SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  58
Télécharger pour lire hors ligne
1
2
3




                                  วัฏสงสาร

     หลวงพ่ อทูล เทศน์ ท่ ี รร.ปานะพันธ์ กัณฑ์ ท่ ี 1

          ขอเจริ ญธรรม แก่ท่านพุทธมามกะบริ ษัททังหลาย เนื่อง
                                                        ้
ด้ วยพวกเราทังหลายได้ มารวมกัน เรี ยกว่า ธรรมสภา เป็ นสถานที่
                 ้
ร่ วมกันปฏิบตธรรม ครังนี ้ เป็ นครังที่ 4 หลายคนได้ ติดตามมาตังแต่
              ัิ         ้           ้                           ้
ครังแรกจนถึงปั จจุบน บางท่านได้ ติดตามมาครังสองครัง หรื อครัง
     ้               ั                              ้       ้          ้
แรกก็เป็ นได้ ฉะนันสถานที่แห่งนี ้ ถือว่าเป็ นธรรมสภา อบรมธรรมะ
                   ้
ค้ น คว้ า ในธรรม พวกเราทั ง หลายเข้ าใจว่ า ต้ องไปวัด จึ ง จะ
                                   ้
แสวงหาธรรมะได้ ไม่เข้ าใจว่า ธรรมะอยู่ที่ไหน ทําอย่างไรจึงจะ
เข้ าถึงธรรม สถานที่ท่ีได้ จดไว้ ว่าเป็ นวัด นันเป็ นส่วนหนึ่งสําหรั บ
                             ั                 ้
พระสงฆ์สามเณรอยูอาศัยนันเป็ นส่วนหนึง
                       ่       ่            ่
          ส่วนการแสวงหาธรรม หรื อสภาธรรม ไม่จํากัดในที่เช่นนัน       ้
ตลอดไป เช่น เราอยู่ในที่แห่งนี ้ ก็ถือว่าเป็ นสภาธรรมได้ คือเป็ น
สถานที่ศกษาธรรม หรื อปฏิบติธรรม ทีนี ้เราชาวพุทธทังหลาย ต้ อง
            ึ                    ั                        ้
ศึกษาธรรมะให้ มากขึน ตามหลักความเป็ นจริ ง ตามคําสอนของ
                           ้
4
พระพุทธเจ้ า พระพุทธเจ้ า ได้ สอนธรรมะแก่เรานัน เป็ นธรรมะที่้
พระองค์ค้นพบด้ วยพระองค์เอง ค้ นพบที่ไหน ค้ นพบธรรมะที่มีอยู่
กับโลก โลกทังหมดมีธรรมะเป็ นหลักความจริ งอยู่แล้ ว แต่ก่อนมา
                     ้
ไม่เ คยมี ใ ครพบว่าเป็ นหลักความจริ ง ทัง ที่ ค วามจริ ง มี อ ยู่ใ นตัว
                                                 ้
ทังหมด คําสอนของพระพุทธเจ้ าที่นํามาสอนทังหลาย เรี ยกว่า
     ้                                                     ้
ศาสนธรรมคําสอน เป็ นการนําความจริ งมาสอนคน คือคนเรามี
ความจริ ง อยู่ ใ นตัว แต่ ป ฏิ บัติ ต ามความจริ ง ในตัว ทัง หมดไม่
                                                                 ้
สมบูร ณ์ ขาดตกบกพร่ อ งอยู่เ สมอ เพราะไม่ร้ ู จัก วิธี แ นวทางที่
ถูกต้ อง ผิดบ้ าง ถูกบ้ าง ล้ มลุกคลุกคลานอยูเ่ สมอ
            คํ า สอนของพระพุท ธเจ้ า นี จึ ง เป็ นคํ า สอนที่ ม าประยุก ต์
                                          ้
ความจริ ง ทัง หมดที่ เ ราปฏิ บัติ ม าแล้ ว ในอดี ต ให้ เ ป็ นกลุ่ม ก้ อ น
                   ้
ปฏิบติได้ อย่างถูกต้ องอย่างชัดเจนขึ ้น คําสอนของพระพุทธเจ้ าจึง
        ั
เป็ นของเก่าที่สตว์โลกทังหลายเป็ นมาในอดีต จนถึงปั จจุบน เอา
                       ั      ้                                    ั
เรื่ องเก่าๆ นี่แหละ มาปรับปรุ งให้ คนได้ เข้ าใจในความเป็ นจริ ง คํา
ว่า รู้จริ งตามความเป็ นจริ ง จริ งอะไร ถึงเราจะภาวนาปฏิบติตาม       ั
วิธีอ่ืนๆ ถ้ าเราไม่ปฏิบติตามแนวทางที่ถกต้ อง ความรู้ จริ งเห็นจริ ง
                            ั                 ู
จะไม่เกิดขึนกับเราได้ สัจธรรมเป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ า คือ
                 ้
พูดแล้ วไม่ผิด เป็ นความจริ งตลอดเวลา ไม่มีสงใดจะแก้ ไขได้
                                                      ิ่
            ถึงแม้ ว่าจะมี คนใดคนหนึ่งที่ เกิ ดมาในโลกนี ้ จะมาแก้ ไ ข
ความจริ ง ให้ เ ปลี่ ย นไปเป็ นอย่า งอื่ น จะเปลี่ย นแปลงไม่ไ ด้ เ ลย
เพราะหลักความจริ งเป็ นหลักธรรมชาติที่มีอยู่กบโลกไม่ว่าจะกาล
                                                         ั
ไหนๆ ธรรมะ ในสมัยที่พระองค์ออกปฏิบติช่วงแรก ไม่มีใครให้
                                                   ั
5

คําแนะนําพระองค์เลย แต่พระองค์ก็นําหลักธรรมชาติมาพิจารณา
ว่าอะไรเป็ นอะไร ธรรมชาติทงหมดเป็ นคําสอน เพราะคนเราอยูกบ
                                    ั้                                  ่ ั
ธรรมชาติ เกิ ด มาตามธรรมชาติ อยู่ ต ามธรรมชาติ ชี วิ ต เรา
หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามธรรมชาติทงนัน อยู่กบที่ไม่ได้ ส่วนเรื่ อง
                                          ั้ ้         ั
สังขารร่างกายหรื อรูปขันธ์เป็ นอีกเรื่ องหนึง   ่
          ธรรมชาติ ที่ ห มุน อยู่กับ โลกนี ้ ไม่ มี ใ ครกํ า หนดได้ ไม่ มี
พระพุทธเจ้ า หรื อ พระเจ้ าองค์ใดจะกําหนดให้ เป็ นไปตามใจชอบ
ได้ เรี ยกว่า วัฏจักร พูดง่ายๆ ว่า ชีวิตเราที่เป็ นอยู่นี ้ก็หมุนเวียนไป
ตามธรรมชาติ ธรรมชาตินี ้ มีขึ ้นๆ ลงๆ เช่น อายุขยของคนเรา หรื อ
                                                         ั
ชีวตความเป็ นอยูก็มีการขึ ้นๆ ลงๆ ตามธรรมดา ส่วนมากเราศึกษา
    ิ               ่
ในทางวิ ท ยาศาสตร์ วิท ยาศาสตร์ จ ะศึก ษาเรื่ อ งอดี ต แต่เ รื่ อ ง
อนาคตไม่มีใครสามารถเขียนล่วงหน้ าให้ เป็ นไปตามจริ งได้ เพราะ
หลักธรรมชาติเป็ นเรื่ องลึกลับละเอียดอ่อน ผู้จะรู้ เรื่ องธรรมชาติมี
เพียงคําสอนของพระพุทธเจ้ า เรี ยกว่า โลกวิทู โลกวิทู คือ รู้ แจ้ ง
โลก รู้ แจ้ ง ทัง อดี ต ที่ เ ป็ นมาของธรรมชาติ ว่ า เป็ นอย่ า งไร รู้ ใน
                ้
ปั จจุบนว่าธรรมชาติของโลกปั จจุบนเป็ นอย่างไร และสามารถจะรู้
        ั                               ั
ธรรมชาติของอนาคตต่อไปว่า อนาคตธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไป
เป็ นอย่างไร พระพุทธเจ้ าสามารถรู้ได้ ทงหมด จึงนํามาเขียนเพื่อให้
                                             ั้
คนได้ ศึก ษาตามหลัก ความเป็ นจริ ง ว่า วัฏ จักรที่ ห มุน ไปตาม
ธรรมชาติหมุนอย่างไรบ้ าง ตัวเราที่เกิดตายในวัฏสงสารนี ้ เกิดกี่
ครั ง มาแล้ ว แต่ ล ะครั ง แต่ ล ะภพชาติ ที่ เ กิ ด มา การเกิ ด นั น มี
      ้                          ้                                    ้
ความสุข มีความเจริ ญทุกภพชาติหรื อไม่ นี่คือศึกษาความจริ งของ
6
ตนเอง
           ทีนี ้การศึกษาความจริ งของตนเอง จําเป็ นต้ องศึกษาความ
จริ ง ของคนอื่ น ด้ ว ย จากธรรมชาติ ร อบตัว ด้ ว ย เพราะทุ ก สิ่ ง
เปลี่ยนไปตามธรรมชาติทงหมด ที่พดเรื่ องธรรมชาติให้ ฟังนี ้ เพื่อให้
                                ั้          ู
รู้ จกโทษ รู้ จกภัย รู้ จกทุกข์ เรามาเกิดกับธรรมชาตินี ้ ต้ องรู้ ว่า เรา
     ั            ั      ั
จะได้ อะไร มีดีส่วนใด มีชวส่วนใด ส่วนไหนบ้ างที่เป็ นข้ อคิด เป็ น
                                   ั่
ข้ อ ปฏิ บัติ เราจะหาวิ ธี ห ลี ก เลี่ ย งได้ อ ย่ า งไร จะไม่ ใ ห้ เ กิ ด ตาม
ธรรมชาตินานเกินไป
           สําหรับพระอริ ยเจ้ าทังหลายที่ได้ ศกษาธรรมชาติ ท่านจึงรู้
                                      ้            ึ
ว่า ธรรมชาติที่หมุนเวียนอย่างนี ้ ชีวิตของมวลสัตว์ทงหลาย ไม่ว่าั้
สัตว์น้อยใหญ่ สัตว์บกสัตว์นํ ้า ตลอดจนคนทุกชาติภาษาไม่ว่าจะ
ดี ห รื อ ชั่ ว เมื่ อ มาเกิ ด กั บ โลกนี แ ล้ วก็ ต้ องหมุ น เวี ย นไปตาม
                                          ้
ธรรมชาติตลอดเวลา หาทางสิ ้นสุดไม่ได้ ขณะที่หมุนไปอยู่นน ก็                  ั้
ได้ อาศัยความอยากของตนเอง ทําตามความอยากอยู่เรื่ อยๆ โดย
ไม่เข้ าใจว่า การทําตามความอยาก ให้ โทษ ให้ ภย ให้ คณอย่างไร
                                                         ั          ุ
ทําตามความอยากอยู่เสมอ สุดท้ ายแล้ วก็มีความผิดเป็ นส่วนใหญ่
เพราะจิตใจของคนพยายามรั่ วไหลไปในทางที่ตํ่าเสมอไป การ
พยายามพยุงจิตใจให้ เข้ มแข็ง ให้ ก้าวหน้ า มีจิตใจที่สงขึ ้นนัน ยาก
                                                                  ู      ้
มากที่ จ ะทํ า ได้ จึ ง ต้ อ งนํ า คํ า สอนของพระพุ ท ธเจ้ ามาศึ ก ษา
เพื่อให้ เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏสงสาร เห็นทุกข์โทษภัยในธรรมชาติ
ที่มีอยู่ เราได้ เลื่อนลอยเกิดแก่เจ็บตายในวัฏสงสารมาหลายชาติภพ
ก็เหมือนปั จจุบันชาตินีทังหมด ชาติก่อนเราก็ เป็ นอย่างนี ้ เกิ ด
                              ้ ้
7

ขึ ้นมา ผู้หญิงก็เป็ นเพศหญิง ผู้ชายก็เป็ นเพศชาย เกิดมาแล้ วก็ต้อง
แก่เจ็บตาย เป็ นธรรมชาติของสัตว์โลกทุกตัวต้ องเป็ นอย่างนี ้ ไม่มี
คนหนึ่งคนใดหรื อสัตว์ใด จะอยู่ตลอดกัปตลอดกัลปได้ การเกิด์
มาทัง หมดจะมี อ ะไรเป็ นเครื่ อ งต่ อ รองได้ ว่ า เราจะมี ค วามสุข
        ้
ตลอดไป อะไรจะเป็ นเครื่ องต่อรองได้ ไม่มีเลย
          ในโลกนีหาสิ่งที่มีความเที่ยงแท้ แน่นอนอย่างจริ งจังไม่ได้
                   ้
ธรรมชาติเป็ นสิ่งที่หมุนเวียนกันอยู่เท่านัน เรื่ องความสุขความทุกข์
                                           ้
ก็ เ ป็ นธรรมชาติ ข องคนที่ ต้ องเจอ นี่ คื อ ความจริ งของโลก
พระพุทธเจ้ ามองเห็นชัด จึงได้ ประกาศศาสนาให้ คนในภายหลังได้
ศึกษาความจริ ง เอาความจริ งมาสอนคน ให้ คนได้ เห็นทุกข์โทษ
ภัยในธรรมชาติ เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏสงสารที่หมุนเวียนกันอยู่ว่า
เป็ นทุกข์อย่างไร เมื่อเห็นทุกข์แล้ ว เขาเหล่านันก็จะเกิดความเบื่อ
                                                    ้
หน่าย กลัวในการเกิด กลัวในความทุกข์ กลัวในภัยต่างๆ การ
ภาวนาปฏิบตก็คือเพื่อให้ ร้ ูธรรมชาติท่ีมีอยูนี ้เอง
              ัิ                               ่
          ฉะนันหลักการภาวนาปฏิบติที่เราทําก็เพื่อมุ่งหวังให้ ร้ ูความ
               ้                     ั
จริ งในธรรมชาติที่มีอยู่ คําว่า โลกวิทู เป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ า
พระสาวกก็จะรู้ ได้ บางท่าน ถึงจะไม่ร้ ู ทังหมด รู้ ได้ บางส่วนก็ยงดี
                                             ้                     ั
โลกวิทู มีอะไรเป็ นเครื่ องวัด มีหลัก 3 ประการใหญ่ๆ คือ
          1.ความจริ ง คือ ไม่เที่ยง
          2.ความจริ ง คือ ความทุกข์
          3.ความจริ ง คือ ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา
          หลัก ใหญ่ ทัง 3 ประการนี ้ คื อ หลัก ประกัน ของโลกวิ ทู
                       ้
8
ทัง หมด โลกวิ ทูเ ป็ นผู้ร้ ู แจ้ ง โลกทัง หมดมารวมอยู่ใ นหลัก ไตร
     ้                                        ้
ลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และ ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา
สําหรับผู้ปฏิบติทงพระและฆราวาสก็สามารถรู้ ได้ เป็ นโลกวิทูได้
                    ั ั้
ถึงจะไม่กว้ างขวางพิสดารเท่าพระพุทธเจ้ า แต่เราก็ร้ ู ได้ นี่คือหลัก
ปฏิบติ ั
           ทําไมจึงต้ องปฏิบติ เพราะเราหลงโลกหลงสงสาร โมหะ
                                  ั
อวิ ช ชา โมหะ หมายถึ ง ความหลงตามธรรมชาติ ที่ ล่ อ งลอยใน
วัฏสงสาร หลงในภพ หลงในชาติ หลงในวัฏจักร ที่เราเกิดตายมา
ยาวนาน การพิจารณาอย่างนี ้เพื่อแก้ ปัญหาความหลงของตนเอง
ที่มีอยูในขณะนี ้ ให้ เบาบางลง คําว่า ไม่ร้ ู คือ อวิชชา ไม่ร้ ูจริ งตาม
         ่
หลักความเป็ นจริ ง การแก้ อวิชชาจะเอาอะไรมาแก้ คือ เอาความ
จริ งมาเป็ นเครื่ องตัดสิน เอาความจริ งของธรรมชาติที่มีอยู่ ทังเรา    ้
ทังเขา ทังใกล้ ทงไกล ทังหยาบทังละเอียด ทังหมดนํามาพิจารณา
   ้        ้        ั้         ้         ้         ้
เพื่อแก้ ให้ เกิดความรู้จริ งเห็นจริ งเฉพาะตัว เอาความจริ งมาสอนใจ
เพื่อให้ หมดความหลง
           นี่คือธรรมชาติที่เราต้ องศึกษา ศึกษาให้ เห็นจริ งเมื่อไร เรา
จะกลัวเมื่อนัน เช่นว่า ชีวิตของเรานีเ้ ลื่อนลอยตังแต่กัปนันจนถึง
                  ้                                   ้            ้
กัป นี ้ มัน ยาวนาน ไม่ท ราบว่า ชี วิต ของเราหรื อ จิ ต ของเราเกิ ด ๆ
ตายๆ มานับไม่ถ้วน จึงเชื่อพระพุทธเจ้ าไว้ ก่อนว่า ความจริ งเป็ น
อย่างนี ้ เรื่ องปั จจุบน เรื่ องอดีต เรื่ องอนาคต สามอย่างนี ้เป็ นอุบาย
                         ั
ต่อเนื่องกัน เกี่ยวข้ องกันทังหมด ตัวอย่าง วันนี ้เป็ นวันที่ 25 เป็ น
                                    ้
วันที่ปัจจุบน นี่คือตัวอย่างของวัฏจักร ถ้ าเราพูดเมื่อวันวาน วันที่
               ั
9

25 ก็จะเป็ นอนาคต ถ้ าจะพูดเรื่ องอนาคต วันพรุ่งนี ้ วันที่ 26 จะมี
ไหม มี ถ้ าอย่างนันวันที่ 25 ก็ จะเป็ นอดีตไปได้ นี่ ก็เหมื อนกัน
                         ้
เรื่ องของชีวตในอดีตในอนาคตก็มีเหมือนกัน ถึงคนใดจะไม่ยอมรับ
               ิ
ในเรื่ องเหล่านี ้ แต่ความจริ งก็จะปรากฎว่า เมื่อเกิดตายไปแล้ ว
ผลบุญบาป จิตไปเกาะอยู่ที่ไหน ก็จะไปเกิดที่นนทันที เหมือนกับ
                                                       ั้
บุค คลเห็ น เม็ ด มะม่ ว งหรื อ ถื อ อยู่ก็ ต าม มี ค วามเข้ า ใจว่ า เม็ ด
มะม่วงนี ้จะไม่เกิดขึ ้น แล้ วโยนทิ ้งไปเสีย แต่เมื่อโยนทิ ้งไปแล้ ว ไป
ถูกนํ ้า ถูกปุยขึ ้นมา มะม่วงที่ไม่เกิดนันก็จะเกิดอีก
             ๋                               ้
          คนจะว่าเกิ ดหรื อไม่เกิ ดก็ตาม ลักษณะของการเกิ ดเป็ น
ของแน่นอนอยู่แล้ ว ตราบใดที่ยงมีกิเลสตัณหาอวิชชาอยู่ การ
                                       ั
เกิดอีกเป็ นของแน่นอน ให้ เราพิจารณาความจริ งว่า ทุกคนที่
เกิ ด มากับ โลกนี ้ ไม่มี ใ ครต้ อ งการความทุก ข์ ความสุข เป็ นสิ่ง ที่
ต้ องการ ทําอย่างไรจะได้ ความสุขมาเสวยให้ สมใจ ไม่ให้ มีทกข์มา       ุ
เจื อ ปนเลยได้ ไหม ไม่ ไ ด้ เพราะโลกนี มี ค วามสุ ข ความทุ ก ข์
                                                 ้
คลุก เคล้ า กัน ไป แต่ส่ว นใหญ่ จ ะมี ค วามทุก ข์ ม ากกว่า ความสุข
ความสุข ทางโลกเจื อ ด้ ว ยความทุก ข์ สุข อยู่ที่ ไ หนทุก ข์ อ ยู่ที่ นั่น
ความสุขของโลก รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ที่เรามีความถูกใจ มี
                                   ่
ความยินดี เราก็เคยเจอมาแล้ ว สัมผัสมาแล้ ว ไม่สขเกินนี ้เลย จะ
                                                          ุ
มีเงินทองกองสมบัติหลายพันล้ าน ความสุขในกามคุณทังหลาย ก็        ้
เท่านี ้ เท่าที่ มีอยู่แค่นีแหละ ถึงจะไปเกิ ดอี กชาติหน้ า ก็ ไม่เกิ นนี ้
                            ้
หรอก ความสุข ที่ เ ราแสวงหาจะให้ ส มหวัง ดัง ใจเรานัน ไม่ ไ ด้    ้
เพราะความสุขถาวรของโลกนัน ไม่มี มีแต่ความสุขที่เจือปนด้ วย
                                     ้
10
ยาพิษ คือความทุกข์ด้วยกันทังนัน ความหลงตัวนี ้ทําให้ เราเกิด
                                     ้ ้
ทุกข์ ยาวนานมาจนถึงปั จจุบน      ั
          การศึกษาเรื่ องวัฏจักร เป็ นหลักภาวนาสําหรับบุคคลที่เกิด
ในแห่ ง ใดแห่ ง หนึ่ ง เมื่ อ เขาเหล่ า นั น จะออกจากที่ แ ห่ ง นัน ไป
                                               ้                      ้
จํ า เป็ นต้ อ งศึ ก ษาสถานที่ แ ห่ ง นั น ว่ า จะออกอย่ า งไร เป็ นทุ ก ข์
                                         ้
อย่างไร มีโทษภัยอย่างไรบ้ าง เหมือนกับคนอาบนํ ้าอยู่ในหนองใน
ห้ วย ขณะอาบนําก็มีความสุขสบายเพลิดเพลินอยู่ โดยไม่คํานึง
                           ้
ว่าจะมีภยรอบตัวจะมาทําอันตรายได้ เมื่อเขาคํานึงว่าที่แห่งนันมี
           ั                                                            ้
ภัยรอบตัว อาจมีจระเข้ ลอยมากัดมาทําอันตรายได้ เขาก็จะมี
ความกลัวเกิ ดขึนว่า จะอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่หลง เมื่ อ
                     ้
จระเข้ ล อยมาก็ จ ะหาวิ ธี ห ลบ หาวิ ธี ขึ น ฝั่ ง ได้ ทัน กาล นี่ คื อ ไม่
                                                 ้
ประมาทศึกษารอบคอบ
          เหมื อ นกับ คนอยู่ใ นป่ า อาจมี ภัย นานาชนิ ด มี งู เสื อ ภัย
นานาประการเกิ ด ขึ น กับ ตัว เรา ก็ จ ะตื่ น ตัว อยู่ เมื่ อ ภัย เหล่ า นี ้
                             ้
เกิดขึ ้น เราจะรู้ ทนเห็นทัน หาวิธีหลีกจากสิ่งนันได้ คือไม่หลง นี ้ก็
                       ั                             ้
เช่นกัน โลกที่เราอยู่ทกวันนี ้คือวัฏจักร ทําอย่างไรเราจะออกจาก
                               ุ
โลกนี ้ได้ คืออย่าประมาท อย่าติดกับโลกนี ้ ถือว่าเป็ นสถานที่พก           ั
จิตแห่งหนึงเท่านันเอง ไม่ถือว่าโลกนี ้เป็ นที่ของเรา เพียงเป็ นที่พก
              ่          ้                                                  ั
แรมของจิตซึงได้ หมุนเวียนมาขณะนี ้เท่านัน เมื่อเราตังใจไว้ อย่าง
                ่                                  ้         ้
นี ้ เราจะไม่ไปติดข้ องกับของสิงใด ่
          เหมือนกับเราไปเที่ยวสถานที่แห่งหนึ่ง เช่าโรงแรมอยู่ สัง             ่
อาหารกิน ที่นอนดีๆ อยู่ไปตามวันเวลานัดหมาย อีกวันใดวันหนึ่ง
11

ข้ างหน้ า เราก็จะออกจากโรงแรมนันไป นีฉันใด ใจของเรามา
                                            ้     ้
อาศัยโลกเพียงชัวคราว อีกสักวันก็จะออกจากโลกนีไ้ ป เช่น ใน
                    ่
ชาตินี ้เราเป็ นมนุษย์ ชาติหน้ าเราจะเป็ นมนุษย์อีกหรื อไม่ ชาตินี ้
เราเกิดเป็ นคนพออยู่พอกิน แล้ วชาติหน้ ามาเกิดใหม่ ฐานะความ
เป็ นอยู่จะเป็ นอย่างไร ไม่แน่น อน ขึน อยู่กับผลกรรมของชาตินี ้
                                                ้
เมื่อทําอย่างนี ้จะส่งผลให้ ชาติหน้ าเป็ นอย่างไร ปั จจุบนจะเป็ นสิ่ง
                                                          ั
กําหนดอนาคต
          การศึกษาความจริ งของตัวเรา ถ้ าเราเห็นความจริ งว่า ไม่มี
สิ่งใดเที่ยงแท้ แน่นอน นอกจากความตายเท่านัน การศึกษาโลกก็
                                                    ้
เพื่อให้ กลัวในการเกิด กลัวในความทุกข์ กลัวในสิ่งที่ไม่เที่ยง กลัว
ว่า ไม่มี อ ะไรเป็ นของของเราที่ แ น่นอน เราเพี ยงมาพัก อาศัย อยู่
ชั่วขณะเท่านันเอง อีกสักวันหนึ่งภายหน้ าก็จะจากโลกนีไ้ ป หา
                ้
เกิดใหม่ไปเรื่ อยๆ เอาแน่อะไรไม่ได้ ชีวตของเราเลื่อนลอยไปเรื่ อยๆ
                                              ิ
ตามวัฏจักร หมุนไปตามธรรมชาติทงหมด        ั้
          การพูดเรื่ องธรรมชาติเป็ นเรื่ องใหญ่ หากใครไม่ศกษาก็จะ
                                                            ึ
เข้ า ใจไปว่า เป็ นเรื่ อ งธรรมดา เป็ นเรื่ อ งธรรมชาติ เกิ ด ขึ น เป็ น
                                                                 ้
ธรรมดา ตายเป็ นธรรมดา แต่เราหยั่งไม่ถึงจุดนัน การเกิดมา
                                                      ้
อาจจะไม่เท่าเทียมกันทุกชาติทุกภพ ธรรมชาติของโลกนี ้มันหมุน
ตัว สัตว์ทุกตัว มนุษย์ทุกชาติภาษา ก็ต้องหมุนตัวตามธรรมชาติ
ทังหมด เช่น อายุขยของเรา ส่วนใหญ่เราจะเข้ าใจว่า อายุขยของ
   ้                   ั                                           ั
เราจะยาวขึ ้นไปเท่านี ้ หรื อน้ อยลงไปเท่านี ้ คือไม่คิดว่าอายุขยเรา ั
เท่าไร ก็จะอยู่กันไป มีความเจ็บไข้ ได้ ป่วย ก็หายามากิน ถ้ าไม่
12
หายก็ ต ายไปเท่ า นั น เอง ที นี อ ายุ ขั ย ของเราไม่ ค งที่ เพราะ
                         ้            ้
ธรรมชาติหมุนตัว สัตว์โลกทุกตัวต้ องหมุนไปตามธรรมชาติ หลักนี ้
ไม่ มี ใ นหลัก วิ ท ยาศาสตร์ เป็ นหลัก ความจริ ง ที่ เ ปลี่ ย นไปตาม
ธรรมชาติ อายุขัยของเรากํ าลังตํ่าลงทุกที การอธิ บายนีต้องยก        ้
เรื่ องศาสนามาด้ วย ก่อนที่พระพุทธเจ้ าของเราจะมาตรั สรู้ ทรง
พิจารณาก่อนว่า เมื่อใดอายุขยตํ่ากว่า 100 ปี ในยุคนันจะไม่มา
                                    ั                        ้
ตรัสรู้ เป็ นพระพุทธเจ้ า เพราะคนเราประมาทมากเกินไป เมื่อใด
อายุขัยของคน 100 ปี ขึนไป พระพุทธเจ้ าจะมาตรั สรู้ ได้ ดังเช่น
                            ้
พระพุทธเจ้ าของเรามาเกิดในช่วงที่คนมีอายุขย 100 ปี เป็ นอายุขย
                                                    ั                ั
            พระพุทธเจ้ าจะมาตรั สรู้ ในช่วงที่อายุขัยของคน ตํ่าสุดไม่
เกิน 100 ปี อายุขย สูงสุดไม่เกิน 100,000 ปี อายุขย การพูดอย่าง
                      ั                                 ั
นีหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มี แต่ทางศาสนามีหลักการอย่างนี ้ ซึ่งคน
     ้
อาจไม่ยอมเชื่อว่า คนเราจะอายุร้อยปี พันปี แสนปี ได้ ยงไง นี่คือั
หลัก ความจริ ง ของธรรมชาติ พระพุท ธเจ้ า ตรั ส ไว้ ซึ่ง เป็ นเรื่ อ งที่
ยาวนานเหลือเกิน
            ในช่วงที่ พระพุทธเจ้ าตรั สรู้ ในครั งพุทธกาลมี 100 ปี เป็ น
                                                 ้
อายุขย อายุขยมีการขึ ้นได้ และลงได้ ขณะนี ้อยู่ในช่วงขาลง 100
         ั        ั
ปี อายุขยลดลง 1 ปี อายุขยลดลงเรื่ อยๆ ตอนนี ้เหลืออยู่ 75 ปี เป็ น
            ั                     ั
อายุ ขัย แต่ ก่ อ นเมื่ อ 2500 ปี ที่ แ ล้ ว อายุ ขัย 100 ปี แต่ บัด นี ้
ล่วงเลยมา 2535 ปี อายุขยของคนเราเหลือ 74 ปี เป็ นอายุขย
                              ั                                  ั
            หากนับต่อไปข้ างหน้ าอีก 100 ปี อายุขยของคนเราก็ลดลง
                                                      ั
เหลือเพียง 73 ปี เป็ นอายุขย อีก 100 ปี ถัดไป อายุขยของคนเราก็
                                ั                         ั
13

ลดลงเหลือเพียง 72 ปี เป็ นอายุขัย 100 ปี ลดลง 1 ปี ลดลงไป
เรื่ อ ยๆ จนเหลื อเพี ยง 10 ปี เป็ นอายุขัย นี่ พูดทางศาสนา เรื่ อ ง
ระยะยาวที่คนไม่เชื่อ จะเชื่อหรื อไม่ ไม่สําคัญ แต่ความจริ งมันเป็ น
อย่างนี ้
           หากมีการคํานวณ จะพบว่าอีกประมาณ 7000 ปี นับจากนี ้
ไป อายุขัยของคนเราจะเหลือ 10 ปี เป็ นอายุขัย การตังครรภ์ ใช้     ้
เวลาเพี ยง 3 เดือน เมื่ ออายุ 4 ปี ก็ กลายเป็ นพ่อ บ้ านแม่บ้านได้
สมบูรณ์แล้ ว เพราะมีอายุขยเพียง 10 ปี ลองคิดดูสวาตัวคนเราจะ
                                ั                         ิ่
เด็กขนาดไหน
           เมื่อคนมีอายุขยระดับนัน นิสยของคนในยุคนันจะแตกต่าง
                            ั        ้    ั                    ้
จากยุคนี มาก หาความละอายไม่ได้ เลย เหมือนสัตว์ เดรั จฉาน
             ้
ทัวไป ทัวโลก ในยุคนันจะเป็ น มนุสสเดรัจฉาโน เต็มตัว รู ปร่ าง
  ่        ่                  ้
เป็ นมนุษย์ แต่จิตใจเป็ นสัตว์ เดรั จฉาน ความละอายไม่มี มีแต่
ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่คือธรรมชาติท่ีกําลังหมุนตัวไป
           ในช่วงจากนี ้ไปอีก 7000 ปี ข้ างหน้ า ถ้ าคนใดมาเกิดตาย
ในช่วงนี ้ จะได้ ร้ ู เห็นความจริ งว่าเกิดอะไรขึ ้น นี่คือการหมุนเวียน
ของชีวิตสัตว์ ธรรมชาติเป็ นอย่างนี ้ ธรรมชาติมันหมุนตัว สัตว์
โลกทัง หลายก็ ต้ อ งหมุน ไปตามธรรมชาติ เมื่ อ ถึง ยุค นัน จิ ต ใจ
         ้                                                         ้
มนุษย์จะเหี ้ยมเกินไป มีการฆ่ากันตีกนเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่มี
                                            ั
ความเมตตาต่อกันหรื อมีน้อยมาก เกิดกลียคขึ ้นมาในยุคนัน
                                                   ุ                 ้
           ในยุคนันจะมีเทพอีกกลุมหนึ่ง สําหรับกอบกู้วฏจักร จะมา
                    ้                  ่                     ั
เกิดในยุคนี ้ มาเกิดกับคนกลุมนี ้แหละ กลุมอายุ 10 ปี ตาย เพียง
                                  ่           ่
14
มาอาศัย สถานที่ เ กิ ด เท่ า นัน ซึ่ ง จะมี เ ทพอี ก กลุ่ม รั ก ษาเขาอยู่
                                         ้
บันดาลให้ เป็ นไป ให้ ละอายในการทําชัว เมื่อเขาเหล่านันเริ่ มเป็ น
                                                     ่              ้
หนุ่มเป็ นสาว กําลังจะเกิดกลียค เขาจะไปอยู่ตามดงตามป่ าตาม
                                             ุ
ถํา ไม่อยู่กับพ่อแม่ ถึงพ่อแม่จะเป็ นอย่างนัน แต่เขาไม่เล่นด้ วย
  ้                                                      ้
เมื่ อ พ่ อ แม่ ร บราฆ่ า ฟั น ตายกั น ไปหมดแล้ ว ในยุ ค ต่ อ ไปคน
เหล่านันก็จะจับกลุ่มเป็ นผัวเมียกัน หาอยู่กินกันอย่างมีศีลธรรม
           ้
กรรมบถ 10
             เมื่ อ คนกลุ่ ม นี เ้ กิ ด ขึ น ในโลกแล้ ว อี ก 100 ปี ข้ างหน้ า
                                           ้
อายุขัย เพิ่ ม ขึ น เป็ น 11 ปี จึ ง ตาย อี ก 100 ปี ข้ า งหน้ า อายุขัย
                     ้
เพิ่มขึ ้นเป็ น 12 ปี จึงตาย 100 ปี อายุขยเพิ่ม 1 ปี เพิ่มขึ ้นเรื่ อยๆ
                                                       ั
จนถึง 100 ปี ตาย 1,000 ปี ตาย เพิ่มไปถึง ล้ านปี อายุขัย โกฏิปี
อายุขย ในที่สดจะยืนยาวมาก เรี ยกว่า อสงไขยปี คนจะตัวใหญ่
        ั              ุ
มาก สิบกว่าศอกก็แล้ วกัน
             เมื่อคนในยุคนันมีอายุมากขึ ้น จะมีธรรมชาติอย่างหนึง คือ
                              ้                                          ่
ความเบื่อหน่าย มันทุกข์ มันยาวนาน มันจะเบื่อของเขาเอง เกิด
การหมุนกลับอีกทีหนึ่ง 100 ปี อายุขยลดลง 1 ปี กลับมาที่ขาลง
                                                   ั
ลดลงเหลื อ โกฏิ ปี ล้ า นปี แสนปี จนถึ ง ในยุค 80,000 ปี เป็ น
อายุ ขั ย ในช่ ว งนี ้ พระศรี อาริ ยเมตไตรย์ จะมาตรั ส รู้ เป็ น
พระพุ ท ธเจ้ า เมื่ อ ตรั ส รู้ แล้ ว ประกาศศาสนาถึ ง ที่ สุ ด จน
ปริ นิ พ พานพร้ อมกั บ พระสาวก ไม่ ไ ด้ วางศาสนาเหมื อ นกั บ
พระพุทธเจ้ าของเรา เลิกราไปทังหมด คนจะรู้ ได้ ปฏิบติได้ ช่วงที่
                                               ้                  ั
พระศรี อาริ ยเมตไตรย์มีชีวตอยูเ่ ท่านัน
                                      ิ          ้
15

           ต่อมาอายุขัยลดลงเรื่ อยๆ ธรรมชาติของโลกเป็ นอย่างนี ้
เดี๋ยวนี ้อายุขยของคนลดลง หรื อจะพูดว่า พระพุทธเจ้ าในภัทรกัปนี ้
                  ั
มี 5 พระองค์ คือ
           1.กกุธสันโธ ในช่วงนันมีอายุขย 40,000 ปี
                                      ้     ั
           2.โกนาคมโน ในช่วงนันมีอายุขย 20,000 ปี
                                        ้     ั
           3.กัสสโป ในช่วงนันมีอายุขย 10,000 ปี
                                  ้       ั
           4.โคตโม พระพุ ท ธเจ้ า องค์ ปั จ จุบัน ในช่ ว งนัน มนุษ ย์ มี
                                                            ้
อายุขย 100 ปี แต่พระองค์ทานมีอายุเพียง 80 ปี
       ั                            ่
           5.พระศรี อาริ ยเมตไตรย์ จะมาตรัสรู้ ในอนาคต ดังที่กล่าว
มาแล้ ว
           ณ ปั จจุบน จากนี ้ไปข้ างหน้ าจนมนุษย์มีอายุ 10 ปี จะไม่มี
                       ั
พระพุทธเจ้ ามาเกิดเลย และอีกเพียง 2500 ปี ข้ างหน้ านี ้ ศาสนา
พุทธก็จะหมดไป เพราะคนไม่เคารพเชื่อถือ ไม่ปฏิบติตามคําสอน ั
ของพระพุทธเจ้ า ในยุคต่อไป ไม่ว่าศาสนาใดที่มีอยู่ก็จะหมดไป
เช่นกัน เพราะคนไม่นบถือ เพราะคนมีนิสยมนุสเดรัจฉาโน กาย
                             ั                  ั
เป็ นมนุษย์ แต่ใจเป็ นสัตว์เดรัจฉาน เขาจะไม่นบถือศาสนาอะไร
                                                      ั
เลย เป็ นสูญกัป กัปที่วางจากพุทธศาสนา หรื อศาสนาอื่นใดก็ไม่มี
                               ่
ด้ วย
           นี ้คือวัฏจักรที่เป็ นธรรมชาติหมุนตัวอยู่ มีหลักฐานก็คือคํา
สอนของพระพุทธเจ้ า หลักความจริ งที่เราดูอยู่ในปั จจุบัน หาก
พิจารณาแล้ วจะมีความเป็ นไปได้ เพราะธรรมชาติเปลี่ยนแปลง
นิสยคนได้ ให้ พวกเราดูภาพพจน์ในอดีตที่ผ่านมา ในช่วงที่เราเป็ น
     ั
16
หนุ่มสาวดูกิริยาท่าทางความเป็ นอยู่ในอดีต เทียบกับหนุ่มสาว
ในยุคปั จจุบนนัน ด้ านจิตใจแตกต่างกันอย่างไรบ้ าง ในช่วงเวลา
                  ั ้
เพียงไม่ก่ีปี ความแตกต่างด้ านจิตใจแตกต่างกันอย่างเห็นได้ ชัด
ทีเดียว กิริยาทางกายวาจาใจ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้ าง
ธรรมชาติบอกเอง กิริยาทางกาย สมัยก่อนพ่อแม่สอนลูกหลานให้
เคารพอ่ อ นน้ อ มคนเฒ่ า แก่ กราบไหว้ พ่ อ แม่ นุ่ง ห่ ม ให้ มิ ด ชิ ด
แต่งงานตามพ่อแม่กําหนดให้ แต่เดี๋ยวนี ้เขากําหนดแต่งงานกันเอง
นุ่งห่มยัวยุ นุ่งน้ อยห่มน้ อย ขาดความละอาย ต่อไปก็จะไม่น่งห่ม
           ่                                                        ุ
เลย เพราะสัตว์เดรัจฉานเข้ ามาแทรกแซงเต็มที่แล้ ว อนาคตภาย
หน้ าจึงเป็ นไปได้ สมัยก่อน 50 ปี ที่แล้ วยังไม่เคยมี แต่สมัยนีก็ยง   ้ ั
เป็ นไปแล้ ว เรื่ องความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดี สมัยนี ้เลวกว่า
ยุคก่อน คนสมัยก่อนพอนึกภาพได้ ไหม ผู้หญิงผู้ชาย 17-18 ปี ยัง
กระโดดนํ ้าแก้ ผ้า เล่นนํ ้ากันอยู่เลย แต่ทุกวันนีเ้ กิดอะไรขึ ้น เรื่ อง
ราคะตัณ หารุ น แรงขึน เร็ ว ขึน เพราะอายุสัน มากเท่า ใด ราคะ
                           ้      ้                 ้
ตัณหาก็เร็ วขึ ้น โทสะก็เร็ วขึ ้น เดี๋ยวนี ้มองหน้ ากันไม่ได้ สมัยก่อน
เรื่ องปล้ นฆ่าลักของไม่มี หรื อมีน้อยมาก แต่เดี๋ยวนี ้ระวังยาก เรื่ อง
ราคะก็เร็ วขึ ้น โทสะก็เร็ วขึ ้น การตัดสินใจของมนุษย์จะเร็ วขึ ้น
             ปั จจุบนนีมีองค์การสหประชาชาติรวบรวมสมาชิกทัวโลก
                    ั ้                                           ่
ให้ อ ยู่ใ นขอบเขตการสู้ร บ การรวมกัน นัน รวมได้ ก็ ดี แต่คิด ว่า
                                                ้
รวมกันได้ ไม่นานนัก คิดว่า 100 ปี ก็จะพังลง เพราะคนไม่ลงรอย
กัน ต่างคนต่างถือดีถือเก่ง แต่ละคนมีเครื่ องมืออุปกรณ์ ประหาร
ชีวิตพร้ อม ต่างก็ไม่กลัวกัน เพราะมีอาวุธเครื่ องมือทัดเทียมกัน
17

อีกไม่เกิน 100 ปี จะเจอของสิงเหล่านี ้มากทีเดียว
                              ่
          การพิจารณาอย่างนี ้ พิจารณาเพื่อให้ เห็นทุกข์ เห็นภัยใน
วัฏสงสารนันเอง หลักการใช้ ปัญญาอย่างนี ้ ให้ เรากลัวว่า การเกิด
               ่
การตายเป็ นทุกข์อย่างนี ้ เป็ นภัยอย่างนี ้ เป็ นโทษอย่างนี ้ นีเ้ ป็ น
หลักการใช้ ปัญญา
          เมื่อวัฏฏะหมุนเวียนอยู่อย่างนี ้ ทําไมเราจึงมาเกิดบ่อยๆ
มาเกิดเอาอะไรกัน เพื่ออะไรกัน มาเกิดเป็ นกีฬา มาหาสมบัติแข่ง
กัน เรี ยกว่า ตัณหาความอยาก คนเรามีความอยากในทางที่ดี
คือ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข มนุษย์ เรามีความอยากสี่จุดนี ้ เรื่ อง
เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็ นอีกส่วน เป็ นของไม่แน่นอน
แต่ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข ในกามคุณ เป็ นสิงที่เราต้ องการ
                                              ่
          ลองพิจารณาดูวา คนเรามีใครบ้ างที่หา ลาภ ยศ สรรเสริ ญ
                         ่
สุข เพียงพอกับความต้ องการ หาไม่ได้ เลย นักภาวนาปฏิบติพึง         ั
ศึกษาว่า การแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข มีอยู่คู่กบโลกใบนี ้
                                                           ั
แต่คนอีกส่วนหนึ่งจะพิจารณาอยู่ว่า จะหาไปทําไม ส่วนที่หาก็หา
ไปเพื่อสร้ างความเจริ ญให้ กับโลกใบนี ้ แต่นกปฏิบติจะพิจารณา
                                                  ั      ั
ว่า หาไปทํ า ไม ในโลกของเรามี ค นห้ า พัน กว่ า ล้ า นคน เขาจะ
แสวงหาความสุ ข ให้ มาก แต่ นั ก ปฏิ บั ติ ไ ม่ กี่ ร้ อยคนนี ้ กํ า ลั ง
พยายามหยุดในการหาสิ่งเหล่านี ้ พอแล้ ว หาไปก็เท่านี ้ เหนื่อย
เปล่า หาแล้ วก็ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา รู้จกความพอดี หามาได้
                                                ั
แล้ วก็ไม่มีอะไรเป็ นของเราแน่นอน เพียงอาศัยกันชัวกาลเวลาหนึ่ง
                                                       ่
เท่านัน เมื่อถึงกาลเวลาก็ตายจากกันไป จึงหยุดแล้ ว พออยู่พอ
        ้
18
กินแล้ ว เท่านี ้ก็สามารถอาศัยอยู่กินวันหนึ่งคืนหนึ่ง แต่เขาจะไม่
เดินตามกระแสโลกต่อไป เพราะหาทางสิ ้นสุดไม่ได้ เหมือนการ
เดินรอบโลก เดินร้ อยครัง พันครั ง ก็หาทางสิ ้นสุดไม่เป็ น เรามา
                                 ้         ้
เกิดกับโลกนี ้หลายครังหลายหนแล้ ว แต่เราไม่ร้ ู ตวเองเลย เพราะ
                             ้                                    ั
ความหลง ความไม่ร้ ู ความลืมตัว การใช้ ปัญญาพิจารณาธรรมะ
จึงต้ องพิจารณาว่า ความทุกข์ของโลกที่เรากําลังเวียนอยู่กบโลก มี             ั
อะไรบ้ าง ให้ ใจเราเบื่อเอาไว้ นี ้เป็ นหลักที่ใจเราต้ องพิจารณา
            ส่ ว น ห ลั ก ธ ร ร ม ห ม ว ด อื่ น ที่ เ ร า กํ า ลั ง ศึ ก ษ า กั น อ ยู่
พระพุทธเจ้ าได้ ตรั สธรรมะเอาไว้ ศึกษาประวัติของโลกทังหมด มี                  ้
หลักการปฏิบตสองประการ เป็ นกรรมฐานสองอย่างคือ
                   ัิ
            1.สมถกรรมฐาน               2.วิปัสสนากรรมฐาน
            กรรมฐานสองประการนี ้ เป็ นการรวมตัวกันเพื่อให้ ร้ ูจริ งเห็น
จริ งในธรรมชาติ หลักหนึ่งเป็ นการทําสมาธิ เป็ นอุบายพักใจ อีก
หลักคือปั ญญาเป็ นหลักใช้ ความคิด เป็ นวิปัสสนากรรมฐาน คิด
ตามหลักความเป็ นจริ ง สิ่งรอบตัวเป็ นหลักความจริ งทังหมด วัฏ            ้
จัก รที่ ว่ า มาก็ เ ป็ นความจริ ง ทัง หมด เอาความจริ ง ทัง หมดมา
                                       ้                                  ้
พิจารณาเพื่อให้ เห็นความจริ ง เพื่อให้ เกิดความกลัว เมื่อใจเกิด
ความกลัวอย่างเดียวเท่านัน ทุกอย่างจะหาทางออกได้ ด้วยตัวมัน
                                   ้
เอง เรี ยกว่า เห็นจริ งตามความเป็ นจริ ง มันจะกลัวเอง ตราบใดที่
ยังไม่เห็นจริ ง มันยังไม่กลัว มันอยากจะลอง
            ยกตัวอย่าง เช่น การมัวสุมทางเพศทําให้ ติดโรคเอดส์นะ
                                         ่
เขาประกาศความจริ งให้ โลกฟั ง แต่คนกลุ่มหนึ่งก็ยงคงเสพกันอยู่       ั
19

ความอยากมันเหลือกําลังที่จะต้ านทานได้ สําหรับคนที่เขาเชื่อก็
หยุด ไม่ทํา หาวิธีปองกัน กลัวโรค แต่คนที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่ทําตาม
                          ้
ความอยากของตนเอง
          การภาวนามีหลักใหญ่สองประการ คือ สมถกรรมฐาน และ
วิปัสสนากรรมฐาน ใช้ ปัญญาพิจารณาหลักธรรมะ ความเป็ นจริ ง
คําสอนของพระพุทธเจ้ ารวมยอดอยูที่นี่        ่
          นี่ คื อ ได้ อ ธิ บ ายเรื่ อ งธรรมชาติ และความจริ ง ตามหลัก
ธรรมชาติของวัฏจักรที่หมุนเวียนกันอยู่ ให้ เราได้ นึกคิดใคร่ ครวญ
ถ้ าเราไม่ปกปองตนเองในยุคนี ้ จะยากที่ปกปองได้ การเตรี ยมตัว
                  ้                                     ้
ล่วงหน้ าดีที่สุด หาวิธีปองกันตัวเองในครั งหน้ าว่า ครั งหน้ าหรื อ
                                ้                     ้            ้
ชาติหน้ าจะไปอย่างไร ต้ องเตรี ยมตัวไว้ ก่อน ถ้ าเราไปอย่างนี ้ จะมี
ภัย อะไรบ้ า งที่ เ กิ ด ขึ น กับ เรา เมื่ อ ภัย นัน เกิ ด ขึน เราจะได้ ห าวิ ธี
                              ้                    ้         ้
ป องกั น ตนเองได้ ดี ก ว่ า จะไปแบบหลงงมงาย ไม่ ร้ ู ต้ นสาย
 ้
ปลายทางที่จะไป การล่องลอยตามกระแสของโลก เราต้ องศึกษา
ให้ เข้ าใจ เพราะภัยนานาชนิดย่อมเกิดขึ ้นกับเราได้ ทุกเวลา ชีวิต
ของเราอยู่ในวงล้ อมของความจริ ง คือ ความไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ และ
เป็ นอนัตตา นี่หลวงพ่อได้ ให้ แนวคิดเป็ นครั งแรก วันเปิ ดประชุม
                                                          ้
ของการอบรมธรรมะ ให้ จ ดในสิ่ ง ที่ ห ลวงพ่ อ พูด ไว้ แล้ ว นํ า มา
พิจารณาว่า จริ งไหม สิ่งภายหน้ าจะเกิดขึ ้นจริ งดังว่าไหม หากเรา
นึกถึงความจริ งเหล่านี ้ การจะหาวิธีหลบหลีกตัวก็พอจะได้ อยู่ ถึง
จะหนีไม่พ้นก็พอหลีกตัวได้ ให้ ความทุกข์ทงหมดเบาบางลงได้
                                                     ั้
          ยกตัวอย่าง เช่น ในอนาคตเดือนต่อไป มกรา กุมภา จะ
20
หนาวมาก ถ้ าเรารู้ เราก็เตรี ยมผ้ าห่มไว้ เมื่อหนาวจริ ง ก็นําผ้ ามา
ห่ม ก็ทุเลาได้ เรานําสิ่งที่เตรี ยมไว้ มาอํานวยความสะดวกแก่เรา
เหมือนเราเดินทางจากจุดหนึงไปอีกจุด อาจเกิดไข้ มาลาเรี ย หรื อมี
                                    ่
เสือสัตว์ ร้ายต่างๆ เมื่อเราศึกษาเส้ นทางไว้ ดีแล้ ว เราจะเตรี ยม
อุปกรณ์ ต่างๆ ไว้ เดินทาง มีด ปื น ยา เมื่อเกิดอุปสรรคขึ ้นกับเรา
เราก็จะสามารถแก้ ไขได้ ทน ไม่ประมาทในตนเอง
                                  ั
           นี ้ฉันใด ชีวิตเราจากนี ้ไปในชาติหน้ า เราก็ต้องเจออุปสรรค
ดังที่ได้ อธิบายมาทังหมด ถ้ าเราไม่ประมาทในตนเอง สิ่งเหล่านัน
                            ้                                       ้
พอจะทุเลาเบาบางลงได้ สิ่งที่ได้ อธิ บายไป เป็ นหลักภาวนาอี ก
อย่าง เรี ยกว่า เจริ ญวิปัสสนา นัตถิ โลเก ระโหนามะ ความลับไม่
มีในโลก เพราะปั ญญาเรารู้เห็นทุกอย่างว่าเป็ นอย่างไร
           โลก คือ ธรรมชาติที่เป็ นอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ สาม
โลกสามภพพิจารณาให้ ชดเจนขึ ้น พิจารณาภายนอกภายใน ธาตุ
                                ั
สี่ขนธ์ ห้าของเราทังหมด ที่เรายึดถื อว่าเป็ นเรา เป็ นของของเรา
     ั                  ้
ความหลงไม่ใช่หลงเราอย่างเดียว หลงภายนอกบ้ าง ภายในบ้ าง
เรี ยกว่า ภายนอกภายใน ใกล้ ไกล หยาบละเอียด พิจารณาลงสูไตร         ่
ลักษณ์ทงหมด ตัดทอนความหลงให้ เบาบางลงจากใจของเรา
            ั้
           การอบรมครังนี ้ หลวงพ่อก็ได้ นําพระวิทยากรมาช่วยอบรม
                              ้
การศึกษาธรรมะนัน เราจะเอาอายุพรรษามาพูดไม่ได้ เอาธรรมะ
                          ้
มาพูดกัน เรื่ องพรรษาเป็ นเรื่ องตัวเลข เป็ นสิ่งสมมติกัน แต่เรื่ อง
ธรรมะเป็ นความจริ ง การพูดธรรมะความจริ งจึงไม่เกี่ยวกับการเอา
พรรษาเอาอายุมาพูดกัน หากคนใดที่มีความเป็ นธรรมกับตัวเอง
21

แล้ ว ถึง คนอื่ น คนใดฐานะใดไม่สํ า คัญ หากเขามาตัก เตื อ นว่า
กล่า วเรา เกี่ ย วกับ ความบกพร่ อ งของเรา ถื อ ได้ ว่า เขามี ค วาม
เมตตาต่อเรา ไม่ว่าเขาจะมีฐานะอะไรไม่สําคัญ สําคัญตรงที่ผ้ ู
ที่มาตักเตือนเราว่า สิ่งนีควร สิ่งนีไ้ ม่ควร ชีแนะแนวทาง นันคือ
                               ้                    ้             ่
เขามี ค วามเมตตาสงสารเรา อายุ พ รรษาไม่ เ กี่ ย ว นี่ คื อ
ธรรมาธิปไตย หากเรามีความคิดอย่างนี ้ จะมีความสุขมาก เพราะ
ไม่ยึดติดในชาติชนวรรณะ ไม่นบว่า องค์นนบวชนานหรื อไม่นาน
                       ั้               ั        ั้
ให้ นบความจริ ง หากคนใดมาสอนเราให้ เราสํานึกตัวได้ ว่า เราทํา
      ั
ผิ ด อย่า งนี ้ มี ค นอื่ น มาตัก เตื อ นเรา เราจะขอบคุณ เขา ที่ เ ขามี
ความเมตตาสงสารเรา เราจะให้ ความเคารพผู้นนอยู่เสมอ นี่คือั้
ธรรมาธิปไตย
          ปี นี ้ นิ มนต์ พระมาหลายองค์ เพื่ อ ให้ ฟัง อุบายการปฏิ บัติ
ของหลายองค์ จะได้ เลือกอุบายที่ตรงกับเรา เรี ยกว่า นําสินค้ ามา
เยอะ มามาก เราต้ องการอะไรก็เลือกเองได้ อาหารมีมาก ยามี
มาก เลือกเองได้ ว่า สิ่งไหนถูกธาตุขนธ์ กบเรา เอาละให้ พดคุยกัน
                                           ั ั                ู
ต่อไปนะ
22
      หลวงพ่ อทูล เทศน์ ท่ ี รร.ปานะพันธ์ กัณฑ์ ท่ ี 2

          จากนีไ้ ปจะได้ อบรมธรรมะ เพื่อให้ เข้ าใจในข้ อวัตรปฏิบติ       ั
อุบ ายในข้ อ วัต รปฏิ บัติ มี ม ากมาย แต่ จุด ใหญ่ ท่ี สุด สํ า หรั บ การ
ปฏิ บัติคือ สติปัญญา เป็ นฐานรองรั บการปฏิ บัติทังหมด ไม่ว่า
                                                         ้
ปฏิบติที่ไหนอย่างไร ปฏิบติทางกายก็ดี วาจาก็ดี หรื อนึกคิดทางใจ
        ั                     ั
ก็ ดี สติ ปั ญ ญาเป็ นหลัก สํ า คัญ คํ า สอนของพระพุ ท ธเจ้ ามี
มากมาย 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่ก็มารวมลงอยู่ที่ สติปัญญา
นี่คือจุดสําคัญของการปฏิบติ     ั
          ส่วนอุบายอื่นที่เป็ นหลักประกอบการปฏิบติ เช่น กิริยาทาง
                                                    ั
กาย วาจา หรื อ การนึกคิดทางใจ ทังหมดนี ้ เราจะมีอบายอย่างไร
                                        ้                  ุ
เพื่อใช้ อุบายทางกาย ให้ เป็ นธรรม อย่างถูกต้ อง เพราะกิริยาทาง
กายมีมาก สิ่งที่เราต้ องคํานึงถึงคือ สติปัญญา สติ มีความหมาย
อย่างไร ปั ญ ญามี ค วามหมายอย่างไร ที่ เ ราจะนํ ามาปฏิ บัติไ ด้
เพื่ อ จะเป็ นเครื่ อ งปกป องกายวาจาใจ ให้ อ ยู่ใ นกรอบของความ
                          ้
ถูกต้ องเป็ นธรรม
          สติ หมายถึง ความระลึกได้ นี่เป็ นอุบายหนึ่ง ปั ญญา คือ
ความรอบรู้ นี่เป็ นอีกอุบายหนึ่ง ทังสองอุบายมีความเกี่ยวเนื่อง
                                      ้
กันมากทีเดียว ถ้ าเรารอบรู้ แต่ขาดความระลึกได้ ความรอบรู้นนก็          ั้
มีผลน้ อยเต็มที ถึงเราจะระลึกได้ แต่ขาดความรอบรู้ แล้ ว ผลก็
น้ อยเต็มทีเช่นเดียวกัน ดังนัน การสร้ างความสัมพันธ์ อนดีระหว่าง
                                  ้                          ั
สติ กับ ปั ญ ญา เป็ นต้ น ทางสํ า คัญ ในการวางแผนการปฏิ บัติ
23

ทังหมด จะเรี ยกว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ก็อยู่ท่ีต้นทางนี ้ อยู่
    ้
ที่สติปัญญาเป็ นหลักใหญ่
          คนเราทุกวันนี ้มีสติอยู่ แต่การระลึกได้ มีทงทางโลก และ
                                                      ั้
ทางธรรม ที่ระลึกได้ ตามธรรมชาติที่เป็ นเองก็มี โดยที่ไม่ต้องมีใคร
มาบอกเรา บางทีก็ระลึกไปในทางที่ดี บางทีก็ระลึกไปในทางที่ชว       ั่
สติเป็ นตัวระลึก ส่วนปั ญญาเป็ นอุบายกลันกรองรอบรู้ สิ่งที่ระลึก
                                             ่
ทังหมดว่า สิ่งใดมีประโยชน์ มีคุณค่า นํามาปฏิบติกับตนเองได้
      ้                                               ั
ไม่ใช่วา การระลึกได้ ทงหมดจะเป็ นสิงดี พยายามทิ ้งไปในส่วนที่ไม่
        ่                ั้            ่
ควรเอา นักปฏิบตต้องวางพื ้นฐานนี ้ให้ ได้
                      ัิ
          หลายคนมีคําถามว่า การสร้ างสติให้ มีความเข้ มแข็ง ทํา
อย่างไร คือ พยายามฝึ กตัวให้ มีความระลึกได้ อยู่เสมอ การระลึก
ได้ ในที่นี ้ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ธรรม
สองหมวดนีทุกคนรู้ อยู่แล้ ว เข้ าใจในหลักการ แต่ภาคปฏิบัติไม่
                   ้
เข้ าใจ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว สอง
อุบายนี ้ลึกซึ ้งมาก ยากที่บุคคลจะปฏิบติให้ เป็ นไปตามธรรมสอง
                                           ั
หมวดนี ้ได้
          หิริ ความละอาย เป็ นหลักใหญ่ในการปฏิบติ หากคนเรามี
                                                    ั
ความละอายแล้ ว การทําชัวทังหมดทังทางกายวาจาใจจะไม่เกิด
                              ่ ้        ้
ขึ ้นกับคนนันเลย เพราะมีความละอายกับตนเอง นี่คือธรรมเพียง
                 ้
หมวดเดียวในภาคปฏิบติจะทําได้ หรื อไม่ สมมติว่า เราจะไม่เอา
                            ั
ธรรมหมวดอื่นแล้ ว เราจะฝึ กความละอายอย่างเดียว ให้ มีความ
เข้ มแข็ง จะทําได้ หรื อไม่ สติระลึกได้ แต่ละวันจะระลึกในความ
24
ละอายแก่ ต นเอง โดยไม่ ต้ อ งเอาธรรมหมวดอื่ น มาอวดอ้ า งว่า
ธรรมหมวดนันก็ร้ ู หมวดนีก็ร้ ู เราจะฝึ กธรรมะเพียงหมวดย่อๆ นี ้
                  ้                 ้
คื อ มี ส ติ ร ะลึก ได้ ว่า จะมี ค วามละอายแก่ ใ จอยู่ทุก เมื่ อ จะทํ า ได้
หรื อ ไม่ นี่ คื อ ส่ ว นที่ เ ราต้ อ งสํ า นึ ก ให้ ดี แต่ เ ราทํ า ไม่ ไ ด้ ต ามที่
ต้ องการหรอก เพราะจะเกิดความพลังเผลออยูบ้าง      ้        ่
          โอตตัปปะ ความเกรงกลัว จะทําอย่างไรให้ ใจเกิดความ
เกรงกลัวต่อสิ่งนันๆ ผู้ที่จ ะทํ าให้ เ กิ ด ความเกรงกลัว ขึน ในใจได้
                        ้                                              ้
ต้ องมีเหตุผลหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าจะกลัวอย่างเดียว อย่างนันใช้                     ้
ไม่ได้ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ธรรมสอง
หมวดนี ้เป็ นต้ นทางของการปฏิบติ ในการเลือกเฟนความดีความ
                                          ั                     ้
ชัว ต้ องรู้ จกธรรมสองข้ อนี ้ให้ ดี คําว่า กลัว มีหลายพื ้นฐาน หลาย
   ่           ั
ขันตอน กลัวอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด กลัวทางโลก
     ้
อย่างหนึง กลัวทางธรรมอีกอย่างหนึง
           ่                                   ่
          สําหรับนักปฏิบติแล้ ว พยายามกลัวทางโลกให้ มาก อบรม
                               ั
สั่งสอนใจให้ กลัวความเป็ นอยู่ของโลกให้ ได้ ส่วนมากเราจะไม่
อบรมตัวเองให้ กลัวความเป็ นอยู่ของโลก มีแต่จะอบรมตนเองให้
ต่อ สู้ต ลอดไป ความเป็ นอยู่ข องโลกเป็ นไปอย่า งไรก็ ห ากลัว ไม่
พยายามต่อ สู้อ ยู่ต ลอดเวลา โลกเป็ นอย่า งไร เราเป็ นอย่า งนัน                     ้
เพื่อนฝูงเป็ นอย่างไร เราเป็ นอย่างนัน เพื่อนผิดถูกไม่สนใจ เขาทํา
                                             ้
ได้ เราก็ทําได้ ในที่สดเราก็ถือเอาคนกลุ่มใหญ่เป็ นหลักเป็ นเกณฑ์
                            ุ
เมื่อคนกลุมนันผิด เราก็ผิดตามเขา ใช้ ไม่ได้ เลย
              ่ ้
          คําว่า เกรงกลัว นัน กลัวอะไร ขันสูงสุดคือ กลัวการเกิด
                                  ้                    ้
25

ถ้ าเราฝึ กใจตนเองให้ กลัวการเกิดได้ ฝึ กอย่างไร นี่คือขันสูงสุด                ้
ของพระพุท ธศาสนา กลัว การเกิ ด อี ก ในชาติ ห น้ า ทํ า ไมจึง ฝึ ก
ตนเองให้ กลัวอย่างนัน เพราะการเกิดอีกเป็ นทุกข์นานาประการ
                                 ้
ไม่เคยเลือกหน้ าใครทังสิ ้น ไม่วาที่ไหน ตระกูลใด ชนชาติใด ความ
                                   ้     ่
ทุกข์ไม่เลือกหน้ า เมื่อเกิดมาแล้ วย่อมมีความทุกข์ ด้วยกันทังนัน                    ้ ้
ทุกข์อย่างหนึง คือ    ่
            1.สภาวะทุกข์ ทุกข์ประจําขันธ์ ขันธ์ ของเราเป็ นฐานแห่ง
ความทุกข์ทงหมด     ั้
            2. ปกิณกะทุกข์ ทุกข์ ที่จรมา ทุกคนต้ องประสบพบเห็น
ทุกข์ที่จรมาเช่นเดียวกัน
            ความทุกข์ทงหมด เราจะกลัวได้ ไหม การอบรมสอนใจให้
                              ั้
กลัวในทุกข์เหล่านี ้ได้ นันคือ ผู้มีปัญญา ใช้ ปัญญาหาเหตุผลใน
                                     ่
แง่ต่างๆ อบรมสังสอนตนเองว่า การเป็ นอยู่ในโลกนีมีความทุกข์
                          ่                                             ้
อย่างไรบ้ าง ต้ องสอนทุกแง่ทุกมุม ทุกจุดทุกอุบาย ไม่ใช่ร้ ู ทุกข์
อย่างเดียว ต้ องเห็นทุกข์ด้วย หากรู้ อย่างเดียว แต่ไม่เห็นเหตุให้
เกิดทุกข์แล้ ว ผลประโยชน์น้อยเต็มที ฉะนันการภาวนาปฏิบติต้อง
                                                          ้                       ั
ให้ ร้ ู เหตุใ ห้ เ กิ ด ทุก ข์ และเห็ น เหตุใ ห้ เ กิ ด ทุก ข์ ด้ ว ย ให้ เ กิ ด ความ
ละอายแก่ใจ และให้ เกิดความเกรงกลัว คือกลัวการเกิดมากับโลก
ทําอย่างไรจะได้ ไม่เกิดอีกต่อไป
            นี่เป็ นจุดที่ผ้ ูปฏิบัติจะแสวงหาธรรมะขันสูงต่อไป คิดจะ้
อบรมตนเอง ให้ เกิ ดความกลัว ขึนในใจ เราคนเดียวที่ สามารถ
                                             ้
อบรมตนเองได้ ถึงคนอื่นจะอบรมเราอย่างไร ก็เป็ นเพียงปลีกย่อย
26
เตือนเราให้ เราอบรมตนเองเท่านันเอง เช่น ขณะนี ้พวกเราได้ มา
                                    ้
อบรมธรรมะอยู่ก็ตาม นี่เป็ นส่วนปลีกย่อย เพียงมารั บนโยบาย
จากผู้ให้ การอบรม ส่วนเราผู้รับการอบรมต้ องนําอุบายทังหมดไป
                                                        ้
อบรมตนเองครังที่สอง อีกต่อหนึ่ง อุบายใดที่ได้ รับมาก็ต้องนําไป
                    ้
อบรมตนเองอีกครังหนึง บุคคลที่อบรมตนเองได้ นนคือ ผู้มีปัญญา
                      ้ ่                         ั่
มีความฉลาดในการอบรมตนเองอยูเ่ สมอ
          การอบรมตนเองไม่จําเป็ นต้ องหากาลเวลา เวลานันก่อน้
เวลานี ้ก่อน หรื อต้ องเข้ าที่ภาวนาก่อนจึงจะอบรมตนเอง ไม่จําเป็ น
การอบรมตนเองไม่มีกาลเวลา ทําที่ไหนก็ได้ กินข้ าวก็ได้ ทํางาน
ก็ได้ สําคัญที่ให้ เรามีสติปัญญา รู้ อบายวิธีในการอบรมตนเองอยู่
                                       ุ
เสมอ
          ใจของเรามีความอยาก สันดานเดิมคือไม่ร้ ู เท่าตามความ
เป็ นจริ ง เป็ นเวลานาน จนกลายเป็ นนิสัยจิตด้ านจนถึงปั จจุบัน
หากไม่มีความขยันหมันเพียรแล้ ว การอบรมก็จะเป็ นไปยากมาก
                          ่
เพราะจิตเราไม่ยอมรับความจริ งตามหลักความจริ ง ต้ องใช้ ปัญญา
อบรมตนเองอยูเสมอ ไม่เช่นนันจิตเราจะด้ านเสีย ฉะนัน เราจึงไม่
                  ่               ้                   ้
รอให้ คนอื่นอบรมเราฝ่ ายเดียว เราต้ องอบรมตนเองเป็ นสําคัญ
เรี ยกว่า ตนแลเป็ นผู้อบรมตนเอง
          จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง จิตที่ถกอบรมอยู่เสมอๆ จิตจะมี
                                          ู
ความฉลาด มี ค วามเข้ า ใจในเหตุใ นผล จิ ตจะมี ความสุข ความ
เจริ ญ เราต้ องเป็ นผู้อบรมตนเองเสมอ ตนเตือนตนด้ วยตนเอง
อบรมตนเอง สิ่งที่เราทําผิดไหม ถูกไหม เตือนตนอยู่เสมอ สิ่งนี ้ไม่
27

ควรทํา สิงนี ้ควรทํา
             ่
            จิตตัง รักเขถะ เมธาวี แปลว่า ผู้มีปัญญาดีเท่านัน จึงจะ          ้
รักษาจิตได้ ถ้ าผู้มีปัญญาทราม จะรั กษาจิตไม่ได้ เลย ปล่อยไป
ตามยถากรรม คิดเรื่ องดีเรื่ องชัวก็ไม่เข้ าใจว่า ผิดหรื อถูก เพราะ
                                           ่
ขาดปั ญญารอบรู้ การใช้ ปัญญาอบรมใจ ว่า สิ่งนันควรทํา ควร           ้
พูด ควรคิด สิ่งนี ้ควรปฏิบติ สิ่งนี ้ควรละ ควรวาง ปั ญญาความรู้
                                    ั
รอบทังหมดว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ธัมมะวิจยะ รู้ จกการเลือก
          ้                                                             ั
เฟนธรรมะมาปฏิบตกบตนเอง
    ้                        ัิ ั
            อีกคําหนึง ตนแลเป็ นที่พงของตน จะพึงอย่างไร พึงคนอื่น
                        ่                    ึ่              ่                ่
พึ่ง ได้ ประเดี๋ย วประด๋า ว แต่พึ่งตนเองเป็ นสิ่งสํ าคัญ เราจะเอา
สติปัญญาเป็ นที่พงตนเองได้ อย่างไร ต้ องสร้ างขึ ้นมา
                          ึ่
            ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่กับลูก ในเบื ้องต้ นต้ องอาศัยพ่อแม่
เป็ นผู้บํ า รุ ง รั ก ษาลูก ให้ เ จริ ญ เติบ โต แต่ที่ สํ า คัญ เมื่ อ ลูก ใหญ่ โ ต
ขึ ้นมา เมื่อรู้ จักความเป็ นอยู่ของตนเองแล้ ว ไม่ใช่ลูกจะเกาะพ่อ
แม่ ไ ปจนตลอดวัน ตาย จํ า เป็ นต้ อ งออกไปเป็ นตัว ของตัว เอง
บุคคลจะเป็ นตัวของตัวเองได้ ต้ องรู้ จกว่า เป็ นที่พึ่งของตนเองได้
                                                 ั
อย่างไร พึ่งความสามารถ สติปัญญาตนเองอย่างไร ให้ เราฝึ ก
นิสยพึงตนเองอยูเ่ สมอ นี่คือสิงที่ต้องสํานึกให้ มาก
      ั ่                               ่
            อีกสิ่งหนึ่ง คือ เรากําลังอาศัยครู อาจารย์ ผู้เป็ นพ่อเป็ นแม่
ให้ ค วามรู้ ความฉลาดแก่ เ รา เพื่ อ เป็ นที่ พึ่ ง แก่ ต นเองให้ ไ ด้ นํ า
ความรู้ ทังหมดบรรจุลงในตัวเองให้ มาก เพราะเราไม่สามารถจะ
               ้
อบรมธรรมะกันได้ ตลอดวันตลอดคืน ตลอดเดือนตลอดปี ถ้ าหาก
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร

Contenu connexe

Tendances

ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบthnaporn999
 
ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธreemary
 
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานแนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานPadvee Academy
 
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล                โดย ครูอัมพรศาสนาสากล                โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพรampy48
 
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)Padvee Academy
 
อัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายาน
อัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายานอัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายาน
อัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายานPadvee Academy
 
พระพุทธศาสนานิกายเซน
พระพุทธศาสนานิกายเซนพระพุทธศาสนานิกายเซน
พระพุทธศาสนานิกายเซนPadvee Academy
 
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่าพระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่าKasetsart University
 
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhismพระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana BuddhismPadvee Academy
 
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาprimpatcha
 
ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์thnaporn999
 
ศาสนาสากล
ศาสนาสากลศาสนาสากล
ศาสนาสากลThanaponSuwan
 
กลางภาค ส43101 ม.6
กลางภาค ส43101 ม.6กลางภาค ส43101 ม.6
กลางภาค ส43101 ม.6thnaporn999
 
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาทจักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาทPadvee Academy
 
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุPadvee Academy
 
ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบthnaporn999
 
ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1thnaporn999
 

Tendances (20)

ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบ
 
590802 บทที่-1-แก้ไขแล้ว
590802 บทที่-1-แก้ไขแล้ว590802 บทที่-1-แก้ไขแล้ว
590802 บทที่-1-แก้ไขแล้ว
 
ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ
 
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานแนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
 
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล                โดย ครูอัมพรศาสนาสากล                โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพร
 
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
 
อัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายาน
อัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายานอัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายาน
อัคคิวัจฉโคตตสูตร บ่อเกิดแนวคิดมหายาน
 
พระพุทธศาสนานิกายเซน
พระพุทธศาสนานิกายเซนพระพุทธศาสนานิกายเซน
พระพุทธศาสนานิกายเซน
 
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่าพระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
 
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhismพระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
 
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
 
ความหมายและประเภทของศาสนา
ความหมายและประเภทของศาสนาความหมายและประเภทของศาสนา
ความหมายและประเภทของศาสนา
 
ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์
 
ศาสนาสากล
ศาสนาสากลศาสนาสากล
ศาสนาสากล
 
กลางภาค ส43101 ม.6
กลางภาค ส43101 ม.6กลางภาค ส43101 ม.6
กลางภาค ส43101 ม.6
 
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาทจักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
 
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
 
ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบ
 
ฮินดู
ฮินดูฮินดู
ฮินดู
 
ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1
 

En vedette

The Socio Cultural Evolution Of Our Species Copia
The Socio Cultural Evolution Of Our Species CopiaThe Socio Cultural Evolution Of Our Species Copia
The Socio Cultural Evolution Of Our Species CopiaTony Valderrama
 
Swiss And The World Currencies
Swiss And The World CurrenciesSwiss And The World Currencies
Swiss And The World CurrenciesAnindya Banerjee
 
It Is Good To Be A Referee
It Is Good To Be A RefereeIt Is Good To Be A Referee
It Is Good To Be A Refereemichaettg
 
Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009
Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009
Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009toshima
 
When The Market Speaks, Listen
When The Market Speaks, ListenWhen The Market Speaks, Listen
When The Market Speaks, ListenAnindya Banerjee
 
GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010
GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010
GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010Anindya Banerjee
 
MECHANICS OF FX OPTIONS ON NSE
MECHANICS OF FX OPTIONS ON NSEMECHANICS OF FX OPTIONS ON NSE
MECHANICS OF FX OPTIONS ON NSEAnindya Banerjee
 

En vedette (13)

The Socio Cultural Evolution Of Our Species Copia
The Socio Cultural Evolution Of Our Species CopiaThe Socio Cultural Evolution Of Our Species Copia
The Socio Cultural Evolution Of Our Species Copia
 
Chart Tales Of US Dollar
Chart Tales Of US DollarChart Tales Of US Dollar
Chart Tales Of US Dollar
 
FX Outlook Sept2010
FX Outlook Sept2010FX Outlook Sept2010
FX Outlook Sept2010
 
WordPress MU
WordPress MUWordPress MU
WordPress MU
 
Bibiana menegaz arquitetura de atmosfera hotéis e pousadas
Bibiana menegaz arquitetura de atmosfera   hotéis e pousadasBibiana menegaz arquitetura de atmosfera   hotéis e pousadas
Bibiana menegaz arquitetura de atmosfera hotéis e pousadas
 
Swiss And The World Currencies
Swiss And The World CurrenciesSwiss And The World Currencies
Swiss And The World Currencies
 
It Is Good To Be A Referee
It Is Good To Be A RefereeIt Is Good To Be A Referee
It Is Good To Be A Referee
 
Apresentação arquitetura hoteleira
Apresentação arquitetura hoteleiraApresentação arquitetura hoteleira
Apresentação arquitetura hoteleira
 
Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009
Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009
Health Savings Accounts (HSAs)- What they are and how to use them-2009
 
When The Market Speaks, Listen
When The Market Speaks, ListenWhen The Market Speaks, Listen
When The Market Speaks, Listen
 
GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010
GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010
GLOBAL CHART BOOK-JUNE 2010
 
MECHANICS OF FX OPTIONS ON NSE
MECHANICS OF FX OPTIONS ON NSEMECHANICS OF FX OPTIONS ON NSE
MECHANICS OF FX OPTIONS ON NSE
 
Management Luka
Management LukaManagement Luka
Management Luka
 

Similaire à หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร

แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนTongsamut vorasan
 
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปดสำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปดTongsamut vorasan
 
พระพุทธศาสนากับการสื่อสาร
พระพุทธศาสนากับการสื่อสารพระพุทธศาสนากับการสื่อสาร
พระพุทธศาสนากับการสื่อสารJack Like
 
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่งครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่งพัน พัน
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนTongsamut vorasan
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญาสุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญาTongsamut vorasan
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมniralai
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์YajokZ
 
Dhamma core
Dhamma coreDhamma core
Dhamma coreYajokZ
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์guest3650b2
 
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์niralai
 
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้นบทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้นGawewat Dechaapinun
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒dentyomaraj
 

Similaire à หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร (20)

แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
 
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปดสำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
 
พระพุทธศาสนากับการสื่อสาร
พระพุทธศาสนากับการสื่อสารพระพุทธศาสนากับการสื่อสาร
พระพุทธศาสนากับการสื่อสาร
 
ทุกศาสนา
ทุกศาสนาทุกศาสนา
ทุกศาสนา
 
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่งครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญาสุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญา
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
 
Dhamma core
Dhamma coreDhamma core
Dhamma core
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
 
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
 
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้นบทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
 
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
 

หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร

  • 1.
  • 2. 1
  • 3. 2
  • 4. 3 วัฏสงสาร หลวงพ่ อทูล เทศน์ ท่ ี รร.ปานะพันธ์ กัณฑ์ ท่ ี 1 ขอเจริ ญธรรม แก่ท่านพุทธมามกะบริ ษัททังหลาย เนื่อง ้ ด้ วยพวกเราทังหลายได้ มารวมกัน เรี ยกว่า ธรรมสภา เป็ นสถานที่ ้ ร่ วมกันปฏิบตธรรม ครังนี ้ เป็ นครังที่ 4 หลายคนได้ ติดตามมาตังแต่ ัิ ้ ้ ้ ครังแรกจนถึงปั จจุบน บางท่านได้ ติดตามมาครังสองครัง หรื อครัง ้ ั ้ ้ ้ แรกก็เป็ นได้ ฉะนันสถานที่แห่งนี ้ ถือว่าเป็ นธรรมสภา อบรมธรรมะ ้ ค้ น คว้ า ในธรรม พวกเราทั ง หลายเข้ าใจว่ า ต้ องไปวัด จึ ง จะ ้ แสวงหาธรรมะได้ ไม่เข้ าใจว่า ธรรมะอยู่ที่ไหน ทําอย่างไรจึงจะ เข้ าถึงธรรม สถานที่ท่ีได้ จดไว้ ว่าเป็ นวัด นันเป็ นส่วนหนึ่งสําหรั บ ั ้ พระสงฆ์สามเณรอยูอาศัยนันเป็ นส่วนหนึง ่ ่ ่ ส่วนการแสวงหาธรรม หรื อสภาธรรม ไม่จํากัดในที่เช่นนัน ้ ตลอดไป เช่น เราอยู่ในที่แห่งนี ้ ก็ถือว่าเป็ นสภาธรรมได้ คือเป็ น สถานที่ศกษาธรรม หรื อปฏิบติธรรม ทีนี ้เราชาวพุทธทังหลาย ต้ อง ึ ั ้ ศึกษาธรรมะให้ มากขึน ตามหลักความเป็ นจริ ง ตามคําสอนของ ้
  • 5. 4 พระพุทธเจ้ า พระพุทธเจ้ า ได้ สอนธรรมะแก่เรานัน เป็ นธรรมะที่้ พระองค์ค้นพบด้ วยพระองค์เอง ค้ นพบที่ไหน ค้ นพบธรรมะที่มีอยู่ กับโลก โลกทังหมดมีธรรมะเป็ นหลักความจริ งอยู่แล้ ว แต่ก่อนมา ้ ไม่เ คยมี ใ ครพบว่าเป็ นหลักความจริ ง ทัง ที่ ค วามจริ ง มี อ ยู่ใ นตัว ้ ทังหมด คําสอนของพระพุทธเจ้ าที่นํามาสอนทังหลาย เรี ยกว่า ้ ้ ศาสนธรรมคําสอน เป็ นการนําความจริ งมาสอนคน คือคนเรามี ความจริ ง อยู่ ใ นตัว แต่ ป ฏิ บัติ ต ามความจริ ง ในตัว ทัง หมดไม่ ้ สมบูร ณ์ ขาดตกบกพร่ อ งอยู่เ สมอ เพราะไม่ร้ ู จัก วิธี แ นวทางที่ ถูกต้ อง ผิดบ้ าง ถูกบ้ าง ล้ มลุกคลุกคลานอยูเ่ สมอ คํ า สอนของพระพุท ธเจ้ า นี จึ ง เป็ นคํ า สอนที่ ม าประยุก ต์ ้ ความจริ ง ทัง หมดที่ เ ราปฏิ บัติ ม าแล้ ว ในอดี ต ให้ เ ป็ นกลุ่ม ก้ อ น ้ ปฏิบติได้ อย่างถูกต้ องอย่างชัดเจนขึ ้น คําสอนของพระพุทธเจ้ าจึง ั เป็ นของเก่าที่สตว์โลกทังหลายเป็ นมาในอดีต จนถึงปั จจุบน เอา ั ้ ั เรื่ องเก่าๆ นี่แหละ มาปรับปรุ งให้ คนได้ เข้ าใจในความเป็ นจริ ง คํา ว่า รู้จริ งตามความเป็ นจริ ง จริ งอะไร ถึงเราจะภาวนาปฏิบติตาม ั วิธีอ่ืนๆ ถ้ าเราไม่ปฏิบติตามแนวทางที่ถกต้ อง ความรู้ จริ งเห็นจริ ง ั ู จะไม่เกิดขึนกับเราได้ สัจธรรมเป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ า คือ ้ พูดแล้ วไม่ผิด เป็ นความจริ งตลอดเวลา ไม่มีสงใดจะแก้ ไขได้ ิ่ ถึงแม้ ว่าจะมี คนใดคนหนึ่งที่ เกิ ดมาในโลกนี ้ จะมาแก้ ไ ข ความจริ ง ให้ เ ปลี่ ย นไปเป็ นอย่า งอื่ น จะเปลี่ย นแปลงไม่ไ ด้ เ ลย เพราะหลักความจริ งเป็ นหลักธรรมชาติที่มีอยู่กบโลกไม่ว่าจะกาล ั ไหนๆ ธรรมะ ในสมัยที่พระองค์ออกปฏิบติช่วงแรก ไม่มีใครให้ ั
  • 6. 5 คําแนะนําพระองค์เลย แต่พระองค์ก็นําหลักธรรมชาติมาพิจารณา ว่าอะไรเป็ นอะไร ธรรมชาติทงหมดเป็ นคําสอน เพราะคนเราอยูกบ ั้ ่ ั ธรรมชาติ เกิ ด มาตามธรรมชาติ อยู่ ต ามธรรมชาติ ชี วิ ต เรา หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามธรรมชาติทงนัน อยู่กบที่ไม่ได้ ส่วนเรื่ อง ั้ ้ ั สังขารร่างกายหรื อรูปขันธ์เป็ นอีกเรื่ องหนึง ่ ธรรมชาติ ที่ ห มุน อยู่กับ โลกนี ้ ไม่ มี ใ ครกํ า หนดได้ ไม่ มี พระพุทธเจ้ า หรื อ พระเจ้ าองค์ใดจะกําหนดให้ เป็ นไปตามใจชอบ ได้ เรี ยกว่า วัฏจักร พูดง่ายๆ ว่า ชีวิตเราที่เป็ นอยู่นี ้ก็หมุนเวียนไป ตามธรรมชาติ ธรรมชาตินี ้ มีขึ ้นๆ ลงๆ เช่น อายุขยของคนเรา หรื อ ั ชีวตความเป็ นอยูก็มีการขึ ้นๆ ลงๆ ตามธรรมดา ส่วนมากเราศึกษา ิ ่ ในทางวิ ท ยาศาสตร์ วิท ยาศาสตร์ จ ะศึก ษาเรื่ อ งอดี ต แต่เ รื่ อ ง อนาคตไม่มีใครสามารถเขียนล่วงหน้ าให้ เป็ นไปตามจริ งได้ เพราะ หลักธรรมชาติเป็ นเรื่ องลึกลับละเอียดอ่อน ผู้จะรู้ เรื่ องธรรมชาติมี เพียงคําสอนของพระพุทธเจ้ า เรี ยกว่า โลกวิทู โลกวิทู คือ รู้ แจ้ ง โลก รู้ แจ้ ง ทัง อดี ต ที่ เ ป็ นมาของธรรมชาติ ว่ า เป็ นอย่ า งไร รู้ ใน ้ ปั จจุบนว่าธรรมชาติของโลกปั จจุบนเป็ นอย่างไร และสามารถจะรู้ ั ั ธรรมชาติของอนาคตต่อไปว่า อนาคตธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไป เป็ นอย่างไร พระพุทธเจ้ าสามารถรู้ได้ ทงหมด จึงนํามาเขียนเพื่อให้ ั้ คนได้ ศึก ษาตามหลัก ความเป็ นจริ ง ว่า วัฏ จักรที่ ห มุน ไปตาม ธรรมชาติหมุนอย่างไรบ้ าง ตัวเราที่เกิดตายในวัฏสงสารนี ้ เกิดกี่ ครั ง มาแล้ ว แต่ ล ะครั ง แต่ ล ะภพชาติ ที่ เ กิ ด มา การเกิ ด นั น มี ้ ้ ้ ความสุข มีความเจริ ญทุกภพชาติหรื อไม่ นี่คือศึกษาความจริ งของ
  • 7. 6 ตนเอง ทีนี ้การศึกษาความจริ งของตนเอง จําเป็ นต้ องศึกษาความ จริ ง ของคนอื่ น ด้ ว ย จากธรรมชาติ ร อบตัว ด้ ว ย เพราะทุ ก สิ่ ง เปลี่ยนไปตามธรรมชาติทงหมด ที่พดเรื่ องธรรมชาติให้ ฟังนี ้ เพื่อให้ ั้ ู รู้ จกโทษ รู้ จกภัย รู้ จกทุกข์ เรามาเกิดกับธรรมชาตินี ้ ต้ องรู้ ว่า เรา ั ั ั จะได้ อะไร มีดีส่วนใด มีชวส่วนใด ส่วนไหนบ้ างที่เป็ นข้ อคิด เป็ น ั่ ข้ อ ปฏิ บัติ เราจะหาวิ ธี ห ลี ก เลี่ ย งได้ อ ย่ า งไร จะไม่ ใ ห้ เ กิ ด ตาม ธรรมชาตินานเกินไป สําหรับพระอริ ยเจ้ าทังหลายที่ได้ ศกษาธรรมชาติ ท่านจึงรู้ ้ ึ ว่า ธรรมชาติที่หมุนเวียนอย่างนี ้ ชีวิตของมวลสัตว์ทงหลาย ไม่ว่าั้ สัตว์น้อยใหญ่ สัตว์บกสัตว์นํ ้า ตลอดจนคนทุกชาติภาษาไม่ว่าจะ ดี ห รื อ ชั่ ว เมื่ อ มาเกิ ด กั บ โลกนี แ ล้ วก็ ต้ องหมุ น เวี ย นไปตาม ้ ธรรมชาติตลอดเวลา หาทางสิ ้นสุดไม่ได้ ขณะที่หมุนไปอยู่นน ก็ ั้ ได้ อาศัยความอยากของตนเอง ทําตามความอยากอยู่เรื่ อยๆ โดย ไม่เข้ าใจว่า การทําตามความอยาก ให้ โทษ ให้ ภย ให้ คณอย่างไร ั ุ ทําตามความอยากอยู่เสมอ สุดท้ ายแล้ วก็มีความผิดเป็ นส่วนใหญ่ เพราะจิตใจของคนพยายามรั่ วไหลไปในทางที่ตํ่าเสมอไป การ พยายามพยุงจิตใจให้ เข้ มแข็ง ให้ ก้าวหน้ า มีจิตใจที่สงขึ ้นนัน ยาก ู ้ มากที่ จ ะทํ า ได้ จึ ง ต้ อ งนํ า คํ า สอนของพระพุ ท ธเจ้ ามาศึ ก ษา เพื่อให้ เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏสงสาร เห็นทุกข์โทษภัยในธรรมชาติ ที่มีอยู่ เราได้ เลื่อนลอยเกิดแก่เจ็บตายในวัฏสงสารมาหลายชาติภพ ก็เหมือนปั จจุบันชาตินีทังหมด ชาติก่อนเราก็ เป็ นอย่างนี ้ เกิ ด ้ ้
  • 8. 7 ขึ ้นมา ผู้หญิงก็เป็ นเพศหญิง ผู้ชายก็เป็ นเพศชาย เกิดมาแล้ วก็ต้อง แก่เจ็บตาย เป็ นธรรมชาติของสัตว์โลกทุกตัวต้ องเป็ นอย่างนี ้ ไม่มี คนหนึ่งคนใดหรื อสัตว์ใด จะอยู่ตลอดกัปตลอดกัลปได้ การเกิด์ มาทัง หมดจะมี อ ะไรเป็ นเครื่ อ งต่ อ รองได้ ว่ า เราจะมี ค วามสุข ้ ตลอดไป อะไรจะเป็ นเครื่ องต่อรองได้ ไม่มีเลย ในโลกนีหาสิ่งที่มีความเที่ยงแท้ แน่นอนอย่างจริ งจังไม่ได้ ้ ธรรมชาติเป็ นสิ่งที่หมุนเวียนกันอยู่เท่านัน เรื่ องความสุขความทุกข์ ้ ก็ เ ป็ นธรรมชาติ ข องคนที่ ต้ องเจอ นี่ คื อ ความจริ งของโลก พระพุทธเจ้ ามองเห็นชัด จึงได้ ประกาศศาสนาให้ คนในภายหลังได้ ศึกษาความจริ ง เอาความจริ งมาสอนคน ให้ คนได้ เห็นทุกข์โทษ ภัยในธรรมชาติ เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏสงสารที่หมุนเวียนกันอยู่ว่า เป็ นทุกข์อย่างไร เมื่อเห็นทุกข์แล้ ว เขาเหล่านันก็จะเกิดความเบื่อ ้ หน่าย กลัวในการเกิด กลัวในความทุกข์ กลัวในภัยต่างๆ การ ภาวนาปฏิบตก็คือเพื่อให้ ร้ ูธรรมชาติท่ีมีอยูนี ้เอง ัิ ่ ฉะนันหลักการภาวนาปฏิบติที่เราทําก็เพื่อมุ่งหวังให้ ร้ ูความ ้ ั จริ งในธรรมชาติที่มีอยู่ คําว่า โลกวิทู เป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ า พระสาวกก็จะรู้ ได้ บางท่าน ถึงจะไม่ร้ ู ทังหมด รู้ ได้ บางส่วนก็ยงดี ้ ั โลกวิทู มีอะไรเป็ นเครื่ องวัด มีหลัก 3 ประการใหญ่ๆ คือ 1.ความจริ ง คือ ไม่เที่ยง 2.ความจริ ง คือ ความทุกข์ 3.ความจริ ง คือ ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา หลัก ใหญ่ ทัง 3 ประการนี ้ คื อ หลัก ประกัน ของโลกวิ ทู ้
  • 9. 8 ทัง หมด โลกวิ ทูเ ป็ นผู้ร้ ู แจ้ ง โลกทัง หมดมารวมอยู่ใ นหลัก ไตร ้ ้ ลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และ ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา สําหรับผู้ปฏิบติทงพระและฆราวาสก็สามารถรู้ ได้ เป็ นโลกวิทูได้ ั ั้ ถึงจะไม่กว้ างขวางพิสดารเท่าพระพุทธเจ้ า แต่เราก็ร้ ู ได้ นี่คือหลัก ปฏิบติ ั ทําไมจึงต้ องปฏิบติ เพราะเราหลงโลกหลงสงสาร โมหะ ั อวิ ช ชา โมหะ หมายถึ ง ความหลงตามธรรมชาติ ที่ ล่ อ งลอยใน วัฏสงสาร หลงในภพ หลงในชาติ หลงในวัฏจักร ที่เราเกิดตายมา ยาวนาน การพิจารณาอย่างนี ้เพื่อแก้ ปัญหาความหลงของตนเอง ที่มีอยูในขณะนี ้ ให้ เบาบางลง คําว่า ไม่ร้ ู คือ อวิชชา ไม่ร้ ูจริ งตาม ่ หลักความเป็ นจริ ง การแก้ อวิชชาจะเอาอะไรมาแก้ คือ เอาความ จริ งมาเป็ นเครื่ องตัดสิน เอาความจริ งของธรรมชาติที่มีอยู่ ทังเรา ้ ทังเขา ทังใกล้ ทงไกล ทังหยาบทังละเอียด ทังหมดนํามาพิจารณา ้ ้ ั้ ้ ้ ้ เพื่อแก้ ให้ เกิดความรู้จริ งเห็นจริ งเฉพาะตัว เอาความจริ งมาสอนใจ เพื่อให้ หมดความหลง นี่คือธรรมชาติที่เราต้ องศึกษา ศึกษาให้ เห็นจริ งเมื่อไร เรา จะกลัวเมื่อนัน เช่นว่า ชีวิตของเรานีเ้ ลื่อนลอยตังแต่กัปนันจนถึง ้ ้ ้ กัป นี ้ มัน ยาวนาน ไม่ท ราบว่า ชี วิต ของเราหรื อ จิ ต ของเราเกิ ด ๆ ตายๆ มานับไม่ถ้วน จึงเชื่อพระพุทธเจ้ าไว้ ก่อนว่า ความจริ งเป็ น อย่างนี ้ เรื่ องปั จจุบน เรื่ องอดีต เรื่ องอนาคต สามอย่างนี ้เป็ นอุบาย ั ต่อเนื่องกัน เกี่ยวข้ องกันทังหมด ตัวอย่าง วันนี ้เป็ นวันที่ 25 เป็ น ้ วันที่ปัจจุบน นี่คือตัวอย่างของวัฏจักร ถ้ าเราพูดเมื่อวันวาน วันที่ ั
  • 10. 9 25 ก็จะเป็ นอนาคต ถ้ าจะพูดเรื่ องอนาคต วันพรุ่งนี ้ วันที่ 26 จะมี ไหม มี ถ้ าอย่างนันวันที่ 25 ก็ จะเป็ นอดีตไปได้ นี่ ก็เหมื อนกัน ้ เรื่ องของชีวตในอดีตในอนาคตก็มีเหมือนกัน ถึงคนใดจะไม่ยอมรับ ิ ในเรื่ องเหล่านี ้ แต่ความจริ งก็จะปรากฎว่า เมื่อเกิดตายไปแล้ ว ผลบุญบาป จิตไปเกาะอยู่ที่ไหน ก็จะไปเกิดที่นนทันที เหมือนกับ ั้ บุค คลเห็ น เม็ ด มะม่ ว งหรื อ ถื อ อยู่ก็ ต าม มี ค วามเข้ า ใจว่ า เม็ ด มะม่วงนี ้จะไม่เกิดขึ ้น แล้ วโยนทิ ้งไปเสีย แต่เมื่อโยนทิ ้งไปแล้ ว ไป ถูกนํ ้า ถูกปุยขึ ้นมา มะม่วงที่ไม่เกิดนันก็จะเกิดอีก ๋ ้ คนจะว่าเกิ ดหรื อไม่เกิ ดก็ตาม ลักษณะของการเกิ ดเป็ น ของแน่นอนอยู่แล้ ว ตราบใดที่ยงมีกิเลสตัณหาอวิชชาอยู่ การ ั เกิดอีกเป็ นของแน่นอน ให้ เราพิจารณาความจริ งว่า ทุกคนที่ เกิ ด มากับ โลกนี ้ ไม่มี ใ ครต้ อ งการความทุก ข์ ความสุข เป็ นสิ่ง ที่ ต้ องการ ทําอย่างไรจะได้ ความสุขมาเสวยให้ สมใจ ไม่ให้ มีทกข์มา ุ เจื อ ปนเลยได้ ไหม ไม่ ไ ด้ เพราะโลกนี มี ค วามสุ ข ความทุ ก ข์ ้ คลุก เคล้ า กัน ไป แต่ส่ว นใหญ่ จ ะมี ค วามทุก ข์ ม ากกว่า ความสุข ความสุข ทางโลกเจื อ ด้ ว ยความทุก ข์ สุข อยู่ที่ ไ หนทุก ข์ อ ยู่ที่ นั่น ความสุขของโลก รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ที่เรามีความถูกใจ มี ่ ความยินดี เราก็เคยเจอมาแล้ ว สัมผัสมาแล้ ว ไม่สขเกินนี ้เลย จะ ุ มีเงินทองกองสมบัติหลายพันล้ าน ความสุขในกามคุณทังหลาย ก็ ้ เท่านี ้ เท่าที่ มีอยู่แค่นีแหละ ถึงจะไปเกิ ดอี กชาติหน้ า ก็ ไม่เกิ นนี ้ ้ หรอก ความสุข ที่ เ ราแสวงหาจะให้ ส มหวัง ดัง ใจเรานัน ไม่ ไ ด้ ้ เพราะความสุขถาวรของโลกนัน ไม่มี มีแต่ความสุขที่เจือปนด้ วย ้
  • 11. 10 ยาพิษ คือความทุกข์ด้วยกันทังนัน ความหลงตัวนี ้ทําให้ เราเกิด ้ ้ ทุกข์ ยาวนานมาจนถึงปั จจุบน ั การศึกษาเรื่ องวัฏจักร เป็ นหลักภาวนาสําหรับบุคคลที่เกิด ในแห่ ง ใดแห่ ง หนึ่ ง เมื่ อ เขาเหล่ า นั น จะออกจากที่ แ ห่ ง นัน ไป ้ ้ จํ า เป็ นต้ อ งศึ ก ษาสถานที่ แ ห่ ง นั น ว่ า จะออกอย่ า งไร เป็ นทุ ก ข์ ้ อย่างไร มีโทษภัยอย่างไรบ้ าง เหมือนกับคนอาบนํ ้าอยู่ในหนองใน ห้ วย ขณะอาบนําก็มีความสุขสบายเพลิดเพลินอยู่ โดยไม่คํานึง ้ ว่าจะมีภยรอบตัวจะมาทําอันตรายได้ เมื่อเขาคํานึงว่าที่แห่งนันมี ั ้ ภัยรอบตัว อาจมีจระเข้ ลอยมากัดมาทําอันตรายได้ เขาก็จะมี ความกลัวเกิ ดขึนว่า จะอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่หลง เมื่ อ ้ จระเข้ ล อยมาก็ จ ะหาวิ ธี ห ลบ หาวิ ธี ขึ น ฝั่ ง ได้ ทัน กาล นี่ คื อ ไม่ ้ ประมาทศึกษารอบคอบ เหมื อ นกับ คนอยู่ใ นป่ า อาจมี ภัย นานาชนิ ด มี งู เสื อ ภัย นานาประการเกิ ด ขึ น กับ ตัว เรา ก็ จ ะตื่ น ตัว อยู่ เมื่ อ ภัย เหล่ า นี ้ ้ เกิดขึ ้น เราจะรู้ ทนเห็นทัน หาวิธีหลีกจากสิ่งนันได้ คือไม่หลง นี ้ก็ ั ้ เช่นกัน โลกที่เราอยู่ทกวันนี ้คือวัฏจักร ทําอย่างไรเราจะออกจาก ุ โลกนี ้ได้ คืออย่าประมาท อย่าติดกับโลกนี ้ ถือว่าเป็ นสถานที่พก ั จิตแห่งหนึงเท่านันเอง ไม่ถือว่าโลกนี ้เป็ นที่ของเรา เพียงเป็ นที่พก ่ ้ ั แรมของจิตซึงได้ หมุนเวียนมาขณะนี ้เท่านัน เมื่อเราตังใจไว้ อย่าง ่ ้ ้ นี ้ เราจะไม่ไปติดข้ องกับของสิงใด ่ เหมือนกับเราไปเที่ยวสถานที่แห่งหนึ่ง เช่าโรงแรมอยู่ สัง ่ อาหารกิน ที่นอนดีๆ อยู่ไปตามวันเวลานัดหมาย อีกวันใดวันหนึ่ง
  • 12. 11 ข้ างหน้ า เราก็จะออกจากโรงแรมนันไป นีฉันใด ใจของเรามา ้ ้ อาศัยโลกเพียงชัวคราว อีกสักวันก็จะออกจากโลกนีไ้ ป เช่น ใน ่ ชาตินี ้เราเป็ นมนุษย์ ชาติหน้ าเราจะเป็ นมนุษย์อีกหรื อไม่ ชาตินี ้ เราเกิดเป็ นคนพออยู่พอกิน แล้ วชาติหน้ ามาเกิดใหม่ ฐานะความ เป็ นอยู่จะเป็ นอย่างไร ไม่แน่น อน ขึน อยู่กับผลกรรมของชาตินี ้ ้ เมื่อทําอย่างนี ้จะส่งผลให้ ชาติหน้ าเป็ นอย่างไร ปั จจุบนจะเป็ นสิ่ง ั กําหนดอนาคต การศึกษาความจริ งของตัวเรา ถ้ าเราเห็นความจริ งว่า ไม่มี สิ่งใดเที่ยงแท้ แน่นอน นอกจากความตายเท่านัน การศึกษาโลกก็ ้ เพื่อให้ กลัวในการเกิด กลัวในความทุกข์ กลัวในสิ่งที่ไม่เที่ยง กลัว ว่า ไม่มี อ ะไรเป็ นของของเราที่ แ น่นอน เราเพี ยงมาพัก อาศัย อยู่ ชั่วขณะเท่านันเอง อีกสักวันหนึ่งภายหน้ าก็จะจากโลกนีไ้ ป หา ้ เกิดใหม่ไปเรื่ อยๆ เอาแน่อะไรไม่ได้ ชีวตของเราเลื่อนลอยไปเรื่ อยๆ ิ ตามวัฏจักร หมุนไปตามธรรมชาติทงหมด ั้ การพูดเรื่ องธรรมชาติเป็ นเรื่ องใหญ่ หากใครไม่ศกษาก็จะ ึ เข้ า ใจไปว่า เป็ นเรื่ อ งธรรมดา เป็ นเรื่ อ งธรรมชาติ เกิ ด ขึ น เป็ น ้ ธรรมดา ตายเป็ นธรรมดา แต่เราหยั่งไม่ถึงจุดนัน การเกิดมา ้ อาจจะไม่เท่าเทียมกันทุกชาติทุกภพ ธรรมชาติของโลกนี ้มันหมุน ตัว สัตว์ทุกตัว มนุษย์ทุกชาติภาษา ก็ต้องหมุนตัวตามธรรมชาติ ทังหมด เช่น อายุขยของเรา ส่วนใหญ่เราจะเข้ าใจว่า อายุขยของ ้ ั ั เราจะยาวขึ ้นไปเท่านี ้ หรื อน้ อยลงไปเท่านี ้ คือไม่คิดว่าอายุขยเรา ั เท่าไร ก็จะอยู่กันไป มีความเจ็บไข้ ได้ ป่วย ก็หายามากิน ถ้ าไม่
  • 13. 12 หายก็ ต ายไปเท่ า นั น เอง ที นี อ ายุ ขั ย ของเราไม่ ค งที่ เพราะ ้ ้ ธรรมชาติหมุนตัว สัตว์โลกทุกตัวต้ องหมุนไปตามธรรมชาติ หลักนี ้ ไม่ มี ใ นหลัก วิ ท ยาศาสตร์ เป็ นหลัก ความจริ ง ที่ เ ปลี่ ย นไปตาม ธรรมชาติ อายุขัยของเรากํ าลังตํ่าลงทุกที การอธิ บายนีต้องยก ้ เรื่ องศาสนามาด้ วย ก่อนที่พระพุทธเจ้ าของเราจะมาตรั สรู้ ทรง พิจารณาก่อนว่า เมื่อใดอายุขยตํ่ากว่า 100 ปี ในยุคนันจะไม่มา ั ้ ตรัสรู้ เป็ นพระพุทธเจ้ า เพราะคนเราประมาทมากเกินไป เมื่อใด อายุขัยของคน 100 ปี ขึนไป พระพุทธเจ้ าจะมาตรั สรู้ ได้ ดังเช่น ้ พระพุทธเจ้ าของเรามาเกิดในช่วงที่คนมีอายุขย 100 ปี เป็ นอายุขย ั ั พระพุทธเจ้ าจะมาตรั สรู้ ในช่วงที่อายุขัยของคน ตํ่าสุดไม่ เกิน 100 ปี อายุขย สูงสุดไม่เกิน 100,000 ปี อายุขย การพูดอย่าง ั ั นีหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มี แต่ทางศาสนามีหลักการอย่างนี ้ ซึ่งคน ้ อาจไม่ยอมเชื่อว่า คนเราจะอายุร้อยปี พันปี แสนปี ได้ ยงไง นี่คือั หลัก ความจริ ง ของธรรมชาติ พระพุท ธเจ้ า ตรั ส ไว้ ซึ่ง เป็ นเรื่ อ งที่ ยาวนานเหลือเกิน ในช่วงที่ พระพุทธเจ้ าตรั สรู้ ในครั งพุทธกาลมี 100 ปี เป็ น ้ อายุขย อายุขยมีการขึ ้นได้ และลงได้ ขณะนี ้อยู่ในช่วงขาลง 100 ั ั ปี อายุขยลดลง 1 ปี อายุขยลดลงเรื่ อยๆ ตอนนี ้เหลืออยู่ 75 ปี เป็ น ั ั อายุ ขัย แต่ ก่ อ นเมื่ อ 2500 ปี ที่ แ ล้ ว อายุ ขัย 100 ปี แต่ บัด นี ้ ล่วงเลยมา 2535 ปี อายุขยของคนเราเหลือ 74 ปี เป็ นอายุขย ั ั หากนับต่อไปข้ างหน้ าอีก 100 ปี อายุขยของคนเราก็ลดลง ั เหลือเพียง 73 ปี เป็ นอายุขย อีก 100 ปี ถัดไป อายุขยของคนเราก็ ั ั
  • 14. 13 ลดลงเหลือเพียง 72 ปี เป็ นอายุขัย 100 ปี ลดลง 1 ปี ลดลงไป เรื่ อ ยๆ จนเหลื อเพี ยง 10 ปี เป็ นอายุขัย นี่ พูดทางศาสนา เรื่ อ ง ระยะยาวที่คนไม่เชื่อ จะเชื่อหรื อไม่ ไม่สําคัญ แต่ความจริ งมันเป็ น อย่างนี ้ หากมีการคํานวณ จะพบว่าอีกประมาณ 7000 ปี นับจากนี ้ ไป อายุขัยของคนเราจะเหลือ 10 ปี เป็ นอายุขัย การตังครรภ์ ใช้ ้ เวลาเพี ยง 3 เดือน เมื่ ออายุ 4 ปี ก็ กลายเป็ นพ่อ บ้ านแม่บ้านได้ สมบูรณ์แล้ ว เพราะมีอายุขยเพียง 10 ปี ลองคิดดูสวาตัวคนเราจะ ั ิ่ เด็กขนาดไหน เมื่อคนมีอายุขยระดับนัน นิสยของคนในยุคนันจะแตกต่าง ั ้ ั ้ จากยุคนี มาก หาความละอายไม่ได้ เลย เหมือนสัตว์ เดรั จฉาน ้ ทัวไป ทัวโลก ในยุคนันจะเป็ น มนุสสเดรัจฉาโน เต็มตัว รู ปร่ าง ่ ่ ้ เป็ นมนุษย์ แต่จิตใจเป็ นสัตว์ เดรั จฉาน ความละอายไม่มี มีแต่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่คือธรรมชาติท่ีกําลังหมุนตัวไป ในช่วงจากนี ้ไปอีก 7000 ปี ข้ างหน้ า ถ้ าคนใดมาเกิดตาย ในช่วงนี ้ จะได้ ร้ ู เห็นความจริ งว่าเกิดอะไรขึ ้น นี่คือการหมุนเวียน ของชีวิตสัตว์ ธรรมชาติเป็ นอย่างนี ้ ธรรมชาติมันหมุนตัว สัตว์ โลกทัง หลายก็ ต้ อ งหมุน ไปตามธรรมชาติ เมื่ อ ถึง ยุค นัน จิ ต ใจ ้ ้ มนุษย์จะเหี ้ยมเกินไป มีการฆ่ากันตีกนเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่มี ั ความเมตตาต่อกันหรื อมีน้อยมาก เกิดกลียคขึ ้นมาในยุคนัน ุ ้ ในยุคนันจะมีเทพอีกกลุมหนึ่ง สําหรับกอบกู้วฏจักร จะมา ้ ่ ั เกิดในยุคนี ้ มาเกิดกับคนกลุมนี ้แหละ กลุมอายุ 10 ปี ตาย เพียง ่ ่
  • 15. 14 มาอาศัย สถานที่ เ กิ ด เท่ า นัน ซึ่ ง จะมี เ ทพอี ก กลุ่ม รั ก ษาเขาอยู่ ้ บันดาลให้ เป็ นไป ให้ ละอายในการทําชัว เมื่อเขาเหล่านันเริ่ มเป็ น ่ ้ หนุ่มเป็ นสาว กําลังจะเกิดกลียค เขาจะไปอยู่ตามดงตามป่ าตาม ุ ถํา ไม่อยู่กับพ่อแม่ ถึงพ่อแม่จะเป็ นอย่างนัน แต่เขาไม่เล่นด้ วย ้ ้ เมื่ อ พ่ อ แม่ ร บราฆ่ า ฟั น ตายกั น ไปหมดแล้ ว ในยุ ค ต่ อ ไปคน เหล่านันก็จะจับกลุ่มเป็ นผัวเมียกัน หาอยู่กินกันอย่างมีศีลธรรม ้ กรรมบถ 10 เมื่ อ คนกลุ่ ม นี เ้ กิ ด ขึ น ในโลกแล้ ว อี ก 100 ปี ข้ างหน้ า ้ อายุขัย เพิ่ ม ขึ น เป็ น 11 ปี จึ ง ตาย อี ก 100 ปี ข้ า งหน้ า อายุขัย ้ เพิ่มขึ ้นเป็ น 12 ปี จึงตาย 100 ปี อายุขยเพิ่ม 1 ปี เพิ่มขึ ้นเรื่ อยๆ ั จนถึง 100 ปี ตาย 1,000 ปี ตาย เพิ่มไปถึง ล้ านปี อายุขัย โกฏิปี อายุขย ในที่สดจะยืนยาวมาก เรี ยกว่า อสงไขยปี คนจะตัวใหญ่ ั ุ มาก สิบกว่าศอกก็แล้ วกัน เมื่อคนในยุคนันมีอายุมากขึ ้น จะมีธรรมชาติอย่างหนึง คือ ้ ่ ความเบื่อหน่าย มันทุกข์ มันยาวนาน มันจะเบื่อของเขาเอง เกิด การหมุนกลับอีกทีหนึ่ง 100 ปี อายุขยลดลง 1 ปี กลับมาที่ขาลง ั ลดลงเหลื อ โกฏิ ปี ล้ า นปี แสนปี จนถึ ง ในยุค 80,000 ปี เป็ น อายุ ขั ย ในช่ ว งนี ้ พระศรี อาริ ยเมตไตรย์ จะมาตรั ส รู้ เป็ น พระพุ ท ธเจ้ า เมื่ อ ตรั ส รู้ แล้ ว ประกาศศาสนาถึ ง ที่ สุ ด จน ปริ นิ พ พานพร้ อมกั บ พระสาวก ไม่ ไ ด้ วางศาสนาเหมื อ นกั บ พระพุทธเจ้ าของเรา เลิกราไปทังหมด คนจะรู้ ได้ ปฏิบติได้ ช่วงที่ ้ ั พระศรี อาริ ยเมตไตรย์มีชีวตอยูเ่ ท่านัน ิ ้
  • 16. 15 ต่อมาอายุขัยลดลงเรื่ อยๆ ธรรมชาติของโลกเป็ นอย่างนี ้ เดี๋ยวนี ้อายุขยของคนลดลง หรื อจะพูดว่า พระพุทธเจ้ าในภัทรกัปนี ้ ั มี 5 พระองค์ คือ 1.กกุธสันโธ ในช่วงนันมีอายุขย 40,000 ปี ้ ั 2.โกนาคมโน ในช่วงนันมีอายุขย 20,000 ปี ้ ั 3.กัสสโป ในช่วงนันมีอายุขย 10,000 ปี ้ ั 4.โคตโม พระพุ ท ธเจ้ า องค์ ปั จ จุบัน ในช่ ว งนัน มนุษ ย์ มี ้ อายุขย 100 ปี แต่พระองค์ทานมีอายุเพียง 80 ปี ั ่ 5.พระศรี อาริ ยเมตไตรย์ จะมาตรัสรู้ ในอนาคต ดังที่กล่าว มาแล้ ว ณ ปั จจุบน จากนี ้ไปข้ างหน้ าจนมนุษย์มีอายุ 10 ปี จะไม่มี ั พระพุทธเจ้ ามาเกิดเลย และอีกเพียง 2500 ปี ข้ างหน้ านี ้ ศาสนา พุทธก็จะหมดไป เพราะคนไม่เคารพเชื่อถือ ไม่ปฏิบติตามคําสอน ั ของพระพุทธเจ้ า ในยุคต่อไป ไม่ว่าศาสนาใดที่มีอยู่ก็จะหมดไป เช่นกัน เพราะคนไม่นบถือ เพราะคนมีนิสยมนุสเดรัจฉาโน กาย ั ั เป็ นมนุษย์ แต่ใจเป็ นสัตว์เดรัจฉาน เขาจะไม่นบถือศาสนาอะไร ั เลย เป็ นสูญกัป กัปที่วางจากพุทธศาสนา หรื อศาสนาอื่นใดก็ไม่มี ่ ด้ วย นี ้คือวัฏจักรที่เป็ นธรรมชาติหมุนตัวอยู่ มีหลักฐานก็คือคํา สอนของพระพุทธเจ้ า หลักความจริ งที่เราดูอยู่ในปั จจุบัน หาก พิจารณาแล้ วจะมีความเป็ นไปได้ เพราะธรรมชาติเปลี่ยนแปลง นิสยคนได้ ให้ พวกเราดูภาพพจน์ในอดีตที่ผ่านมา ในช่วงที่เราเป็ น ั
  • 17. 16 หนุ่มสาวดูกิริยาท่าทางความเป็ นอยู่ในอดีต เทียบกับหนุ่มสาว ในยุคปั จจุบนนัน ด้ านจิตใจแตกต่างกันอย่างไรบ้ าง ในช่วงเวลา ั ้ เพียงไม่ก่ีปี ความแตกต่างด้ านจิตใจแตกต่างกันอย่างเห็นได้ ชัด ทีเดียว กิริยาทางกายวาจาใจ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้ าง ธรรมชาติบอกเอง กิริยาทางกาย สมัยก่อนพ่อแม่สอนลูกหลานให้ เคารพอ่ อ นน้ อ มคนเฒ่ า แก่ กราบไหว้ พ่ อ แม่ นุ่ง ห่ ม ให้ มิ ด ชิ ด แต่งงานตามพ่อแม่กําหนดให้ แต่เดี๋ยวนี ้เขากําหนดแต่งงานกันเอง นุ่งห่มยัวยุ นุ่งน้ อยห่มน้ อย ขาดความละอาย ต่อไปก็จะไม่น่งห่ม ่ ุ เลย เพราะสัตว์เดรัจฉานเข้ ามาแทรกแซงเต็มที่แล้ ว อนาคตภาย หน้ าจึงเป็ นไปได้ สมัยก่อน 50 ปี ที่แล้ วยังไม่เคยมี แต่สมัยนีก็ยง ้ ั เป็ นไปแล้ ว เรื่ องความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดี สมัยนี ้เลวกว่า ยุคก่อน คนสมัยก่อนพอนึกภาพได้ ไหม ผู้หญิงผู้ชาย 17-18 ปี ยัง กระโดดนํ ้าแก้ ผ้า เล่นนํ ้ากันอยู่เลย แต่ทุกวันนีเ้ กิดอะไรขึ ้น เรื่ อง ราคะตัณ หารุ น แรงขึน เร็ ว ขึน เพราะอายุสัน มากเท่า ใด ราคะ ้ ้ ้ ตัณหาก็เร็ วขึ ้น โทสะก็เร็ วขึ ้น เดี๋ยวนี ้มองหน้ ากันไม่ได้ สมัยก่อน เรื่ องปล้ นฆ่าลักของไม่มี หรื อมีน้อยมาก แต่เดี๋ยวนี ้ระวังยาก เรื่ อง ราคะก็เร็ วขึ ้น โทสะก็เร็ วขึ ้น การตัดสินใจของมนุษย์จะเร็ วขึ ้น ปั จจุบนนีมีองค์การสหประชาชาติรวบรวมสมาชิกทัวโลก ั ้ ่ ให้ อ ยู่ใ นขอบเขตการสู้ร บ การรวมกัน นัน รวมได้ ก็ ดี แต่คิด ว่า ้ รวมกันได้ ไม่นานนัก คิดว่า 100 ปี ก็จะพังลง เพราะคนไม่ลงรอย กัน ต่างคนต่างถือดีถือเก่ง แต่ละคนมีเครื่ องมืออุปกรณ์ ประหาร ชีวิตพร้ อม ต่างก็ไม่กลัวกัน เพราะมีอาวุธเครื่ องมือทัดเทียมกัน
  • 18. 17 อีกไม่เกิน 100 ปี จะเจอของสิงเหล่านี ้มากทีเดียว ่ การพิจารณาอย่างนี ้ พิจารณาเพื่อให้ เห็นทุกข์ เห็นภัยใน วัฏสงสารนันเอง หลักการใช้ ปัญญาอย่างนี ้ ให้ เรากลัวว่า การเกิด ่ การตายเป็ นทุกข์อย่างนี ้ เป็ นภัยอย่างนี ้ เป็ นโทษอย่างนี ้ นีเ้ ป็ น หลักการใช้ ปัญญา เมื่อวัฏฏะหมุนเวียนอยู่อย่างนี ้ ทําไมเราจึงมาเกิดบ่อยๆ มาเกิดเอาอะไรกัน เพื่ออะไรกัน มาเกิดเป็ นกีฬา มาหาสมบัติแข่ง กัน เรี ยกว่า ตัณหาความอยาก คนเรามีความอยากในทางที่ดี คือ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข มนุษย์ เรามีความอยากสี่จุดนี ้ เรื่ อง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็ นอีกส่วน เป็ นของไม่แน่นอน แต่ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข ในกามคุณ เป็ นสิงที่เราต้ องการ ่ ลองพิจารณาดูวา คนเรามีใครบ้ างที่หา ลาภ ยศ สรรเสริ ญ ่ สุข เพียงพอกับความต้ องการ หาไม่ได้ เลย นักภาวนาปฏิบติพึง ั ศึกษาว่า การแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข มีอยู่คู่กบโลกใบนี ้ ั แต่คนอีกส่วนหนึ่งจะพิจารณาอยู่ว่า จะหาไปทําไม ส่วนที่หาก็หา ไปเพื่อสร้ างความเจริ ญให้ กับโลกใบนี ้ แต่นกปฏิบติจะพิจารณา ั ั ว่า หาไปทํ า ไม ในโลกของเรามี ค นห้ า พัน กว่ า ล้ า นคน เขาจะ แสวงหาความสุ ข ให้ มาก แต่ นั ก ปฏิ บั ติ ไ ม่ กี่ ร้ อยคนนี ้ กํ า ลั ง พยายามหยุดในการหาสิ่งเหล่านี ้ พอแล้ ว หาไปก็เท่านี ้ เหนื่อย เปล่า หาแล้ วก็ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา รู้จกความพอดี หามาได้ ั แล้ วก็ไม่มีอะไรเป็ นของเราแน่นอน เพียงอาศัยกันชัวกาลเวลาหนึ่ง ่ เท่านัน เมื่อถึงกาลเวลาก็ตายจากกันไป จึงหยุดแล้ ว พออยู่พอ ้
  • 19. 18 กินแล้ ว เท่านี ้ก็สามารถอาศัยอยู่กินวันหนึ่งคืนหนึ่ง แต่เขาจะไม่ เดินตามกระแสโลกต่อไป เพราะหาทางสิ ้นสุดไม่ได้ เหมือนการ เดินรอบโลก เดินร้ อยครัง พันครั ง ก็หาทางสิ ้นสุดไม่เป็ น เรามา ้ ้ เกิดกับโลกนี ้หลายครังหลายหนแล้ ว แต่เราไม่ร้ ู ตวเองเลย เพราะ ้ ั ความหลง ความไม่ร้ ู ความลืมตัว การใช้ ปัญญาพิจารณาธรรมะ จึงต้ องพิจารณาว่า ความทุกข์ของโลกที่เรากําลังเวียนอยู่กบโลก มี ั อะไรบ้ าง ให้ ใจเราเบื่อเอาไว้ นี ้เป็ นหลักที่ใจเราต้ องพิจารณา ส่ ว น ห ลั ก ธ ร ร ม ห ม ว ด อื่ น ที่ เ ร า กํ า ลั ง ศึ ก ษ า กั น อ ยู่ พระพุทธเจ้ าได้ ตรั สธรรมะเอาไว้ ศึกษาประวัติของโลกทังหมด มี ้ หลักการปฏิบตสองประการ เป็ นกรรมฐานสองอย่างคือ ัิ 1.สมถกรรมฐาน 2.วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานสองประการนี ้ เป็ นการรวมตัวกันเพื่อให้ ร้ ูจริ งเห็น จริ งในธรรมชาติ หลักหนึ่งเป็ นการทําสมาธิ เป็ นอุบายพักใจ อีก หลักคือปั ญญาเป็ นหลักใช้ ความคิด เป็ นวิปัสสนากรรมฐาน คิด ตามหลักความเป็ นจริ ง สิ่งรอบตัวเป็ นหลักความจริ งทังหมด วัฏ ้ จัก รที่ ว่ า มาก็ เ ป็ นความจริ ง ทัง หมด เอาความจริ ง ทัง หมดมา ้ ้ พิจารณาเพื่อให้ เห็นความจริ ง เพื่อให้ เกิดความกลัว เมื่อใจเกิด ความกลัวอย่างเดียวเท่านัน ทุกอย่างจะหาทางออกได้ ด้วยตัวมัน ้ เอง เรี ยกว่า เห็นจริ งตามความเป็ นจริ ง มันจะกลัวเอง ตราบใดที่ ยังไม่เห็นจริ ง มันยังไม่กลัว มันอยากจะลอง ยกตัวอย่าง เช่น การมัวสุมทางเพศทําให้ ติดโรคเอดส์นะ ่ เขาประกาศความจริ งให้ โลกฟั ง แต่คนกลุ่มหนึ่งก็ยงคงเสพกันอยู่ ั
  • 20. 19 ความอยากมันเหลือกําลังที่จะต้ านทานได้ สําหรับคนที่เขาเชื่อก็ หยุด ไม่ทํา หาวิธีปองกัน กลัวโรค แต่คนที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่ทําตาม ้ ความอยากของตนเอง การภาวนามีหลักใหญ่สองประการ คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ใช้ ปัญญาพิจารณาหลักธรรมะ ความเป็ นจริ ง คําสอนของพระพุทธเจ้ ารวมยอดอยูที่นี่ ่ นี่ คื อ ได้ อ ธิ บ ายเรื่ อ งธรรมชาติ และความจริ ง ตามหลัก ธรรมชาติของวัฏจักรที่หมุนเวียนกันอยู่ ให้ เราได้ นึกคิดใคร่ ครวญ ถ้ าเราไม่ปกปองตนเองในยุคนี ้ จะยากที่ปกปองได้ การเตรี ยมตัว ้ ้ ล่วงหน้ าดีที่สุด หาวิธีปองกันตัวเองในครั งหน้ าว่า ครั งหน้ าหรื อ ้ ้ ้ ชาติหน้ าจะไปอย่างไร ต้ องเตรี ยมตัวไว้ ก่อน ถ้ าเราไปอย่างนี ้ จะมี ภัย อะไรบ้ า งที่ เ กิ ด ขึ น กับ เรา เมื่ อ ภัย นัน เกิ ด ขึน เราจะได้ ห าวิ ธี ้ ้ ้ ป องกั น ตนเองได้ ดี ก ว่ า จะไปแบบหลงงมงาย ไม่ ร้ ู ต้ นสาย ้ ปลายทางที่จะไป การล่องลอยตามกระแสของโลก เราต้ องศึกษา ให้ เข้ าใจ เพราะภัยนานาชนิดย่อมเกิดขึ ้นกับเราได้ ทุกเวลา ชีวิต ของเราอยู่ในวงล้ อมของความจริ ง คือ ความไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ และ เป็ นอนัตตา นี่หลวงพ่อได้ ให้ แนวคิดเป็ นครั งแรก วันเปิ ดประชุม ้ ของการอบรมธรรมะ ให้ จ ดในสิ่ ง ที่ ห ลวงพ่ อ พูด ไว้ แล้ ว นํ า มา พิจารณาว่า จริ งไหม สิ่งภายหน้ าจะเกิดขึ ้นจริ งดังว่าไหม หากเรา นึกถึงความจริ งเหล่านี ้ การจะหาวิธีหลบหลีกตัวก็พอจะได้ อยู่ ถึง จะหนีไม่พ้นก็พอหลีกตัวได้ ให้ ความทุกข์ทงหมดเบาบางลงได้ ั้ ยกตัวอย่าง เช่น ในอนาคตเดือนต่อไป มกรา กุมภา จะ
  • 21. 20 หนาวมาก ถ้ าเรารู้ เราก็เตรี ยมผ้ าห่มไว้ เมื่อหนาวจริ ง ก็นําผ้ ามา ห่ม ก็ทุเลาได้ เรานําสิ่งที่เตรี ยมไว้ มาอํานวยความสะดวกแก่เรา เหมือนเราเดินทางจากจุดหนึงไปอีกจุด อาจเกิดไข้ มาลาเรี ย หรื อมี ่ เสือสัตว์ ร้ายต่างๆ เมื่อเราศึกษาเส้ นทางไว้ ดีแล้ ว เราจะเตรี ยม อุปกรณ์ ต่างๆ ไว้ เดินทาง มีด ปื น ยา เมื่อเกิดอุปสรรคขึ ้นกับเรา เราก็จะสามารถแก้ ไขได้ ทน ไม่ประมาทในตนเอง ั นี ้ฉันใด ชีวิตเราจากนี ้ไปในชาติหน้ า เราก็ต้องเจออุปสรรค ดังที่ได้ อธิบายมาทังหมด ถ้ าเราไม่ประมาทในตนเอง สิ่งเหล่านัน ้ ้ พอจะทุเลาเบาบางลงได้ สิ่งที่ได้ อธิ บายไป เป็ นหลักภาวนาอี ก อย่าง เรี ยกว่า เจริ ญวิปัสสนา นัตถิ โลเก ระโหนามะ ความลับไม่ มีในโลก เพราะปั ญญาเรารู้เห็นทุกอย่างว่าเป็ นอย่างไร โลก คือ ธรรมชาติที่เป็ นอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ สาม โลกสามภพพิจารณาให้ ชดเจนขึ ้น พิจารณาภายนอกภายใน ธาตุ ั สี่ขนธ์ ห้าของเราทังหมด ที่เรายึดถื อว่าเป็ นเรา เป็ นของของเรา ั ้ ความหลงไม่ใช่หลงเราอย่างเดียว หลงภายนอกบ้ าง ภายในบ้ าง เรี ยกว่า ภายนอกภายใน ใกล้ ไกล หยาบละเอียด พิจารณาลงสูไตร ่ ลักษณ์ทงหมด ตัดทอนความหลงให้ เบาบางลงจากใจของเรา ั้ การอบรมครังนี ้ หลวงพ่อก็ได้ นําพระวิทยากรมาช่วยอบรม ้ การศึกษาธรรมะนัน เราจะเอาอายุพรรษามาพูดไม่ได้ เอาธรรมะ ้ มาพูดกัน เรื่ องพรรษาเป็ นเรื่ องตัวเลข เป็ นสิ่งสมมติกัน แต่เรื่ อง ธรรมะเป็ นความจริ ง การพูดธรรมะความจริ งจึงไม่เกี่ยวกับการเอา พรรษาเอาอายุมาพูดกัน หากคนใดที่มีความเป็ นธรรมกับตัวเอง
  • 22. 21 แล้ ว ถึง คนอื่ น คนใดฐานะใดไม่สํ า คัญ หากเขามาตัก เตื อ นว่า กล่า วเรา เกี่ ย วกับ ความบกพร่ อ งของเรา ถื อ ได้ ว่า เขามี ค วาม เมตตาต่อเรา ไม่ว่าเขาจะมีฐานะอะไรไม่สําคัญ สําคัญตรงที่ผ้ ู ที่มาตักเตือนเราว่า สิ่งนีควร สิ่งนีไ้ ม่ควร ชีแนะแนวทาง นันคือ ้ ้ ่ เขามี ค วามเมตตาสงสารเรา อายุ พ รรษาไม่ เ กี่ ย ว นี่ คื อ ธรรมาธิปไตย หากเรามีความคิดอย่างนี ้ จะมีความสุขมาก เพราะ ไม่ยึดติดในชาติชนวรรณะ ไม่นบว่า องค์นนบวชนานหรื อไม่นาน ั้ ั ั้ ให้ นบความจริ ง หากคนใดมาสอนเราให้ เราสํานึกตัวได้ ว่า เราทํา ั ผิ ด อย่า งนี ้ มี ค นอื่ น มาตัก เตื อ นเรา เราจะขอบคุณ เขา ที่ เ ขามี ความเมตตาสงสารเรา เราจะให้ ความเคารพผู้นนอยู่เสมอ นี่คือั้ ธรรมาธิปไตย ปี นี ้ นิ มนต์ พระมาหลายองค์ เพื่ อ ให้ ฟัง อุบายการปฏิ บัติ ของหลายองค์ จะได้ เลือกอุบายที่ตรงกับเรา เรี ยกว่า นําสินค้ ามา เยอะ มามาก เราต้ องการอะไรก็เลือกเองได้ อาหารมีมาก ยามี มาก เลือกเองได้ ว่า สิ่งไหนถูกธาตุขนธ์ กบเรา เอาละให้ พดคุยกัน ั ั ู ต่อไปนะ
  • 23. 22 หลวงพ่ อทูล เทศน์ ท่ ี รร.ปานะพันธ์ กัณฑ์ ท่ ี 2 จากนีไ้ ปจะได้ อบรมธรรมะ เพื่อให้ เข้ าใจในข้ อวัตรปฏิบติ ั อุบ ายในข้ อ วัต รปฏิ บัติ มี ม ากมาย แต่ จุด ใหญ่ ท่ี สุด สํ า หรั บ การ ปฏิ บัติคือ สติปัญญา เป็ นฐานรองรั บการปฏิ บัติทังหมด ไม่ว่า ้ ปฏิบติที่ไหนอย่างไร ปฏิบติทางกายก็ดี วาจาก็ดี หรื อนึกคิดทางใจ ั ั ก็ ดี สติ ปั ญ ญาเป็ นหลัก สํ า คัญ คํ า สอนของพระพุ ท ธเจ้ ามี มากมาย 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่ก็มารวมลงอยู่ที่ สติปัญญา นี่คือจุดสําคัญของการปฏิบติ ั ส่วนอุบายอื่นที่เป็ นหลักประกอบการปฏิบติ เช่น กิริยาทาง ั กาย วาจา หรื อ การนึกคิดทางใจ ทังหมดนี ้ เราจะมีอบายอย่างไร ้ ุ เพื่อใช้ อุบายทางกาย ให้ เป็ นธรรม อย่างถูกต้ อง เพราะกิริยาทาง กายมีมาก สิ่งที่เราต้ องคํานึงถึงคือ สติปัญญา สติ มีความหมาย อย่างไร ปั ญ ญามี ค วามหมายอย่างไร ที่ เ ราจะนํ ามาปฏิ บัติไ ด้ เพื่ อ จะเป็ นเครื่ อ งปกป องกายวาจาใจ ให้ อ ยู่ใ นกรอบของความ ้ ถูกต้ องเป็ นธรรม สติ หมายถึง ความระลึกได้ นี่เป็ นอุบายหนึ่ง ปั ญญา คือ ความรอบรู้ นี่เป็ นอีกอุบายหนึ่ง ทังสองอุบายมีความเกี่ยวเนื่อง ้ กันมากทีเดียว ถ้ าเรารอบรู้ แต่ขาดความระลึกได้ ความรอบรู้นนก็ ั้ มีผลน้ อยเต็มที ถึงเราจะระลึกได้ แต่ขาดความรอบรู้ แล้ ว ผลก็ น้ อยเต็มทีเช่นเดียวกัน ดังนัน การสร้ างความสัมพันธ์ อนดีระหว่าง ้ ั สติ กับ ปั ญ ญา เป็ นต้ น ทางสํ า คัญ ในการวางแผนการปฏิ บัติ
  • 24. 23 ทังหมด จะเรี ยกว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ก็อยู่ท่ีต้นทางนี ้ อยู่ ้ ที่สติปัญญาเป็ นหลักใหญ่ คนเราทุกวันนี ้มีสติอยู่ แต่การระลึกได้ มีทงทางโลก และ ั้ ทางธรรม ที่ระลึกได้ ตามธรรมชาติที่เป็ นเองก็มี โดยที่ไม่ต้องมีใคร มาบอกเรา บางทีก็ระลึกไปในทางที่ดี บางทีก็ระลึกไปในทางที่ชว ั่ สติเป็ นตัวระลึก ส่วนปั ญญาเป็ นอุบายกลันกรองรอบรู้ สิ่งที่ระลึก ่ ทังหมดว่า สิ่งใดมีประโยชน์ มีคุณค่า นํามาปฏิบติกับตนเองได้ ้ ั ไม่ใช่วา การระลึกได้ ทงหมดจะเป็ นสิงดี พยายามทิ ้งไปในส่วนที่ไม่ ่ ั้ ่ ควรเอา นักปฏิบตต้องวางพื ้นฐานนี ้ให้ ได้ ัิ หลายคนมีคําถามว่า การสร้ างสติให้ มีความเข้ มแข็ง ทํา อย่างไร คือ พยายามฝึ กตัวให้ มีความระลึกได้ อยู่เสมอ การระลึก ได้ ในที่นี ้ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ธรรม สองหมวดนีทุกคนรู้ อยู่แล้ ว เข้ าใจในหลักการ แต่ภาคปฏิบัติไม่ ้ เข้ าใจ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว สอง อุบายนี ้ลึกซึ ้งมาก ยากที่บุคคลจะปฏิบติให้ เป็ นไปตามธรรมสอง ั หมวดนี ้ได้ หิริ ความละอาย เป็ นหลักใหญ่ในการปฏิบติ หากคนเรามี ั ความละอายแล้ ว การทําชัวทังหมดทังทางกายวาจาใจจะไม่เกิด ่ ้ ้ ขึ ้นกับคนนันเลย เพราะมีความละอายกับตนเอง นี่คือธรรมเพียง ้ หมวดเดียวในภาคปฏิบติจะทําได้ หรื อไม่ สมมติว่า เราจะไม่เอา ั ธรรมหมวดอื่นแล้ ว เราจะฝึ กความละอายอย่างเดียว ให้ มีความ เข้ มแข็ง จะทําได้ หรื อไม่ สติระลึกได้ แต่ละวันจะระลึกในความ
  • 25. 24 ละอายแก่ ต นเอง โดยไม่ ต้ อ งเอาธรรมหมวดอื่ น มาอวดอ้ า งว่า ธรรมหมวดนันก็ร้ ู หมวดนีก็ร้ ู เราจะฝึ กธรรมะเพียงหมวดย่อๆ นี ้ ้ ้ คื อ มี ส ติ ร ะลึก ได้ ว่า จะมี ค วามละอายแก่ ใ จอยู่ทุก เมื่ อ จะทํ า ได้ หรื อ ไม่ นี่ คื อ ส่ ว นที่ เ ราต้ อ งสํ า นึ ก ให้ ดี แต่ เ ราทํ า ไม่ ไ ด้ ต ามที่ ต้ องการหรอก เพราะจะเกิดความพลังเผลออยูบ้าง ้ ่ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว จะทําอย่างไรให้ ใจเกิดความ เกรงกลัวต่อสิ่งนันๆ ผู้ที่จ ะทํ าให้ เ กิ ด ความเกรงกลัว ขึน ในใจได้ ้ ้ ต้ องมีเหตุผลหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าจะกลัวอย่างเดียว อย่างนันใช้ ้ ไม่ได้ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ธรรมสอง หมวดนี ้เป็ นต้ นทางของการปฏิบติ ในการเลือกเฟนความดีความ ั ้ ชัว ต้ องรู้ จกธรรมสองข้ อนี ้ให้ ดี คําว่า กลัว มีหลายพื ้นฐาน หลาย ่ ั ขันตอน กลัวอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด กลัวทางโลก ้ อย่างหนึง กลัวทางธรรมอีกอย่างหนึง ่ ่ สําหรับนักปฏิบติแล้ ว พยายามกลัวทางโลกให้ มาก อบรม ั สั่งสอนใจให้ กลัวความเป็ นอยู่ของโลกให้ ได้ ส่วนมากเราจะไม่ อบรมตัวเองให้ กลัวความเป็ นอยู่ของโลก มีแต่จะอบรมตนเองให้ ต่อ สู้ต ลอดไป ความเป็ นอยู่ข องโลกเป็ นไปอย่า งไรก็ ห ากลัว ไม่ พยายามต่อ สู้อ ยู่ต ลอดเวลา โลกเป็ นอย่า งไร เราเป็ นอย่า งนัน ้ เพื่อนฝูงเป็ นอย่างไร เราเป็ นอย่างนัน เพื่อนผิดถูกไม่สนใจ เขาทํา ้ ได้ เราก็ทําได้ ในที่สดเราก็ถือเอาคนกลุ่มใหญ่เป็ นหลักเป็ นเกณฑ์ ุ เมื่อคนกลุมนันผิด เราก็ผิดตามเขา ใช้ ไม่ได้ เลย ่ ้ คําว่า เกรงกลัว นัน กลัวอะไร ขันสูงสุดคือ กลัวการเกิด ้ ้
  • 26. 25 ถ้ าเราฝึ กใจตนเองให้ กลัวการเกิดได้ ฝึ กอย่างไร นี่คือขันสูงสุด ้ ของพระพุท ธศาสนา กลัว การเกิ ด อี ก ในชาติ ห น้ า ทํ า ไมจึง ฝึ ก ตนเองให้ กลัวอย่างนัน เพราะการเกิดอีกเป็ นทุกข์นานาประการ ้ ไม่เคยเลือกหน้ าใครทังสิ ้น ไม่วาที่ไหน ตระกูลใด ชนชาติใด ความ ้ ่ ทุกข์ไม่เลือกหน้ า เมื่อเกิดมาแล้ วย่อมมีความทุกข์ ด้วยกันทังนัน ้ ้ ทุกข์อย่างหนึง คือ ่ 1.สภาวะทุกข์ ทุกข์ประจําขันธ์ ขันธ์ ของเราเป็ นฐานแห่ง ความทุกข์ทงหมด ั้ 2. ปกิณกะทุกข์ ทุกข์ ที่จรมา ทุกคนต้ องประสบพบเห็น ทุกข์ที่จรมาเช่นเดียวกัน ความทุกข์ทงหมด เราจะกลัวได้ ไหม การอบรมสอนใจให้ ั้ กลัวในทุกข์เหล่านี ้ได้ นันคือ ผู้มีปัญญา ใช้ ปัญญาหาเหตุผลใน ่ แง่ต่างๆ อบรมสังสอนตนเองว่า การเป็ นอยู่ในโลกนีมีความทุกข์ ่ ้ อย่างไรบ้ าง ต้ องสอนทุกแง่ทุกมุม ทุกจุดทุกอุบาย ไม่ใช่ร้ ู ทุกข์ อย่างเดียว ต้ องเห็นทุกข์ด้วย หากรู้ อย่างเดียว แต่ไม่เห็นเหตุให้ เกิดทุกข์แล้ ว ผลประโยชน์น้อยเต็มที ฉะนันการภาวนาปฏิบติต้อง ้ ั ให้ ร้ ู เหตุใ ห้ เ กิ ด ทุก ข์ และเห็ น เหตุใ ห้ เ กิ ด ทุก ข์ ด้ ว ย ให้ เ กิ ด ความ ละอายแก่ใจ และให้ เกิดความเกรงกลัว คือกลัวการเกิดมากับโลก ทําอย่างไรจะได้ ไม่เกิดอีกต่อไป นี่เป็ นจุดที่ผ้ ูปฏิบัติจะแสวงหาธรรมะขันสูงต่อไป คิดจะ้ อบรมตนเอง ให้ เกิ ดความกลัว ขึนในใจ เราคนเดียวที่ สามารถ ้ อบรมตนเองได้ ถึงคนอื่นจะอบรมเราอย่างไร ก็เป็ นเพียงปลีกย่อย
  • 27. 26 เตือนเราให้ เราอบรมตนเองเท่านันเอง เช่น ขณะนี ้พวกเราได้ มา ้ อบรมธรรมะอยู่ก็ตาม นี่เป็ นส่วนปลีกย่อย เพียงมารั บนโยบาย จากผู้ให้ การอบรม ส่วนเราผู้รับการอบรมต้ องนําอุบายทังหมดไป ้ อบรมตนเองครังที่สอง อีกต่อหนึ่ง อุบายใดที่ได้ รับมาก็ต้องนําไป ้ อบรมตนเองอีกครังหนึง บุคคลที่อบรมตนเองได้ นนคือ ผู้มีปัญญา ้ ่ ั่ มีความฉลาดในการอบรมตนเองอยูเ่ สมอ การอบรมตนเองไม่จําเป็ นต้ องหากาลเวลา เวลานันก่อน้ เวลานี ้ก่อน หรื อต้ องเข้ าที่ภาวนาก่อนจึงจะอบรมตนเอง ไม่จําเป็ น การอบรมตนเองไม่มีกาลเวลา ทําที่ไหนก็ได้ กินข้ าวก็ได้ ทํางาน ก็ได้ สําคัญที่ให้ เรามีสติปัญญา รู้ อบายวิธีในการอบรมตนเองอยู่ ุ เสมอ ใจของเรามีความอยาก สันดานเดิมคือไม่ร้ ู เท่าตามความ เป็ นจริ ง เป็ นเวลานาน จนกลายเป็ นนิสัยจิตด้ านจนถึงปั จจุบัน หากไม่มีความขยันหมันเพียรแล้ ว การอบรมก็จะเป็ นไปยากมาก ่ เพราะจิตเราไม่ยอมรับความจริ งตามหลักความจริ ง ต้ องใช้ ปัญญา อบรมตนเองอยูเสมอ ไม่เช่นนันจิตเราจะด้ านเสีย ฉะนัน เราจึงไม่ ่ ้ ้ รอให้ คนอื่นอบรมเราฝ่ ายเดียว เราต้ องอบรมตนเองเป็ นสําคัญ เรี ยกว่า ตนแลเป็ นผู้อบรมตนเอง จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง จิตที่ถกอบรมอยู่เสมอๆ จิตจะมี ู ความฉลาด มี ค วามเข้ า ใจในเหตุใ นผล จิ ตจะมี ความสุข ความ เจริ ญ เราต้ องเป็ นผู้อบรมตนเองเสมอ ตนเตือนตนด้ วยตนเอง อบรมตนเอง สิ่งที่เราทําผิดไหม ถูกไหม เตือนตนอยู่เสมอ สิ่งนี ้ไม่
  • 28. 27 ควรทํา สิงนี ้ควรทํา ่ จิตตัง รักเขถะ เมธาวี แปลว่า ผู้มีปัญญาดีเท่านัน จึงจะ ้ รักษาจิตได้ ถ้ าผู้มีปัญญาทราม จะรั กษาจิตไม่ได้ เลย ปล่อยไป ตามยถากรรม คิดเรื่ องดีเรื่ องชัวก็ไม่เข้ าใจว่า ผิดหรื อถูก เพราะ ่ ขาดปั ญญารอบรู้ การใช้ ปัญญาอบรมใจ ว่า สิ่งนันควรทํา ควร ้ พูด ควรคิด สิ่งนี ้ควรปฏิบติ สิ่งนี ้ควรละ ควรวาง ปั ญญาความรู้ ั รอบทังหมดว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ธัมมะวิจยะ รู้ จกการเลือก ้ ั เฟนธรรมะมาปฏิบตกบตนเอง ้ ัิ ั อีกคําหนึง ตนแลเป็ นที่พงของตน จะพึงอย่างไร พึงคนอื่น ่ ึ่ ่ ่ พึ่ง ได้ ประเดี๋ย วประด๋า ว แต่พึ่งตนเองเป็ นสิ่งสํ าคัญ เราจะเอา สติปัญญาเป็ นที่พงตนเองได้ อย่างไร ต้ องสร้ างขึ ้นมา ึ่ ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่กับลูก ในเบื ้องต้ นต้ องอาศัยพ่อแม่ เป็ นผู้บํ า รุ ง รั ก ษาลูก ให้ เ จริ ญ เติบ โต แต่ที่ สํ า คัญ เมื่ อ ลูก ใหญ่ โ ต ขึ ้นมา เมื่อรู้ จักความเป็ นอยู่ของตนเองแล้ ว ไม่ใช่ลูกจะเกาะพ่อ แม่ ไ ปจนตลอดวัน ตาย จํ า เป็ นต้ อ งออกไปเป็ นตัว ของตัว เอง บุคคลจะเป็ นตัวของตัวเองได้ ต้ องรู้ จกว่า เป็ นที่พึ่งของตนเองได้ ั อย่างไร พึ่งความสามารถ สติปัญญาตนเองอย่างไร ให้ เราฝึ ก นิสยพึงตนเองอยูเ่ สมอ นี่คือสิงที่ต้องสํานึกให้ มาก ั ่ ่ อีกสิ่งหนึ่ง คือ เรากําลังอาศัยครู อาจารย์ ผู้เป็ นพ่อเป็ นแม่ ให้ ค วามรู้ ความฉลาดแก่ เ รา เพื่ อ เป็ นที่ พึ่ ง แก่ ต นเองให้ ไ ด้ นํ า ความรู้ ทังหมดบรรจุลงในตัวเองให้ มาก เพราะเราไม่สามารถจะ ้ อบรมธรรมะกันได้ ตลอดวันตลอดคืน ตลอดเดือนตลอดปี ถ้ าหาก