Contenu connexe
Similaire à 2.2 อารยธรรมอินเดีย (20)
Plus de Jitjaree Lertwilaiwittaya (19)
2.2 อารยธรรมอินเดีย
- 2. อารยธรรมอินเดียกําเนิดในบริ เวณที่อยูระหว่างแม่นํ ้าสินธุและ
่
แม่นํ ้าคงคา ซึงเรี ยกกันทัวไปว่าอนุทวีป หรื อเอเชียใต้ ในปั จจุบน เป็ น
่
่
ั
อารยธรรมที่เกิดจากการหล่อหลอมและผสมผสานความเจริญของชน
ชาติตางๆ ที่ได้ เข้ ามาครอบครองและตังถิ่นฐาน จนกลายเป็ น อารย
่
้
ธรรมอินเดีย ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาอารย
ธรรมในภูมิภาคเอเชียอื่นๆ นับว่าเป็ นรากฐานสําคัญของอารยธรรม
ตะวันออก
- 6. ตอนตะวันตกและตะวันออก
เป็ นที่ราบลุมแม่นํ ้าสินธุ แม่นํ ้าคงคา และแม่นํ ้าสาขา
่
ของแม่นํ ้าทังสองที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบ
้
เกษตรกรรม โดยเฉพาะแม่นํ ้าคงคา ซึงมีต้นกําเนิดจาก
่
เทือกเขาหิมาลัยและนําความอุดมสมบูรณ์ให้ แก่พื ้นที่ในลุม
่
แม่นํ ้า จึงเปรี ยบเสมือนเส้ นเลือดที่หล่อเลี ้ยงชาวอินเดีย และ
เป็ นบ่อเกิดของศาสนา ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ในอารย
ธรรมอินเดีย เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ
ความอุดมสมบูรณ์ในเขตที่ราบลุมแม่นํ ้าต่างๆนี ้ ทําให้ ชน
่
ต่างชาติพยายามรุกรานและยึดครองอินเดียตลอดมา
- 7. ตอนกลาง
เป็ นเขตที่ราบสูงเดคคานที่แห้ งแล้ งและทุรกันดาร
เพาะถูกโอบล้ อมด้ วยเทือกเขาสูงซึงขวางกันการติดต่อ
่
้
ระหว่างอินเดียเหนือและ อินเดียใต้ แต่ก็นบเป็ นเขตเศรษฐกิจ
ั
สําคัญของอินเดีย เพราะเป็ นพื ้นที่เกษตรกรรมซึงเป็ นอาชีพ
่
หลักของชาวอินเดีย และยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรป่ า
ไม้ และแร่ธาตุตางๆ
่
- 11. อินเดียมีภมิอากาศแห้ งแล้ งเพราะฝนตกน้ อยประมาณ
ู
ปี ละ 4 เดือน และมีอากาศร้ อนจัด ปี ใดฝนตกน้ อยกว่าปกติ การ
เพาะปลูกจะไม่ได้ ผลและเกิดความอดอยาก ปี ที่มีอากาศร้ อน
จัดมากๆ เช่น อุณหภูมิสงกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ ้นไปมักจะเกิด
ู
ภัยแล้ ง พืชผลส่วนใหญ่ไม่อาจทนความแห้ งแล้ งได้ เพราะ
อากาศขาดความชุ่มชื ้น ในเขตตรงข้ าม ปี ใดที่ฝนตกมากเกินไป
จะเกิดอุทกภัย พืชผลได้ รับความเสียหาย สภาพภูมิอากาศจึงมี
อิทธิพลต่อการดํารงชีวิตและความเชื่อของชาวอินเดีย จึงต้ อง
พึงพาธรรมชาติ ดังเช่นการบูชาแม่นํ ้าคงคาว่าเป็ นแม่นํ ้า
่
์ ิ
ศักดิสทธิ์ที่นําความชุ่มชื ้นและ อุดมสมบูรณ์มาให้
- 17. ชาวดราวิเดียน
หลักฐานทางโบราณคดี และการศึกษาเรื่ องชาติพนธุ์ทํา
ั
ให้ สนนิษฐานได้ วาพวกดราวิเดียนคือ ชนพื ้นเมืองดังเดิม ที่ตงถิ่น
ั
่
้
ั้
ฐานบริเวณลุมแม่นํ ้าสินธุราว 4,000 ปี มาแล้ ว พวกนี ้มีรูปร่างเตี ้ย
่
ผิวคลํ ้าและจมูกแบนคล้ ายกับคนทางตอนใต้ ในอินเดียบางพวก
ในปั จจุบน
ั
ชาวดราวิเดียน สามารถเรี ยกได้ อีก 3 ชื่อ คือ ทราวิฑ
มิลกขะ และ มุณฑ์
ั
- 18. ชาวอารยัน
เป็ นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ ายจากดินแดนเอเชียกลาง
ลงมายังตอนใต้ กระจายไปตังถิ่นฐานในพื ้นที่ตางๆ ซึงอุดม
้
่
่
สมบูรณ์และมีภมิอากาศอบอุนกว่า พวกอารยันส่วนหนึงได้
ู
่
่
เคลื่อนย้ ายเข้ ามาตังถิ่นฐานอยูในลุมแม่นํ ้าสินธุและ ขับไล่
้
่ ่
พวกดราวิเดียน ให้ ถอยร่นลงไปหรื อจับตัวเป็ นทาส พวกอารยัน
มีรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาว จมูกโด่ง คล้ ายกับชาวอินเดียที่อยูทาง
่
ตอนเหนือ
- 20. อารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดียเป็ นอารยธรรมที่เก่าแก่มาก เช่นเดียวกับ
อารยธรรมอียิปต์และอารยธรรมเมโสโปเตเมีย แต่ที่ตางกันคือ อารย
่
ธรรมอินเดียเป็ น อารยธรรมที่สืบสายกันมาไม่ขาดตอนจนถึงสมัย
ปั จจุบน ไม่มีระยะเวลาใดที่อารยธรรมอินเดียถูกอารยธรรมต่างชาติ
ั
เข้ ามาทําลายจนต้ องมีการเริ่ มต้ นใหม่ แต่การค้ นคว้ าเรื่ องอารยธรรม
อินเดียก็เป็ นเรื่ องที่ยากเพราะหลักฐานตัวเขียนที่เล่าเรื่ องราวของ
อารยธรรมอินเดียที่เก่าที่สดก็เก่าเพียงแค่สมัยพระเวท ที่เก่ากว่านัน
ุ
้
ไปไม่มีหลักฐานตัวเขียนกล่าวถึง จะรู้เรื่ องราวได้ ก็ต้องอาศัยวิธีการ
ของนักโบราณคดี และประเทศอินเดียก็ไม่มีนกโบราณคดีมาก่อนที่
ั
นักปราชญ์ชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอังกฤษจะเดินทางเข้ ามา
ทําการขุดค้ นในอินเดีย
- 21. ดังนันความรู้เรื่ องอารยธรรมอินเดียในสมัยก่อน
้
ประวัตศาสตร์ จงเพิ่งรู้กนเมื่อประมาณสองร้ อยกว่าปี มานี ้เอง
ิ
ึ
ั
1. หลักฐานที่พบ คือซากเมืองโบราณ ที่สําคัญคือ เมือง
ฮารัปปา และโมเฮนโจดาโร เมืองทังสองตังอยูริมแม่นํ ้าสินธุ
้
้ ่
2. พวกดราวิเดียน เป็ นพวกที่สร้ างอารยธรรมนี ้ ชนกลุมนี ้
่
รู้จกการใช้ โลหะ ทําเครื่ องมือเครื่ องใช้ ตางๆ รู้จกการทอผ้ า เพาะปลูก
ั
่
ั
สร้ างที่อยูด้วยอิฐ ทําระบบชลประทาน และการเขียนอักษรรูปภาพ
่
3. ถูกพวกอารยันที่เป็ นชนเผ่าเร่ร่อนจากตอนกลางของทวีป
เอเชียอพยพเข้ ามารุกราน และขับไล่ให้ พวกดราวิเดียนถอยร่นไปตัง้
ถิ่นฐานทางใต้
- 22. อารยธรรมอินเดียสมัยประวัติศาสตร์
1. สมัยพระเวท
ในยุคพระเวทมีระบบการบริ การการปกครองแบบง่ายๆมี
กษัตริย์เป็ นหัวหน้ า ในแต่ละอาณาจักร ประกอบด้ วย ที่เรี ยกว่า ชน
(อ่านว่า ชะ-นะ) วิศ และ คาม หน่วยเล็กที่สดคือครอบครัวหรื อ กุล
ุ
มีหวหน้ าคือ บุรุษสูงอายุที่สดเป็ นหัวหน้ าเรี ยกว่า กุลป กษัตริย์มี
ั
ุ
คณะที่ปรึกษาช่วยมนการปกครองและมีตําแหน่งราชการที่สําคัญ 2
ตําแหน่งคือ ปุโรหิต เป็ นทังพระและโหร และเสนาบดีที่ปรึกษา
้
เสนานี เป็ นตําแหน่งผู้บญชาการทัพ ตําแหน่งอื่นๆรองลงไปคือ ผู้
ั
สอดแนม ม้ าใช้ หลักฐานสมัยหลังๆมีกล่าวถึงตําแหน่งสารถี และขุน
คลัง ฯลฯ
- 23. 2. สมัยมหากาพย์
เมื่อ 900-600 ปี ก่อนคริ สต์ศกราช เป็ นสมัยที่มีการใช้
ั
ตัวหนังสือบันทึกเรื่ องราว การปกครองเริ่ มแรกปกครองแบบชนเผ่า
อารยัน มีราชาเป็ นผู้ปกครองแต่ละเผ่าไม่ขึ ้นต่อกัน ราชามีอํานาจ
สูงสุดเด็ดขาด ความรับผิดชอบจะขึ ้นอยูกบที่ประชุมเผ่า
่ ั
ประกอบด้ วย สภา(ที่ประชุมของบุคคลสําคัญในเผ่า) , สมิติ (ที่
ประชุมใหญ่ของราษฎร) ในสมัยมหากาพย์มีดง 2 เรื่ องคือ รา
ั
มายณะ ของฤษีวาลมิกิ และมหาภารตะ ของฤษีวยาสะทัง้ 2 เรื่ อง
สะท้ อนเกี่ยวกับการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ของชาวอารยันสมัย
นันได้ เป็ นอย่างดี ปลายสมัย ชนเผ่าอารยันขยายตัวออกไป มีการ
้
ดําเนินการปกครองแบบราชาธิปไตยจากราชา เปลี่ยนเป็ น กษัตริย์
เป็ นสมมติเทพ
- 26. 3. สมัยจักรวรรดิ
600 ปี ก่อนคริ สต์ศกราช-ปลายคริ สต์ศตวรรษที่ 10
ั
การเมืองการปกครองของอินเดียก้ าวมาสูยคจักรวรรดิเป็ นสมัย
่ ุ
ที่มีความสําคัญต่อการวางพื ้นฐานของแบบแผนทางสังคม
ศิลปะ วัฒนธรรมอินเดีย ที่ยงคงสืบเนื่องต่อมาถึงปั จจุบน
ั
ั
สมัยจักรวรรดิแบ่งเป็ น 5 สมัยคือ
- จักรวรรดิมคธ
- จักรวรรดิเมารยะ
- สมัยแบ่งแยกและรุกรานจากภายนอก
- สมัยจักรวรรดิคปตะ
ุ
- อินเดียหลังสมัยจักรวรรดิคปตะ
ุ
- 27. 3.1 จักรวรรดิมคธ
ตังอยูบริเวณภาคตะวันออกของลุมแม่นํ ้าคงคา เป็ นแคว้ นที่มี
้ ่
่
อนุภาพมากที่สดในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริ สต์ศกราช จนกระทังแคว้ น
ุ
ั
่
มคธเป็ นจักรวรรดิขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ ้นครังแรกในอินเดีย กษัตริย์ที่มี
้
ชื่อเสียง 2 คนคือ
- พระเจ้ าพิมพิสาร
- พระเจ้ าอชาตศัตรู
ในระบอบการปกครองกษัตริ ย์มีอํานาจสูงสุดมีขนนาง 3 ฝ่ าย
ุ
- บริ หาร
- ตุลาการ
- การทหาร รวมเรี ยกว่า มหามาตระ
- 28. 3.2 จักรวรรดิเมารยะ
ในกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริ สต์ศกราช ราชวงศ์นนทะที่
ั
ั
ปกครองจักรวรรดิมคธเสื่อมอํานาจลง ราชวงศ์เมารยะได้ มีอํานาจ
ขึ ้นปกครอง ปั จจุบน คือพื ้นที่ทางภาคเหนือของอินเดีย
ั
ระเบียบการปกครอง คือ รวมอํานาจไว้ ที่พระมหากษัตริ ย์
และเมืองหลวง จักรพรรดิมีอํานาจสูงสุดทางด้ านบริ หาร กฎหมาย
การศาลและการทหาร มีสภาเสนาบดีและสภาแห่งรัฐเป็ นสภา
ปรึกษา จักรวรรดิควบคุมเมืองต่างๆ โดยการกระจายหน่วยงาน
อยูทวไปเพื่อรายงานเรื่ องราวมายังเมืองหลวง
่ ั่
- 30. 3.4 อารยธรรมสมัยคุปตะ
พระเจ้ าจันทรคุปต์ ทรงตังราชวงศ์โมริ ยะ ที่ปรึกษาของ
้
พระองค์เป็ นพราหมณ์ ชื่อ โคทิลยะ หรื ออีกชื่อ คือ ชนกิยะ เป็ นผู้มี
ความรู้ในด้ านการปกครอง การบริ หาร และการเศรษฐกิจ และใช้
ความรู้จากคัมภีร์อรรถศาสตร์ มาบริ หารประเทศโดยเฉพาะ ในด้ าน
เศรษฐกิจของประเทศในสมัยของพระเจ้ าจันทรคุปต์ มีนกปราชญ์ชาว
ั
กรี ก ชื่อ Megasthenes มาอยูในราชสํานักด้ วย ทําให้ เราทราบว่ามีการ
่
แลกเปลี่ยนความคิดระหว่างอินเดียและกรี ก พระเจ้ าจันทรคุปต์ทรง
ขยายอาณาเขตมาทางตะวันตกจนถึงเขตแดนของอาณาจักรเซเลอคุส
ของกรี ก ทรงทําสงครามชนะพระเจ้ า Nicator แห่งเซเลอคุส พระธิดา
ของพระเจ้ า Nicator ถูกส่งมาเป็ นมเหสีของพระเจ้ าจันทรคุปต์ที่
เมืองปั ตลีบตร ทรงผูกสัมพันธไมตรี กบกรี ก
ุ
ั
- 31. ราชวงศ์ โมริยะ
กษัตริ ย์องค์แรกคือพระเจ้ าจันทรคุปต์
กษัตริ ย์ที่มีชื่อเสียงคือพระเจ้ าอโศก
มหาราช มีอํานาจหลักการปกครองที่
สําคัญใช้ จากคัมภีร์อรรถศาสตร์
(เกาฏิลยะ) แสดงให้ เห็นว่ากษัตริ ย์ทรงมี
อํานาจสูงสุด
ต่อมาเมื่อพระเจ้ าอโศกมหาราชได้
หันมานับถือศาสนาพุทธ ทรงให้ มีการ
จารึกบนเสาหินที่ตงอยูตามดินแดนต่างๆ
ั้ ่
เป็ นหลักของศีลธรรมที่สอดคล้ องกับทุก
ศาสนา (เรี ยก หัวเสาสมัยพระเจ้ าอโศก
มหาราช)
หัวเสาสมัยพระเจ้ าอโศกมหาราช
- 34. 4. สมัยมุสลิม
มุสลิมที่เข้ ารุกรานอินเดีย คือมุสลิมเชื ้อสายเติร์กจาก
เอเชียกลาง เข้ าปกครองอินเดียภาคเหนือ ตังเมืองเดลี เป็ นเมือง
้
หลวง เมื่อเข้ ามาปกครองมีการบีบบังคับให้ ชาวอินเดียมานับถือ
ศาสนาอิสลาม ราษฎรที่ไม่นบถือศาสนาอิสลามจะถูกเก็บภาษี
ั
อย่างรุนแรง หากหันมานับถือจะได้ รับการยกเว้ น การกระทํา
ของเติร์กส่งผลให้ สงคมอินเดียเกิดความแตกแยกระหว่างพวก
ั
ฮินดูและมุสลิมจนถึงปั จจุบน
ั
- 36. 1. สมัยพระเวท มีการปกครองแบบราชาธิปไตย กษัตริย์เป็ นสมมติเทพ
2. สมัยจักรวรรดิ แบ่งเป็ น
2.1 จักรวรรดิมคธ มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
2.2 จักรวรรดิราชวงศ์โมริยะ แบ่งการปกครองออกเป็ น ส่วนกลาง
และส่วนภูมิภาค
2.3 สมัยแบ่งแยก อาณาจักรต่างๆ ตังตัวเป็ นอิสระเกิดการรุกราน
้
จากภายนอก คือ กรี ก เปอร์ เซีย
2.4 สมัยจักรวรรดิคปตะ กษัตริ ย์มีอํานาจเต็มในเมืองหลวงและ
ุ
ใกล้ เคียง ดินแดน ห่างไกลมีเจ้ าครองนครปกครอง
2.5 หลังสมัยคุปตะ ราชวงศ์ปาละ–เสนะ เป็ นราชวงศ์สดท้ ายที่
ุ
ปกครองก่อนที่มสลิมจะเข้ ายึดครองอินเดีย
ุ
- 37. 3. สมัยมุสลิม ราชวงศ์โมกุลซึงนับถือศาสนาอิสลามเข้ ามา
่
ปกครองก่อนที่อินเดียจะตกเป็ นเมืองขึ ้นของอังกฤษ
4. สมัยอาณานิคม มีระเบียบบริ หารราชการ กฎหมายและ
การศาลเป็ นแบบฉบับเดียวกันทัวประเทศเป็ นผลดีแก่อินเดีย
่
5. สมัยเอกราช พลังของขบวนการชาตินิยม ระหว่าง
สงครามโลกครังที่ 2 ภายใต้ การนําของมหาตมะคานธี
้
6. สมัยปั จจุบน อินเดียมีการปกครองแบบประชาธิปไตย
ั
แบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็ นประมุข มีนายกบริหารประเทศ
รัฐสภามี 2 สภาคือ ราชยสภา กับโลกสภา (สภาผู้ แทน)
- 39. บ้ านเมืองในลุมนํ ้าสินธุมีร่องรอยของการปกครองแบบรวม
่
อํานาจเข้ าสูศนย์กลาง ทังนี ้เห็นได้ จากรูปแบบการสร้ างเมืองฮารัป
่ ู
้
ปาและเมืองโมเฮนโจดาโร ที่มีการวางผังเมืองในลักษณะเดียวกัน
ตัวเมืองมักสร้ างอยูในปอมซึงต้ องมีผ้ นําที่มีอํานาจแบบรวมศูนย์
่ ้ ่
ู
ผู้นํามีสถานภาพเป็ นทังกษัตริ ย์และเป็ นนักบวชจึงมีอํานาจทังทาง
้
้
โลกและทางธรรม
- 40. ต่อมาเมื่อพวกอารยันเข้ ามาปกครองดินแดนลุมนํ ้าสินธุแทนพวกด
่
ราวิเดียน จึงได้ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็ นแบบกระจายอํานาจ โดยแต่
ละเผ่ามีหวหน้ าที่เรี ยกว่า “ราชา” ปกครองกันเอง มีหน่วยการปกครอง
ั
ลดหลันลงไปตามลําดับ จากครอบครัวที่มีบดาเป็ นหัวหน้ าครอบครัว
่
ิ
หลายครอบครัวรวมเป็ นระดับหมูบ้าน และหลายหมูบ้านมีราชาเป็ น
่
่
หัวหน้ า ต่อมาแต่ละเผ่ามีการพุงรบกันเอง ทําให้ ราชาได้ ขึ ้นมามีอํานาจ
่
สูงสุดในการปกครองด้ วยวิธีตางๆ เช่น พิธีราชาภิเษก ความเชื่อในเรื่ อง
่
อวตารพิธีอศวเมธ เป็ นพิธีขยายอํานาจโดยส่งม้ าวิ่งไปยังดินแดนต่างๆ
ั
จากนันจึงส่งกองทัพติดตามไปรบเพื่อยึดครองดินแดนที่ม้าวิ่งผ่านไป การ
้
ตังชื่อเพื่อสร้ างความยิ่งใหญ่ คําสอนในคัมภีร์ศาสนาและตําราสนับสนุน
้
ความยิ่งใหญ่ของราชา และต่อมาก็มีคติความเชื่อว่า ราชาทรงเป็ นสมมติ
เทพ คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นเทพอวตารลงมาเพื่อปกครองมวลมนุษย์
- 43. ในลุมนํ ้าสินธุ กลุมชนที่อาศัยอยูในระยะแรก คือ พวกดราวิเดียน
่
่
่
ซึงเป็ นโครงสร้ างทางสังคมประกอบด้ วยผู้ปกครอง ได้ แก่ ราชาและ ขุนนาง
่
แต่เมื่อพวกอารยันเข้ ามาปกครองทําให้ มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
กล่าวคือ ฝ่ ายดราวิเดียนถูกลดฐานะลง เป็ นทาส ความสัมพันธ์ของคนใน
สังคมระยะแรกมีการแต่งงานระหว่างชนสองกลุมแต่ตอมาพวกอารยันเกรง
่
่
ว่าจะถูกกลืน ทางเชื ้อชาติจงห้ ามการแต่งงานระหว่างชนสองกลุม ทําให้ เกิด
ึ
่
การแบ่งแยกระหว่างเผ่าพันธุ์ จนกลายเป็ นระบบวรรณะ
- 44. แบ่งหน้ าที่ชดเจนโดยแบ่งออกเป็ น 4 วรรณะใหญ่ๆ คือ
ั
· วรรณะพราหมณ์ ผู้ประกอบพิธีกรรมและสืบต่อศาสนา
เปรี ยบเสมือน ปากของพระพรหม
· วรรณะกษัตริย์ มีหน้ าที่ปกครองแว่นแคว้ น
เปรี ยบเสมือน แขนของพระพรหม
· วรรณะแพศย์
มีหน้ าที่ผลิตอาหารและหารายได้ ให้ แก่บ้านเมือง
เปรี ยบเสมือน ขาของพระพรหม
· วรรณะศูทร
คือคนพื ้นเมืองดังเดิมที่ทําหน้ าที่รับใช้ วรรณะทังสาม
้
้
เปรี ยบเสมือน เท้ าของพระพรหม
- 45. ส่วนลูกที่เกิดจากการแต่งงานข้ ามวรรณะถูกจัดให้ อยู่
นอกสังคม เรี ยกว่า พวกจัณฑาล นอกจากนี ้ในหมูชาวอารยัน
่
สตรี มีฐานะสูงในสังคมและใช้ โคเป็ นเครื่ องมือวัดความมันคง
่
ของบุคคลในด้ านวัฒนธรรมพวกดราวิเดียนนับถือสัตว์บาง
ชนิด ได้ แก่ โค ช้ าง และแรดนอกจากนี ้ยังนับถือเทพเจ้ าต่างๆ
และแม่พระธรณี ซึงเป็ นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ พวก
่
อารยันรับความเชื่อของพวกดราวิเดียนบางอย่างมานับถือ
ได้ แก่ การนับถือโค พระศิวะ และศิวลึงค์
- 46. พวกอารยันใช้ ภาษาสันสกฤตซึงเป็ นภาษาที่ใช้ เขียน
่
คัมภีร์ศาสนา เช่น คัมภีร์พระเวท เมื่อประมาณ 1,000 ปี
มาแล้ ววรรณกรรมที่สําคัญ ได้ แก่ มหากาพย์ มหาภารตยุทธ
ซึงเป็ นเรื่ องการสู้รบในหมูพวกอารยันและมหากาพย์
่
่
รามเกียรติเ์ ป็ นเรื่ องการสู้รบระหว่างพวกดราวิเดียน กับพวก
อารยัน
ชาวอารยันมักยึดมันในหลักศาสนาที่ปรากฏในคัมภีร์
่
พระเวทและระบบวรรณะขณะเดียวกันชาวอารยันบางกลุมไม่
่
เห็นด้ วยกับความคิดเหล่านี ้
- 47. อารยธรรมของอินเดียได้ แพร่หลายไปสูภมิภาคต่างๆ
่ ู
โดยผ่านการค้ าขายการเผยแผ่ศาสนาทางการเมืองโดยผสมผสาน
เข้ ากับวัฒนธรรม พื ้นบ้ านในดินแดนต่างๆ จนกลายเป็ นส่วนหนึง
่
ของสังคมนันๆ พระพุทธศาสนาปรากฏเด่นชัดในเอเชียตะวันออก
้
เฉียงใต้ จนกลายเป็ นพื ้นฐานสําคัญของวัฒนธรรมต่างๆในภูมิภาค
นี ้ เช่น ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม และ สถาปั ตยกรรม เป็ นต้ น
- 49. คนในดินแดนลุมนํ ้าสินธุมีการทําอาชีพเกษตรเป็ นพื ้นฐานทาง
่
เศรษฐกิจและมีการทําการค้ าภายใน การเพิ่มประชากรในแต่ละ
อาณาจักร ทําให้ การค้ าภายในเมืองต่างๆขยายตัวขึ ้น ซึงมีสนค้ าสําคัญ
่ ิ
เช่น ดีบก ทองแดง หินมีคาชนิดต่างๆ นอกจากนี ้ยังมีสนค้ าอุตสาหกรรม
ุ
่
ิ
เช่น การทอผ้ า ฝาย ไหม เป็ นสินค้ าไปขายในดินแดนต่างๆ อาทิเช่น
้
ซาอุดอาระเบีย เปอร์ เซีย และอียิปต์ เป็ นต้ น
ิ
- 50. เมื่อชาวอารยันมีอํานาจมันคง จึงได้ สร้ างบ้ านอยูเ่ ป็ น
่
หมูบ้าน มีการปลูกข้ าวและเลี ้ยงสัตว์พนธุ์ตางๆ มากขึ ้น เพื่อใช้
่
ั ่
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี ้ชาวอารยันยังมีอาชีพเป็ นช่าง
ต่างๆ เช่น ช่างทองแดง ช่างเหล็ก ช่างปั นหม้ อ ช่างปะชุน เย็บผ้ า
้
เป็ นต้ น
การที่ชาวอารยันดําเนินการค้ าขายทังทางบกและทาง
้
ทะเลอย่างต่อเนื่อง ทําให้ มีเศรษฐกิจดีพอที่จะสนับสนุนให้ เกิด
การสร้ างสรรค์อารยธรรมในด้ านอื่นๆ
- 52. อินเดียเป็ นแหล่งกําเนิดศาสนาสําคัญของโลกตะวันออก ได้ แก่
1. พระพุทธศาสนา มีหลักคําสอนที่สําคัญ เช่น อริยสัจ 4
มีจดหมายเพื่อมุงสูนิพพาน
ุ
่ ่
2. ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีเทพเจ้ าที่สําคัญ เช่น พระศิวะ เป็ น
เทพผู้ทําลายความชัวร้ าย พระพรหม เป็ นเทพเจ้ าผู้สร้ างสรรพสิง
่
่
บนโลก พระวิษณุ เป็ นเทพเจ้ าแห่งสันติสขและปราบปรามความ
ุ
ยุงยาก เป็ นต้ น
่
- 54. 3. ศาสนาเชน มีศาสดา คือ มหาวีระ มีนิกายที่สําคัญอยู่ 2 นิกาย
คือ นิกายเศวตัมพร เป็ นนิกายนุ่งผ้ าขาว ถือว่าสีขาวเป็ นสีบริ สทธิ์
ุ
และนิกายทิฆมพร เป็ นนิกายนุงลมห่มฟา (เปลือยกาย)
ั
่
้
4. ศาสนาซิกข์ เป็ นศาสนาที่ก่อตังขึ ้นมาโดย พระศาสดา ศรี คุรุ นา
้
นัก เดว ยิ ในปี พ.ศ. 2012 (ค.ศ. 1469) โดยหลักธรรมและคําสอน
พื ้นฐานของศาสนาซิกข์ขึ ้นมา เป็ นศาสนาที่ตงอยูบนรากฐานแห่ง
ั้ ่
ความจริงและเน้ นความเรี ยบง่าย สอนให้ ทกคนยึดมันและศรัทธาใน
ุ
่
พระเจ้ าแต่เพียงพระองค์เดียว
- 56. นอกจากนี ้ยังพบวัฒนธรรมด้ านภาษา คือ ตัวอักษร
โบราณของอินเดีย ซึงเป็ นอักษรดังเดิมที่ยงไม่มีนกวิชาการ
่
้
ั
ั
อ่านออก อักษรโบราณนี ้ปรากฏในดวงตราต่างๆมากกว่า
1,200 ชิ ้นโดยในดวงตราจะมีภาพวัว ควาย เสือ จระเข้ และ
ช้ างปรากฏอยูด้วย
่
- 57. พวกอารยันใช้ ภาษาสันสกฤตซึงเป็ นภาษาที่ใช้ เขียนคัมภีร์
่
ศาสนา เช่น คัมภีร์พระเวท เมื่อประมาณ 1,000 ปี มาแล้ ว วรรณกรรม
ที่สําคัญ ได้ แก่ มหากาพย์มหาภารตยุทธ(มหาภารตะ) ซึงเป็ นเรื่ องการ
่
์
สู้รบในหมูพวกอารยัน และมหากาพย์รามเกียรติ(รามายณะ) เป็ นเรื่ อง
่
การสู้รบระหว่างพวกดราวิเดียน กับพวกอารยัน
- 59. ด้ านสถาปั ตยกรรม
1. ซากเมืองฮารับปาและโมเฮนโจดาโร ทําให้ เห็นว่ามีการวางผัง
เมืองอย่างดี มีสาธารณูปโภคอํานวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น
ถนน บ่อนํ ้า ประปา ซึงเน้ นประโยชน์ใช้ สอยมากกว่าความสวยงาม
่
2. ซากพระราชวังที่เมืองปาฏลีบตรและตักศิลา สถูปและเสาแปด
ุ
เหลี่ยม ที่สําคัญคือ สถูปเมืองสาญจี (สมัยราชวงศ์โมริ ยะ)
3. สุสานทัชมาฮาล สร้ างด้ วยหินอ่อน เป็ นการผสมระหว่างศิลปะ
อินเดียและเปอร์ เชีย
- 61. จิตรกรรม
สมัยคุปตะ และหลังสมัยคุปตะ เป็ นสมัยที่รุ่งเรื องที่สดของอินเดีย
ุ
พบงานจิตรกรรมที่ผนังถํ ้าอชันตะ เป็ นภาพเขียนในพระพุทธศาสนา
แสดงถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความสามารถในการวาดเส้ นและ
การอาศัยเงามืดบริเวณขอบภาพ ทําให้ ภาพแลดูเคลื่อนไหว ให้
ความรู้สกสมจริง
ึ
- 62. นาฏศิลป
์
เกี่ยวกับการฟอนรํ า เป็ นส่วนหนึงของพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้ า
้
่
ตามคัมภีร์พระเวท
สังคีตศิลป
์
สวดสรรเสริญเทพเจ้ าทังหลาย ถือเป็ นแบบแผนการร้ องที่
้
เก่าแก่ที่สดใน สังคีตศิลปของอินเดีย แบ่งเป็ นดนตรี ศาสนา
ุ
์
ดนตรี ในราชสํานักและดนตรี ท้องถิ่นเครื่ องดนตรี สําคัญ
คือ วีณา หรื อพิณ ใช้ สําหรับดีด เวณุ หรื อขลุย และกลอง
่
- 64. การขุดค้ นทางโบราณคดีทําให้ ทราบว่าอารยธรรมนี ้
สลายตัวเมื่อประมาณ 1500 ปี ก่อนคริ สตกาล(1500 B.C.) ซึงเป็ น
่
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชนเผ่าอารยันเข้ ามามีบทบาทอยูในอนุทวีป
่
ในคัมภีร์ฤคเวทของอารยันได้ กล่าวถึงอินทร เทพเจ้ ารุ่นแรก ๆ ของ
อารยันว่าเป็ นผู้ทําลายปอม (ปุรํทร) ในตอนแรกเข้ าใจกันว่าเรื่ องนี ้
้
เป็ นนิยายของชาวอารยัน แต่จากการขุดค้ นพบเมืองโมเฮนโจ-ดา
โร ทําให้ เชื่อได้ วาเป็ นเรื่ องจริ งเพราะหลักฐานโบราณวัตถุได้ ชี ้ชัด
่
ว่า เมืองนี ้ถูกทําลายโดยกลุมคนที่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ใช้ ม้า
่
ซึงในช่วงเวลา 1500 B.C. ก็คือ ชาวอารยันนันเอง
่
่
- 65. แม้ วาจะเป็ นที่ยอมรับกันโดยทัวไปว่าอารยันเป็ นเหตุสําคัญที่
่
่
ทําให้ อารยธรรมนี ้สลายตัวลงไปอย่างฉับพลัน แต่ในความเป็ นจริง
แล้ วเชื่อว่าได้ ปรากฏร่องรอยของความเสื่อมในอารยธรรมนี ้มาก่อน
แล้ ว สาเหตุของความเสื่อมนันก็อาจเนื่องมาจากจํานวนประชากรที่
้
เพิ่มขึ ้น ทําให้ บ้านเมืองขาดความเป็ นระเบียบ การก่อสร้ างไม่มี
ระเบียบเหมือนในยุคแรก ๆ มีการสร้ างลํ ้าไปในถนน ประเด็นนี ้สะท้ อน
ให้ เห็นถึงอํานาจของผู้ปกครองที่ด้อยลงไปกว่าเดิมด้ วย
นอกเหนือจากเหตุนี ้แล้ วเชื่อว่า ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ ้นบ่อย ๆ
ในแถบลุมแม่นํ ้าสินธุคือ อุทกภัยเป็ นสาเหตุสําคัญที่ทําให้ เกิดปั ญหา
่
ต่าง ๆ ตามมา จนทําให้ เกิดความเสื่อมขึ ้น อย่างเช่น การขาดแคลน
อาหาร โรคระบาด การไร้ ที่อยูอาศัย
่
- 66. นอกจากนี ้ ลักษณะบางประการของอารยธรรมนี ้อาจจะมี
ส่วนที่ทําให้ เกิดความเสื่อมในระยะยาว คือ ลักษณะอนุรักษ์ นิยม
(Conservatism) จากความสัมพันธ์ที่อารยธรรมนี ้กับดินแดนแถบ
ลุมแม่นํ ้าไทรกริส-ยูเฟรติส ซึงมีความรู้ความสามารถทางเทคนิค
่
่
วิทยาที่เหนือกว่า เช่น การใช้ เหล็ก แต่ประชาชนในอารยธรรมนี ้
กลับมิได้ ใช้ ประโยชน์กบความสัมพันธ์นี ้ ดินแดนลุมแม่นํ ้าสินธุ
ั
่
ยังคงใช้ ทองแดง ซึงเป็ นโลหะที่ออนเมื่อเทียบกับโลหะชนิดอื่น ๆ ที่
่
่
ประชาชนของกลุมอื่นใช้ กน
่
ั
- 67. โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอารยันที่ รู้จกใช้ เหล็ก จึงทําให้ มี
ั
อาวุธหรื อเครื่ องมือที่มีประสิทธิภาพดีกว่า ลักษณะอนุรักษ์ นิยม
เช่นนี ้อาจนําไปสูความเสื่อมได้
่
นอกจากนี ้จากการขุดค้ นยังพบว่าชาวอารยธรรมนี ้สร้ าง
บ้ านเรื อนซ้ อนทับบนฐานเดิมขึ ้นต่อ ๆ กันไปถึง 9 ชัน
้
ปรากฏการณ์เช่นนี ้สะท้ อนให้ เห็นถึงความคิดที่ยดมันอยูกบสิงที่มี
ึ ่ ่ ั ่
ที่เป็ นอยู่ อันอาจเป็ นสาเหตุหนึงของความเสื่อมในอารยธรรมนี ้
่