Soumettre la recherche
Mettre en ligne
ทะเล มหาสมุทร และลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากคลื่น
•
2 j'aime
•
11,223 vues
NoiRr DaRk
Suivre
ทะเล มหาสมุทร และลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากคลื่น
Lire moins
Lire la suite
Formation
Signaler
Partager
Signaler
Partager
1 sur 25
Télécharger maintenant
Télécharger pour lire hors ligne
Recommandé
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้Graphic organizer
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้Graphic organizer
Tasanee Nunark
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Princess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
สรุปเนื้อหา เศรษฐศาสตร์ ม.3 ชุดที่ 1
สรุปเนื้อหา เศรษฐศาสตร์ ม.3 ชุดที่ 1
วีระยศ เพชรภักดี
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง
พัน พัน
คู่มือการใช้เชือก
คู่มือการใช้เชือก
Noppadon Khongchana
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
ณรงค์ศักดิ์ กาหลง
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
สุขใจ สุขกาย
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
Pannaray Kaewmarueang
Recommandé
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้Graphic organizer
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้Graphic organizer
Tasanee Nunark
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Princess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
สรุปเนื้อหา เศรษฐศาสตร์ ม.3 ชุดที่ 1
สรุปเนื้อหา เศรษฐศาสตร์ ม.3 ชุดที่ 1
วีระยศ เพชรภักดี
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง
พัน พัน
คู่มือการใช้เชือก
คู่มือการใช้เชือก
Noppadon Khongchana
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
ณรงค์ศักดิ์ กาหลง
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
สุขใจ สุขกาย
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
Pannaray Kaewmarueang
คำสมาสศาสตร์ต้องรู้
คำสมาสศาสตร์ต้องรู้
duangchan
การผูกเงื่อน
การผูกเงื่อน
Palasut
5.แหล่งน้ำgs ผิวดินบาดาลใช้ประโยชน์
5.แหล่งน้ำgs ผิวดินบาดาลใช้ประโยชน์
Wichai Likitponrak
ตรรกศาสตร์
ตรรกศาสตร์
Jiraprapa Suwannajak
ขนาดอะตอมและขนาดไอออน
ขนาดอะตอมและขนาดไอออน
kkrunuch
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
Sopa
ตัวอย่างโครงงาน
ตัวอย่างโครงงาน
Siriporn Kusolpiamsuk
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
Saran Srimee
บทนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจริยคุณ
บทนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจริยคุณ
bua2503
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
supaporn2516mw
Ast.c2560.6tp
Ast.c2560.6tp
มะดาโอะ มะเซ็ง
IS1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ กลุ่ม1
IS1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ กลุ่ม1
พัน พัน
ประชากร1
ประชากร1
Waralee Sinthwa
วิทยาการคำนวณ3
วิทยาการคำนวณ3
ณัฐพล บัวพันธ์
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
Hansa Srikrachang
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
NooAry Diiz'za
สงครามเย็น
สงครามเย็น
Taraya Srivilas
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
Surapong Klamboot
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
KruNistha Akkho
Slชุดฝึกเฉลยแบบฝึกทักษะ
Slชุดฝึกเฉลยแบบฝึกทักษะ
krupornpana55
7.สรุปและข้อเสนอแนะ
7.สรุปและข้อเสนอแนะ
PinNii Natthaya
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลกและการเปลี่ยนแปลง
nasanunwittayakom
Contenu connexe
Tendances
คำสมาสศาสตร์ต้องรู้
คำสมาสศาสตร์ต้องรู้
duangchan
การผูกเงื่อน
การผูกเงื่อน
Palasut
5.แหล่งน้ำgs ผิวดินบาดาลใช้ประโยชน์
5.แหล่งน้ำgs ผิวดินบาดาลใช้ประโยชน์
Wichai Likitponrak
ตรรกศาสตร์
ตรรกศาสตร์
Jiraprapa Suwannajak
ขนาดอะตอมและขนาดไอออน
ขนาดอะตอมและขนาดไอออน
kkrunuch
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
Sopa
ตัวอย่างโครงงาน
ตัวอย่างโครงงาน
Siriporn Kusolpiamsuk
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
Saran Srimee
บทนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจริยคุณ
บทนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจริยคุณ
bua2503
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
supaporn2516mw
Ast.c2560.6tp
Ast.c2560.6tp
มะดาโอะ มะเซ็ง
IS1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ กลุ่ม1
IS1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ กลุ่ม1
พัน พัน
ประชากร1
ประชากร1
Waralee Sinthwa
วิทยาการคำนวณ3
วิทยาการคำนวณ3
ณัฐพล บัวพันธ์
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
Hansa Srikrachang
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
NooAry Diiz'za
สงครามเย็น
สงครามเย็น
Taraya Srivilas
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
Surapong Klamboot
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
KruNistha Akkho
Slชุดฝึกเฉลยแบบฝึกทักษะ
Slชุดฝึกเฉลยแบบฝึกทักษะ
krupornpana55
Tendances
(20)
คำสมาสศาสตร์ต้องรู้
คำสมาสศาสตร์ต้องรู้
การผูกเงื่อน
การผูกเงื่อน
5.แหล่งน้ำgs ผิวดินบาดาลใช้ประโยชน์
5.แหล่งน้ำgs ผิวดินบาดาลใช้ประโยชน์
ตรรกศาสตร์
ตรรกศาสตร์
ขนาดอะตอมและขนาดไอออน
ขนาดอะตอมและขนาดไอออน
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
ตัวอย่างโครงงาน
ตัวอย่างโครงงาน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
บทนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจริยคุณ
บทนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจริยคุณ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
Ast.c2560.6tp
Ast.c2560.6tp
IS1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ กลุ่ม1
IS1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ กลุ่ม1
ประชากร1
ประชากร1
วิทยาการคำนวณ3
วิทยาการคำนวณ3
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
สงครามเย็น
สงครามเย็น
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
1 แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาฟิสกส์ เรื่อง ความหนาแน่น
Slชุดฝึกเฉลยแบบฝึกทักษะ
Slชุดฝึกเฉลยแบบฝึกทักษะ
Similaire à ทะเล มหาสมุทร และลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากคลื่น
7.สรุปและข้อเสนอแนะ
7.สรุปและข้อเสนอแนะ
PinNii Natthaya
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลกและการเปลี่ยนแปลง
nasanunwittayakom
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลกและการเปลี่ยนแปลง
kalita123
ภูมิศาสตร์มอปลาย
ภูมิศาสตร์มอปลาย
Kroo Mngschool
บทที่ 2
บทที่ 2
narongsakday
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
jintana533
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
Monticha
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
jirawat191
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
Monticha
รายงานผลการวิจัย ปี 2553 การจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
รายงานผลการวิจัย ปี 2553 การจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
Kobwit Piriyawat
Similaire à ทะเล มหาสมุทร และลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากคลื่น
(10)
7.สรุปและข้อเสนอแนะ
7.สรุปและข้อเสนอแนะ
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลกและการเปลี่ยนแปลง
ภูมิศาสตร์มอปลาย
ภูมิศาสตร์มอปลาย
บทที่ 2
บทที่ 2
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
รายงานผลการวิจัย ปี 2553 การจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
รายงานผลการวิจัย ปี 2553 การจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
Plus de NoiRr DaRk
ตำราวิชาการสุคนธบำบัด
ตำราวิชาการสุคนธบำบัด
NoiRr DaRk
การใช้น้ำมันมะพร้าวกันแดด
การใช้น้ำมันมะพร้าวกันแดด
NoiRr DaRk
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
NoiRr DaRk
Gerunds and Infinitives
Gerunds and Infinitives
NoiRr DaRk
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
NoiRr DaRk
Direct - Indirect Speech + Exercise
Direct - Indirect Speech + Exercise
NoiRr DaRk
This, That, These and Those + Exercise
This, That, These and Those + Exercise
NoiRr DaRk
Subject - Verb Agreement + Exercise
Subject - Verb Agreement + Exercise
NoiRr DaRk
คัมภีร์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย
คัมภีร์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย
NoiRr DaRk
คู่มืออบรมการพัฒนาโปรแกรมแอนดรอยด์ ขั้นพื้นฐาน
คู่มืออบรมการพัฒนาโปรแกรมแอนดรอยด์ ขั้นพื้นฐาน
NoiRr DaRk
แมงกระพรุน
แมงกระพรุน
NoiRr DaRk
คู่มือการจำแนกชนิดแมงกระพรุนกล่อง
คู่มือการจำแนกชนิดแมงกระพรุนกล่อง
NoiRr DaRk
หาดทราย มรดกทางธรรมชาติ ที่นับวันจะสูญสิ้น
หาดทราย มรดกทางธรรมชาติ ที่นับวันจะสูญสิ้น
NoiRr DaRk
Burn the fat
Burn the fat
NoiRr DaRk
GPS/IMU Integrated System for Land Vehicle Navigation based on MEMS
GPS/IMU Integrated System for Land Vehicle Navigation based on MEMS
NoiRr DaRk
ACSM Metabolic Equations
ACSM Metabolic Equations
NoiRr DaRk
เปิดกรุผีไทย ตอนผ้าป่าผีตาย (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนผ้าป่าผีตาย (เหม เวชกร)
NoiRr DaRk
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
NoiRr DaRk
พื้นยก (Raised Floor/ Access Floor)
พื้นยก (Raised Floor/ Access Floor)
NoiRr DaRk
Inertial measurement unit (IMU) and Global Positioning System (GPS)
Inertial measurement unit (IMU) and Global Positioning System (GPS)
NoiRr DaRk
Plus de NoiRr DaRk
(20)
ตำราวิชาการสุคนธบำบัด
ตำราวิชาการสุคนธบำบัด
การใช้น้ำมันมะพร้าวกันแดด
การใช้น้ำมันมะพร้าวกันแดด
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
Gerunds and Infinitives
Gerunds and Infinitives
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
Direct - Indirect Speech + Exercise
Direct - Indirect Speech + Exercise
This, That, These and Those + Exercise
This, That, These and Those + Exercise
Subject - Verb Agreement + Exercise
Subject - Verb Agreement + Exercise
คัมภีร์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย
คัมภีร์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย
คู่มืออบรมการพัฒนาโปรแกรมแอนดรอยด์ ขั้นพื้นฐาน
คู่มืออบรมการพัฒนาโปรแกรมแอนดรอยด์ ขั้นพื้นฐาน
แมงกระพรุน
แมงกระพรุน
คู่มือการจำแนกชนิดแมงกระพรุนกล่อง
คู่มือการจำแนกชนิดแมงกระพรุนกล่อง
หาดทราย มรดกทางธรรมชาติ ที่นับวันจะสูญสิ้น
หาดทราย มรดกทางธรรมชาติ ที่นับวันจะสูญสิ้น
Burn the fat
Burn the fat
GPS/IMU Integrated System for Land Vehicle Navigation based on MEMS
GPS/IMU Integrated System for Land Vehicle Navigation based on MEMS
ACSM Metabolic Equations
ACSM Metabolic Equations
เปิดกรุผีไทย ตอนผ้าป่าผีตาย (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนผ้าป่าผีตาย (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
พื้นยก (Raised Floor/ Access Floor)
พื้นยก (Raised Floor/ Access Floor)
Inertial measurement unit (IMU) and Global Positioning System (GPS)
Inertial measurement unit (IMU) and Global Positioning System (GPS)
ทะเล มหาสมุทร และลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากคลื่น
1.
บทที่ 10 ทะเล มหาสมุทร
และลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากคลื่น 1. บทนํา ทะเลและมหาสมุทรจัดเปนเปลือกโลกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคลายกับแองน้ําและมีน้ําปกคลุมอยู สัดสวนพื้นที่ของมหาสมุทรคิดเปนพื้นที่รอยละ 71 ของเปลือกโลกทั้งหมด มหาสมุทร คือ สวนของผิวน้ําที่ถูก ลอมรอบดวยทวีป สวนทะเลหมายถึงสวนที่เปนขอบของมหาสมุทร บางสวนเรียกวาอาวตามสภาพภูมิ ประเทศ ดังที่ไดศึกษามาแลววาสวนของมหาสมุทรเปนหินจําพวกหินบะซอลตเปนสวนหนึ่งของเปลือกโลกที่ เรียกวา “ไซมา” (Sima) จาการศึกษาของนักวิทยาศาสตรพบวาน้ําที่แชขังอยูในแองของมหาสมุทรในระยะ แรกจะเปนน้ําจืด แตเมื่อบนโลกเกิดปรากฏการณฝนตก หยาดน้ําฟาจะไหลจากภาคพื้นทวีปทําใหเกิดการ ชะลาง การพัดพา และการละลายเอาเกลือแรตางๆ บนโลกใหลงมาสะสมอยูในทะเลติดตอกันมาเปนระยะ เวลายาวนาน ในขณะเดียวกันน้ําในมหาสมุทรจะมีอัตราการระเหยกลายเปนไออยูตลอดเวลา จึงทําใหสาร ละลายประเภทเกลือมีความเขมขนสูงขึ้นเปนสาเหตุที่วาทําไมน้ําทะเลจึงมีรสเค็ม ประกอบกับการศึกษา รายชื่อเกลือแรที่ประกอบอยูในน้ําทะเลเราพบวาองคประกอบเปนเกลือคลอไรดถึงรอยละ 55 รองลงมาไดแก เกลือโซเดียมรอยละ 31 นอกจากนั้นก็เปนแรธาตุชนิดอื่นๆ อยางไรก็ตามจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร พบวาปริมาณแรธาตุที่ละลายในน้ําทะเลจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุประการหนึ่งมาจากมนุษยสรางเขื่อนกั้น ลําน้ําสาขาตางๆ ทําใหปริมาณน้ําจืดที่ไหลลงสูทะเลมีปริมาณลดลง นอกจากนั้นเรายังพบวาความเค็มของน้ําทะเลที่ระดับน้ําทะเลนั้นแตกตางกันไปตามที่ตางๆ โดยทาง ซีกโลกเหนือน้ําทะเลจะเค็มที่สุดใกลๆ กับบริเวณละติจูดที่ 25 องศาเหนือ สวนทางซีกโลกใตเค็มมากที่สุด ที่ประมาณละติจูด 20 องศาใต เนื่องจากอัตราการระเหยของน้ําทะเลมีมากและหยาดน้ําฟาที่ตกลงมามี ปริมาณนอยนั่นเอง สําหรับอุณหภูมิของน้ําทะเลขึ้นอยูกับการแผรังสีความรอนของดวงอาทิตยมากที่สุด มีความแปรผัน ตามระดับความลึก โดยจะมีความแตกตางกันทั้งในแนวราบ (จากเสนศูนยสูตรถึงขั้วโลก) และทางแนวดิ่ง (จากระดับน้ําทะเลลงไปถึงทองมหาสมุทร) อุณหภูมิพื้นผิวโดยเฉลี่ยในฤดูรอนแตละมหาสมุทรจะแตกตางกัน โดยมหาสมุทรอารกติกมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ําสุด 0 - 5 องศาเซลเซียส และมหาสมุทรอินเดีย อุณหภูมิเฉลี่ย สูงสุด 25 - 27 องศาเซลเซียส สําหรับในแนวราบพบวาที่บริเวณเสนศูนยสูตรอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ําทะเล ประมาณ 25 องศาเซลเซียส และที่ขั้วโลกประมาณ -2 องศาเซลเซียส (รัชนีกร บุญ-หลง , 2536.)
2.
170 2. สวนประกอบของทะเล และมหาสมุทร 2.1
ลักษณะภูมิประเทศของทะเลและมหาสมุทร ดังที่ไดศึกษามาแลววาทะเลและมหาสมุทรแบงเปนสวนของไหลทวีป (Continental Shelf) ลาดทวีป (Continental Slope) ซึ่งจะมีความลาดชันที่แตกตางกัน โดยไหลทวีปเปนพื้นที่ที่ตอเนื่องจากทวีป คอย ๆ ลาดจากชายฝงลงไปประมาณ 2 เมตร ตอระยะทาง 1 กิโลเมตร จนถึงตอนที่ระดับน้ําลึกประมาณ 120 เมตร สวนลาดทวีปจะอยูถัดจากไหลทวีปออกไป และมีความลาดชันมากประมาณ 65 กิโลเมตร ตอระยะทาง 1 กิโลเมตร ทอดไปถึงระดับน้ําลึกประมาณ 3,600 เมตร (รูปที่ 1) แยกพิจารณาดังนี้ ทวีป (Continental) ไหลทวีป เนินลาดเรียบทวีป ภูเขายอดตัดใตทะเล (Continental shelf) (Continental Rise) (Guyot) ภูเขาสูงใตมหาสมุทร ลาดทวีป เนินเขาทองสมุทร (Island) (Continental Slope) (Abyssal hill) รูปที่ 1 แสดงสวนตาง ๆ ของทะเลและมหาสมุทร ที่มา : Alyn C. Duxbury และ Alison B. Duxbury , 1991. 2.1.1 ไหลทวีป (Continental Shelf) เริ่มจากชายฝงทะเลไปจนถึงบริเวณพื้นทองทะเล ไปจนถึงบริเวณที่ทองทะเลมีการเปลี่ยนระดับความลาดชันที่สูงขึ้น ลักษณะพื้นผิวไหลทวีปเปนรอง สัน แอง หรือพืดหินปะการัง หรือตะกอนกรวดทราย โคลน เปนตน ไหลทวีปเปนบริเวณที่ระดับทะเลมีการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก การชะลางพังทลายบนแผนดิน และการตกทับถมของตะกอนใน มหาสมุทร
3.
171 2.1.2 ลาดทวีป (Continental
Slope) ตอเนื่องจากไหลทวีปลงไป มีระดับความลึก 2,000 - 3,000 เมตร ตอเนื่องไปจนถึงเนินลาดเรียบทวีป (Continental Rise) มีความลาดชันประมาณ 1 : 40 ลักษณะเปนพื้นที่คอนขางแคบ ตามลาดทวีปมักปรากฏภูมิประเทศแบบ "หุบผาชันใตทะเล" (Submarine Canyon) มักพบบริเวณใกลปากแมน้ํา ซึ่งเกิดจากการพัดพากัดเซาะบริเวณดังกลาวใหกลายเปนรองลึก และบริเวณเชิงหุบผาชันมักพบ "เนินตะกอนรูปพัดกนสมุทร" (Abyssal Fans) รูปรางคลายเนินตะกอนที่ถูก พัดพามา หรือดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน้ํา เกิดจากปริมาณตะกอนกรวดทรายที่ถูกพัดพามาตกทับถมกัน 2.1.3 เนินลาดเรียบทวีป (Continental Rise) เปนบริเวณที่ตอเนื่องจากลาดทวีปไปจนถึง พื้นราบบาดาล (Abyssal Floor) ความลาดชันสูง 1:100 - 1: 700 ตอเนื่องกับพื้นราบบาดาล 2.1.4 พื้นราบบาดาล (Abyssal Floor) มีลักษณะเปนที่ราบเรียบ และลึก เปนที่สูงต่ํา เกิด จากการตกทับถมของตะกอนตางๆ ที่พัดพามากับกระแสน้ํา บางปรากฏเปนเนินเขาเตี้ยๆ (Abyssal Hill) ไม สูงมากพบไดทั่วไป พื้นราบบาดาลของมหาสมุทรที่เปนพื้นที่ทองมหาสมุทรมีลักษณะภูมิประเทศหลากหลาย อันไดแก สันเขา ที่ราบสูง แอง ภูเขา เชน สันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งทอดยาวจากไอซแลนดลงมา เกือบถึงทวีปแอนตารกติก มีบางตอนสูงขึ้นมาเหนือน้ําทะเลกลายเปนเกาะ (Island) เชน หมูเกาะอะซอรีส หรือหมูเกาะฮาวาย มหาสุมทรแปซิฟก ลักษณะภูมิประเทศอื่น ๆ ไดแก ภูเขาใตทะเล พบที่พื้นทองมหาสมุทร บางลูกมียอดตัด เรียกวา “กีโอต” (Guyout) พบมากบริเวณตอนกลางและดานตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟก ระหวางหมูเกาะมาเรียนากับหมูเกาะฮาวาย สําหรับยอดเขากีโอตอยูที่ระดับน้ําลึก 1,200-1,800 เมตร เดิม เปนยอดภูเขาไฟแตถูกคลื่นกระทําใหเกิดการสึกกรอน หรืออาจมีปะการังมาเกาะเหนือยอดเขากลายเปนเขา ยอดตัด และตอมาพื้นทองมหาสมุทรลดระดับลงต่ํา หรือระดับน้ําทะเลสูงขึ้นจึงจมลงไปอยูใตน้ํา 2.1.5 สันเขากลางมหาสมุทร (Ocean Ridge) เปนแนวเทือกเขาใตมหาสมุทร มีพื้นที่ ประมาณรอยละ 28 ของพื้นทองมหาสมุทร สวนของยอดสันเขามีลักษณะเปน "หุบเขาทรุด" (Rift Valley) ลักษณะเปนรองลึก มีความกวางประมาณ 25 - 50 กิโลเมตร บริเวณหุบเขาทรุดมักเกิดปรากฏการณภูเขาไฟ เสมอ เนื่องจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และการแทรกตัวของหินหนืดใตเปลือกโลก จากการศึกษามหาสมุทรของนักสมุทรศาสตรพบวา มหาสมุทรแปซิฟกมีพื้นที่มากที่สุดถึง 180*106 ตารางกิโลเมตร มีความลึกเฉลี่ย 4,028 เมตร รองลงมาไดแก มหาสมุทรแอตแลนติก มีพื้นที่ 107*106 ตา รางกิโลเมตร ความลึกเฉลี่ย 3,332 เมตร สวนความลึกที่สุดของมหาสมุทรที่สํารวจพบ ไดแกมหาสมุทรแปซิฟก ประกอบดวย ป ค.ศ. บริเวณ ความลึก (เมตร) 1923 รองลึกมินดาเนา (Mindannu) 10,497 1952 รองลึกตองกา (Tonga) 10,882 1959 รองลึกมาเรียนา (Mariana) 11,028 1960 รองลึกมาเรียนา (Mariana) 11,034 ที่มา : I.S.Allison and D.F. Plamer ,1980.
4.
172 3. กระแสน้ํามหาสมุทร (Ocean
Current) กระแสน้ํามหาสมุทร คือ การไหลของน้ําทะเลตามแนวราบอยางสม่ําเสมอ มีทั้งกระแสน้ําเย็นและ กระแสน้ําอุน ซึ่งมีสวนชวยในการปรับอุณหภูมิบนผิวโลก และชวยถายเทความรอนดวยเชนกัน สาเหตุของ การเกิดกระแสน้ําพบวาเกิดจากสาเหตุและปจจัยดังตอไปนี้ 3.1 ปจจัยที่มีผลตอการเกิดกระแสน้ําในมหาสมุทร 3.1.1 ลม (Wind) เปนตัวการสําคัญ โดยจะทําใหผิวน้ําเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ และเมื่อมีการถายเทพลังงานมากขึ้นจึงทําใหเกิดกระแสน้ําขึ้น และนับวาลมยังมีสวนในการกําหนดทิศทางการ ไหลของกระแสน้ําอีกดวย 3.1.2 อุณหภูมิ (Temperature) เราทราบมาแลววาความแตกตางของอุณหภูมิ มีผลตอความหนาแนนของน้ําทะเล จึงเปนสาเหตุหนึ่งของการเกิดกระแสน้ํา น้ําทะเลที่มีความหนาแนนมาก และมีอุณหภูมิต่ําจะจมตัวลง และน้ําทะเลที่มีอุณหภูมิสูงและความหนาแนนนอยกวาจะเคลื่อนตัวเขามาแทนที่ จึงเปนจุดเริ่มตนของการเคลื่อนไหวของกระแสน้ําในมหาสมุทรนั่นเอง 3.1.3 แรงเหวี่ยงของโลก การที่โลกหมุนรอบตัวเองทําใหเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย กลาง ซึ่งมีอิทธิพลตอการเคลื่อนที่ของกระแสน้ํา โดยในซีกโลกเหนือการไหลของกระแสน้ําจะเบี่ยงเบนไปทาง ขวามือ สวนในซีกโลกใตจะเบี่ยงเบนไปทางซายมือ หรือซีกโลกเหนือกระแสน้ําไหลตามเข็มนาฬิกา และซีกโลก ใตไหลทวนเข็มนาฬิกา 4. กระแสน้ําในมหาสมุทรตางๆ ของโลก (Ocean Currents) รูปที่ 2 แสดงการเคลื่อนที่ของกระแสน้ําอุนและกระแสน้ําเย็น ที่มา : Robert W. Christopherson, 1995.
5.
173 การเคลื่อนที่ของกระแสน้ําในมหาสมุทรสามารถแยกพิจารณา ไดแก มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟก
มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรอารกติก และมหาสมุทรแอนตารกติก ซึ่งกระแสน้ําที่ไหล ในแตละมหาสมุทรมีสวนสัมพันธกัน ดังนี้ 4.1 มหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) การเคลื่อนไหวของกระแสน้ําจะเดนชัดมากกวามหาสมุทร อื่น ๆ โดยแยกเปน 2 สวน ดังนี้ 4.1.1 กระแสน้ําในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ (North Atlandtic Ocean Current) เนื่องจากอิทธิพลของลมสินคาจึงทําใหเกิดกระแสน้ําอุน เรียกวา “กระแสนน้ําศูนยสูตรแอตแลนติกเหนือ” (North Atlantic Equatorial Current) ไหลผานชองแคบฟอลริดา จากนั้นไหลไปทางเหนือเลียบชายฝงตะวัน ออกของอเมริกาเหนือ ตามอิทธิพลของลมประจําฝายตะวันตกเราเรียกวา “กระแสน้ํากัลฟสตรีม” (Gulf Stream) เมื่อกระแสน้ําเคลื่อนที่มาถึงเกาะนิวฟนดแลนดจะปะทะกับกระแสน้ําเย็นชื่อวา “ลาบราเดอร” (Labrador Current) ทําใหกระแสน้ําเย็นลาบราเดอรสลายตัวไป จากนั้นกระแสน้ําอุนกัลฟสตรีมจะไหลตอไป ทางทิศตะวันออก ตามอิทธิพลของลมประจําฝายตะวันตก ขามมหาสมุทรแอตแลนติก เรียกวา “สายน้ําแอต แลนติกเหนือ” (The North Atlantic Drift) 4.1.2 กระแสน้ําในมหาสมุทรแอตแลนติกใต (South Atlantic Ocean Current) ไดรับ อิทธิพลจากลมสินคาตะวันออกเฉียงใตทําใหเกิด “กระแสน้ําศูนยสูตรแอตแลนติกใต” (South Atlantic Equatorial Current) เปนกระแสน้ําอุนไหลไปทางทิศตะวันตกจรดชายฝงประเทศบราซิล กอนที่จะไหลขึ้นไป พบกับกระแสน้ําเย็นที่เกาะฟอลกแลนด กระแสน้ําเย็นดังกลาว คือ “กระแสน้ําฟอลกแลนด” (Falkland Current) จากนั้นกระแสน้ําอุนจะไหลเปลี่ยนทิศทางขามมหาสมุทรแอตแลนติกไปรวมกับกระแสน้ําเย็น “สายน้ําลมตะวันตก” (West Wind Drift) ที่ไหลไปตามอิทธิพลของลมประจําฝายตะวันตก โดยจะไหล ผานเขาไปในมหาสมุทรแปซิฟก และมหาสมุทรอินเดีย 4.2. มหาสมุทรแปซิฟก (Pacific Ocean) กระแสน้ําในมหาสมุทรแบงออกเปน 2 สวน คือ 4.2.1 กระแสน้ําในมหาสมุทรแปซิฟกเหนือ (North Pacific Ocean Current) บริเวณ เหนือเสนศูนยสูตร เกิดจากอิทธิพลของลมสินคาตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดเปนกระแสน้ําอุนชื่อ “กระแสน้ํา ศูนยสูตรแปซิฟกเหนือ” (North Pacific Equatorial Current) ไหลไปทางตะวันตกจนถึงหมูเกาะฟลิปนส กอนจะวกขึ้นไปทางเหนือตามอิทธิพลของลมมรสุมฤดูรอนและลมประจําฝายตะวันตกเลียบชายฝงของประเทศ ญี่ปุนกลายเปนกระแสน้ําอุน “กุโรซิโว” (Kuroshio Current) ไหลผานทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟก ตามอิทธิพลของลมประจําฝายตะวันตกมาจนถึงชายฝงตะวันตกของอเมริกาเหนือ เรียกวา กระแสน้ําอุน “สายน้ําแปซิฟกเหนือ” (North Pacific Current) บริเวณละติจูด 35 - 45 องศาเหนือ กอนที่จะแยกเปนสอง สายไปตามชายฝงประเทศแคนาดา และไหลขึ้นไปปะทะกับกระแสน้ําเย็นกอนสลายตัวไปในที่สุด 4.2.2 กระแสน้ําในมหาสมุทรแปซิฟกใต (South Pacific Ocean Current) มีกระแส น้ําอุนชื่อ “กระแสน้ําศูนยสูตรแปซิฟกใต” (South Pacific Equatorial Current) ไหลไปปะทะกับชายฝง ของออสเตรเลียกอนเปลี่ยนทิศทางไหลเลียบชายฝงไปทางใตและไหลจนไปปะทะกับกระแสน้ําเย็น “สายน้ํา ตะวันตก” (West Wind Drift) ตามแนวละติจูด 30 – 70 องศาใต และสลายตัวไปในที่สุด
6.
174 4.3. มหาสมุทรอินเดีย (Indian
Ocean) กระแสน้ําที่ปรากฎจะไมเดนชัดเนื่องจากอยูในเขตรอนและอยูในเขตอิทธิพลของลมมรสุม สามารถแยกพิจารณาไดดังนี้ 4.3.1 กระแสน้ําในมหาสมุทรอินเดียเหนือ (North Indian Ocean Current) เนื่องจาก เปนเขตรอนกระแสน้ําเกิดจากอิทธิพลของลมมรสุม คือ ในชวงฤดูฝนมีลมมรสุมรอนที่เกิดจากทิศตะวันตกเฉียง ใตไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเกิดกระแสน้ําอุนจากบริเวณศูนยสูตรเขาไปยังอาวเบงกอล เรียกวา “กระแสน้ํามรสุมตะวันตกเฉียงใต” ในทางกลับกันชวงฤดูหนาวจะเปนกระแสน้ําอุนที่พัดจากอาวเบงกอลมายัง เสนศูนยสูตรเรียกวา “กระแสน้ํามรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ” นอกจากนี้ยังมีกระแสน้ําอุนชื่อ “กระแสน้ํา ศูนยสูตรอินเดียเหนือ” (North Indian Equatorial Current) ไหลจากเกาะสุมาตราไปทางทิศตะวันตกจนไป ปะทะกับชายฝงตะวันออกของแอฟริกา และเปลี่ยนทิศทางไหลวกลงไปทางใตและไหลยอนกลับขึ้นมาตามแนว ศูนยสูตร กลายเปน “กระแสน้ําสวนทางศูนยสูตรอินเดีย” ตอไป 4.3.2 กระแสน้ําในมหาสมุทรอินเดียใต (South Indian Ocean Current) ไดแก “กระแสน้ําศูนยสูตรอินเดียใต” (South Indian Equatorial Current) ซึ่งไหลไปทางทิศตะวันตกตามอิทธิพล ของลมสินคาตะวันตกเฉียงใตไหลไปปะทะกับชายฝงตะวันออกของแอฟริกากอนแยกเปน 2 สายตอไป 4.4. มหาสมุทรอารกติก (Arctic Ocean) เปนมหาสมุทรที่ถูกปดลอมดวยทวีปเกือบทั้งหมด จึงมี แตกระแสน้ําเย็นไหลออกสูมหาสมุทรอื่นๆ เชน กระแสน้ําเย็นเบริ่ง กระแสน้ําเย็นโอยาชิโว กระแสน้ําเย็นกรีน แลนด และกระแสน้ําเย็นลาบราเดอร เปนตน 4.5. มหาสมุทรแอนตารกติก (Antarctic Ocean) พบวากระแสน้ําบริเวณมหาสมุทรนี้จะมีกระแส ไหลไปโดยรอบในทิศทางตามเข็มนาฬิกาปรากฏเดนชัดมากในแนวละติจูด 50 - 60 องศาใต กระแสน้ําจาก แถบนี้จะเปนกระแสน้ําเย็นทั้งหมด 5. ชายฝงทะเล 5.1 ลักษณะและองคประกอบของชายฝงทะเล ชายฝงทะเล (Coast) เปนเขตความกวางระหวางกลางนับจากแนวชายทะเลเขามาในสวน ของแผนดิน ราชบัณฑิตยสถาน (2519) ใหความหมายของชายฝงทะเลไววา เปนแถบของแผนดินนับจาก แนวชายทะเล (Shoreline) ( แนวชายทะเล หมายถึง แนวระดับใดระดับหนึ่งของน้ําทะเล ณ เวลาหนึ่ง อยู ระหวางระดับน้ําทะเลขึ้นสูงสุด และลงต่ําสุด ) ขึ้นไปบนบกจนถึงบริเวณที่มีลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง อยางชัดเจน มีความกวางกําหนดไมแนนอน อาจหลายกิโลเมตรก็ได บริเวณชายฝงทะเลอาจติดกับหนาผาสูง ริมทะเล (Sea Cliff) ก็ได ดังนั้นชายฝงทะเล (Cost) จึงหมายถึงแถบของแผนดินนับจากแนวชายทะเลขึ้นไป บนบก จนถึงบริเวณที่มีลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงอยางเดนชัด มีความกวางกําหนดไดไมแนนอน สวน บริเวณที่แผนดินอยูใกลเคียงกับแนวชายฝง (Coastline) เรียกวา ชายทะเล (Shoreline) แบงเปนดังนี้
7.
175 ชายทะเล (Shore) เปนเขตชายทะเลตั้งแตระดับน้ําลงต่ําสุด
ขึ้นมาบนสวนชายหาดที่ถูกรบ กวนจากคลื่น ตามแนวระดับน้ําทะเลสูงสุด ชายทะเลสวนใน (Backshore) เปนบริเวณระหวางแนวน้ําขึ้นสูงสุด ถึงตีนหนาผา ในกรณีที่ ไมมีชายทะเลสวนใน น้ําจะขึ้นไปถึงตีนหนาผา สวนที่เปนชายทะเลสวนในจะมีบริเวณที่เปนชายฝงเสมอ สันทราย หรือสันหาด (Berm) เปนหาดทรายชวงบนที่น้ําทะเลขึ้นไมถึง เวนแตในเวลาที่มี พายุจัด จึงมีคลื่นซัดเขามาถึง ลักษณะคลายที่ราบเปนชั้นอยูสูงกวาระดับน้ําทะเลและเปลี่ยนแปลงได เกิด จากดินหรือทรายที่พังลงจากขอบชายฝง หรือถูกคลื่นพัดพาเอาทรายมาทับถมกัน ลักษณะยาวขนานตลอด ชายฝง ชายทะเลสวนนอก (Foreshore) ไดแก บริเวณที่นับจากแนวน้ําลงต่ําสุด ถึงแนวน้ําขึ้นสูง สุด ชายทะเลสวนนี้จะอยูใตระดับน้ําทะเลเกือบตลอดเวลา นอกชายฝง (Offshore) คือบริเวณตั้งแตแนวน้ําลงต่ําสุดออกไปในทะเล (รูปที่ 3) ชายทะเลสวนใน ชายทะเลสวนนอก นอกชายฝง (Backshore) (Foreshore) (Offshore) รูปที่ 3 แสดงลักษณะของชายฝงทะเล ที่มา : Tom L. Mcknight , 1990. 5.2 ประเภทของชายฝงทะเล ในทางภูมิศาสตรจะกําหนดชายฝงทะเล ตามลักษณะการกําเนิดและการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นเปน 5 ประเภท ใหญๆ ดังนี้ 5.2.1 ชายฝงทะเลยุบจม (Submerged Shoreline) เปนชายฝงทะเลที่เกิดขึ้นจากการที่ เปลือกโลกในบริเวณริมฝงทะเลยุบจมตัวลง หรือการที่น้ําทะเลยกระดับขึ้น ทําใหบริเวณที่เคยโผลพนระดับน้ํา ทะเลจมอยูใตผิดน้ํา ชายฝงทะเลประเภทนี้สวนใหญมีลักษณะภูมิประเทศเปนหนาผาชัน ไมคอยมีที่ราบชาย ฝงทะเล และแนวชายฝงทะเลมีลักษณะเวาแหวงมาก หากลักษณะภูมิประเทศเดิมเปนภูเขาเมื่อเกิดการยุบจม ตัวมักกอใหเกิดเกาะตางๆ บริเวณชายฝงทะเลยุบตัวในประเทศไทย ไดแก แถบจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล การยุบตัวของชายฝงทะเลบริเวณนี้มีผลทําใหน้ําทะเลไหลทวมเขามา เชน บริเวณอาว พังงา ซึ่งภายในมีเกาะขนาดเล็กเรียงรายอยูเปนจํานวนมาก ซึ่งเกาะเหลานี้คือภูเขาหินปูนที่โผลพนน้ําขึ้นมา นั่นเอง
8.
176 5.2.2 ชายฝงทะเลยกตัว (Emerged
Shoreline) เปนชายฝงทะเลที่เกิดจากการที่ เปลือกโลกยกตัวขึ้น หรือน้ําทะเลมีการลดระดับลง ทําใหบริเวณที่เคยจมอยูใตระดับน้ําทะเลโผลพนผิวน้ําขึ้น มา ถาหากแผนดินเดิมที่เคยจมตัวอยูใตระดับน้ําทะเลเปนบริเวณที่มีตะกอน กรวด ทราย ตกทับถมกันมา เปนเวลานาน จะทําใหเกิดที่ราบชายฝงที่มีบริเวณกวางและมีแนวชายฝงเรียบตรงไมคอยเวาแหวงมาก ชายฝง ทะเลลักษณะนี้พบไดทั่วไปในบริเวณภาคใตฝงตะวันออกของประเทศไทยตั้งแตจะงหวัดชุมพรลงมาถึงจังหวัด นราธิวาส ชายฝงทะเลยกตัวบางแหงอาจมีฝงชัน และมีลักษณะเปนภูเขา เนื่องมาจากลักษณะภูมิประเทศ เดิมที่อยูใตทะเลมีความลาดชันมาก เชน ชายฝงทะเลภาคตะวันออกบริเวณอาวพัทยา อําเภอสัตหีบ และ อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 5.2.3 ชายฝงทะเลคงระดับ (Neutral Shoreline) หมายถึงชายฝงทะเลที่ไมมีการ เปลี่ยนแปลงใดๆ ระหวางระดับน้ําทะเลและบริเวณชายฝงของทวีป แตยังคงมีการทับถมของตะกอนตางๆ เกิดขึ้น ลักษณะชายฝงทะเลประเภทนี้ไดแก ชายฝงดินตะกอนรูปพัด ชายฝงดินดอนสามเหลี่ยม ชายฝงแบบ ภูเขาไฟ ชายฝงแนวหินปะการัง ชายฝงหินปะการังแนวขวางและชายฝงปะการังรูปวงแหวน 5.2.4 ชายฝงทะเลรอยเลื่อน (Fault Shoreline) เปนชายฝงทะเลที่เกิดจากการเลื่อนตัว ของเปลือกโลกตามบริเวณชายฝงทะเล ถารอยเลื่อนมีแนวเลื่อนลงไปทางทะเลจะทําใหระดับของทะเลลึกลงไป หรือถารอยเลื่อนมีแนวเลื่อนลึกลงไปทางพื้นดิน จะทําใหน้ําทะเลไหลเขามาในบริเวณพื้นดิน 5.2.5 ชายฝงทะเลแบบผสม (Compounded Shoreline) เปนชายฝงทะเลที่เกิดจาก หลายๆ ลักษณะที่กลาวมาแลวขางตน ชายฝงทะเลประเภทตางๆ เหลานี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้ง ในรูปแบบของการกัดเซาะและการทับถม โดยมีตัวการที่สําคัญคือ คลื่น ลม และกระแสน้ํา ชายฝงทะเลแบบ ผสมเปนลักษณะชายฝงที่มีการผสมผสานกันหลายแบบจนไมสามารถจําแนกเปนแบบใดแบบหนึ่งไดชัดเจนลง ไปได อาจมีลักษณะรวมกันของชายฝงตั้งแตสองชนิดขึ้นไป ซึ่งเปนลักษณะแนวชายฝงสวนใหญบนโลกของเรา 6. การเคลื่อนไหวของน้ําทะเล การเคลื่อนไหวของน้ําทะเลสามารถแยกพิจารณาได 3 สวน ดังนี้ 6.1 การเกิดคลื่น (Wave) คลื่นเกิดจากลม แผนดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และจากการที่ลมพัดมากระทบกับผิวน้ํา จะทําใหผิวน้ํานูนสูงขึ้นคลายสันเขาความสูงของคลื่นทําใหเราทราบถึงความแรงของลม เมื่อคลื่นเคลื่อนตัว ออกจากแหลงกําเนิดจะมีขนาดใหญขึ้นเนื่องจากมันรวมเอาคลื่นขนาดเล็กๆ เขาไปไวดวย เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ เขากระทบฝงจะกระทบกับพื้นกอนทําใหคลื่นมีความสูงมากขึ้นแนวดานหนาของคลื่นจะโคงขนานไปกับชายฝง เราเรียกวาการหักเหของคลื่น เมื่อใกลฝงมากขึ้น แรงเสียดทานของพื้นทะเลจะมีมากขึ้นทําใหผิวหนาของคลื่น แตก เราเรียกวา “คลื่นหัวแตก” (Breaker) เราจะสังเกตเห็นไดเมื่อคลื่นเคลื่อนที่เขามากระทบฝง น้ําจะแตกซา เปนฟองกลายเปนฟองคลื่นบนหาด สําหรับคลื่นที่เกิดจากแผนดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิด เราเรียกวา “ชูนามิส“(Tsunamis) มีความยาวของคลื่นประมาณ 100 - 200 กิโลเมตร แตมีความสูงเพียง 0.3 - 0.6 เมตร เมื่อเกิดคลื่นชนิดนี้ผูที่อยูบนเรือหรือชาวประมงจะไมสามารถสังเกตเห็นได ประกอบกับระยะเวลาในการเกิด
9.
177 การเขาหาฝงของน้ําทะเล การถอยกลับของน้ําทะเล คลื่นจะสั้นมาก คือ ประมาณ
10 – 30 วินาทีเทานั้น แตคลื่นชนิดนี้จะมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงถึง 500 - 800 กิโลเมตรตอชั่วโมง ดังนั้นเมื่อคลื่นชูนามิส เคลื่อนที่เขาหาฝงจะทําใหระดับน้ําทะเลชายฝงสูงกวาสภาพ ปกติ 15 - 30 เมตร จึงสงผลใหเกิดน้ําทวมชายฝงทะเลอยางรุนแรง กอใหเกิดความเสียหายตอชีวิตและทรัพย สินเปนอันมาก 6.2 สวนประกอบของคลื่น คลื่นประกอบดวยสวนของยอดคลื่น (Crest) คือจุดสูงสุดบนคลื่น สวนทองคลื่น (Trough) คือ ระยะในแนวดิ่งจากยอดคลื่นถึงทองคลื่น และ ความสูงของคลื่น (Amplitude) คือระยะในแนวราบจาก ยอดคลื่น หรือจากทองคลื่นถึงอีกทองคลื่นหนึ่งตอเนื่องกัน (รูปที่ 4) สําหรับการเคลื่อนที่ของกระแสน้ําในคลื่น มีลักษณะการเคลื่อนที่แบบวงกลม เกิดทั้งบริเวณผิวน้ําและใตผิวน้ํา วงกลมของการเคลื่อนที่หมุนวนของ กระแสน้ําจะเล็กลง เมื่อระดับความลึกเพิ่มขึ้น บริเวณน้ําตื้นทองคลื่นจะเคลื่อนที่กระทบพื้นดิน การเคลื่อนจะมี ลักษณะเปนวงรี เมื่อคลื่นเคลื่อนที่เขาหาฝง สวนบนของผิวน้ําของคลื่นยังเคลื่อนที่ดวยความเร็ว ขณะที่ทอง คลื่นมีแรงเสียดทานจากพื้นผิว คลื่นจึงยกตัวสูงขึ้น มวนตัว และถลําไปขางหนา เกิดการฟาดตัวกับชายฝง กลายเปนคลื่นแตกฟอง เราเรียกวา "คลื่นหัวแตก" (Breaker หรือ Surf) คลื่นที่ซัดเขาหาฝงบนสภาพที่มีความ ลาดชันนอยเราเรียกวา "การเขาหาฝงของน้ําทะเล" (Swash) เมื่อคลื่นซัดกระทบหาดแลวสลายตัวไปในที่สุด เราเรียกวา "การถอยกลับของน้ําทะเล" (Backwash) คลื่นหัวแตกโดยทั่วไปแบงออกเปน 3 ชนิด ดังนี้ ยอดคลื่น ความสูงคลื่น ระดับน้ําทะเล ทองคลื่น คลื่นหัวแตก การเขาหาฝงของน้ําทะเล การเคลื่อนที่ของกระแสน้ําในคลื่นแบบวงกลม คลื่นหัวแตก รูปที่ 4 แสดงสวนประกอบและการกระทําของคลื่นตอชายฝงทะเล ที่มา : Tom L. Mcknight , 1990.
10.
178 6.2.1 คลื่นหัวแตกยอดกระจาย (Spilling
Breaker) ยอดคลื่นแตกกระจายเปนฟอง และเปนระรอกคลื่นเล็กๆ ตอเนื่องกันไป เกิดบริเวณหาดที่มีความลาดชันนอย 6.2.2 คลื่นหัวแตกมวนตัว (Plunging Breaker) คลื่นที่มียอดคลื่นมวนตัวเขาหาชายหาด และกระแทกกับชายหาดแตกกระจายเปนฟอง เกิดขึ้นในบริเวณที่ชายหาดมีความลาดชันนอย 6.2.3 คลื่นหัวแตกใกลฝง (Surging Breaker) เกิดบริเวณหาดทรายที่มีความลาดชันมาก ระลอกคลื่นจะสะสมรวมกันและมียอดเออสูงขึ้น แตยอดคลื่นจะไมมวนตัว และไมแตกกระจายเปนฟองจนกวา จะเขาถึงหาดจึงจะโถมตัวกระแทกแตกกระจายเปนฟอง คลื่นมีผลตอกระแสน้ําชายฝง (Longshore Currents) แบงเปน 2 ลักษณะ คือ เกิดเปน กระแสน้ําชายฝงจากคลื่นซัดหาชายฝงในแนวเฉียง โดยจะเกิดกระแสน้ํามีแนวขนานกับชายฝงและพัดพาเอา กรวดทราย ครูดไถไปตามทองน้ํา ชวยในการพัดพาตะกอนสูทะเลลึกไดสวนหนึ่ง นอกจากนั้นยังเกิดกระแสน้ํา จากคลื่นซัดหาด (Rip Currents) เกิดจากเมื่อคลื่นซัดเขาหาฝง จะเกิดกระแสน้ําไหลออกจากฝงเรียกวา "กระแสน้ําจากคลื่นซัดหาด" กระแสน้ํานี้จะไหลไปตามรองแคบ ผานแนวสันดอนชายฝงสูทองทะเล และจะ ออนตัวลดความเร็วลงตามระดับความลึกตอไป 7. กษัยการของคลื่น คลื่นนับเปนตัวการที่สําคัญตัวหนึ่งที่ทําใหเกิดกษัยการบริเวณพื้นที่ชายฝงทะเลที่เกิดขึ้นอยางตอเนื่อง ตลอดเวลา แตความรุนแรงจะแตกตางกันในแตละวัน นับวาคลื่นเปนตัวการที่สําคัญที่สุดที่ทําใหชายฝงทะเล เกิดการเปลี่ยนแปลง ในชวงที่คลื่นมีความรุนแรงในการกระทําลดลงอันเนื่องมาจากเปนชวงที่ลมสงบก็จะชวย เสริมสรางหาดทรายและการทับถมอยางตอเนื่องตลอดเวลา ในทางตรงกันขามถาเปนชวงที่เกิดลมแรงและ ความรุนแรงของคลื่นเพิ่มขึ้นจะสงผลใหกษัยการของคลื่นกระทําโดยตรงตอภูมิประเทศชายฝงคลื่นจะกัดเซาะ ชายฝงกวาดตะกอนที่ทับถมลงสูทะเลลึกนอกชายฝงตอไป อยางไรก็ตามปรากฏการณน้ําขึ้นน้ําลง (Tide) นับ วามีผลตอแนวชายฝงโดยตรงแตไมมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับคลื่น น้ําขึ้นและน้ําลงจะมีผลกระทบตอแนวชาย ฝงที่อยูระหวางความสูงของระดับน้ําทะเลต่ําสุด และสูงสุด สวนกระแสน้ํานั้นจะชวยพัดพาเอาตะกอนที่เปน เศษหินดินทรายออกจากชายฝงไปทับถมอยูบริเวณใกล ๆ กับชายฝงนั่นเอง 7.1. กษัยการของคลื่น กระบวนการกระทําของคลื่นกอใหเกิดการกัดเซาะและการทับถมของชายฝงทะเล กษัยการ ที่เกิดจากน้ําทะเลที่กระทําตอชายฝงมีอยู 3 รูปแบบ ดังนี้ 7.1.1 การครูดไถ (Corrosion) เกิดจากการที่คลื่นพัดพาเอากรวดทราย หินชนิดตาง ๆ ไป ดวย และเมื่อคลื่นซัดเขาสูชายฝงจะเกิดการกัดเซาะชายฝงใหผุกรอนโดยกรวดทรายหินเหลานี้จะครูดไถใหชาย ฝงผุกรอนพังทลาย และถูกกระแสน้ําพัดพามาทับถมเปนหาดทราย
11.
179 7.1.2 การสึกกรอน (Attrition)
เกิดจากการที่คลื่นเคลื่อนที่เขาสูชายฝงอยางตอเนื่องตลอด เวลา ทําใหตะกอนบริเวณชายหาดถูกพัดพาไปขัดสีกับหินหนาผาชายฝง ขณะเดียวกันตะกอนดวยกันก็จะขัดสี กันเอง เชน หินตาง ๆ ตะกอนที่เกิดจากการสึกกรอนเหลานี้ ตอมาจะถูกกระแสน้ําชายฝงพัดพามาทับถมเปน หาดทรายชายฝงตอไป 7.1.3 การละลาย (Solvent Action) การละลายจะเกิดไดดีบริเวณโครงสรางของชายฝงที่ เปนหินปูน โดยการกระทําของน้ําทะเลจะชวยทําใหสารแคลเซียมคารบอเนตในหินปูนเกิดการเปลี่ยนแปลงทํา ใหมวลหินมีการผุพังสลายตัว แตกออกมา อยางไรก็ตามอัตราการกษัยการที่เกิดขึ้นจากการกระทําของคลื่นและน้ําทะเลจะเกิดมาก หรือนอยจะขึ้นอยูกับลักษณะโครงสรางของมวลหินที่ยื่นออกไปในทะเล ความรุนแรงของคลื่น กระแสน้ํา น้ําขึ้น น้ําลง รวมทั้งการกระทําของมนุษย และการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก การระเบิดของภูเขาไฟ ลวนแตเปนปจจัย ที่มีผลตอการกระทําของน้ําทะเลโดยคลื่นที่มีตอลักษณะภูมิประเทศชายฝงทะเลทั้งสิ้น 8. ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากกษัยการของน้ําทะเล กษัยการของน้ําทะเล หมายถึง การเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิประเทศแถบชายฝงอันเนื่องมาจากการ กระทําของคลื่น การเกิดน้ําขึ้นน้ําลง และกระแสน้ํา ทําใหเกิดลักษณะภูมิประเทศชายฝงที่แตกตางกันออกไป สองประเภทใหญๆ ไดแก 8.1 ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะ เปนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดบริเวณชายฝงทะเลน้ําลึก ลักษณะชายฝงลาดชันลงสูทอง ทะเล ทําใหเกิดการกัดเซาะของคลื่นและกระแสน้ําอยางรุนแรง เกิดเปนลักษณะภูมิประเทศตางๆ เชน หนา ผาชันริมทะเล (Sea Cliff) เวาทะเล (Sea Notch) ถาทะเล (Sea Cave) เกาะทะลุ (Sea Arch) สะพาน หินธรรมชาติ (Sea Arch) และชวากทะเล (Estuary) เปนตน รูปที่ 5 แสดงลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะ ที่มา : Robert W. Christopherson , 1994.
12.
180 8.1.1 แหลมและอาว (Cape
and Bay) เกิดจากโครงสรางหินบริเวณชายฝงมีความแตกตางกัน ทําใหการผุพังชาเร็วตางๆ กัน ลักษณะของชายฝงจะเวาแหวงไมสม่ําเสมอกัน บางสวนยื่นออกไปในทะเล เรียกวา แหลม (Cape) เปน สวนของโครงสรางหินที่แข็งแรงกวาและทนตอการกระทําของคลื่นและกระแสน้ําชายฝง สวนที่มีการพังทลาย มากเปนหินที่มีความออนตัวกวาจึงถูกคลื่นและกระแสน้ํากัดเซาะจนเวาลึกเขาไปกลายเปนอาว (Bay) รูปที่ 6 แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ที่มา : จากการสํารวจ 8.1.2 หนาผาสูงชัน (Sea Cliff) มักเกิดบริเวณหนาผาสูงชันริมฝงที่หันหนาออกไปในทะเล เกิดจากการกัดเซาะ ของคลื่นทําใหเกิดลักษณะภูมิประเทศเปนหนาผาสูงชันบริเวณชายฝง และมีระดับน้ําทะเลบริเวณฐานของหนา ผานั้นๆ โดยคลื่นจะเซาะกรอนบริเวณฐานของหินแข็ง และเกิดการพังทลายของหินเหนือระดับน้ําทะเล อัน เนื่องมาจากการรับน้ําหนัก หรือเกิดการลื่นไถลลงสูทะเลตามแนวโครงสรางหินทําใหดานติดทะเลมีความลาด ชันสูงเปนหนาผา นอกจากนั้น อาจเกิดจากการจมตัวของสภาพชายฝงทะเล หรือการเพิ่มระดับความสูงของน้ํา ทะเลก็ได รูปที่ 7 แสดงลักษณะภูมิประเทศหนาผาสู ชันริมทะเล ที่มา : Charles C. Plummer , 1991.
13.
181 8.1.3 รอยน้ําเซาะหิน (Sea
Notch) เรียกอีกอยางหนึ่งวา “เวาทะเล” พบตามชายฝงทะเล เปนลักษณะภูมิประเทศที่ เกิดตอเนื่องจากการเกิดหนาผาสูงชันโดยมีลักษณะเปนรอยเวาตามแนวยาว เกิดบริเวณฐานของหนาผาชันริม ทะเลตอนที่อยูในแนวระดับของการเกิดน้ําขึ้นและน้ําลง เกิดจากการกัดเซาะโดยคลื่นและการละลายของหินปูน กระทําใหบริเวณฐานลางของหนาผาสูงชันเวาเขาไปขางใน เมื่อรอยน้ําเซาะหินขยายตัวกวางจนหินชวงบนรับ น้ําหนักไมไหวก็จะหักพังลงมากลายเปนหนาผาสูงชันริมทะเล (Sea Cliff) ซึ่งรอยน้ําเซาะหินนี้จะเปนหลักฐาน แสดงใหเห็นระดับน้ําทะเลที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอดีตได รูปที่ 8 แสดงรอยน้ําเซาะหินตอนที่อยูใน แนวระดับของน้ําขึ้นน้ําลง ที่มา : จากการสํารวจ 8.1.4 ถ้ําทะเล (Sea Cave) ถ้ําทะเลเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นที่หินผาสูงชันชายฝง โดยน้ําทะเลจะกัดเซาะ ใหหินเกิดการผุพัง ทําใหเกิดเปนชองหรือโพรงลึกเขาไป ในระยะแรกอาจเปนเพียงชองหรือโพรงขนาดเล็ก (Grotto) แตเมื่อเวลาผานไปนานเขาก็จะกลายเปนชองหรือโพรงขนาดใหญมากขึ้น (Cave) บางครั้งโพรงนั้น ทะลุออกไปอีกดานหนึ่งทําใหเกิดลักษณะที่เรียกวา “ถ้ําลอด” หรือ “เกาะทะลุ” ถาเกิดบริเวณภูมิประเทศที่ เปนหินปูนก็จะเกิดเปนโพรงถ้ําขนาดใหญไดงายขึ้น เนื่องจากมีการกระทําของน้ําฝนและน้ําใตดินเขามาเกี่ยว ของ ปากถ้ํามักอยูบริเวณที่มีน้ําขึ้นลงสูงสุดและต่ําสุด เนื่องจากเปนชวงเวลาที่คลื่นสามารถกัดเซาะหินชายฝง ได แตในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ําทะเลอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอาจทําใหบริเวณ ปากทําอยูสูง หรือต่ํากวาระดับน้ําทะเลปจจุบันก็ไดเชนกัน รูปที่ 9 แสดงลักษณะภูมิประเทศถ้ําทะเล บริเวณอาวพังงา จังหวัดพังงา ที่มา : จากการสํารวจ. 8.1.5 พานหินธรรมชาติ (Sea Arch)
14.
182 เปนโพรงหินชายฝงทะเลที่ทะลุออกทางทะเลทั้งสองดาน คลายคลึงกับถ้ําลอดที่ เกิดขึ้นบนเกาะ แตสะพานหินธรรมชาติมักเกิดบริเวณหัวแหลม
ซึ่งมีการกัดเซาะทั้งสองดานพรอมกันจนโพรง หินทะลุถึงกัน เกิดจากคลื่นและน้ําขึ้นน้ําลงที่กระทําตอหินชายฝง หรือเกาะใหเกิดเปนรูปโคงงอคลายซุมประตู โดยหินสวนที่เหลืออยูเหนือโพรงจะมีลักษณะคลายสะพาน ตัวอยางของสะพานหินธรรมชาติที่สวนงามมาก แหงหนึ่งของประเทศไทยคือที่เกาะไข อุทยานแหงชาติเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล รูปที่ 10 แสดงลักษณะภูมิประเทศสะพาน หินธรรมชาติ เกาะไข อุทยานแหงชาติตะ รุเตา จังหวัดสตูล. ที่มา : สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวด- ลอม กระทรวงวิทยาศาสตรฯ , 2538. 8.1.6 เกาะหินชะลูด (Stack) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวาเกาะหินโดง หมายถึงเกาะโขดหินขนาดเล็กที่แยกออก จากผืนแผนดินใหญ หรือเกาะที่อยูใกลเคียง เกิดจากสวนของหินแข็งบริเวณชายฝงเดิมที่ยื่นออกไปในทะเลถูก กษัยการจากคลื่นเซาะทั้งสองขางจนสวนปลายแหลมที่ตัดออกเปนเกาะ ทําใหชายฝงพังทะลายถอยรนเขาไป ในภาคพื้นดินมากยิ่งขึ้น สวนหินแข็งเหลานี้ถูกตัดขาดออกจากชายฝง เกิดเปน “เกาะหินชะลูด” หรือ “เกาะ หินโดง” เชน เขาตะปูในเขตอุทยานแหงชาติอาวพังงา เกาะหินโดงยังคงถูกกษัยการจากคลื่นอยางตอเนื่องจน สามารถพังทลายลงไปไดในที่สุด ซึ่งกลายเปนฐานของเกาะจมอยูใตทะเล เรียก “ตอหิน” (Stump) รูปที่ 11 แสดงลักษณะภูมิประเทศเกาะ หินชะลูด บริเวณอุทยานแหงชาติอาวพังงา จังหวัดพังงา ที่มา : จากการสํารวจ
15.
183 8.2 ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการตกตะกอนทับถม เกิดจากการทับถมของตะกอนทะเลตามแนวชายฝงทะเล มักเกิดจากการกระทําของคลื่น กระแสคลื่นและการเกิดน้ําขึ้นน้ําลง
เกิดในบริเวณชายฝงทะเลที่มีน้ําตื้น ลักษณะชายฝงทะเลราบเรียบและ ลาดเทลงไปสูกนทะเล ทําใหความเร็วของคลื่นและกระแสน้ําลดลงเมื่อเคลื่อนตัวเขาสูชายฝงทะเลการกระทํา จึงเปนไปในรูปแบบของการตกตะกอนทับถมเกิดเปนภูมิประเทศลักษณะตางๆ เชน หาดทราย (Beach) สัน ทราย (Berm) สันดอน (Bar) ทะเลสาบที่มีน้ําไหลเขาออกได (Lagoon) เปนตน หาดทราย สันดอนเชื่อมเกาะ สันดอนปากอาว (Beach) (Tombolo) (Bay Barrier) สันดอนจะงอยปากอาว ทะเลสาบน้ําเค็ม (Barrier Spit) (Lagoon) รูปที่ 12 แสดงลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการตกตะกอนทับถม ที่มา : Robert W. Christopherson , 1994. 8.2.1 หาดทราย (Beach) เกิดจากการพัดพาตะกอนจําพวก กรวด หิน ดิน และทรายเขามาทับถมตามชาย ฝงลักษณะเปนแถบยาวไปตามชายฝงทะเล การทับถมที่เกิดขึ้นตามแนวชายฝงทะเลนี้เกิดจากกระแสคลื่นที่พัด เขาสูชายฝง มีแนวเฉียงไปจากแนวชายฝงทะเลเล็กนอย ดังนั้นน้ําทะเลที่คลื่นผลักดันขึ้นไปเวลาถอยกลับมาจึง มีแนวเฉียงไปจากแนวชายฝงเชนกัน เราเรียกวา “กระแสน้ําชายฝง” (Longshore Drift) กระแสน้ําชายฝงจะมี สวนชวยในการทับถมของตะกอนที่ถูกพัดพามากับคลื่นเขามาทับถมตามชายฝงจนทําใหพื้นที่ของชายหาดมี การขยายกวางออกไปเปนหาดทรายงอก (Off shore) และยังชวยปรับระดับของชายฝงทะเลโดยเมื่อคลื่น เคลื่อนที่เขาไปปะทะกับชายฝงทะเล ตะกอนที่มีขนาดใหญจะมีการตกทับถมอยูดานบนสุด สวนตะกอนขนาด
16.
184 เล็กจะแพรกระจายลงมาทับถมยังสวนลางของชายหาด จากการศึกษาลักษณะของหาดทรายสามารถจําแนก ได 3
ประเภท ดังนี้ ชายหาดหนากวาง ลักษณะเปนหาดเรียบ มีทั้งหาดสวนหลัง (Back Shore) และหาดสวนหนา (Fore Shore) ลักษณะชายหาดมีความลาดชันนอย คลื่นมักจะซัดเขามาไมถึงชายหาดสวน หลัง ชายหาดลักษณะนี้มีบริเวณกวางขวาง เหมาะแกการเปนสถานที่พักตากอากาศและเลนน้ําบริเวณชาย หาด เชน ชายหาดชะอํา จังหวัดเพชรบุรี เปนตน ชายหาดหนาแคบ ลักษณะชายหาดเรียบตั้งแตขอบชายฝงทะเลไปจนถึงแนว เกิดน้ําขึ้นน้ําลง มีแตชายหาดสวนหนา (Fore Shore) ไมมีชายหาดสวนหลัง (Back Shore) ชายหาดมี ความลาดชันไมมาก ชายหาดสองชั้น เปนชายหาดที่มีความราบเรียบนอย มีทั้งชายหาดสวนหลัง (Back Shore) และชายหาดสวนหนา (Fore Shore) และมีที่ราบเปนชานยื่นออกไปในทะเลเปนชั้นๆ บางชั้น จะอยูเหนือแนวน้ําลงเต็มที่ ลักษณะชายหาดมีความลาดชันมาก ไมเหมาะสําหรับเลนน้ําทะเล นอกจากนั้นชายหาดแตละแหงยังมีการตกทับถมของวัตถุแตกตางกันออกไป ดังนี้ ชายหาดหิน หรือหาดกรวด (Shingle Beach) พื้นผิวชายหาดประกอบดวย หินที่ตกทับถมและถูกคลื่นพัดพาเสียดสีกันจนหินมีกอนกลมมน เชน ที่เกาะหินงาม อุทยานแหงชาติเกาะตะรุ เตา จังหวัดสตูล ชายหาดทราย (Sand Beach) มักพบอยูในพื้นที่ซึ่งมีหินเปลือกโลกเปนหิน ทรายหรือหินแกรนิต โดยเฉพาะอยางยิ่งหินแกรนิต เมื่อสลายตัวจะใหทรายเม็ดกลมมน มีสีขาวทําใหเกิดหาด ทรายที่สวยงาม เชนหาดตางๆ ในจังหวัดภูเก็ต ชายหาดชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ชายหาดหัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ และชายหาดสมิหรา อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา เปนตน ชายหาดโคลน (Mud Flat) มักพบอยูบริเวณปากแมน้ําสายใหญๆ ที่มีโคลน ตะกอนที่เกิดจากแมน้ําพัดพามาเปนจํานวนมาก มีลักษณะเปนลานปริ่มน้ํา เวลาน้ําขึ้นน้ําจะทวมมิดลาน เวลาน้ําลงจึงจะเห็นลานดังกลาว เชน บริเวณพื้นที่ดอนหอยหลอด ปากแมน้ําแมกลอง จังหวัด สมุทรสงคราม ถาหาดโคลนมีขนาดใหญและมีตะกอนสะสมมากจนโผลพนระดับน้ําทะเลขึ้นมาเรียกวา ที่ลุม ชายเลน มีพืชบางชนิดพบมาก เชน แสม โกงกาง จึงมักเรียกวา ปาชายเลน หรือ ปาเลนน้ําเค็ม 8.2.2 สันดอน (Bar) หมายถึงพืดสันทรายหรือตะกอนอื่นๆ ที่กระแสน้ําพัดพามาตกทับถมสะสมไว ตะกอนดังกลาวมาจากการครูดไถตามหนาผาสูงชันบริเวณชายฝงทะเล หรือจากดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน้ํา จะถูกกระแสน้ําชายฝงพัดพาไปทับถมยังบริเวณที่มีคลื่นลมสงบ จนเกิดเปนสันหรือพืดยื่นขวางหรือปดปากน้ํา ทางเขาทาเรือ หรือปากอาว ซึ่งเปนแนวเดียวกันกับชายฝงที่เปนปากอาว ทําใหเกิดสันดอนรูปแบบตางๆ ดังนี้ (รูปที่ 12)
17.
185 สันดอนปากอาว (Bay Barrier)
เปนสันดอนที่เกิดจากตะกอนตกทับ ถมอยูในบริเวณปากอาว สันดอนจะงอยปากอาว (Barrier Split) เปนสันดอนที่เกิดจากการตก ตะกอนทับถมเปนแนวยาวอยูใกลปากอาว ปลายดานหนึ่งติดกับชายฝง อีกดานหนึ่งยื่นขวางปากอาว ตอน ปลายจะงอโคงเปนจะงอยตามอิทธิพลของกระแสน้ําและคลื่น สันดอนจะงอยปากอาวที่พบในประเทศไทยได แก สันดอนจะงอยปากอาวบริเวณแหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เกิดจากการกระทําของคลื่นและ กระแสน้ําพัดพาตะกอนมาตกทับถมกันเกิดเปนสันดอนงอกออกมาเปนแนวยาวเรียกวา “สันดอนจะงอยรูป เขี้ยว” สันดอนเชื่อมเกาะ (Tombolo) เปนสันดอนที่เกิดจากกระแสน้ําและ คลื่นพัดพาเอาตะกอนมาตกทับถมกันจนกลายเปนแนวยาวยื่นออกจากชายฝงทะเลออกไปเชื่อมเกาะขนาดเล็ก ในทะเล 8.2.3 ทะเลสาบน้ําเค็ม (Lagoon) เกิดขึ้นไดทั้งในทะเลและแนวชายฝงทะเล สวนที่เกิดในทะเลเรียกวา “ทะเลสาบ น้ําเค็มในทะเล” เกิดจากการปดกั้นของปะการัง โดยมากเปนรูปวงกลม มีทางน้ําแคบๆ ไหลผานเขาออกได สวนที่เกิดบริเวณชายฝงทะเลเรียกวา “ทะเลสาบน้ําเค็มชายฝงทะเล” เกิดจากการปดกั้นของสันดอนบริเวณ ปากอาวแตยังมีทางออก ใหน้ําไหลผานได เกิดจากการที่คลื่นและกระแสน้ําพัดพาเอาตะกอนมาตกทับถมเปน สันดอนงอกออกมาปดลอมบริเวณที่เปนอาวอยูเดิม ทําใหเกิดเปนพื้นที่ภายในแผนดิน เชน บริเวณทะเลสาบ สงขลา ที่เกิดจากการงอกของสันดอนมาปดลอมอาวเดิม สันทรายที่งอกยื่นยาวมาปดกั้นทะเลสาบสงขลามี ความยาวจากทิศเหนือไปยังทิศใตเปนระยะทาง 100 กิโลเมตร 8.2.4 สันทราย หรือสันหาด (Berm) ลักษณะเปนเนินทรายแนวยาวขนานไปกับชายฝงทะเล แนวการวางตัวขวางทิศ ทางลม ความสูงเทาๆ กันตลอดแนว และระหวางสันเนินทรายสลับดวยที่ลุมต่ํา สันทรายในพื้นที่ชายทะเลของ ประเทศไทยเกิดจากการกระทําของน้ําทะเลในระยะเวลาสั้นๆ ที่พัดพาทรายมาตกทับถมบริเวณชายฝงทะเล ประกอบกับมีปริมาณทรายมากซึ่งเกิดจากการตกทับถมกันอยางรวดเร็ว เปนแนวสันทรายทอดยาวขนานชาย ฝง ดานบนของสันทรายอาจมีสวนของตะกอนที่เกิดจากการพัดพามาทับถมกันโดยลมบาง รูปที่ 13 แสดงแนวสันทราย ที่มา : สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวด- ลอม กระทรวงวิทยาศาสตรฯ , 2538.
18.
186 8.2.5 ที่ราบลุมชายเลนและพรุน้ําเค็ม (Salt
Marsh) เกิดจากการที่กระแสน้ําขึ้นและกระแสน้ําลงพัดเอาตะกอนละเอียดที่เปนพวกทราย ทรายแปง และดินเหนียวไปปะปนกับกระแสน้ําในรูปของตะกอนแขวนลอย โดยตะกอนเหลานี้จะเกิดจากการ กษัยการของน้ําขึ้นน้ําลง เมื่อมีน้ําจืดไหลลงมาผสมจะชวยเรงใหตะกอนเหลานั้นรวมตัวกันเปนกอนใหญและ ตกจมลงในบริเวณพื้นลางของอาวหรือปากแมน้ํา อันเปนผลทําใหอาวหรือปากแมน้ําตื้นเขินลง นอกจากนั้น ตะกอนดังกลาวยังมีอินทรียวัตถุปะปนอยูเปนจํานวนมาก จนเกิดเปน “ที่ราบลุมชายเลน” (Mudflat) หรือที่ลุม ราบน้ําขึ้นถึง (Tidal Marsh) บริเวณดังกลาวในชวงเวลาน้ําขึ้นน้ําทะเลจะไหลบาขึ้นมาทวม แตระดับน้ําจะลึก ไมมากนัก และมีพืชน้ําเค็มเจริญเติบโต พืชเหลานี้จะมีสวนชวยในการดักจับตะกอนที่กระแสน้ําพัดพามา ซึ่ง จะทําใหระดับของที่ลุมราบชายเลนสูงขึ้นเทากับระดับน้ําทะเลที่ขึ้นสูงสุดในบริเวณนั้น และตอมากลายเปนพรุ น้ําเค็ม (Salt Marsh) รูปที่ 14 แสดงสภาพภูมิทัศนของพรุน้ําเค็ม และพืชพรรณ ที่มา : สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม กระทรวงวิทยาศาสตรฯ , 2538.
19.
187 9. พืดหินปะการัง 9.1 ทฤษฎีที่เกี่ยวของกับการกําเนิดพืดหินปะการัง 9.1.1
ทฤษฎีการทรุดตัว (Subsidence Theory) โดย Charles Darwin ป ค.ศ.1842 ตามทฤษฎีไดสันนิษฐานวา เกาะเล็กๆ ที่เกิด จากภูเขาไฟจะคอยๆ ทรุดตัวลงอยางชาๆ เนื่องมาจากการแปรโครงสรางของเปลือกโลก ดังรูป การทรุดตัวลง อยางชาๆ ของเกาะเล็กๆ จากภูเขาไฟจะทําใหแนวพืดหินปะการังที่กอตัวขึ้นอยูตามขอบของเกาะจะคอยทรุด ตัวตามไปดวยอยางชาๆ จากปรากฎการณดังกลาวแนวปะการังจะพยายามเสริมสรางแนวเกาะใหสูงขึ้นมา เรื่อย ๆ ในที่สุด สวนที่เปนเกาะภูเขาไฟจะจมลงสูใตน้ํา เหลือไวแตแนวพืดหินปะการังที่มีการกอตัวขึ้นและสวน ที่เปนบริเวณเกาะเดิมจะกลายเปนทะเลสาบน้ําเค็ม จะสังเกตไดวาการเสริมสรางความสูงของแนวพืดหิน ปะการังจะกระทําไดเพียงเทากับระดับน้ําทะเลเทานั้น ซึ่งเปนขอกําหนดตามธรรมชาติของและสภาพภูมิศาสตร เกาะภูเขาไฟ แนวขอบปะการัง เทือกหินปะการังใกลฝงทะเล หมูเกาะหินปะการัง (Barrier) (Atoll) รูปที่ 15 แสดงทฤษฎีการทรุดตัว ที่มา : Robert W. Christopherson, 1995. 9.1.2 ทฤษฎีการควบคุมธารน้ําแข็ง (Glacial Control Theory) โดย R.A. Daly ป ค.ศ.1910 ทฤษฎีนี้ไดอางถึงหลักฐานการคนพบซากปะการังใน บริเวณทองทะเลลึกเกินกวาที่ปะการังจะดํารงชีวิตอยูไดที่เปนเชนนี้เนื่องมาจากน้ําทะเลเคยลดระดับต่ําลงไป อันเนื่องมาจากการถอยรนของธารน้ําแข็งแถบขั้วโลกใน ยุคควาเตอรนารี เมื่อประมาณ 0.01 ลานปที่ผานมา โดยสรุปเปนหลักอางอิงคือ น้ําในเขตรอนสมัยดังกลาวมีอุณหภูมิต่ํากวาปจจุบันจึงทําใหปะการังไมสามารถ ดํารงชีวิตอยูได ประกอบกับหินโสโครก และเกาะทั้งหลายในสมัยกอนยุคน้ําแข็งจะลดระดับความสูงลงมาจน เทากับระดับน้ําทะเล อันเนื่องมาจากกระบวนการกษัยการ ดังนั้นที่ราบลาดทวีปจึงเปนฐานสําคัญในการจับ เกาะของปะการังเพื่อการเจริญเติบโตและสรางหินปะการังขึ้นมาตอมาเมื่อระดับน้ําทะเลสูงขึ้นการละลายของ ธารน้ําแข็งทั้งในทะเลสาบและบนภาคพื้นทวีปพรอมๆ กันกับการเจริญเติบโตของปะการัง จึงทําใหพืดหิน ปะการังเพิ่มระดับความสูงขึ้นมาเทากับระดับน้ําทะเลที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ในที่สุดการพัฒนาพืดหินปะการังจะ ถึงสภาวะสูงสุดดังที่พบเห็นอยูในปจจุบัน (Leong, 1983)
20.
188 อยางไรก็ตามจากทั้งสองทฤษฎีที่กลาวมาแลว ประกอบกับหลักฐานตางๆ ที่นักวิทยา ศาสตรไดศึกษาเพิ่มเติม
โดยการขุดเจาะลงไปในชั้นหินปูนที่ปรากฏอยูในพืดหินปะการัง พบวาการอธิบายตาม หลักทฤษฎีของ R.A. Daly ที่อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ําทะเล และตอมาเกิดกษัยการขึ้นกับเกาะที่ เปนฐานของพืดหินปะการังนั้นพบวาเปนสิ่งที่เชื่อถือได ทั้งนี้เพราะการเจาะลงไปถึงฐานลางสุดของพืดหิน ปะการังจะพบหินบะซอลตที่เปนหินแข็งรองรับอยู แสดงใหเห็นวาเปลือกโลกบริเวณดังกลาวมีการทรุดตัวลงจริง ตามหลักทฤษฏีของ Charles Darwin ที่อางไว ดังนั้นทั้งสองทฤษฎีจึงมีเหตุผลและน้ําหนักสนับสนุนเพียงพอถึง กระบวนการเกิดพืดหินปะการังไดเปนอยางดี 9.2 สภาพภูมิศาสตรที่เหมาะสมกับการเกิดปะการัง จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตรพบวาพืดหินปะการังเกิดจากปะการังที่เปนสัตวน้ําเค็ม ขนาดเล็กหรือสาหรายบางชนิดที่สามารถสรางหินปูนขึ้นมาได หินปูนที่สะสมอยูตามพืดหินปะการังนี้จะเปน โครงรางของปะการังหรือสาหรายบางชนิดที่ตายแลวนั่นเอง โดยสวนมากเรามักพบการกระจายตัวของพืดหิน ปะการังตามบริเวณตางๆ มีปจจัยหลายประการที่เขามาเกี่ยวของ โดยเรามักพบพืดหินปะการังบริเวณเขต อบอุนในมหาสมุทร นอกจากนั้นเราพบวาความแตกตางของอุณหภูมิน้ําในมหาสมุทรระหวางชายฝงตะวันตก และชายฝงตะวันออกมีผลตอการกอตัวของพืดหินปะการัง โดยพบวาเรามักพบพืดหินปะการังบริเวณชายฝง ตะวันออกมากกวา คือ บริเวณ 0 - 160 องศาตะวันออก เนื่องจากสภาพความเหมาะสมของอุณหภูมิน้ํา ทะเลที่อุนกวาชายฝงตะวันตก โดยเรามักพบแนวพืดหินปะการังบริเวณละติจูดที่ 30 องศาเหนือ ถึง 30 องศา ใต ที่ระดับความลึก 10 - 55 เมตร ความเค็มของน้ําทะเลคิดเปนรอยละ 27 - 40 ณ อุณหภูมิ 18 - 29 องศา เซลเซียส นอกจากนั้นสภาพน้ําจะตองใสปราศจากตะกอนดวย รูปที่ 16 แสดงแนวการกระจายตัวของพืดหินปะการัง ที่มา : Tom L. Mcknight , 1990.
Télécharger maintenant