Contenu connexe
Similaire à Content01 (19)
Plus de ครุศิลปะสร้างสรรค์งานศิลป์ กับศิลป (12)
Content01
- 2. บทที ่ 1
ความหมายและความสำ า คั ญ ของ
ศิ ล ปะ
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำาจำากัดความว่า
ศิลปะ คือ ผลแห่งพลังความคิดสร้าสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมา
ในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฏซึ่งสุนทรียภาพ ความประทับใจ
หรือ ความสะเทือนอารมณ์ ตามอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา รสนิยม
และทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรืนรมย์ หรือความ
่
เชื่อในลัทธิศาสนา
เกอเต กวีชาวเยอรมัน กล่าวว่า
“ศิลปะเป็นศิลปะได้ เพราะว่าศิลปะไม่ใช่ธรรมชาติ “
- 4. ศิ ล ปะในความหมายเฉพาะ
วิ จ ิ ต รศิ ล ป์ (Fine Arts หรือ Beaux’ Art)
เป็นคำาที่บัญญัติขึ้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 เพือ่
ใช้เรียกงานศิลปะ
ที่ทำาขึ้นเพื่อประเทืองปัญญาและอารมณ์
ประยุ ก ต์ ศ ิ ล ป์ (Applied Arts) เป็นศิลปะที่ทำาขึ้นเพื่อ
ประโยชน์ใช้สอย
- 5. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของสื ่ อ
ในการแสดงออก
• จิ ต รกรรม เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วย
(Painting)
การใช้สี แสง เงา และแผ่นภาพที่แบนราบเป็น 2
มิติ
• ประติ ม ากรรม (Sculpture) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้วัสดุ
และปริมาตรของรูปทรง
- 6. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของสื ่ อ
ในการแสดงออก วยการใช้
• สถาปั ต ยกรรม (Architecture) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้
วัสดุ โครงสร้าง และปริมาตรของที่วางกับรูปทรง
่
• วรรณกรรม (Literature) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา
• ดนตรี แ ละนาฎกรรม (Music Drama) เป็นศิลปะที่แสดงออก
ด้วยการใช้เสียง (หรือภาษา) และความเคลื่อนไหวของ
ร่างกาย
- 7. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของสื ่ อ
ในการแสดงออก วยการใช้
• สถาปั ต ยกรรม (Architecture) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้
วัสดุ โครงสร้าง และปริมาตรของที่วางกับรูปทรง
่
• วรรณกรรม (Literature) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา
• ดนตรี แ ละนาฎกรรม (Music Drama) เป็นศิลปะที่แสดงออก
ด้วยการใช้เสียง (หรือภาษา) และความเคลื่อนไหวของ
ร่างกาย
- 8. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของการ
รัความพอใจในสุนทรียภาพระดับสูงมี
การรับรู้สัมผัสที่ให้
บ สั ม ผั ส 2
ทาง คือ ทางตาและหู ส่วนทางจมูก ลิ้น และกาย เป็นทางรับที่ให้
ความพอใจในสุนทรียภาพระดับรองลงไป แบ่งออกเป็น 3 สาขา คือ
•ทัศนศิลป์ (Visual Arts) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการ
เห็น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และ
สถาปัตยกรรม
- 9. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของการ
รั บ สั ม นทรีสภาพระดับสูงมี ทาง คือ
การรับรู้สัมผัสที่ให้ความพอใจในสุ
ผั ย 2
ทางตาและหู ส่วนทางจมูก ลิ้น และกาย เป็นทางรับที่ให้ความพอใจ
ในสุนทรียภาพระดับรองลงไป แบ่งออกเป็น 3 สาขา คือ
2. โสตศิลป์ (Aural Arts) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการ
ฟัง ได้แก่ ดนตรี และวรรณกรรม (ผ่านการอ่านหรือร้อง)
- 10. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของการ
รั บ สั ม นทรีสภาพระดับสูงมี ทาง คือ
การรับรู้สัมผัสที่ให้ความพอใจในสุ
ผั ย 2
ทางตาและหู ส่วนทางจมูก ลิ้น และกาย เป็นทางรับที่ให้ความพอใจ
ในสุนทรียภาพระดับรองลงไป แบ่งออกเป็น 3 สาขา คือ
2. โสตศิลป์ (Aural Arts) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการ
ฟัง ได้แก่ ดนตรี และวรรณกรรม (ผ่านการอ่านหรือร้อง)
- 11. ศิ ล ปะแบ่ ง ตามลั ก ษณะของการ
รั บ สั ม นทรีสภาพระดับสูงมี ทาง คือ
การรับรู้สัมผัสที่ให้ความพอใจในสุ
ผั ย 2
ทางตาและหู ส่วนทางจมูก ลิ้น และกาย เป็นทางรับที่ให้ความพอใจ
ในสุนทรียภาพระดันศิลป์ (Audioออกเป็น 3Arts) คือนศิลปะทีรับ
3. โสตทัศบรองลงไป แบ่ง Visual สาขา เป็ ่
สัมผัสด้วยการฟังและการเห็นพร้อมกัน ได้แก่ นาฎกรรม การแสดง
ภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการผสมกันของวรรณกรรม ดนตรี และทัศนศิลป์
บางแห่งเรียก ศิลปะสาขานี้ว่า ศิลปะผสม (Mixed Art)
- 12. การศึ ก ษาประวั ต ิ ศ าสตร์ แ ละความ
เป็ น มาของงานศิ ล ปะ
เน้นให้ผู้เรียนมีความคิดรวบยอด (Concept) หมายถึง ความ
คิดที่มนุษย์ใช้เป็นองค์ประกอบในการเรียนรู้ ศึกษาทำาความเข้าใจ
ชีวตสภาพแวดล้อม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้เกิดความรู้ความ
ิ
เข้าใจในสรรพสิ่งรอบตัว หลักการอยู่ที่ความสามารถในการจำาแนก
และการจัดหมวดหมู่ของสรรพสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์ต้องเรียนรู้
ทำาความเข้าใจตลอดชีวิต โดยมีความเข้าใจในลักษณะขององค์
รวม (Holistic) เกี่ยวกับความเชื่อ เรื่องราว รูปแบบ เหตุการณ์ แรง
บันดาลใจ สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสาเหตุต่างๆ ที่
ทำาให้สามารถแยกแยะประเด็นสำาคัญเกียวกับรูปแบบศิลปกรรม
่
โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ
- 13. 1.ต้ น กำ า เนิ ด (Origin) การศึกษาเรื่องราวของ
ศิลปกรรมต้องมีความเข้าใจว่าสิ่ง ทั้ง
หลายเกิดขึนได้ย่อมมีรากฐานที่มา
้
2.การวิ ว ั ฒ นาการ (Evolution) เพือให้เข้าใจถึงการ
่
คลี่คลายหรือความ เปลี่ยนแปลง
ของศิลปะแต่ละยุคสมัย
3.การพั ฒ นา (Development) เพือให้เข้าใจถึงการ
่
เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เกิด ความก้าวหน้า
ทางศิลปะ
- 14. •อิ ท ธิ พ ล (Influence) เพื่อให้เข้าใจถึงการนำาเอาแบบอย่างหรือ
เลียนแบบ ซึ่งมีอิทธิพลในการสร้างศิลปะ การรับอิทธิพลมี 2
ประการ คือ อิทธิพลที่มองเห็น (Visible Influence) ได้แก่ การลอก
เลียนแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอิทธิพลที่มองไม่เห็น (Invisible
Influence) ได้แก่ การที่ศิลปินเห็นความดีงามในการสร้างสรรค์งาน
ของศิลปินสกุลอืนหรือชาติอน แล้วกลั่นกรองเอาแบบอย่างผสม
่ ื่
ผสานลงในงานของตน
•การสื บ เนื ่ อ ง (Transition) เพื่อให้รู้จักการสืบเนื่องและการ
ถ่ายทอดศิลปกรรม เป็นวิธการในการรักษาศิลปะไว้มิให้สูญหาย
ี
•การประยุ ก ต์ (Application) เพื่อให้รู้จักปรับปรุงสร้างสรรค์
งานศิลปะขึ้นในปัจจุบัน และสนองธรรมชาติความต้องการสิ่งแปลก
ๆ ใหม่ ๆ ของมนุษย์
- 15. ความเป็ น มางานศิ ล ปะ
จอห์น รัสกิน (John Ruskin) ให้ความเห็นว่า ชาติที่ยิ่งใหญ่
สามารถเขียนประวัติศาสตร์ของชาติตนเป็นหนังสือได้ 3 เล่ม คือ
หนังสือแห่งคำาพูด หนังสือแห่งการกระทำา และหนังสือศิลปะ (Book of
speech, Book of doing, Book of art) นั่นคือ
1. หนังสือเกี่ยวกับวรรณคดี
2. หนังสือเกี่ยวกับสงคราม
3. หนังสือเกี่ยวกับศิลปะ
- 16. เรื ่ อ งราวที ่ ใ ช้ ใ นการสร้ า งงาน
ศิ ล ปะ
•เรื ่ อ งราวที ่ เ กี ่ ย วกั บ มนุ ษ ย์ แ ละธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย์
(Man and his own Nature) ซึ่งได้แก่เรื่องความรัก ความโลภ ความ
โกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ทำาให้ผู้ชมงานศิลปะนึกถึง
ตนเอง และสังเกตธรรมชาติของตัวเองมากขึน ้
•เรื ่ อ งราวที ่ ม นุ ษ ย์ ท ี ่ เ กี ่ ย วกั บ มนุ ษ ย์ ก ั บ มนุ ษ ย์ ด ้ ว ยกั น
(Man and other people) เช่น เรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม ธรรมชาติ
ของครอบครัว การทำามาหากิน ความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์
เป็นต้น
- 17. เรื ่ อ งราวที ่ ใ ช้ ใ นการสร้ า งงาน
ศิ ล ปะ
3. เรื ่ อ งราวที ่ เ กี ่ ย วกั บ มนุ ษ ย์ แ ละสิ ่ ง แวดล้ อ ม (Man and the
impersonal Environment) เป็นเรื่องราวทางเทคโนโลยี การค้นคว้า
ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
4. เรื ่ อ งราวที ่ เ กี ่ ย วกั บ มนุ ษ ย์ แ ละสิ ่ ง ไม่ ม ี ต ั ว ตน (Man and
Intangibles) ได้แก่ เรื่องราวของเทพเจ้า ศาสนา โบราณนิยาย เทพ
ปกรนัม
- 18. รู ป แบบงานศิ ล ปกรรม
รูปแบบงานศิลปะ หมายถึง ลักษณะเด่นทีมองเห็น
่
ในศิลปกรรมแขนงใดแขนงหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับความ
ศรัทธาของมนุษย์ และเกี่ยวโยงกับคุณค่าของวัสดุ
- 19. รู ป แบบในลั ก ษณะที ่ เ หมื อ นจริ ง ตาม
ธรรมชาติ (Realistic)
เป็นการถ่ายทอดโดยใช้สื่อรูปแบบตามธรรมชาติ เช่น ภาพ
คน สัตว์ ทิวทัศน์ ซึ่งผู้ดูส่วนใหญ่สามารถเข้าใจได้ด้วยเคยมีพื้น
ฐานประสบการณ์เกี่ยวกับรูปแบบเหล่านี้มาแล้ว ศิลปินอาจถ่ายทอด
ตามตาเห็น หรือนำาเอาวัสดุมาจัดวางใหม่
- 20. รู ป แบบในลั ก ษณะกึ ่ ง นามธรรม
(Semi abstract)
เป็นการถ่ายทอดโดยให้ความสำาคัญแก่ธรรมชาติน้อยลง
และเพิ่มความสำาคัญที่ตัวบุคคลผู้สร้างศิลปกรรมมากขึ้น โดยรูป
แบบของธรรมชาติที่นำามาเป็นสื่อนั้นถูกลด สกัด ตัดทอน การจัดวาง
มิได้คำานึงถึงกฎเกณฑ์ความเป็นจริงตามธรรมชาติ
- 21. รู ป แบบในลั ก ษณะนามธรรม
(Abstract)
เป็นการถ่ายทอดที่ ไม่คำานึงถึงรูปแบบหรือกฎเกณฑ์ของ
ธรรมชาติ แต่จะคำานึงถึงรูปแบบอันเป็นลักษณะที่ตนจะต้องแก้
ปัญหา โดยมีกฎเกณฑ์ทางศิลปะเป็นแนวประกอบในการสร้างงาน
(ทัศนธาตุ ได้แก่ เส้น สี พื้นผิว รูปทรง นำ้าหนัก) งานศิลปกรรม
ประเภทนามธรรมจัดว่าเป็นการเปิดโลกแห่งจินตนาการอย่างไร้
ขอบเขตเป็นการเปิดกว้างในการตีความ ซึ่งจะเห็นพ้องต้องกันหรือ
แตกต่างกันนั้นไม่เป็นสิ่งสำาคัญ
ช่วงแรกจากการดูคือความเพลิดเพลินไปกับจินตนาการที่
ไม่หยุดนิ่ง ลึกลงไปดูโดยใช้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับศิลปะ เช่น ดู
ลักษณะการจัดภาพ การใช้สื่อที่เหมาะสม
- 22. รู ป แบบในลั ก ษณะนามธรรม
(Abstract)
เป็นการถ่ายทอดที่ ไม่คำานึงถึงรูปแบบหรือกฎเกณฑ์ของ
ธรรมชาติ แต่จะคำานึงถึงรูปแบบอันเป็นลักษณะที่ตนจะต้องแก้
ปัญหา โดยมีกฎเกณฑ์ทางศิลปะเป็นแนวประกอบในการสร้างงาน
(ทัศนธาตุ ได้แก่ เส้น สี พื้นผิว รูปทรง นำ้าหนัก) งานศิลปกรรม
ประเภทนามธรรมจัดว่าเป็นการเปิดโลกแห่งจินตนาการอย่างไร้
ขอบเขตเป็นการเปิดกว้างในการตีความ ซึ่งจะเห็นพ้องต้องกันหรือ
แตกต่างกันนั้นไม่เป็นสิ่งสำาคัญ
ช่วงแรกจากการดูคือความเพลิดเพลินไปกับจินตนาการที่
ไม่หยุดนิ่ง ลึกลงไปดูโดยใช้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับศิลปะ เช่น ดู
ลักษณะการจัดภาพ การใช้สื่อที่เหมาะสม
- 23. คุ ณ ค่ า ในศิ ล ปกรรม
ระดับของการประเมินค่าข้อเท็จจริงในแง่ต่าง ๆ โดยอาศัย
กฎเกณฑ์เงื่อนไขที่เป็นเฉพาะตัว ได้แก่ พื้นฐานประสบการณ์ ความ
รู้สึกชอบหรือไม่ชอบ และเงื่อนไข กฎเกณฑ์ที่เป็นข้อตกลงร่วมนั้น
ได้แก่ กฎหรือข้อกำาหนดต่าง ๆ ที่เป็นแกนร่วม จะมีความแตกต่างกัน
ออกไป ตามสภาพของกาลเวลาและสถานที่
- 24. การประเมิ น คุ ณ ค่ า ทาง
ศิ ล ปกรรม
•การประเมิ น คุ ณ ค่ า ทางด้ า นเศรษฐกิ จ (Economical
Value) ได้แก่ ระดับการประเมินค่าทางวัตถุว่ามีประโยชน์ต่อการ
ดำารงชีพของมนุษย์มากหรือน้อยเพียงใด
•การประเมิ น คุ ณ ค่ า ทางประวั ต ิ ศ าสตร์ (Historical Value)
ได้แก่ ระดับการประเมินค่าจากเรื่องราวประวัติความเป็นมา ความ
เจริญ ความคิดอ่านของมนุษย์ในอดีต
•การประเมิ น คุ ณ ค่ า ทางวั ฒ นธรรม (Cultural Value) ได้แก่
ระดับการประเมินค่ามรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ และ
ชนชาติ
•การประเมิ น คุ ณ ค่ า ทางด้ า นสุ น ทรี ย ์ (Aesthetical Value)
ได้แก่ ระดับของการประเมินค่าของวัตถุ ความคิด ความประพฤติ ว่า
มีคุณค่าทางด้านอารมณ์มากหรือน้อยเพียงใด
•การประเมิ น คุ ณ ค่ า ทางสั ง คม (Social Value) ได้แก่ ระดับ
การประเมินค่าต่อสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม ชี้แนะให้เห็นถึง
ความยุติธรรม การเสนอความคิด หรือการสะท้อนความจริงที่ควร