Contenu connexe
Similaire à หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
Similaire à หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร (20)
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
- 4. 3
วัฏสงสาร
หลวงพ่ อทูล เทศน์ ท่ ี รร.ปานะพันธ์ กัณฑ์ ท่ ี 1
ขอเจริ ญธรรม แก่ท่านพุทธมามกะบริ ษัททังหลาย เนื่อง
้
ด้ วยพวกเราทังหลายได้ มารวมกัน เรี ยกว่า ธรรมสภา เป็ นสถานที่
้
ร่ วมกันปฏิบตธรรม ครังนี ้ เป็ นครังที่ 4 หลายคนได้ ติดตามมาตังแต่
ัิ ้ ้ ้
ครังแรกจนถึงปั จจุบน บางท่านได้ ติดตามมาครังสองครัง หรื อครัง
้ ั ้ ้ ้
แรกก็เป็ นได้ ฉะนันสถานที่แห่งนี ้ ถือว่าเป็ นธรรมสภา อบรมธรรมะ
้
ค้ น คว้ า ในธรรม พวกเราทั ง หลายเข้ าใจว่ า ต้ องไปวัด จึ ง จะ
้
แสวงหาธรรมะได้ ไม่เข้ าใจว่า ธรรมะอยู่ที่ไหน ทําอย่างไรจึงจะ
เข้ าถึงธรรม สถานที่ท่ีได้ จดไว้ ว่าเป็ นวัด นันเป็ นส่วนหนึ่งสําหรั บ
ั ้
พระสงฆ์สามเณรอยูอาศัยนันเป็ นส่วนหนึง
่ ่ ่
ส่วนการแสวงหาธรรม หรื อสภาธรรม ไม่จํากัดในที่เช่นนัน ้
ตลอดไป เช่น เราอยู่ในที่แห่งนี ้ ก็ถือว่าเป็ นสภาธรรมได้ คือเป็ น
สถานที่ศกษาธรรม หรื อปฏิบติธรรม ทีนี ้เราชาวพุทธทังหลาย ต้ อง
ึ ั ้
ศึกษาธรรมะให้ มากขึน ตามหลักความเป็ นจริ ง ตามคําสอนของ
้
- 5. 4
พระพุทธเจ้ า พระพุทธเจ้ า ได้ สอนธรรมะแก่เรานัน เป็ นธรรมะที่้
พระองค์ค้นพบด้ วยพระองค์เอง ค้ นพบที่ไหน ค้ นพบธรรมะที่มีอยู่
กับโลก โลกทังหมดมีธรรมะเป็ นหลักความจริ งอยู่แล้ ว แต่ก่อนมา
้
ไม่เ คยมี ใ ครพบว่าเป็ นหลักความจริ ง ทัง ที่ ค วามจริ ง มี อ ยู่ใ นตัว
้
ทังหมด คําสอนของพระพุทธเจ้ าที่นํามาสอนทังหลาย เรี ยกว่า
้ ้
ศาสนธรรมคําสอน เป็ นการนําความจริ งมาสอนคน คือคนเรามี
ความจริ ง อยู่ ใ นตัว แต่ ป ฏิ บัติ ต ามความจริ ง ในตัว ทัง หมดไม่
้
สมบูร ณ์ ขาดตกบกพร่ อ งอยู่เ สมอ เพราะไม่ร้ ู จัก วิธี แ นวทางที่
ถูกต้ อง ผิดบ้ าง ถูกบ้ าง ล้ มลุกคลุกคลานอยูเ่ สมอ
คํ า สอนของพระพุท ธเจ้ า นี จึ ง เป็ นคํ า สอนที่ ม าประยุก ต์
้
ความจริ ง ทัง หมดที่ เ ราปฏิ บัติ ม าแล้ ว ในอดี ต ให้ เ ป็ นกลุ่ม ก้ อ น
้
ปฏิบติได้ อย่างถูกต้ องอย่างชัดเจนขึ ้น คําสอนของพระพุทธเจ้ าจึง
ั
เป็ นของเก่าที่สตว์โลกทังหลายเป็ นมาในอดีต จนถึงปั จจุบน เอา
ั ้ ั
เรื่ องเก่าๆ นี่แหละ มาปรับปรุ งให้ คนได้ เข้ าใจในความเป็ นจริ ง คํา
ว่า รู้จริ งตามความเป็ นจริ ง จริ งอะไร ถึงเราจะภาวนาปฏิบติตาม ั
วิธีอ่ืนๆ ถ้ าเราไม่ปฏิบติตามแนวทางที่ถกต้ อง ความรู้ จริ งเห็นจริ ง
ั ู
จะไม่เกิดขึนกับเราได้ สัจธรรมเป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ า คือ
้
พูดแล้ วไม่ผิด เป็ นความจริ งตลอดเวลา ไม่มีสงใดจะแก้ ไขได้
ิ่
ถึงแม้ ว่าจะมี คนใดคนหนึ่งที่ เกิ ดมาในโลกนี ้ จะมาแก้ ไ ข
ความจริ ง ให้ เ ปลี่ ย นไปเป็ นอย่า งอื่ น จะเปลี่ย นแปลงไม่ไ ด้ เ ลย
เพราะหลักความจริ งเป็ นหลักธรรมชาติที่มีอยู่กบโลกไม่ว่าจะกาล
ั
ไหนๆ ธรรมะ ในสมัยที่พระองค์ออกปฏิบติช่วงแรก ไม่มีใครให้
ั
- 6. 5
คําแนะนําพระองค์เลย แต่พระองค์ก็นําหลักธรรมชาติมาพิจารณา
ว่าอะไรเป็ นอะไร ธรรมชาติทงหมดเป็ นคําสอน เพราะคนเราอยูกบ
ั้ ่ ั
ธรรมชาติ เกิ ด มาตามธรรมชาติ อยู่ ต ามธรรมชาติ ชี วิ ต เรา
หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามธรรมชาติทงนัน อยู่กบที่ไม่ได้ ส่วนเรื่ อง
ั้ ้ ั
สังขารร่างกายหรื อรูปขันธ์เป็ นอีกเรื่ องหนึง ่
ธรรมชาติ ที่ ห มุน อยู่กับ โลกนี ้ ไม่ มี ใ ครกํ า หนดได้ ไม่ มี
พระพุทธเจ้ า หรื อ พระเจ้ าองค์ใดจะกําหนดให้ เป็ นไปตามใจชอบ
ได้ เรี ยกว่า วัฏจักร พูดง่ายๆ ว่า ชีวิตเราที่เป็ นอยู่นี ้ก็หมุนเวียนไป
ตามธรรมชาติ ธรรมชาตินี ้ มีขึ ้นๆ ลงๆ เช่น อายุขยของคนเรา หรื อ
ั
ชีวตความเป็ นอยูก็มีการขึ ้นๆ ลงๆ ตามธรรมดา ส่วนมากเราศึกษา
ิ ่
ในทางวิ ท ยาศาสตร์ วิท ยาศาสตร์ จ ะศึก ษาเรื่ อ งอดี ต แต่เ รื่ อ ง
อนาคตไม่มีใครสามารถเขียนล่วงหน้ าให้ เป็ นไปตามจริ งได้ เพราะ
หลักธรรมชาติเป็ นเรื่ องลึกลับละเอียดอ่อน ผู้จะรู้ เรื่ องธรรมชาติมี
เพียงคําสอนของพระพุทธเจ้ า เรี ยกว่า โลกวิทู โลกวิทู คือ รู้ แจ้ ง
โลก รู้ แจ้ ง ทัง อดี ต ที่ เ ป็ นมาของธรรมชาติ ว่ า เป็ นอย่ า งไร รู้ ใน
้
ปั จจุบนว่าธรรมชาติของโลกปั จจุบนเป็ นอย่างไร และสามารถจะรู้
ั ั
ธรรมชาติของอนาคตต่อไปว่า อนาคตธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไป
เป็ นอย่างไร พระพุทธเจ้ าสามารถรู้ได้ ทงหมด จึงนํามาเขียนเพื่อให้
ั้
คนได้ ศึก ษาตามหลัก ความเป็ นจริ ง ว่า วัฏ จักรที่ ห มุน ไปตาม
ธรรมชาติหมุนอย่างไรบ้ าง ตัวเราที่เกิดตายในวัฏสงสารนี ้ เกิดกี่
ครั ง มาแล้ ว แต่ ล ะครั ง แต่ ล ะภพชาติ ที่ เ กิ ด มา การเกิ ด นั น มี
้ ้ ้
ความสุข มีความเจริ ญทุกภพชาติหรื อไม่ นี่คือศึกษาความจริ งของ
- 7. 6
ตนเอง
ทีนี ้การศึกษาความจริ งของตนเอง จําเป็ นต้ องศึกษาความ
จริ ง ของคนอื่ น ด้ ว ย จากธรรมชาติ ร อบตัว ด้ ว ย เพราะทุ ก สิ่ ง
เปลี่ยนไปตามธรรมชาติทงหมด ที่พดเรื่ องธรรมชาติให้ ฟังนี ้ เพื่อให้
ั้ ู
รู้ จกโทษ รู้ จกภัย รู้ จกทุกข์ เรามาเกิดกับธรรมชาตินี ้ ต้ องรู้ ว่า เรา
ั ั ั
จะได้ อะไร มีดีส่วนใด มีชวส่วนใด ส่วนไหนบ้ างที่เป็ นข้ อคิด เป็ น
ั่
ข้ อ ปฏิ บัติ เราจะหาวิ ธี ห ลี ก เลี่ ย งได้ อ ย่ า งไร จะไม่ ใ ห้ เ กิ ด ตาม
ธรรมชาตินานเกินไป
สําหรับพระอริ ยเจ้ าทังหลายที่ได้ ศกษาธรรมชาติ ท่านจึงรู้
้ ึ
ว่า ธรรมชาติที่หมุนเวียนอย่างนี ้ ชีวิตของมวลสัตว์ทงหลาย ไม่ว่าั้
สัตว์น้อยใหญ่ สัตว์บกสัตว์นํ ้า ตลอดจนคนทุกชาติภาษาไม่ว่าจะ
ดี ห รื อ ชั่ ว เมื่ อ มาเกิ ด กั บ โลกนี แ ล้ วก็ ต้ องหมุ น เวี ย นไปตาม
้
ธรรมชาติตลอดเวลา หาทางสิ ้นสุดไม่ได้ ขณะที่หมุนไปอยู่นน ก็ ั้
ได้ อาศัยความอยากของตนเอง ทําตามความอยากอยู่เรื่ อยๆ โดย
ไม่เข้ าใจว่า การทําตามความอยาก ให้ โทษ ให้ ภย ให้ คณอย่างไร
ั ุ
ทําตามความอยากอยู่เสมอ สุดท้ ายแล้ วก็มีความผิดเป็ นส่วนใหญ่
เพราะจิตใจของคนพยายามรั่ วไหลไปในทางที่ตํ่าเสมอไป การ
พยายามพยุงจิตใจให้ เข้ มแข็ง ให้ ก้าวหน้ า มีจิตใจที่สงขึ ้นนัน ยาก
ู ้
มากที่ จ ะทํ า ได้ จึ ง ต้ อ งนํ า คํ า สอนของพระพุ ท ธเจ้ ามาศึ ก ษา
เพื่อให้ เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏสงสาร เห็นทุกข์โทษภัยในธรรมชาติ
ที่มีอยู่ เราได้ เลื่อนลอยเกิดแก่เจ็บตายในวัฏสงสารมาหลายชาติภพ
ก็เหมือนปั จจุบันชาตินีทังหมด ชาติก่อนเราก็ เป็ นอย่างนี ้ เกิ ด
้ ้
- 8. 7
ขึ ้นมา ผู้หญิงก็เป็ นเพศหญิง ผู้ชายก็เป็ นเพศชาย เกิดมาแล้ วก็ต้อง
แก่เจ็บตาย เป็ นธรรมชาติของสัตว์โลกทุกตัวต้ องเป็ นอย่างนี ้ ไม่มี
คนหนึ่งคนใดหรื อสัตว์ใด จะอยู่ตลอดกัปตลอดกัลปได้ การเกิด์
มาทัง หมดจะมี อ ะไรเป็ นเครื่ อ งต่ อ รองได้ ว่ า เราจะมี ค วามสุข
้
ตลอดไป อะไรจะเป็ นเครื่ องต่อรองได้ ไม่มีเลย
ในโลกนีหาสิ่งที่มีความเที่ยงแท้ แน่นอนอย่างจริ งจังไม่ได้
้
ธรรมชาติเป็ นสิ่งที่หมุนเวียนกันอยู่เท่านัน เรื่ องความสุขความทุกข์
้
ก็ เ ป็ นธรรมชาติ ข องคนที่ ต้ องเจอ นี่ คื อ ความจริ งของโลก
พระพุทธเจ้ ามองเห็นชัด จึงได้ ประกาศศาสนาให้ คนในภายหลังได้
ศึกษาความจริ ง เอาความจริ งมาสอนคน ให้ คนได้ เห็นทุกข์โทษ
ภัยในธรรมชาติ เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏสงสารที่หมุนเวียนกันอยู่ว่า
เป็ นทุกข์อย่างไร เมื่อเห็นทุกข์แล้ ว เขาเหล่านันก็จะเกิดความเบื่อ
้
หน่าย กลัวในการเกิด กลัวในความทุกข์ กลัวในภัยต่างๆ การ
ภาวนาปฏิบตก็คือเพื่อให้ ร้ ูธรรมชาติท่ีมีอยูนี ้เอง
ัิ ่
ฉะนันหลักการภาวนาปฏิบติที่เราทําก็เพื่อมุ่งหวังให้ ร้ ูความ
้ ั
จริ งในธรรมชาติที่มีอยู่ คําว่า โลกวิทู เป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ า
พระสาวกก็จะรู้ ได้ บางท่าน ถึงจะไม่ร้ ู ทังหมด รู้ ได้ บางส่วนก็ยงดี
้ ั
โลกวิทู มีอะไรเป็ นเครื่ องวัด มีหลัก 3 ประการใหญ่ๆ คือ
1.ความจริ ง คือ ไม่เที่ยง
2.ความจริ ง คือ ความทุกข์
3.ความจริ ง คือ ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา
หลัก ใหญ่ ทัง 3 ประการนี ้ คื อ หลัก ประกัน ของโลกวิ ทู
้
- 9. 8
ทัง หมด โลกวิ ทูเ ป็ นผู้ร้ ู แจ้ ง โลกทัง หมดมารวมอยู่ใ นหลัก ไตร
้ ้
ลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และ ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา
สําหรับผู้ปฏิบติทงพระและฆราวาสก็สามารถรู้ ได้ เป็ นโลกวิทูได้
ั ั้
ถึงจะไม่กว้ างขวางพิสดารเท่าพระพุทธเจ้ า แต่เราก็ร้ ู ได้ นี่คือหลัก
ปฏิบติ ั
ทําไมจึงต้ องปฏิบติ เพราะเราหลงโลกหลงสงสาร โมหะ
ั
อวิ ช ชา โมหะ หมายถึ ง ความหลงตามธรรมชาติ ที่ ล่ อ งลอยใน
วัฏสงสาร หลงในภพ หลงในชาติ หลงในวัฏจักร ที่เราเกิดตายมา
ยาวนาน การพิจารณาอย่างนี ้เพื่อแก้ ปัญหาความหลงของตนเอง
ที่มีอยูในขณะนี ้ ให้ เบาบางลง คําว่า ไม่ร้ ู คือ อวิชชา ไม่ร้ ูจริ งตาม
่
หลักความเป็ นจริ ง การแก้ อวิชชาจะเอาอะไรมาแก้ คือ เอาความ
จริ งมาเป็ นเครื่ องตัดสิน เอาความจริ งของธรรมชาติที่มีอยู่ ทังเรา ้
ทังเขา ทังใกล้ ทงไกล ทังหยาบทังละเอียด ทังหมดนํามาพิจารณา
้ ้ ั้ ้ ้ ้
เพื่อแก้ ให้ เกิดความรู้จริ งเห็นจริ งเฉพาะตัว เอาความจริ งมาสอนใจ
เพื่อให้ หมดความหลง
นี่คือธรรมชาติที่เราต้ องศึกษา ศึกษาให้ เห็นจริ งเมื่อไร เรา
จะกลัวเมื่อนัน เช่นว่า ชีวิตของเรานีเ้ ลื่อนลอยตังแต่กัปนันจนถึง
้ ้ ้
กัป นี ้ มัน ยาวนาน ไม่ท ราบว่า ชี วิต ของเราหรื อ จิ ต ของเราเกิ ด ๆ
ตายๆ มานับไม่ถ้วน จึงเชื่อพระพุทธเจ้ าไว้ ก่อนว่า ความจริ งเป็ น
อย่างนี ้ เรื่ องปั จจุบน เรื่ องอดีต เรื่ องอนาคต สามอย่างนี ้เป็ นอุบาย
ั
ต่อเนื่องกัน เกี่ยวข้ องกันทังหมด ตัวอย่าง วันนี ้เป็ นวันที่ 25 เป็ น
้
วันที่ปัจจุบน นี่คือตัวอย่างของวัฏจักร ถ้ าเราพูดเมื่อวันวาน วันที่
ั
- 10. 9
25 ก็จะเป็ นอนาคต ถ้ าจะพูดเรื่ องอนาคต วันพรุ่งนี ้ วันที่ 26 จะมี
ไหม มี ถ้ าอย่างนันวันที่ 25 ก็ จะเป็ นอดีตไปได้ นี่ ก็เหมื อนกัน
้
เรื่ องของชีวตในอดีตในอนาคตก็มีเหมือนกัน ถึงคนใดจะไม่ยอมรับ
ิ
ในเรื่ องเหล่านี ้ แต่ความจริ งก็จะปรากฎว่า เมื่อเกิดตายไปแล้ ว
ผลบุญบาป จิตไปเกาะอยู่ที่ไหน ก็จะไปเกิดที่นนทันที เหมือนกับ
ั้
บุค คลเห็ น เม็ ด มะม่ ว งหรื อ ถื อ อยู่ก็ ต าม มี ค วามเข้ า ใจว่ า เม็ ด
มะม่วงนี ้จะไม่เกิดขึ ้น แล้ วโยนทิ ้งไปเสีย แต่เมื่อโยนทิ ้งไปแล้ ว ไป
ถูกนํ ้า ถูกปุยขึ ้นมา มะม่วงที่ไม่เกิดนันก็จะเกิดอีก
๋ ้
คนจะว่าเกิ ดหรื อไม่เกิ ดก็ตาม ลักษณะของการเกิ ดเป็ น
ของแน่นอนอยู่แล้ ว ตราบใดที่ยงมีกิเลสตัณหาอวิชชาอยู่ การ
ั
เกิดอีกเป็ นของแน่นอน ให้ เราพิจารณาความจริ งว่า ทุกคนที่
เกิ ด มากับ โลกนี ้ ไม่มี ใ ครต้ อ งการความทุก ข์ ความสุข เป็ นสิ่ง ที่
ต้ องการ ทําอย่างไรจะได้ ความสุขมาเสวยให้ สมใจ ไม่ให้ มีทกข์มา ุ
เจื อ ปนเลยได้ ไหม ไม่ ไ ด้ เพราะโลกนี มี ค วามสุ ข ความทุ ก ข์
้
คลุก เคล้ า กัน ไป แต่ส่ว นใหญ่ จ ะมี ค วามทุก ข์ ม ากกว่า ความสุข
ความสุข ทางโลกเจื อ ด้ ว ยความทุก ข์ สุข อยู่ที่ ไ หนทุก ข์ อ ยู่ที่ นั่น
ความสุขของโลก รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ที่เรามีความถูกใจ มี
่
ความยินดี เราก็เคยเจอมาแล้ ว สัมผัสมาแล้ ว ไม่สขเกินนี ้เลย จะ
ุ
มีเงินทองกองสมบัติหลายพันล้ าน ความสุขในกามคุณทังหลาย ก็ ้
เท่านี ้ เท่าที่ มีอยู่แค่นีแหละ ถึงจะไปเกิ ดอี กชาติหน้ า ก็ ไม่เกิ นนี ้
้
หรอก ความสุข ที่ เ ราแสวงหาจะให้ ส มหวัง ดัง ใจเรานัน ไม่ ไ ด้ ้
เพราะความสุขถาวรของโลกนัน ไม่มี มีแต่ความสุขที่เจือปนด้ วย
้
- 11. 10
ยาพิษ คือความทุกข์ด้วยกันทังนัน ความหลงตัวนี ้ทําให้ เราเกิด
้ ้
ทุกข์ ยาวนานมาจนถึงปั จจุบน ั
การศึกษาเรื่ องวัฏจักร เป็ นหลักภาวนาสําหรับบุคคลที่เกิด
ในแห่ ง ใดแห่ ง หนึ่ ง เมื่ อ เขาเหล่ า นั น จะออกจากที่ แ ห่ ง นัน ไป
้ ้
จํ า เป็ นต้ อ งศึ ก ษาสถานที่ แ ห่ ง นั น ว่ า จะออกอย่ า งไร เป็ นทุ ก ข์
้
อย่างไร มีโทษภัยอย่างไรบ้ าง เหมือนกับคนอาบนํ ้าอยู่ในหนองใน
ห้ วย ขณะอาบนําก็มีความสุขสบายเพลิดเพลินอยู่ โดยไม่คํานึง
้
ว่าจะมีภยรอบตัวจะมาทําอันตรายได้ เมื่อเขาคํานึงว่าที่แห่งนันมี
ั ้
ภัยรอบตัว อาจมีจระเข้ ลอยมากัดมาทําอันตรายได้ เขาก็จะมี
ความกลัวเกิ ดขึนว่า จะอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่หลง เมื่ อ
้
จระเข้ ล อยมาก็ จ ะหาวิ ธี ห ลบ หาวิ ธี ขึ น ฝั่ ง ได้ ทัน กาล นี่ คื อ ไม่
้
ประมาทศึกษารอบคอบ
เหมื อ นกับ คนอยู่ใ นป่ า อาจมี ภัย นานาชนิ ด มี งู เสื อ ภัย
นานาประการเกิ ด ขึ น กับ ตัว เรา ก็ จ ะตื่ น ตัว อยู่ เมื่ อ ภัย เหล่ า นี ้
้
เกิดขึ ้น เราจะรู้ ทนเห็นทัน หาวิธีหลีกจากสิ่งนันได้ คือไม่หลง นี ้ก็
ั ้
เช่นกัน โลกที่เราอยู่ทกวันนี ้คือวัฏจักร ทําอย่างไรเราจะออกจาก
ุ
โลกนี ้ได้ คืออย่าประมาท อย่าติดกับโลกนี ้ ถือว่าเป็ นสถานที่พก ั
จิตแห่งหนึงเท่านันเอง ไม่ถือว่าโลกนี ้เป็ นที่ของเรา เพียงเป็ นที่พก
่ ้ ั
แรมของจิตซึงได้ หมุนเวียนมาขณะนี ้เท่านัน เมื่อเราตังใจไว้ อย่าง
่ ้ ้
นี ้ เราจะไม่ไปติดข้ องกับของสิงใด ่
เหมือนกับเราไปเที่ยวสถานที่แห่งหนึ่ง เช่าโรงแรมอยู่ สัง ่
อาหารกิน ที่นอนดีๆ อยู่ไปตามวันเวลานัดหมาย อีกวันใดวันหนึ่ง
- 12. 11
ข้ างหน้ า เราก็จะออกจากโรงแรมนันไป นีฉันใด ใจของเรามา
้ ้
อาศัยโลกเพียงชัวคราว อีกสักวันก็จะออกจากโลกนีไ้ ป เช่น ใน
่
ชาตินี ้เราเป็ นมนุษย์ ชาติหน้ าเราจะเป็ นมนุษย์อีกหรื อไม่ ชาตินี ้
เราเกิดเป็ นคนพออยู่พอกิน แล้ วชาติหน้ ามาเกิดใหม่ ฐานะความ
เป็ นอยู่จะเป็ นอย่างไร ไม่แน่น อน ขึน อยู่กับผลกรรมของชาตินี ้
้
เมื่อทําอย่างนี ้จะส่งผลให้ ชาติหน้ าเป็ นอย่างไร ปั จจุบนจะเป็ นสิ่ง
ั
กําหนดอนาคต
การศึกษาความจริ งของตัวเรา ถ้ าเราเห็นความจริ งว่า ไม่มี
สิ่งใดเที่ยงแท้ แน่นอน นอกจากความตายเท่านัน การศึกษาโลกก็
้
เพื่อให้ กลัวในการเกิด กลัวในความทุกข์ กลัวในสิ่งที่ไม่เที่ยง กลัว
ว่า ไม่มี อ ะไรเป็ นของของเราที่ แ น่นอน เราเพี ยงมาพัก อาศัย อยู่
ชั่วขณะเท่านันเอง อีกสักวันหนึ่งภายหน้ าก็จะจากโลกนีไ้ ป หา
้
เกิดใหม่ไปเรื่ อยๆ เอาแน่อะไรไม่ได้ ชีวตของเราเลื่อนลอยไปเรื่ อยๆ
ิ
ตามวัฏจักร หมุนไปตามธรรมชาติทงหมด ั้
การพูดเรื่ องธรรมชาติเป็ นเรื่ องใหญ่ หากใครไม่ศกษาก็จะ
ึ
เข้ า ใจไปว่า เป็ นเรื่ อ งธรรมดา เป็ นเรื่ อ งธรรมชาติ เกิ ด ขึ น เป็ น
้
ธรรมดา ตายเป็ นธรรมดา แต่เราหยั่งไม่ถึงจุดนัน การเกิดมา
้
อาจจะไม่เท่าเทียมกันทุกชาติทุกภพ ธรรมชาติของโลกนี ้มันหมุน
ตัว สัตว์ทุกตัว มนุษย์ทุกชาติภาษา ก็ต้องหมุนตัวตามธรรมชาติ
ทังหมด เช่น อายุขยของเรา ส่วนใหญ่เราจะเข้ าใจว่า อายุขยของ
้ ั ั
เราจะยาวขึ ้นไปเท่านี ้ หรื อน้ อยลงไปเท่านี ้ คือไม่คิดว่าอายุขยเรา ั
เท่าไร ก็จะอยู่กันไป มีความเจ็บไข้ ได้ ป่วย ก็หายามากิน ถ้ าไม่
- 13. 12
หายก็ ต ายไปเท่ า นั น เอง ที นี อ ายุ ขั ย ของเราไม่ ค งที่ เพราะ
้ ้
ธรรมชาติหมุนตัว สัตว์โลกทุกตัวต้ องหมุนไปตามธรรมชาติ หลักนี ้
ไม่ มี ใ นหลัก วิ ท ยาศาสตร์ เป็ นหลัก ความจริ ง ที่ เ ปลี่ ย นไปตาม
ธรรมชาติ อายุขัยของเรากํ าลังตํ่าลงทุกที การอธิ บายนีต้องยก ้
เรื่ องศาสนามาด้ วย ก่อนที่พระพุทธเจ้ าของเราจะมาตรั สรู้ ทรง
พิจารณาก่อนว่า เมื่อใดอายุขยตํ่ากว่า 100 ปี ในยุคนันจะไม่มา
ั ้
ตรัสรู้ เป็ นพระพุทธเจ้ า เพราะคนเราประมาทมากเกินไป เมื่อใด
อายุขัยของคน 100 ปี ขึนไป พระพุทธเจ้ าจะมาตรั สรู้ ได้ ดังเช่น
้
พระพุทธเจ้ าของเรามาเกิดในช่วงที่คนมีอายุขย 100 ปี เป็ นอายุขย
ั ั
พระพุทธเจ้ าจะมาตรั สรู้ ในช่วงที่อายุขัยของคน ตํ่าสุดไม่
เกิน 100 ปี อายุขย สูงสุดไม่เกิน 100,000 ปี อายุขย การพูดอย่าง
ั ั
นีหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มี แต่ทางศาสนามีหลักการอย่างนี ้ ซึ่งคน
้
อาจไม่ยอมเชื่อว่า คนเราจะอายุร้อยปี พันปี แสนปี ได้ ยงไง นี่คือั
หลัก ความจริ ง ของธรรมชาติ พระพุท ธเจ้ า ตรั ส ไว้ ซึ่ง เป็ นเรื่ อ งที่
ยาวนานเหลือเกิน
ในช่วงที่ พระพุทธเจ้ าตรั สรู้ ในครั งพุทธกาลมี 100 ปี เป็ น
้
อายุขย อายุขยมีการขึ ้นได้ และลงได้ ขณะนี ้อยู่ในช่วงขาลง 100
ั ั
ปี อายุขยลดลง 1 ปี อายุขยลดลงเรื่ อยๆ ตอนนี ้เหลืออยู่ 75 ปี เป็ น
ั ั
อายุ ขัย แต่ ก่ อ นเมื่ อ 2500 ปี ที่ แ ล้ ว อายุ ขัย 100 ปี แต่ บัด นี ้
ล่วงเลยมา 2535 ปี อายุขยของคนเราเหลือ 74 ปี เป็ นอายุขย
ั ั
หากนับต่อไปข้ างหน้ าอีก 100 ปี อายุขยของคนเราก็ลดลง
ั
เหลือเพียง 73 ปี เป็ นอายุขย อีก 100 ปี ถัดไป อายุขยของคนเราก็
ั ั
- 14. 13
ลดลงเหลือเพียง 72 ปี เป็ นอายุขัย 100 ปี ลดลง 1 ปี ลดลงไป
เรื่ อ ยๆ จนเหลื อเพี ยง 10 ปี เป็ นอายุขัย นี่ พูดทางศาสนา เรื่ อ ง
ระยะยาวที่คนไม่เชื่อ จะเชื่อหรื อไม่ ไม่สําคัญ แต่ความจริ งมันเป็ น
อย่างนี ้
หากมีการคํานวณ จะพบว่าอีกประมาณ 7000 ปี นับจากนี ้
ไป อายุขัยของคนเราจะเหลือ 10 ปี เป็ นอายุขัย การตังครรภ์ ใช้ ้
เวลาเพี ยง 3 เดือน เมื่ ออายุ 4 ปี ก็ กลายเป็ นพ่อ บ้ านแม่บ้านได้
สมบูรณ์แล้ ว เพราะมีอายุขยเพียง 10 ปี ลองคิดดูสวาตัวคนเราจะ
ั ิ่
เด็กขนาดไหน
เมื่อคนมีอายุขยระดับนัน นิสยของคนในยุคนันจะแตกต่าง
ั ้ ั ้
จากยุคนี มาก หาความละอายไม่ได้ เลย เหมือนสัตว์ เดรั จฉาน
้
ทัวไป ทัวโลก ในยุคนันจะเป็ น มนุสสเดรัจฉาโน เต็มตัว รู ปร่ าง
่ ่ ้
เป็ นมนุษย์ แต่จิตใจเป็ นสัตว์ เดรั จฉาน ความละอายไม่มี มีแต่
ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่คือธรรมชาติท่ีกําลังหมุนตัวไป
ในช่วงจากนี ้ไปอีก 7000 ปี ข้ างหน้ า ถ้ าคนใดมาเกิดตาย
ในช่วงนี ้ จะได้ ร้ ู เห็นความจริ งว่าเกิดอะไรขึ ้น นี่คือการหมุนเวียน
ของชีวิตสัตว์ ธรรมชาติเป็ นอย่างนี ้ ธรรมชาติมันหมุนตัว สัตว์
โลกทัง หลายก็ ต้ อ งหมุน ไปตามธรรมชาติ เมื่ อ ถึง ยุค นัน จิ ต ใจ
้ ้
มนุษย์จะเหี ้ยมเกินไป มีการฆ่ากันตีกนเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่มี
ั
ความเมตตาต่อกันหรื อมีน้อยมาก เกิดกลียคขึ ้นมาในยุคนัน
ุ ้
ในยุคนันจะมีเทพอีกกลุมหนึ่ง สําหรับกอบกู้วฏจักร จะมา
้ ่ ั
เกิดในยุคนี ้ มาเกิดกับคนกลุมนี ้แหละ กลุมอายุ 10 ปี ตาย เพียง
่ ่
- 15. 14
มาอาศัย สถานที่ เ กิ ด เท่ า นัน ซึ่ ง จะมี เ ทพอี ก กลุ่ม รั ก ษาเขาอยู่
้
บันดาลให้ เป็ นไป ให้ ละอายในการทําชัว เมื่อเขาเหล่านันเริ่ มเป็ น
่ ้
หนุ่มเป็ นสาว กําลังจะเกิดกลียค เขาจะไปอยู่ตามดงตามป่ าตาม
ุ
ถํา ไม่อยู่กับพ่อแม่ ถึงพ่อแม่จะเป็ นอย่างนัน แต่เขาไม่เล่นด้ วย
้ ้
เมื่ อ พ่ อ แม่ ร บราฆ่ า ฟั น ตายกั น ไปหมดแล้ ว ในยุ ค ต่ อ ไปคน
เหล่านันก็จะจับกลุ่มเป็ นผัวเมียกัน หาอยู่กินกันอย่างมีศีลธรรม
้
กรรมบถ 10
เมื่ อ คนกลุ่ ม นี เ้ กิ ด ขึ น ในโลกแล้ ว อี ก 100 ปี ข้ างหน้ า
้
อายุขัย เพิ่ ม ขึ น เป็ น 11 ปี จึ ง ตาย อี ก 100 ปี ข้ า งหน้ า อายุขัย
้
เพิ่มขึ ้นเป็ น 12 ปี จึงตาย 100 ปี อายุขยเพิ่ม 1 ปี เพิ่มขึ ้นเรื่ อยๆ
ั
จนถึง 100 ปี ตาย 1,000 ปี ตาย เพิ่มไปถึง ล้ านปี อายุขัย โกฏิปี
อายุขย ในที่สดจะยืนยาวมาก เรี ยกว่า อสงไขยปี คนจะตัวใหญ่
ั ุ
มาก สิบกว่าศอกก็แล้ วกัน
เมื่อคนในยุคนันมีอายุมากขึ ้น จะมีธรรมชาติอย่างหนึง คือ
้ ่
ความเบื่อหน่าย มันทุกข์ มันยาวนาน มันจะเบื่อของเขาเอง เกิด
การหมุนกลับอีกทีหนึ่ง 100 ปี อายุขยลดลง 1 ปี กลับมาที่ขาลง
ั
ลดลงเหลื อ โกฏิ ปี ล้ า นปี แสนปี จนถึ ง ในยุค 80,000 ปี เป็ น
อายุ ขั ย ในช่ ว งนี ้ พระศรี อาริ ยเมตไตรย์ จะมาตรั ส รู้ เป็ น
พระพุ ท ธเจ้ า เมื่ อ ตรั ส รู้ แล้ ว ประกาศศาสนาถึ ง ที่ สุ ด จน
ปริ นิ พ พานพร้ อมกั บ พระสาวก ไม่ ไ ด้ วางศาสนาเหมื อ นกั บ
พระพุทธเจ้ าของเรา เลิกราไปทังหมด คนจะรู้ ได้ ปฏิบติได้ ช่วงที่
้ ั
พระศรี อาริ ยเมตไตรย์มีชีวตอยูเ่ ท่านัน
ิ ้
- 16. 15
ต่อมาอายุขัยลดลงเรื่ อยๆ ธรรมชาติของโลกเป็ นอย่างนี ้
เดี๋ยวนี ้อายุขยของคนลดลง หรื อจะพูดว่า พระพุทธเจ้ าในภัทรกัปนี ้
ั
มี 5 พระองค์ คือ
1.กกุธสันโธ ในช่วงนันมีอายุขย 40,000 ปี
้ ั
2.โกนาคมโน ในช่วงนันมีอายุขย 20,000 ปี
้ ั
3.กัสสโป ในช่วงนันมีอายุขย 10,000 ปี
้ ั
4.โคตโม พระพุ ท ธเจ้ า องค์ ปั จ จุบัน ในช่ ว งนัน มนุษ ย์ มี
้
อายุขย 100 ปี แต่พระองค์ทานมีอายุเพียง 80 ปี
ั ่
5.พระศรี อาริ ยเมตไตรย์ จะมาตรัสรู้ ในอนาคต ดังที่กล่าว
มาแล้ ว
ณ ปั จจุบน จากนี ้ไปข้ างหน้ าจนมนุษย์มีอายุ 10 ปี จะไม่มี
ั
พระพุทธเจ้ ามาเกิดเลย และอีกเพียง 2500 ปี ข้ างหน้ านี ้ ศาสนา
พุทธก็จะหมดไป เพราะคนไม่เคารพเชื่อถือ ไม่ปฏิบติตามคําสอน ั
ของพระพุทธเจ้ า ในยุคต่อไป ไม่ว่าศาสนาใดที่มีอยู่ก็จะหมดไป
เช่นกัน เพราะคนไม่นบถือ เพราะคนมีนิสยมนุสเดรัจฉาโน กาย
ั ั
เป็ นมนุษย์ แต่ใจเป็ นสัตว์เดรัจฉาน เขาจะไม่นบถือศาสนาอะไร
ั
เลย เป็ นสูญกัป กัปที่วางจากพุทธศาสนา หรื อศาสนาอื่นใดก็ไม่มี
่
ด้ วย
นี ้คือวัฏจักรที่เป็ นธรรมชาติหมุนตัวอยู่ มีหลักฐานก็คือคํา
สอนของพระพุทธเจ้ า หลักความจริ งที่เราดูอยู่ในปั จจุบัน หาก
พิจารณาแล้ วจะมีความเป็ นไปได้ เพราะธรรมชาติเปลี่ยนแปลง
นิสยคนได้ ให้ พวกเราดูภาพพจน์ในอดีตที่ผ่านมา ในช่วงที่เราเป็ น
ั
- 17. 16
หนุ่มสาวดูกิริยาท่าทางความเป็ นอยู่ในอดีต เทียบกับหนุ่มสาว
ในยุคปั จจุบนนัน ด้ านจิตใจแตกต่างกันอย่างไรบ้ าง ในช่วงเวลา
ั ้
เพียงไม่ก่ีปี ความแตกต่างด้ านจิตใจแตกต่างกันอย่างเห็นได้ ชัด
ทีเดียว กิริยาทางกายวาจาใจ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้ าง
ธรรมชาติบอกเอง กิริยาทางกาย สมัยก่อนพ่อแม่สอนลูกหลานให้
เคารพอ่ อ นน้ อ มคนเฒ่ า แก่ กราบไหว้ พ่ อ แม่ นุ่ง ห่ ม ให้ มิ ด ชิ ด
แต่งงานตามพ่อแม่กําหนดให้ แต่เดี๋ยวนี ้เขากําหนดแต่งงานกันเอง
นุ่งห่มยัวยุ นุ่งน้ อยห่มน้ อย ขาดความละอาย ต่อไปก็จะไม่น่งห่ม
่ ุ
เลย เพราะสัตว์เดรัจฉานเข้ ามาแทรกแซงเต็มที่แล้ ว อนาคตภาย
หน้ าจึงเป็ นไปได้ สมัยก่อน 50 ปี ที่แล้ วยังไม่เคยมี แต่สมัยนีก็ยง ้ ั
เป็ นไปแล้ ว เรื่ องความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดี สมัยนี ้เลวกว่า
ยุคก่อน คนสมัยก่อนพอนึกภาพได้ ไหม ผู้หญิงผู้ชาย 17-18 ปี ยัง
กระโดดนํ ้าแก้ ผ้า เล่นนํ ้ากันอยู่เลย แต่ทุกวันนีเ้ กิดอะไรขึ ้น เรื่ อง
ราคะตัณ หารุ น แรงขึน เร็ ว ขึน เพราะอายุสัน มากเท่า ใด ราคะ
้ ้ ้
ตัณหาก็เร็ วขึ ้น โทสะก็เร็ วขึ ้น เดี๋ยวนี ้มองหน้ ากันไม่ได้ สมัยก่อน
เรื่ องปล้ นฆ่าลักของไม่มี หรื อมีน้อยมาก แต่เดี๋ยวนี ้ระวังยาก เรื่ อง
ราคะก็เร็ วขึ ้น โทสะก็เร็ วขึ ้น การตัดสินใจของมนุษย์จะเร็ วขึ ้น
ปั จจุบนนีมีองค์การสหประชาชาติรวบรวมสมาชิกทัวโลก
ั ้ ่
ให้ อ ยู่ใ นขอบเขตการสู้ร บ การรวมกัน นัน รวมได้ ก็ ดี แต่คิด ว่า
้
รวมกันได้ ไม่นานนัก คิดว่า 100 ปี ก็จะพังลง เพราะคนไม่ลงรอย
กัน ต่างคนต่างถือดีถือเก่ง แต่ละคนมีเครื่ องมืออุปกรณ์ ประหาร
ชีวิตพร้ อม ต่างก็ไม่กลัวกัน เพราะมีอาวุธเครื่ องมือทัดเทียมกัน
- 18. 17
อีกไม่เกิน 100 ปี จะเจอของสิงเหล่านี ้มากทีเดียว
่
การพิจารณาอย่างนี ้ พิจารณาเพื่อให้ เห็นทุกข์ เห็นภัยใน
วัฏสงสารนันเอง หลักการใช้ ปัญญาอย่างนี ้ ให้ เรากลัวว่า การเกิด
่
การตายเป็ นทุกข์อย่างนี ้ เป็ นภัยอย่างนี ้ เป็ นโทษอย่างนี ้ นีเ้ ป็ น
หลักการใช้ ปัญญา
เมื่อวัฏฏะหมุนเวียนอยู่อย่างนี ้ ทําไมเราจึงมาเกิดบ่อยๆ
มาเกิดเอาอะไรกัน เพื่ออะไรกัน มาเกิดเป็ นกีฬา มาหาสมบัติแข่ง
กัน เรี ยกว่า ตัณหาความอยาก คนเรามีความอยากในทางที่ดี
คือ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข มนุษย์ เรามีความอยากสี่จุดนี ้ เรื่ อง
เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็ นอีกส่วน เป็ นของไม่แน่นอน
แต่ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข ในกามคุณ เป็ นสิงที่เราต้ องการ
่
ลองพิจารณาดูวา คนเรามีใครบ้ างที่หา ลาภ ยศ สรรเสริ ญ
่
สุข เพียงพอกับความต้ องการ หาไม่ได้ เลย นักภาวนาปฏิบติพึง ั
ศึกษาว่า การแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข มีอยู่คู่กบโลกใบนี ้
ั
แต่คนอีกส่วนหนึ่งจะพิจารณาอยู่ว่า จะหาไปทําไม ส่วนที่หาก็หา
ไปเพื่อสร้ างความเจริ ญให้ กับโลกใบนี ้ แต่นกปฏิบติจะพิจารณา
ั ั
ว่า หาไปทํ า ไม ในโลกของเรามี ค นห้ า พัน กว่ า ล้ า นคน เขาจะ
แสวงหาความสุ ข ให้ มาก แต่ นั ก ปฏิ บั ติ ไ ม่ กี่ ร้ อยคนนี ้ กํ า ลั ง
พยายามหยุดในการหาสิ่งเหล่านี ้ พอแล้ ว หาไปก็เท่านี ้ เหนื่อย
เปล่า หาแล้ วก็ไม่มีอะไรเป็ นของของเรา รู้จกความพอดี หามาได้
ั
แล้ วก็ไม่มีอะไรเป็ นของเราแน่นอน เพียงอาศัยกันชัวกาลเวลาหนึ่ง
่
เท่านัน เมื่อถึงกาลเวลาก็ตายจากกันไป จึงหยุดแล้ ว พออยู่พอ
้
- 19. 18
กินแล้ ว เท่านี ้ก็สามารถอาศัยอยู่กินวันหนึ่งคืนหนึ่ง แต่เขาจะไม่
เดินตามกระแสโลกต่อไป เพราะหาทางสิ ้นสุดไม่ได้ เหมือนการ
เดินรอบโลก เดินร้ อยครัง พันครั ง ก็หาทางสิ ้นสุดไม่เป็ น เรามา
้ ้
เกิดกับโลกนี ้หลายครังหลายหนแล้ ว แต่เราไม่ร้ ู ตวเองเลย เพราะ
้ ั
ความหลง ความไม่ร้ ู ความลืมตัว การใช้ ปัญญาพิจารณาธรรมะ
จึงต้ องพิจารณาว่า ความทุกข์ของโลกที่เรากําลังเวียนอยู่กบโลก มี ั
อะไรบ้ าง ให้ ใจเราเบื่อเอาไว้ นี ้เป็ นหลักที่ใจเราต้ องพิจารณา
ส่ ว น ห ลั ก ธ ร ร ม ห ม ว ด อื่ น ที่ เ ร า กํ า ลั ง ศึ ก ษ า กั น อ ยู่
พระพุทธเจ้ าได้ ตรั สธรรมะเอาไว้ ศึกษาประวัติของโลกทังหมด มี ้
หลักการปฏิบตสองประการ เป็ นกรรมฐานสองอย่างคือ
ัิ
1.สมถกรรมฐาน 2.วิปัสสนากรรมฐาน
กรรมฐานสองประการนี ้ เป็ นการรวมตัวกันเพื่อให้ ร้ ูจริ งเห็น
จริ งในธรรมชาติ หลักหนึ่งเป็ นการทําสมาธิ เป็ นอุบายพักใจ อีก
หลักคือปั ญญาเป็ นหลักใช้ ความคิด เป็ นวิปัสสนากรรมฐาน คิด
ตามหลักความเป็ นจริ ง สิ่งรอบตัวเป็ นหลักความจริ งทังหมด วัฏ ้
จัก รที่ ว่ า มาก็ เ ป็ นความจริ ง ทัง หมด เอาความจริ ง ทัง หมดมา
้ ้
พิจารณาเพื่อให้ เห็นความจริ ง เพื่อให้ เกิดความกลัว เมื่อใจเกิด
ความกลัวอย่างเดียวเท่านัน ทุกอย่างจะหาทางออกได้ ด้วยตัวมัน
้
เอง เรี ยกว่า เห็นจริ งตามความเป็ นจริ ง มันจะกลัวเอง ตราบใดที่
ยังไม่เห็นจริ ง มันยังไม่กลัว มันอยากจะลอง
ยกตัวอย่าง เช่น การมัวสุมทางเพศทําให้ ติดโรคเอดส์นะ
่
เขาประกาศความจริ งให้ โลกฟั ง แต่คนกลุ่มหนึ่งก็ยงคงเสพกันอยู่ ั
- 20. 19
ความอยากมันเหลือกําลังที่จะต้ านทานได้ สําหรับคนที่เขาเชื่อก็
หยุด ไม่ทํา หาวิธีปองกัน กลัวโรค แต่คนที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่ทําตาม
้
ความอยากของตนเอง
การภาวนามีหลักใหญ่สองประการ คือ สมถกรรมฐาน และ
วิปัสสนากรรมฐาน ใช้ ปัญญาพิจารณาหลักธรรมะ ความเป็ นจริ ง
คําสอนของพระพุทธเจ้ ารวมยอดอยูที่นี่ ่
นี่ คื อ ได้ อ ธิ บ ายเรื่ อ งธรรมชาติ และความจริ ง ตามหลัก
ธรรมชาติของวัฏจักรที่หมุนเวียนกันอยู่ ให้ เราได้ นึกคิดใคร่ ครวญ
ถ้ าเราไม่ปกปองตนเองในยุคนี ้ จะยากที่ปกปองได้ การเตรี ยมตัว
้ ้
ล่วงหน้ าดีที่สุด หาวิธีปองกันตัวเองในครั งหน้ าว่า ครั งหน้ าหรื อ
้ ้ ้
ชาติหน้ าจะไปอย่างไร ต้ องเตรี ยมตัวไว้ ก่อน ถ้ าเราไปอย่างนี ้ จะมี
ภัย อะไรบ้ า งที่ เ กิ ด ขึ น กับ เรา เมื่ อ ภัย นัน เกิ ด ขึน เราจะได้ ห าวิ ธี
้ ้ ้
ป องกั น ตนเองได้ ดี ก ว่ า จะไปแบบหลงงมงาย ไม่ ร้ ู ต้ นสาย
้
ปลายทางที่จะไป การล่องลอยตามกระแสของโลก เราต้ องศึกษา
ให้ เข้ าใจ เพราะภัยนานาชนิดย่อมเกิดขึ ้นกับเราได้ ทุกเวลา ชีวิต
ของเราอยู่ในวงล้ อมของความจริ ง คือ ความไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ และ
เป็ นอนัตตา นี่หลวงพ่อได้ ให้ แนวคิดเป็ นครั งแรก วันเปิ ดประชุม
้
ของการอบรมธรรมะ ให้ จ ดในสิ่ ง ที่ ห ลวงพ่ อ พูด ไว้ แล้ ว นํ า มา
พิจารณาว่า จริ งไหม สิ่งภายหน้ าจะเกิดขึ ้นจริ งดังว่าไหม หากเรา
นึกถึงความจริ งเหล่านี ้ การจะหาวิธีหลบหลีกตัวก็พอจะได้ อยู่ ถึง
จะหนีไม่พ้นก็พอหลีกตัวได้ ให้ ความทุกข์ทงหมดเบาบางลงได้
ั้
ยกตัวอย่าง เช่น ในอนาคตเดือนต่อไป มกรา กุมภา จะ
- 21. 20
หนาวมาก ถ้ าเรารู้ เราก็เตรี ยมผ้ าห่มไว้ เมื่อหนาวจริ ง ก็นําผ้ ามา
ห่ม ก็ทุเลาได้ เรานําสิ่งที่เตรี ยมไว้ มาอํานวยความสะดวกแก่เรา
เหมือนเราเดินทางจากจุดหนึงไปอีกจุด อาจเกิดไข้ มาลาเรี ย หรื อมี
่
เสือสัตว์ ร้ายต่างๆ เมื่อเราศึกษาเส้ นทางไว้ ดีแล้ ว เราจะเตรี ยม
อุปกรณ์ ต่างๆ ไว้ เดินทาง มีด ปื น ยา เมื่อเกิดอุปสรรคขึ ้นกับเรา
เราก็จะสามารถแก้ ไขได้ ทน ไม่ประมาทในตนเอง
ั
นี ้ฉันใด ชีวิตเราจากนี ้ไปในชาติหน้ า เราก็ต้องเจออุปสรรค
ดังที่ได้ อธิบายมาทังหมด ถ้ าเราไม่ประมาทในตนเอง สิ่งเหล่านัน
้ ้
พอจะทุเลาเบาบางลงได้ สิ่งที่ได้ อธิ บายไป เป็ นหลักภาวนาอี ก
อย่าง เรี ยกว่า เจริ ญวิปัสสนา นัตถิ โลเก ระโหนามะ ความลับไม่
มีในโลก เพราะปั ญญาเรารู้เห็นทุกอย่างว่าเป็ นอย่างไร
โลก คือ ธรรมชาติที่เป็ นอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ สาม
โลกสามภพพิจารณาให้ ชดเจนขึ ้น พิจารณาภายนอกภายใน ธาตุ
ั
สี่ขนธ์ ห้าของเราทังหมด ที่เรายึดถื อว่าเป็ นเรา เป็ นของของเรา
ั ้
ความหลงไม่ใช่หลงเราอย่างเดียว หลงภายนอกบ้ าง ภายในบ้ าง
เรี ยกว่า ภายนอกภายใน ใกล้ ไกล หยาบละเอียด พิจารณาลงสูไตร ่
ลักษณ์ทงหมด ตัดทอนความหลงให้ เบาบางลงจากใจของเรา
ั้
การอบรมครังนี ้ หลวงพ่อก็ได้ นําพระวิทยากรมาช่วยอบรม
้
การศึกษาธรรมะนัน เราจะเอาอายุพรรษามาพูดไม่ได้ เอาธรรมะ
้
มาพูดกัน เรื่ องพรรษาเป็ นเรื่ องตัวเลข เป็ นสิ่งสมมติกัน แต่เรื่ อง
ธรรมะเป็ นความจริ ง การพูดธรรมะความจริ งจึงไม่เกี่ยวกับการเอา
พรรษาเอาอายุมาพูดกัน หากคนใดที่มีความเป็ นธรรมกับตัวเอง
- 22. 21
แล้ ว ถึง คนอื่ น คนใดฐานะใดไม่สํ า คัญ หากเขามาตัก เตื อ นว่า
กล่า วเรา เกี่ ย วกับ ความบกพร่ อ งของเรา ถื อ ได้ ว่า เขามี ค วาม
เมตตาต่อเรา ไม่ว่าเขาจะมีฐานะอะไรไม่สําคัญ สําคัญตรงที่ผ้ ู
ที่มาตักเตือนเราว่า สิ่งนีควร สิ่งนีไ้ ม่ควร ชีแนะแนวทาง นันคือ
้ ้ ่
เขามี ค วามเมตตาสงสารเรา อายุ พ รรษาไม่ เ กี่ ย ว นี่ คื อ
ธรรมาธิปไตย หากเรามีความคิดอย่างนี ้ จะมีความสุขมาก เพราะ
ไม่ยึดติดในชาติชนวรรณะ ไม่นบว่า องค์นนบวชนานหรื อไม่นาน
ั้ ั ั้
ให้ นบความจริ ง หากคนใดมาสอนเราให้ เราสํานึกตัวได้ ว่า เราทํา
ั
ผิ ด อย่า งนี ้ มี ค นอื่ น มาตัก เตื อ นเรา เราจะขอบคุณ เขา ที่ เ ขามี
ความเมตตาสงสารเรา เราจะให้ ความเคารพผู้นนอยู่เสมอ นี่คือั้
ธรรมาธิปไตย
ปี นี ้ นิ มนต์ พระมาหลายองค์ เพื่ อ ให้ ฟัง อุบายการปฏิ บัติ
ของหลายองค์ จะได้ เลือกอุบายที่ตรงกับเรา เรี ยกว่า นําสินค้ ามา
เยอะ มามาก เราต้ องการอะไรก็เลือกเองได้ อาหารมีมาก ยามี
มาก เลือกเองได้ ว่า สิ่งไหนถูกธาตุขนธ์ กบเรา เอาละให้ พดคุยกัน
ั ั ู
ต่อไปนะ
- 23. 22
หลวงพ่ อทูล เทศน์ ท่ ี รร.ปานะพันธ์ กัณฑ์ ท่ ี 2
จากนีไ้ ปจะได้ อบรมธรรมะ เพื่อให้ เข้ าใจในข้ อวัตรปฏิบติ ั
อุบ ายในข้ อ วัต รปฏิ บัติ มี ม ากมาย แต่ จุด ใหญ่ ท่ี สุด สํ า หรั บ การ
ปฏิ บัติคือ สติปัญญา เป็ นฐานรองรั บการปฏิ บัติทังหมด ไม่ว่า
้
ปฏิบติที่ไหนอย่างไร ปฏิบติทางกายก็ดี วาจาก็ดี หรื อนึกคิดทางใจ
ั ั
ก็ ดี สติ ปั ญ ญาเป็ นหลัก สํ า คัญ คํ า สอนของพระพุ ท ธเจ้ ามี
มากมาย 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่ก็มารวมลงอยู่ที่ สติปัญญา
นี่คือจุดสําคัญของการปฏิบติ ั
ส่วนอุบายอื่นที่เป็ นหลักประกอบการปฏิบติ เช่น กิริยาทาง
ั
กาย วาจา หรื อ การนึกคิดทางใจ ทังหมดนี ้ เราจะมีอบายอย่างไร
้ ุ
เพื่อใช้ อุบายทางกาย ให้ เป็ นธรรม อย่างถูกต้ อง เพราะกิริยาทาง
กายมีมาก สิ่งที่เราต้ องคํานึงถึงคือ สติปัญญา สติ มีความหมาย
อย่างไร ปั ญ ญามี ค วามหมายอย่างไร ที่ เ ราจะนํ ามาปฏิ บัติไ ด้
เพื่ อ จะเป็ นเครื่ อ งปกป องกายวาจาใจ ให้ อ ยู่ใ นกรอบของความ
้
ถูกต้ องเป็ นธรรม
สติ หมายถึง ความระลึกได้ นี่เป็ นอุบายหนึ่ง ปั ญญา คือ
ความรอบรู้ นี่เป็ นอีกอุบายหนึ่ง ทังสองอุบายมีความเกี่ยวเนื่อง
้
กันมากทีเดียว ถ้ าเรารอบรู้ แต่ขาดความระลึกได้ ความรอบรู้นนก็ ั้
มีผลน้ อยเต็มที ถึงเราจะระลึกได้ แต่ขาดความรอบรู้ แล้ ว ผลก็
น้ อยเต็มทีเช่นเดียวกัน ดังนัน การสร้ างความสัมพันธ์ อนดีระหว่าง
้ ั
สติ กับ ปั ญ ญา เป็ นต้ น ทางสํ า คัญ ในการวางแผนการปฏิ บัติ
- 24. 23
ทังหมด จะเรี ยกว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ก็อยู่ท่ีต้นทางนี ้ อยู่
้
ที่สติปัญญาเป็ นหลักใหญ่
คนเราทุกวันนี ้มีสติอยู่ แต่การระลึกได้ มีทงทางโลก และ
ั้
ทางธรรม ที่ระลึกได้ ตามธรรมชาติที่เป็ นเองก็มี โดยที่ไม่ต้องมีใคร
มาบอกเรา บางทีก็ระลึกไปในทางที่ดี บางทีก็ระลึกไปในทางที่ชว ั่
สติเป็ นตัวระลึก ส่วนปั ญญาเป็ นอุบายกลันกรองรอบรู้ สิ่งที่ระลึก
่
ทังหมดว่า สิ่งใดมีประโยชน์ มีคุณค่า นํามาปฏิบติกับตนเองได้
้ ั
ไม่ใช่วา การระลึกได้ ทงหมดจะเป็ นสิงดี พยายามทิ ้งไปในส่วนที่ไม่
่ ั้ ่
ควรเอา นักปฏิบตต้องวางพื ้นฐานนี ้ให้ ได้
ัิ
หลายคนมีคําถามว่า การสร้ างสติให้ มีความเข้ มแข็ง ทํา
อย่างไร คือ พยายามฝึ กตัวให้ มีความระลึกได้ อยู่เสมอ การระลึก
ได้ ในที่นี ้ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ธรรม
สองหมวดนีทุกคนรู้ อยู่แล้ ว เข้ าใจในหลักการ แต่ภาคปฏิบัติไม่
้
เข้ าใจ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว สอง
อุบายนี ้ลึกซึ ้งมาก ยากที่บุคคลจะปฏิบติให้ เป็ นไปตามธรรมสอง
ั
หมวดนี ้ได้
หิริ ความละอาย เป็ นหลักใหญ่ในการปฏิบติ หากคนเรามี
ั
ความละอายแล้ ว การทําชัวทังหมดทังทางกายวาจาใจจะไม่เกิด
่ ้ ้
ขึ ้นกับคนนันเลย เพราะมีความละอายกับตนเอง นี่คือธรรมเพียง
้
หมวดเดียวในภาคปฏิบติจะทําได้ หรื อไม่ สมมติว่า เราจะไม่เอา
ั
ธรรมหมวดอื่นแล้ ว เราจะฝึ กความละอายอย่างเดียว ให้ มีความ
เข้ มแข็ง จะทําได้ หรื อไม่ สติระลึกได้ แต่ละวันจะระลึกในความ
- 25. 24
ละอายแก่ ต นเอง โดยไม่ ต้ อ งเอาธรรมหมวดอื่ น มาอวดอ้ า งว่า
ธรรมหมวดนันก็ร้ ู หมวดนีก็ร้ ู เราจะฝึ กธรรมะเพียงหมวดย่อๆ นี ้
้ ้
คื อ มี ส ติ ร ะลึก ได้ ว่า จะมี ค วามละอายแก่ ใ จอยู่ทุก เมื่ อ จะทํ า ได้
หรื อ ไม่ นี่ คื อ ส่ ว นที่ เ ราต้ อ งสํ า นึ ก ให้ ดี แต่ เ ราทํ า ไม่ ไ ด้ ต ามที่
ต้ องการหรอก เพราะจะเกิดความพลังเผลออยูบ้าง ้ ่
โอตตัปปะ ความเกรงกลัว จะทําอย่างไรให้ ใจเกิดความ
เกรงกลัวต่อสิ่งนันๆ ผู้ที่จ ะทํ าให้ เ กิ ด ความเกรงกลัว ขึน ในใจได้
้ ้
ต้ องมีเหตุผลหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าจะกลัวอย่างเดียว อย่างนันใช้ ้
ไม่ได้ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ธรรมสอง
หมวดนี ้เป็ นต้ นทางของการปฏิบติ ในการเลือกเฟนความดีความ
ั ้
ชัว ต้ องรู้ จกธรรมสองข้ อนี ้ให้ ดี คําว่า กลัว มีหลายพื ้นฐาน หลาย
่ ั
ขันตอน กลัวอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด กลัวทางโลก
้
อย่างหนึง กลัวทางธรรมอีกอย่างหนึง
่ ่
สําหรับนักปฏิบติแล้ ว พยายามกลัวทางโลกให้ มาก อบรม
ั
สั่งสอนใจให้ กลัวความเป็ นอยู่ของโลกให้ ได้ ส่วนมากเราจะไม่
อบรมตัวเองให้ กลัวความเป็ นอยู่ของโลก มีแต่จะอบรมตนเองให้
ต่อ สู้ต ลอดไป ความเป็ นอยู่ข องโลกเป็ นไปอย่า งไรก็ ห ากลัว ไม่
พยายามต่อ สู้อ ยู่ต ลอดเวลา โลกเป็ นอย่า งไร เราเป็ นอย่า งนัน ้
เพื่อนฝูงเป็ นอย่างไร เราเป็ นอย่างนัน เพื่อนผิดถูกไม่สนใจ เขาทํา
้
ได้ เราก็ทําได้ ในที่สดเราก็ถือเอาคนกลุ่มใหญ่เป็ นหลักเป็ นเกณฑ์
ุ
เมื่อคนกลุมนันผิด เราก็ผิดตามเขา ใช้ ไม่ได้ เลย
่ ้
คําว่า เกรงกลัว นัน กลัวอะไร ขันสูงสุดคือ กลัวการเกิด
้ ้
- 26. 25
ถ้ าเราฝึ กใจตนเองให้ กลัวการเกิดได้ ฝึ กอย่างไร นี่คือขันสูงสุด ้
ของพระพุท ธศาสนา กลัว การเกิ ด อี ก ในชาติ ห น้ า ทํ า ไมจึง ฝึ ก
ตนเองให้ กลัวอย่างนัน เพราะการเกิดอีกเป็ นทุกข์นานาประการ
้
ไม่เคยเลือกหน้ าใครทังสิ ้น ไม่วาที่ไหน ตระกูลใด ชนชาติใด ความ
้ ่
ทุกข์ไม่เลือกหน้ า เมื่อเกิดมาแล้ วย่อมมีความทุกข์ ด้วยกันทังนัน ้ ้
ทุกข์อย่างหนึง คือ ่
1.สภาวะทุกข์ ทุกข์ประจําขันธ์ ขันธ์ ของเราเป็ นฐานแห่ง
ความทุกข์ทงหมด ั้
2. ปกิณกะทุกข์ ทุกข์ ที่จรมา ทุกคนต้ องประสบพบเห็น
ทุกข์ที่จรมาเช่นเดียวกัน
ความทุกข์ทงหมด เราจะกลัวได้ ไหม การอบรมสอนใจให้
ั้
กลัวในทุกข์เหล่านี ้ได้ นันคือ ผู้มีปัญญา ใช้ ปัญญาหาเหตุผลใน
่
แง่ต่างๆ อบรมสังสอนตนเองว่า การเป็ นอยู่ในโลกนีมีความทุกข์
่ ้
อย่างไรบ้ าง ต้ องสอนทุกแง่ทุกมุม ทุกจุดทุกอุบาย ไม่ใช่ร้ ู ทุกข์
อย่างเดียว ต้ องเห็นทุกข์ด้วย หากรู้ อย่างเดียว แต่ไม่เห็นเหตุให้
เกิดทุกข์แล้ ว ผลประโยชน์น้อยเต็มที ฉะนันการภาวนาปฏิบติต้อง
้ ั
ให้ ร้ ู เหตุใ ห้ เ กิ ด ทุก ข์ และเห็ น เหตุใ ห้ เ กิ ด ทุก ข์ ด้ ว ย ให้ เ กิ ด ความ
ละอายแก่ใจ และให้ เกิดความเกรงกลัว คือกลัวการเกิดมากับโลก
ทําอย่างไรจะได้ ไม่เกิดอีกต่อไป
นี่เป็ นจุดที่ผ้ ูปฏิบัติจะแสวงหาธรรมะขันสูงต่อไป คิดจะ้
อบรมตนเอง ให้ เกิ ดความกลัว ขึนในใจ เราคนเดียวที่ สามารถ
้
อบรมตนเองได้ ถึงคนอื่นจะอบรมเราอย่างไร ก็เป็ นเพียงปลีกย่อย
- 27. 26
เตือนเราให้ เราอบรมตนเองเท่านันเอง เช่น ขณะนี ้พวกเราได้ มา
้
อบรมธรรมะอยู่ก็ตาม นี่เป็ นส่วนปลีกย่อย เพียงมารั บนโยบาย
จากผู้ให้ การอบรม ส่วนเราผู้รับการอบรมต้ องนําอุบายทังหมดไป
้
อบรมตนเองครังที่สอง อีกต่อหนึ่ง อุบายใดที่ได้ รับมาก็ต้องนําไป
้
อบรมตนเองอีกครังหนึง บุคคลที่อบรมตนเองได้ นนคือ ผู้มีปัญญา
้ ่ ั่
มีความฉลาดในการอบรมตนเองอยูเ่ สมอ
การอบรมตนเองไม่จําเป็ นต้ องหากาลเวลา เวลานันก่อน้
เวลานี ้ก่อน หรื อต้ องเข้ าที่ภาวนาก่อนจึงจะอบรมตนเอง ไม่จําเป็ น
การอบรมตนเองไม่มีกาลเวลา ทําที่ไหนก็ได้ กินข้ าวก็ได้ ทํางาน
ก็ได้ สําคัญที่ให้ เรามีสติปัญญา รู้ อบายวิธีในการอบรมตนเองอยู่
ุ
เสมอ
ใจของเรามีความอยาก สันดานเดิมคือไม่ร้ ู เท่าตามความ
เป็ นจริ ง เป็ นเวลานาน จนกลายเป็ นนิสัยจิตด้ านจนถึงปั จจุบัน
หากไม่มีความขยันหมันเพียรแล้ ว การอบรมก็จะเป็ นไปยากมาก
่
เพราะจิตเราไม่ยอมรับความจริ งตามหลักความจริ ง ต้ องใช้ ปัญญา
อบรมตนเองอยูเสมอ ไม่เช่นนันจิตเราจะด้ านเสีย ฉะนัน เราจึงไม่
่ ้ ้
รอให้ คนอื่นอบรมเราฝ่ ายเดียว เราต้ องอบรมตนเองเป็ นสําคัญ
เรี ยกว่า ตนแลเป็ นผู้อบรมตนเอง
จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง จิตที่ถกอบรมอยู่เสมอๆ จิตจะมี
ู
ความฉลาด มี ค วามเข้ า ใจในเหตุใ นผล จิ ตจะมี ความสุข ความ
เจริ ญ เราต้ องเป็ นผู้อบรมตนเองเสมอ ตนเตือนตนด้ วยตนเอง
อบรมตนเอง สิ่งที่เราทําผิดไหม ถูกไหม เตือนตนอยู่เสมอ สิ่งนี ้ไม่
- 28. 27
ควรทํา สิงนี ้ควรทํา
่
จิตตัง รักเขถะ เมธาวี แปลว่า ผู้มีปัญญาดีเท่านัน จึงจะ ้
รักษาจิตได้ ถ้ าผู้มีปัญญาทราม จะรั กษาจิตไม่ได้ เลย ปล่อยไป
ตามยถากรรม คิดเรื่ องดีเรื่ องชัวก็ไม่เข้ าใจว่า ผิดหรื อถูก เพราะ
่
ขาดปั ญญารอบรู้ การใช้ ปัญญาอบรมใจ ว่า สิ่งนันควรทํา ควร ้
พูด ควรคิด สิ่งนี ้ควรปฏิบติ สิ่งนี ้ควรละ ควรวาง ปั ญญาความรู้
ั
รอบทังหมดว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ธัมมะวิจยะ รู้ จกการเลือก
้ ั
เฟนธรรมะมาปฏิบตกบตนเอง
้ ัิ ั
อีกคําหนึง ตนแลเป็ นที่พงของตน จะพึงอย่างไร พึงคนอื่น
่ ึ่ ่ ่
พึ่ง ได้ ประเดี๋ย วประด๋า ว แต่พึ่งตนเองเป็ นสิ่งสํ าคัญ เราจะเอา
สติปัญญาเป็ นที่พงตนเองได้ อย่างไร ต้ องสร้ างขึ ้นมา
ึ่
ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่กับลูก ในเบื ้องต้ นต้ องอาศัยพ่อแม่
เป็ นผู้บํ า รุ ง รั ก ษาลูก ให้ เ จริ ญ เติบ โต แต่ที่ สํ า คัญ เมื่ อ ลูก ใหญ่ โ ต
ขึ ้นมา เมื่อรู้ จักความเป็ นอยู่ของตนเองแล้ ว ไม่ใช่ลูกจะเกาะพ่อ
แม่ ไ ปจนตลอดวัน ตาย จํ า เป็ นต้ อ งออกไปเป็ นตัว ของตัว เอง
บุคคลจะเป็ นตัวของตัวเองได้ ต้ องรู้ จกว่า เป็ นที่พึ่งของตนเองได้
ั
อย่างไร พึ่งความสามารถ สติปัญญาตนเองอย่างไร ให้ เราฝึ ก
นิสยพึงตนเองอยูเ่ สมอ นี่คือสิงที่ต้องสํานึกให้ มาก
ั ่ ่
อีกสิ่งหนึ่ง คือ เรากําลังอาศัยครู อาจารย์ ผู้เป็ นพ่อเป็ นแม่
ให้ ค วามรู้ ความฉลาดแก่ เ รา เพื่ อ เป็ นที่ พึ่ ง แก่ ต นเองให้ ไ ด้ นํ า
ความรู้ ทังหมดบรรจุลงในตัวเองให้ มาก เพราะเราไม่สามารถจะ
้
อบรมธรรมะกันได้ ตลอดวันตลอดคืน ตลอดเดือนตลอดปี ถ้ าหาก