ความเสี่ยงด้านสารเคมี
- 4. กรณีที่1ภาวะภูมิแพ้ที่อาจเกิดจากการสัมผัสยาเคมีบาบัดระหว่าง
ปฏิบัติงาน
„ พยาบาลอายุ 41ปี ปฏิบัติงานที่หอผู้ป่ วยมะเร็งมา 13 ปีมีอาการทรมานจาก
ภูมิแพ้ ได้แก่ น้ามูกไหล หายใจเหนื่อยทุกครั้งหลังจากเริ่มปฏิบัติงาน 1-2 ชม.
หลังจากปีที่3 ของการปฏิบัติงานในหน่วยดังกล่าวเธอเริ่มปรากฏอาการหอบ
เหนื่อยหลังจากเลิกงาน
„ ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบความผิดปกติ แพทย์ผู้ให้การรักษาสงสัยว่า
ปัญหาของผู้ป่ วยอาจเกิดจากการสัมผัสยาเคมีบาบัดจากการปฏิบัติงานจึงให้
ติดตามอาการโดยการทดสอบการหายใจด้วยSpirometry and peak expiratory
flow measurements และผลจากการตรวจอาการทางคลินิกของผู้ป่ วยรายนี้
สรุปว่ามีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า Mitroxantrone induced allergic asthma
- 5. กรณีที่2 การสัมผัสยาเคมีบาบัดของพยาบาลระหว่างการบริหารยา
„ พยาบาลอายุ 30ปี เปลี่ยน Infusion set ที่กาลังให้ยา Carmustineที่
แขวนอยู่ ขณะนั้นมีอุบัติเหตุทาให้ยาดังกล่าวไหลออกเปื้อนแขนข้าง
ขวาและขาของพยาบาลก่อนขวดจะตกลงที่พื้น ขณะให้ยาพยาบาลมี
การสวมถุงมือ และหลังการสัมผัส ได้ล้างแขนและขาออกด้วยน้า
ทันที แต่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
„ 2-3 ชม. ต่อมา ขณะปฏิบัติงานเธอเริ่มปวดเกร็งท้อง ตามด้วย
ท้องเสีย และอาเจียน หัวหน้าตึกส่งตัวเธอไปที่ห้องER ทันที แพทย์
ให้Observe อาการจนกว่าจะปกติ
- 9. สารเคมีจาแนกได้ 9 ประเภท(ตามหลักสากล)
ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด
ประเภทที่ 2 ก๊าซ
ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ
ประเภทที่ 4 ของแข็งไวไฟ
ประเภทที่ 5 วัตถุออกซิไดส์และออร์แกนิกเปอร์ออกไซด์
ประเภทที่ 6 วัตถุมีพิษและวัตถุติดเชื้อ
ประเภทที่ 7 วัตถุกัมมันตรังสี
ประเภทที่ 8 วัตถุกัดกร่อน
ประเภทที่ 9 วัตถุอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย
- 14. สิ่งที่ควรทาเมื่อสัมผัสสารเคมี (ต่อ)
„ ควรตรวจภาชนะก่อนที่จะถ่ายเทสารลงไป
„ ควรเทสารละลายที่เข้มข้นลงในสารละลายที่เจือจางกว่า เพื่อเป็น
การหลีกเลี่ยงปฏิกิริยารุนแรงหรือการกระเด็นของสารละลาย และ
ควรจะทาในตู้ดูดควันพร้อมทั้งสวมแว่นตานิรภัย
„ ควรถือบีกเกอร์โดยใช้มือโอบรอบบีกเกอร์ ในกรณีที่บีกเกอร์มี
ขนาดใหญ่มาก ควรใช้มืออีกข้างหนึ่งประคองที่ก้นบีกเกอร์ด้วย
„ ควรเก็บสารที่อยู่ในภาชนะใหญ่มาก ๆ ไว้ที่ชั้นต่าที่สุด เพื่อสะดวก
และปลอดภัยเวลานามาใช้
- 15. สิ่งที่ไม่ควรทาเมื่อสัมผัสสารเคมี
„ อย่าแตะต้องสารเคมีโดยไม่จาเป็น สารบางตัวที่คิดว่า “ปลอดภัย” ใน
ปัจจุบันนี้อาจจะพบว่าเป็นอันตรายในวันข้างหน้าก็ได้
„ อย่าสูบบุหรี่หรือกินอาหารในบริเวณที่มีสารเคมี
„ อย่าชิมหรือดมสารเคมี นอกจากได้รับคาแนะนาจากนักเคมีเท่านั้น
„ อย่าใช้สารเคมีที่บรรจุในภาชนะที่มีฉลากป้ ายชื่อไม่ชัดเจน
„ อย่าใช้สารเคมีมากกว่าที่กาหนดไว้
„ อย่ามองลงไปในภาชนะที่มีสารเคมีอยู่ ทั้งนี้เพราะสารเคมีอาจพุ่งขึ้นมา
ถูกใบหน้าหรือตาเป็นอันตรายได้
„ อย่าใช้ปากดูดสารเคมี ควรใช้ลูกยางหรือใช้สายยางต่อกับท่อน้า
(water aspirator)
- 19. การดาเนินการในเส้นทางระหว่างแหล่งกาเนิดถึงตัว
คนทางาน (2)
„ การระบายอากาศ
‟ เป็นห้องแยกที่มีระบบอากาศปกติ หรือเป็นห้องสะอาด (Cleanroom)
‟ ใช้เฉพาะเก็บสารเคมีหรือผสมยาเคมีบาบัดเท่านั้น
‟ มีป้ ายบอกชัดเจน ว่าเป็นสถานที่เก็บสารเคมีหรือผสมยาเคมีบาบัด เพื่อ
การจากัดการเข้าออก
‟ อากาศในห้องเป็นระบบควบคุมความเย็นและถ่ายเทออกสู่ภายนอก
‟ แสงสว่างเพียงพอ แต่แสงแดดส่องไม่ถึง
„ การรักษาความสะอาดและระเบียบในสถานที่ทางาน
- 21. การเฝ้ าระวังทางสุขภาพ
„ การประเมินก่อนการทางาน
„ การประเมินขณะทางานเป็นระยะ
„ การประเมินหลังการเจ็บป่วย
„ การประเมินก่อนเปลี่ยนงาน
„ สิ่งสาคัญที่ต้องระวังคือการป้ องกันการกลับเป็นซ้าของโรค
และการประเมินความสมบูรณ์พร้อมในการกลับเข้าทางาน
(Return to work)
- 22. การติดตามความปลอดภัยของบุคลากรที่สัมผัสสารเคมี
อันตรายและยาเคมีบาบัด
„ Baseline examination
‟ CBC , ESR
‟ Biochemistry เช่น LFT , Urea, Creatinine , Electrolyte , UA
„ Routine examination เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการซ้า ใช้ในการแยก
บุคลากรที่มีผลผิดปกติเมื่อเทียบกับ Baseline โดยบุคลากรที่ผิดปกติจะต้อง
หลีกเลี่ยงการทางานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีหรือยาเคมีบาบัดจนกว่าจะ
ตรวจสอบซ้าและผลตรวจปกติ ควรตรวจทุก 6 เดือน
„ บันทึกเกี่ยวกับการสัมผัสสารเคมีหรือยาเคมีบาบัด เช่นระยะเวลาที่สัมผัส
ต่อวัน และการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการทางาน