิกส์ เหมาะอย่างยิงสําหรับ ํ ่ ผูที่ตองการปลูกพืชโดยการการควบคุมปั จจัยที่เกี่ยวข้องได้มากที่สุด และ มีความหนาแน่นสูงสุ ด ้ ้ ตัวอย่างของความพยายามในช่วงแรกๆ ที่จะปลูกพืชไร้ดิน ก็คือ สวนลอยบาบิโลน เมื่อราว ๖๐๐ ปี ก่อน คริ สตกาล และ สวยลอยแห่งอัสเต็กซ์ ในช่วงคริ สตศวรรษที่ ๑๑ นักวิจยการปลูกพืชไร้ดินคนแรกๆ ก็คือ จอห์น ั วูดเวิด (John Woodward) ชาวอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๔๒ เขาได้ปลูกพืชในนํ้า โดยได้เติมดินลงไปหลายชนิด
  • 13. การปลูกพืชครั้งนั้นเป็ นการสาธิตว่า นอกจากนํ้าแล้วในโลกเรานั้นมีสสารหลายขนิดที่พืชต้องการ ครั้นเมื่อกลาง คริ สต์ศตวรรษที่ ๑๙ นักสรี รวิทยาพืช (plant physiologists) ชาวเยอรมัน ชื่อซาคส์ (Sachs) และ คนอพ (Knop) ได้ปลูกพืชในสารละลายอย่างง่ายของเกลืออนินทรี ยเ์ มื่อ พ.ศ. 2472 ศาสตราจารย์ Gericke แห่งมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย ที่เมืองเดวิส ได้สาธิตว่าพืชจะเติบโตโดยไม่ใช้ดิน สามารถเติบโตไปได้จนโตเต็มที่ ครั้งนั้นเขาได้ ปลูกมะเขือเทศในนํ้า จนได้ผลขนาดใหญ่อย่างน่าแปลกใจ และ เขาได้เทียบคําศัพท์ในภาษากรี ก ที่มีความหมาย ว่า การเกษตร คือ geoponics ซึ่งหมายถึง ศาสตร์แห่งการปลูกพืชโดยใช้ดิน ด้วยเหตุน้ ีเขาจึง คิดคําใหม่วา " ่ ไฮโดรโปนิกส์ " (hydroponics) ซึ่งหมายถึง การปลูกพืชในนํ้า จากภาษากรี ก hydros (นํ้ า) และ ponos (แรงงาน) เทคนิคการปลูกพืชแบบไร้ดิน มีการใช้เทคนิคต่างๆ มากมายในการปลูกพืชแบบไร้ดิน บ้างก็ใช้วสดุจาพวกโลหะเฉื่อย เป็ นตัวคํ้ายัน ั ํ รากของพืช บ้างก็ใช้วสดุแบบอื่นๆ โดยให้สารละลายที่มีสารอาหารโดยตรงแก่รากด้วยวิธีต่างๆ ที่หลาก หลาย ั การปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ สําหรับราชอาณาจักรไทยเพิงมีการปลูกพืชด้วยวิธีน้ ีเป็ นเชิงพาณิ ชย์มาไม่นาน และ ยังไม่แพร่ หลายมาก ่ แต่ในระดับงานวิจยได้มีการศึกษาค้นคว้ากันมากว่า ๓๐ ปี แล้ว โดยการวิจยเริ่ มแรกทําการทดสอบกับพืชผัก ั ั หลายชนิดที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าเทคนิคปลูกในสารละลายแบบนํ้าลึก (liquid culture, deep water) ประสบความสําเร็ จน่าพอใจ แต่ระบบให้น้ าไหลผ่านรากพืชเป็ นชั้นบางๆ (nutrient film technique, NFT) ํ ในขณะนั้นยังต้องมีการปรับปรุ ง และ พัฒนา ในระยะ ๑๐ ปี นี้มีการวิจยในหลายสถาบัน เช่น ระหว่างปี ๒๕๓๐ - ๒๕๓๕ ได้มีการศึกษาเพื่อ ั พัฒนาการปลูกพืชไม่ใช้ดิน ณ พระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อจะได้นาเทคนิคนี้ไปใช้ในการปลูกพืชในพื้นที่ที่ดิน ํ มีปัญหาในการเพาะปลูก การปลูกพืชใช้ระบบวัสดุปลูกรดด้วยนํ้าสารละลายธาตุอาหาร โดยใช้กระบะบรรจุ สารละลายธาตุอาหารเป็ นแปลงปลูก พบว่าสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด เช่น พืชผัก ได้แก่ คะน้า กวางตุง ้ กะหลํ่าดอก ผักกาดหัว ผักกาดขาว ผักบุงจีน ผักกาดหอม คึ่นฉ่าย ผักชี หอมแบ่ง มะเขือ มะเขือเทศ แตงเทศ ไม้ ้ ดอก ได้แก่ ดาวเรื อง บานชื่น พิทูเนีย กุหลาบ และ ไม้ประดับ เช่น โกสน หมากผูหมากเมีย สาวน้อยประแป้ ง ไผ่ ้ ฟิ ลิปปิ นส์ ซึ่งผลจากการวิจย ได้มีผสนใจนําไปปรับใช้ในการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์เป็ นการค้าจนถึง ั ู้ ปัจจุบน (กระบวน, ๒๕๔๒) ั ด้านกองเกษตรเคมี กรมวิชาการเกษตร ก็ได้มีการทดลองปลูกพืชผักหลายชนิด เช่น ผักกวางตุง ้ ผักกาดขาว ผักกาดขาวปลี ผักกาดฮ่องเต้ และ ผักกาดหัว โดยใช้สารเคมีสูตร Hoagland แต่เติมโซเดียม และใช้ เหล็ก EDTA เป็ นสารให้ธาตุเหล็ก ทําการปลูกในถังพลาสติก หุ มด้วยกระดาษเพื่อลดอุณหภูมิ และ ใช้แผ่นโฟม ้
  • 14. รองด้วยผ้าพลาสติกกันนํ้าออก มีการให้ก๊าซอ๊อกซิเจนด้วยปั๊ มอากาศ และ หมันดูแลไม่ให้น้ ายาแห้ง พบว่าเป็ น ่ ํ วิธีที่ได้ผลดีพอสมควร สถาบันที่มีการวิจยการปลูกพืชโดยวิธีไฮโดรโปนิกส์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ คือสถาบันเทคโน ั โลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จนถึงปั จจุบนได้มีการพัฒนาถึงขั้นจัดทําโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ั คํานวณปริ มาณธาตุอาหารในการเตรี ยมสารละลายธาตุอาหารพืช (อิทธิสุนทร, ๒๕๔๒) และ ดัดแปลงระบบที่ ใช้อยูเ่ ป็ นระบบขนาดเล็กเพือปลูกพืชผักสวนครัว หรื อ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็ นงานอดิเรกอีกด้วย (อิทธิสุนทร, 2 ่ ๒๕๔๒) ็ ํ เมื่อมีการตื่นตัวเรื่ องการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษ บริ ษทเจริ ญโภคพันธุ์กได้ทาการศึกษาความเป็ น ั ไปได้ ในการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ โดยใช้เทคนิคนี้ควบคู่กบระบบโรงเรื อน แต่ใน ั ที่สุดก็ไม่ได้นาเทคโนโลยีน้ ีมาใช้ (เปรมปรี , ๒๕๔๒) เอกชนอีกรายที่ทาการศึกษาวิจยเพื่อหาเทคนิคการปลูก ํ ํ ั พืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ที่เหมาะสมสําหรับราชอาณาจักรไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่าจะเป็ นวิธีการปลูกพืชที่ จําเป็ นในอนาคต คือบริ ษท ที เอ บี วิจย และ พัฒนา จํากัด ดําเนินการที่อาเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยได้รับ ั ั ํ ทุนสนับสนุนการวิจยจากสํานักงานคณะกรรมการวิจยแห่งชาติ ั ั ระยะหลังได้มีการนําการปลูกพืชด้วยวิธี ไฮโดรโปนิกส์ มาปลูกพืชผักเป็ นการค้ากันบ้างแล้วในประ เทศไทย โดยระบบที่นามาใช้กนแพร่ หลายมีอยู่ ๒ ระบบ คือ ระบบ NFT ซึ่งเป็ นระบบสําเร็ จรู ปที่นาเข้าจาก ํ ั ํ ประเทศออสเตรเลีย และ ระบบสารละลายหมุนเวียนชนิดไม่เติมอากาศ ซึ่งศึกษาและพัฒนาขึ้น ณ พระราช วัง สวนจิตรลดา ข้อดี และ ข้อเสี ยการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ การปลูกพืชโดยวิธีไฮโดรโปนิกส์ เป็ นการปลูกพืชโดยใช้หลักวิชาการแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่โดย การเลียนแบบการปลูกพืชบนดิน แต่ไม่นาดินมาใช้เป็ นวัสดุปลูก พืชสามารถเจริ ญเติบโตได้โดยอาศัยธาตุอาหาร ํ ่ ต่างๆ ที่ละลายลงในนํ้าเพื่อทดแทนธาตุอาหารที่มีอยูในดิน ซึ่งวิธีการนี้มีขอดีหลายประการ เช่น ้ ๑. สามารถปลูกพืชได้ต่อเนื่องตลอดปี เมื่อเก็บผลผลิตผักแล้วสามารถปลูกพืชผักรุ่ นต่อไปได้ทนทีเนื่อง ั จากไม่ได้ปลูกพืชลงดินจึงไม่ตองทิ้งระยะเวลาเพื่อทําการพักดิน ตากดิน กําจัดวัชพืช และ เตรี ยมแปลงปลูกใหม่ ้ การปลูกพืชในดินต่อเนื่องเป็ นเวลานานยังทําให้เกิดปั ญหาดินเสื่ อมสภาพ แต่การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ สามารถปลูกพืชต่อเนื่องได้โดยไม่ตองกลัวปัญหานี้ เนื่องจากแหล่งอาหารของพืชไม่ได้มาจากดิน แต่มาจากธาตุ ้ อาหารต่างๆ ที่ให้ทางสารละลายธาตุอาหาร นอกจากนั้นการปลูกพืชด้วยเทคนิคนี้ไม่ข้ ึนกับฤดูกาล เพราะมีการ ควบคุมสภาพแวดล้อม จึงเป็ นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้ปลูกได้ต่อเนื่องตลอดปี ํ ่ ๒. สามารถปลูกพืชได้แม้ในที่ที่ไม่มีพ้นที่สาหรับปลูกพืช การอาศัยอยูในชุมชนเมืองซึ่งที่ดินมีราคา ื ํ ้ ่ แพง ผูอยูอาศัยในที่ที่มีพ้ืนที่จากัด เช่น ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ อาคารชุด และ หอพัก ไม่มีพ้ืนที่สาหรับปลูกพืช ํ ํ
  • 15. สามารถปลูกพืชผักสวนครัว สมุนไพร หรื อไม้ดอกไม้ประดับ ได้โดยใช้ระบบไฮโดรโปนิกส์ขนาดเล็กวาง บริ เวณพื้นที่วางที่มีอยูเ่ ล็กน้อย เช่น ริ มหน้าต่าง ทางเดิน ดาดฟ้ า พื้นที่เล็กๆ หลังบ้าน ่ ่ ๓. สามารถปลูกพืชในที่ที่ดินไม่เหมาะสม ในบางพื้นที่มีพ้ืนที่อยูมากมาย แต่ใช้ทาการเพาะปลูกพืช ํ ไม่ได้ เนื่องจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ดินทะเลทราย พื้นที่ที่เป็ นหิ น พื้นที่ภูเขา ดินเค็ม ดินกรด ดินด่าง พื้นที่ ่ อยูในเขตแห้งแล้ง หรื อ ขาดแคลนนํ้าชลประทานการแก้ปัญหาเหล่านี้ทาได้ยาก ต้องใช้เวลานาน และ ใช้ ํ ่ งบประมาณมาก สามารถใช้พ้ืนที่ที่มีอยูปลูกพืชได้ดวยวิธีไฮโดรโปนิกส์ เพราะนอกจากไม่ตองใช้ดินเป็ นแหล่ง ้ ้ อาหารสําหรับพืชแล้ว ยังเป็ นวิธีที่ใช้น้ าน้อย และใ ช้อย่างมีประสิ ทธิภาพ พืชไม่มีปัญหาขาดนํ้า ไม่มีการสูญเสี ย ํ นํ้าจากการซึมลึก การไหลทิ้ง หรื อ การแย่งนํ้าจากวัชพืช ไม่มีปัญหาการให้น้ ามากเกินไป ํ ๔. พืชเจริ ญเติบโตได้เร็ ว และ ให้ผลผลิตสู ง การปลูกพืชด้วยวิธีด้ งเดิมไม่สามารถกําหนดปริ มาณธาตุ ั ั อาหารให้พอดีกบความต้องการของพืชได้ นอกจากนั้นยังมีการสูญเสี ยธาตุอาหารจากกระบวนการต่างๆ ที่ เกิดขึ้นในดิน และ ในอากาศ ตลอดจนการแย่งธาตุอาหารจากวัชพืช แต่การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ สามารถควบคุมปริ มาณสารอาหารได้ดีกว่าการปลูกในดิน สามารถกําหนดปริ มาณธาตุอาหารให้ตรงกับความ ต้องการของพืช พืชได้รับสารอาหารในรู ปอนินทรี ยโดยตรง ทําให้การใช้ปุ๋ยเป็ นไปอย่างมีประสิ ทธิภาพ ์ นอกจากนี้ยงไม่มีปัญหาการแย่งธาตุอาหารโดยวัชพืช จึงทําให้พืชเจริ ญเติบโตเร็ วและได้ผลผลิตสูง ในอีกแง่ ั ็ หนึ่ง ถ้าคํานึงถึงผลผลิตต่อปี ผลผลิตจากการผลิตด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์กจะสู งกว่าการปลูกด้วยวิธีด้ งเดิม ั เนื่องจากการเก็บเกี่ยวได้เร็ วขึ้น และ ปลูกต่อเนื่องได้ตลอดปี ไม่ข้ ึนกับฤดูกาล ทําให้สามารถปลูกพืชได้มากครั้ง กว่าในเวลาเท่ากัน ๕. ผลผลิตมีความสมํ่าเสมอ สะอาด และ คุณภาพดี เนื่องจากมีการควบคุมปริ มาณธาตุอาหารตามที่พืช ต้องการ ตลอดจนควบคุมปั จจัยทางด้านสภาพแวดล้อมได้ทวถึง ทําให้ได้ผลผลิตที่มีความสมํ่าเสมอ มีรูปร่ าง สี ั่ ขนาด ใกล้เคียงกัน ผลผลิตไม่ได้สมผัสกับดิน จึงสะอาดและดูน่ารับประทาน การปลูกพืชวิธีน้ ีจึงเป็ นวิธีที่เหมาะ ั ที่จะผลิตพืชผักที่ตองการผลผลิตที่มีคุณภาพ และ ความสมํ่าเสมอ เช่น ผักส่ งออก ผักทดแทนการนําเข้า และ ผัก ้ ส่ งขายในซุปเปอร์มาร์เก็ต ๖. ใช้แรงงานน้อยลง การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์จะใช้แรงงานน้อยกว่าการปลูกพืชด้วยวิธีด้ งเดิม ั เนื่องมาจากไม่ตองมีการเตรี ยมดิน ไม่ตองทําการเขตกรรม เช่น ให้น้ า ใส่ ปุ๋ย กําจัดวัชพืช มีศตรู พชน้อยกว่า จึง ้ ้ ํ ั ื ใช้แรงงานในการกําจัดน้อยกว่า การเพาะเมล็ด การย้ายปลูก การเตรี ยมแปลงปลูก และ การเก็บเกี่ยว ทําได้ง่าย กว่า จึงใช้แรงงานน้อยกว่า ๗. ลดการใช้สารเคมี เนื่องจากมีการควบคุมสภาพแวดล้อม ควบคุมศัตรู พืชได้ง่าย เพราะการไม่ใช้ดิน ่ ในการปลูกพืช ทําให้ไม่มีปัญหาโรคแมลงที่อยูในดินตลอดจนไม่มีปัญหาวัชพืช ส่ วนโรคแมลงที่ระบาดทาง อากาศก็สามารถลดการใช้สารเคมีได้โดยการใช้โรงเรื อนตาข่าย