Contenu connexe
Similaire à Report1 5 (20)
Report1 5
- 1. บทที่ 1
บทนำ
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิด
สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้
อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และศาสตร์อื่นๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต
ให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา.
2551 : 1)
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่2) พ.ศ. 2545
หมวดที่ 9 มาตรา 63-69 กาหนดให้รัฐมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อการศึกษาโดยให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อการศึกษา และให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและ
ทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ส่วนด้าน
ผู้เรียนให้มีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ในโอกาสแรก
ที่ทาได้ เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้
ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตลอดจนรัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและ
การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อ
การศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย (สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2545 : 37-38)
ส่วนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตร
สถานศึกษา มีวิสัยทัศน์ เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มี
ความสมดุลทั้งร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก
ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ
ทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต
โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ บนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็ม
- 2. 2
ตามศักยภาพ และการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3) มุ่งเน้นให้
ผู้เรียนได้สารวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน
มีทักษะในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดาเนินชีวิต
มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตและใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งมีความยืดหยุ่นสนอง
ความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคมและประเทศชาติ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
และเรียนรู้ได้จากสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ทุกประเภท โดยเฉพาะเน้นสื่อที่ผู้เรียนและผู้สอน
ใช้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง (กลุ่มพัฒนากระบวนการเรียนรู้. 2553 : 5-22)
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ได้เปลี่ยนโฉมโครงสร้างทาง
สังคมและเศรษฐกิจของโลกให้เป็นชุมชนแห่งการติดต่อ สื่อสารที่ไร้พรมแดน ด้วยปริมาณข้อมูล
จานวนมหาศาลที่ถูกส่งผ่านในแต่ละวัน ได้เอื้อประโยชน์ต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ
ประเทศ ตลอดจนการพัฒนาการศึกษาซึ่งเป็นปัจจัยเบื้องต้นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
อีกทั้งปัจจุบันความเจริญทางเทคโนโลยีสารสนเทศได้พัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว ทาให้
มีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ต
มาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการศึกษา ทาให้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
ได้รับการเผยแพร่เข้าสู่การศึกษาในทุกระดับ สถานศึกษาต่างเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของ
หน่วยงานเข้าสู่อินเทอร์เน็ต เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ผู้สอนได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้
ในโลกภายนอกโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทาให้นักการศึกษาหลายคนเกิดความคิดที่จะนา
เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนในห้องเรียนด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ใช้สืบค้น
ข้อมูล ใช้ในการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ในรูปของกระดานข่าว หรือ ทางสื่อสังคม (Social
Media)
จุดเด่นของการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตคือการนาเสนอข้อมูลที่สามารถนาเสนอได้
ทั้งข้อความ รูปภาพทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว และในรูปของเสียง ที่สามารถดึงดูดความสนใจ
มีชีวิตชีวา ในด้านการศึกษาก็สามารถแก้ไขข้อจากัดทางด้านเวลาและสนองต่อความต้องการ
ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี จะเรียนได้ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับตัวของนักเรียนเอง โดยไม่จากัดเวลา และ
สถานที่ ทาให้นักเรียนมีกาลังใจในการเรียน จึงได้รับความนิยมและมีการพัฒนาเผยแพร่ไป
อย่างมาก หน่วยงานทางการศึกษาหลายหน่วยงานได้ใช้ประโยชน์ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใน
การประชาสัมพันธ์หน่วยงาน ในการส่งเสริมภาพพจน์ และในลักษณะของการเรียนการสอนโดย
ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อีกทั้งผู้เรียนโดยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เทียบเท่าหรือสูงกว่าผู้เรียนที่เรียนโดยปกติ โดยใช้เวลาเรียนน้อยกว่าและมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน
- 3. 3
วิชานั้นๆ ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจใฝ่หาความรู้ และกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในการเรียน
การสอนมากขึ้นกว่าเดิม ผู้เรียนสามารถตอบโต้กับคอมพิวเตอร์ได้ ผู้เรียนไม่ต้องกลัวหรืออาย
คอมพิวเตอร์
แต่ในปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เรายัง
พัฒนาได้ไม่มากเท่าที่ควรซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างมากในการจัดการเรียนการสอนในระดับที่สูงขึ้น
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะวิชาคณิตศาสตร์มีความเป็นนามธรรมทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ช้าและเข้าใจ
ได้ยาก เป็นวิชาที่ต้องใช้จินตนาการอย่างมากในการทาความเข้าใจ และจากรายงานผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์ ในปีการศึกษา
ที่ผ่าน ๆ มาพบว่า ผลการเรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่น่าพอใจ ซึ่งผลจาก
การประเมินคุณภาพนักเรียนดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนมีปัญหา
ดังนั้นจึงถือเป็นหน้าที่สาคัญของครูที่จะต้องหาวิธีการต่าง ๆ มาใช้ในการจัดสภาพการเรียน
การสอน เพื่อให้เด็กมีทักษะในการคิดแก้ปัญหาและเพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุดทางการศึกษา
การสร้างบทเรียนออนไลน์ไว้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นการเปิดช่องทางการเรียนรู้อีกทางหนึ่ง
ให้กับผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่จากัดเวลา สถานที่ และจานวนครั้ง
ดังนั้น จากความสาคัญของคณิตศาสตร์ และประสิทธิภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
และอินเทอร์เน็ตดังกล่าว ทาให้ผู้วิจัยสนใจที่จะพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์ ซึ่งเป็นนักเรียน
ที่ผู้วิจัยสอนอยู่ แล้วทดลองสอนและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา
การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้แก่นักเรียนต่อไป
ควำมมุ่งหมำยของกำรวิจัย
1. เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
80%
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์
สมมติฐำนกำรวิจัย
1. บทเรียนออนไลน์ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80%
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3. นักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อบทเรียนออนไลน์อยู่ในระดับมาก
- 4. 4
ควำมสำคัญของกำรวิจัย
1. ได้บทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ที่มีประสิทธิภาพ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2. ได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์ อาเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
3. เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
มากขึ้น
4. นักเรียนที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เป็นการส่วนตัวที่บ้านสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้
สามารถเรียนรู้จากบทเรียนออนไลน์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ได้ด้วยตนเองเมื่อต้องการ
5. เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของครูผู้สอน ในการสร้างสื่อประเภท
บทเรียนออนไลน์ หรือ E-Learning อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มองค์ความรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็น
ภาษาไทยเพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ต่อไป
6. เป็นการสร้างคุณภาพที่ดีต่อระบบการศึกษา โดยนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดในการจัดการศึกษา เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้นักเรียนก้าวทันต่อความก้าวหน้าของโลก
ยุคดิจิตอล
ขอบเขตของกำรวิจัย
1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
ประชำกร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์
อาเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จานวน 2 ห้องเรียน ปีการศึกษา 2554 จานวน 40 คน
กลุ่มตัวอย่ำง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์
อาเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554 จานวน 20 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย
(Simple Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม
2. ตัวแปรที่ศึกษำ
2.1 ตัวแปรอิสระ คือ
2.1.1 การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนออนไลน์เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส
2.2 ตัวแปรตำม คือ
2.2.1 ประสิทธิ์ภาพของบทเรียนออนไลน์
2.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
2.2.3 ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์
- 5. 5
3. ระยะเวลำในกำรทำวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้ ใช้เวลาในการทดลอง จานวน 16 ชั่วโมง ในภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2554 (1 พฤศจิกายน - 16 ธันวาคม 2554)
4. เนื้อหำ
เนื้อหาที่ใช้ในบทเรียนออนไลน์เป็นเนื้อหาความรู้เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส โดยแบ่ง
หน่วยการเรียนรู้ออกเป็น 3 หน่วย ดังนี้
หน่วยที่ 1 ความสัมพันธ์ของรูปสามเหลี่ยม
หน่วยที่ 2 ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
หน่วยที่ 3 บทกลับของทฤษฎีบทพีทาโกรัส
นิยำมศัพท์เฉพำะอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต ที่ http://youtachai.wordpress.com ที่
บทเรียนออนไลน์ (E-Learning) หมายถึง บทเรียนออนไลน์เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นักเรียนสามารถเรียนได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
ที่มีระบบอินเทอร์เน็ต มีลักษณะเป็นสื่อมัลติมีเดีย ประกอบด้วยภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและ
ข้อความต่างๆ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์
ลักษณะสองทาง ผู้เรียนทราบผลการเรียนได้ทันที
ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถในการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ ซึ่งวัดได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนออนไลน์
เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องทฤษฎี
บทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ใช้ทดสอบนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
ด้วยบทเรียนออนไลน์ เป็นชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 1 ฉบับ มี 30 ข้อ
ประสิทธิภำพของบทเรียนออนไลน์ หมายถึง ความสามารถของบทเรียนในการสร้าง
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ถึงระดับเกณฑ์ที่คาดหวังไว้
เกณฑ์ 80% หมายถึง ประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ที่คาดหวังไว้ โดยพิจารณา
จากค่าเฉลี่ยของค่าเฉลี่ยอัตราส่วนของคะแนนแบบฝึกหัดกับค่าเฉลี่ยอัตราส่วนของคะแนน
แบบทดสอบคิดเป็นร้อยละ
- 6. 6
บทที่ 2
เอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้นาเสนอตาม
หัวข้อต่อไปนี้
1. ความสาคัญของคณิตศาสตร์
2. หลักการสอนคณิตศาสตร์
3. กระบวนการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์
4. ความหมายของการเรียนการสอนบนเว็บ
5. คุณลักษณะของการสอนบนเว็บ
6. ลักษณะสาคัญของ E-Learning
7. ข้อดีของการสอนบนเว็บ
8. ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตทางการศึกษา
9. ประโยชน์ของ E-Learning
10. หลักทฤษฎีที่ใช้ในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
11. ส่วนประกอบในการจัดทาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
12. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
12.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ
12.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ
ควำมสำคัญของคณิตศำสตร์
คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิด
สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้
อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และศาสตร์อื่นๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต
ให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา.
2551 : 1)
- 7. 7
หลักกำรสอนคณิตศำสตร์
การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้น ครูผู้สอนจะต้องรู้
หลักการสอนซึ่งเป็นธรรมชาติของวิชาคณิตศาสตร์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการเรียนการสอน
คณิตศาสตร์ที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพนั้น จะต้องให้มีความสมดุลระหว่างสาระ
ด้านความรู้ ทักษะและกระบวนการ ควบคู่ไปกับคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์
ได้แก่การทางานอย่างมีระบบ มีระเบียบ มีความรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ
มีความเชื่อมั่นในตนเอง พร้อมทั้งตระหนักในคุณค่าและมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ ส่วนในการวัด
และประเมินผลด้านทักษะและกระบวนการ สามารถประเมินในระหว่างการเรียนการสอน หรือ
ประเมินไปพร้อมกับการประเมินความรู้(สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2551 : 2)
บุญทัน อยู่ชมบุญ (2539 : 24-25) ได้สรุปหลักการสอนคณิตศาสตร์ไว้ ดังนี้
1. สอนโดยคานึงถึงความพร้อมของเด็ก คือ พร้อมในด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา
และความพร้อมในแง่ความรู้พื้นฐานที่มาต่อเนื่องกับความรู้ใหม่ โดยครูจะต้องมีการทบทวนความรู้
เดิมก่อน เพื่อให้ประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ต่อเนื่องกัน จะช่วยให้นักเรียนเกิดความ
เข้าใจมองเห็นความสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียนได้ดี
2. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จะต้องจัดให้เหมาะสมกับวัย ความต้องการ
ความสนใจและความสามารถของเด็ก เพื่อมิให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
3. ควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ทั้งนี้เพราะคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ครู
จาเป็นต้องคานึงถึงให้มากกว่าวิชาอื่น ๆ ในแง่ความสามารถทางสติปัญญา การเตรียมความพร้อม
ทางคณิตศาสตร์ ให้นักเรียนเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้จะช่วยให้
นักเรียนมีความพร้อมตามวัยและความสามารถของแต่ละคน
4. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีระบบต้องเรียนไปตามลาดับขั้นการสอน เพื่อสร้างความคิด
ความเข้าใจในระยะเริ่มแรกจะต้องเป็นประสบการณ์ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องและทาให้
เกิดความสับสน จะต้องไม่นาเข้ามาในกระบวนการเรียนการสอนการสอนจึงจะเป็นไปตามลาดับ
ขั้นที่วางไว้
5. การสอนแต่ละครั้งจะต้องมีจุดประสงค์ที่แน่นอนว่า จัดกิจกรรมเพื่อสนองจุดประสงค์
อะไร
6. เวลาที่ใช้ในการสอนควรจะใช้ระยะเวลาพอสมควรไม่นานเกินไป
7. ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีการยืดหยุ่นได้ ให้นักเรียนมีโอกาสเลือกทา
กิจกรรมตามความพอใจตามความถนัดของตนและให้อิสระในการทางานแก่เด็กสิ่งสาคัญประการ
- 8. 8
หนึ่ง คือการปลูกฝังเจตคติที่ดีแก่เด็กในการเรียนคณิตศาสตร์ เพราะจะช่วยให้เด็กพอใจในการเรียน
วิชานี้ รวมทั้งเห็นประโยชน์และคุณค่าจนเกิดความสนใจมากขึ้น
8. การสอนที่ดีควรเปิดโอกาสให้นักเรียนมีการวางแผนร่วมกันกับครู เพราะจะช่วยให้
ครูเกิดความมั่นใจในการสอนและเป็นไปตามความพอใจของเด็ก
9. การสอนคณิตศาสตร์ที่ดีควรให้เด็กมีโอกาสทางานร่วมกันหรือมีส่วนร่วมใน
การค้นคว้า สรุปกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ด้วยตนเองกับเพื่อน ๆ
10. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรสนุกสนานบันเทิงไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วย
จึงจะสร้างบรรยากาศที่น่าติดตามต่อไปแก่เด็ก
11. นักเรียนจะเรียนได้อีกเมื่อเริ่มเรียนโดยครูใช้ของจริง อุปกรณ์จึงเป็นรูปธรรมนาไปสู่
นามธรรมตามลาดับ จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่จาดังเช่นการสอนในอดีตที่ผ่าน
มา ทาให้เห็นว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ง่ายต่อการเรียนรู้
12. การประเมินผลการเรียนการสอนเป็นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของ
การเรียนการสอน ครูอาจใช้วิธีการสังเกต การตรวจแบบฝึกหัด การสอบถาม เป็นเครื่องมือใน
การวัดผล จะช่วยให้ครูทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและการสอนของตน
13. ไม่ควรจากัดวิธีคิดคานวณหาคาตอบของเด็ก แต่ควรแนะวิธีคิดที่เร็วและแม่นยาใน
ภายหลัง
14. ฝึกให้เด็กรู้จักตรวจคาตอบด้วยตนเอง
นอกจากนั้นแล้ว สานักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา (2545 : 18-19) ยังได้
กล่าวถึงหลักการสอนคณิตศาสตร์ไว้ว่า ในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้บรรลุผลนั้น
ควรมีจิตวิทยาการสอนดังนี้
1. ดูความพร้อม ก่อนจะสอนเรื่องใดก็ตามต้องดูความพร้อมตามวัยและวุฒิภาวะของ
เด็กว่าในวัยเช่นนี้ควรจะเรียนรู้เรื่องอะไรได้บ้าง
2. ล้อมด้วยประสบการณ์ หมายถึง ในการสอนคณิตศาสตร์ควรใช้สิ่งที่นักเรียนเคยรู้จัก
เคยเห็นมาประกอบเป็นตัวอย่างหรือโจทย์ เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพ และเชื่อมโยงความรู้ได้ง่าย ๆ
เช่น โรงเรียนในชนบท ครูใช้โจทย์ตัวอย่างว่า “เรือดาน้าลาหนึ่ง บรรทุกขีปนาวุธ 8 ลูก ยิงออกไป
3 ลูก เหลือขีปนาวุธกี่ลูก” ความจริงเป็นโจทย์ง่าย ๆ แต่ใช้คาที่นักเรียนอาจจะไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น
เช่น ขีปนาวุธ เรือดาน้า ก็อาจจะทาให้เด็กงงได้ ถ้าเปลี่ยนโจทย์เป็น “เลี้ยงไก่ไว้ 8 ตัว ขายไป 3
ตัว เหลือไก่กี่ตัว” จะเห็นว่าง่ายกว่า เด็กก็นึกภาพออก
3. สืบสานจากสิ่งง่าย คือให้สอนจากสิ่งที่ง่าย ๆ เริ่มจากตัวอย่างง่าย ๆ ก่อนแล้วจึง
ค่อย ๆ เพิ่มความยากไปทีละน้อย
- 9. 9
4. ให้เข้าใจหลักการ จะสอนเนื้อหาใดควรให้นักเรียนเข้าใจอย่างถ่องแท้
รู้ความเป็นมาของเรื่องนั้น เช่น สอนเรื่องการคูณ ก็ต้องให้รู้ว่าการคูณคืออะไร เช่น 3 2 = 6
เขียนเป็นสัญลักษณ์การบวกได้อย่างไร (2+2+2 = 6)
5. เชี่ยวชาญด้วยการฝึก วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาทักษะเมื่อสอนหลักการและรู้วิธีการ
แล้ว ต้องให้นักเรียนฝึกจากแบบฝึกหัดในบทเรียนหรือจะสร้างแบบฝึกเพิ่มเติมอีกก็ได้
6. สานึกในความเป็นครู ต้องมีวิญญาณครู รักที่จะสอน รักในอาชีพ รักและเมตตาต่อ
ศิษย์ทุกคน
7. รู้ถึงความแตกต่าง ต้องรู้จักเด็ก รู้ความแตกต่างของเด็กว่าคนไหนเก่งหรืออ่อนเพื่อจะ
เลือกสอนได้ง่ายขึ้น
8. ทุกอย่างต้องให้กาลังใจ การให้กาลังใจแบบง่าย ๆ เช่น การให้คาชมเชย
การยกย่องในชั้นเรียน ฯลฯ
นอกจากครูผู้สอนจาเป็นต้องรู้หลักการสอนแล้วในการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอน จะต้องเน้นย้าให้นักเรียนปฏิบัติตามข้อตกลงเบื้องต้นในการเรียนคณิตศาสตร์ ดังนี้
(สานักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา. 2545 : 19-20)
1. การบวกลบ พื้นฐานต้องแม่นยา และรวดเร็ว
2. สูตรคูณต้องแม่นยา
3. ฝึก ย้า ซ้า ทวน อยู่เสมอ
4. จาเทคนิคการคิดเลขเร็ว และสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง
การที่จะเป็นนักคิดคณิตศาสตร์ได้นั้น สานักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา
(2545 : 20) ได้เสนอแนะหนทางสู่การเป็นนักคิดคณิต ไว้ดังนี้
1. ฝึกฝนอยู่เป็นนิจ คณิตศาสตร์เป็นวิชาทักษะต้องมีการฝึกหัดและทบทวนอยู่เสมอ
จึงจะเกิดความชานาญ
2. ชอบคิดขี้สงสัย ชอบคิดปัญหาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์หรือปัญหาที่ท้าทายเมื่อคิดไม่ได้
จริง ๆ ต้องพยายามแสวงหาคาตอบโดยการถามผู้รู้
3. สนใจสมการ พื้นฐานที่สาคัญในการคิดอย่างหนึ่งคือสมการ เพราะปัญหาบางปัญหา
อาจแก้หรือคิดได้โดยง่าย ถ้าใช้สมการช่วยในการคิด
4. เชี่ยวชาญกลเม็ด ต้องมีเทคนิควิธีคิดอย่างหลากหลาย
5. มีทีเด็ดสูตรคูณ ต้องมีความแม่นยาเกี่ยวกับสูตรคูณ และต้องสามารถใช้ได้
อย่างรวดเร็วถูกต้อง อย่างน้อยต้องถึงแม่ 12
6. เพิ่มพูนวิทยาการ หมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
- 10. 10
7. คูณหารอย่าให้พลาด ต้องมีทักษะในคิดคานวณ
8. เฉียบขาดเรื่องพื้นฐาน ต้องมีความรู้พื้นฐานง่าย ๆ เช่น ค.ร.น. ห.ร.ม. พื้นที่
รูปเรขาคณิตต่าง ๆ ปริมาตรรูปทรงต่าง ๆ ฯลฯ
จากธรรมชาติและความสาคัญ ตลอดจนหลักการสอนวิชาคณิตศาสตร์ที่กล่าวมา
จะเห็นได้ว่าหลักสูตรคณิตศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมด้านการคิดอย่างมีเหตุมีผลและ
เน้นพฤติกรรมด้านความรู้สึกเป็นจุดมุ่งหมายที่สาคัญ ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มี
การยืดหยุ่นได้ ให้นักเรียนมีโอกาสเลือกทากิจกรรมตามความพอใจตามความถนัดของตนและ
ให้อิสระในการทางานแก่เด็กสิ่งสาคัญประการหนึ่ง คือการปลูกฝังเจตคติที่ดีแก่เด็กในการเรียน
คณิตศาสตร์ เพราะจะช่วยให้เด็กพอใจในการเรียนวิชานี้ รวมทั้งเห็นประโยชน์และคุณค่าจนเกิด
ความสนใจมากขึ้น โดยครูใช้ของจริง หรือสื่อการสอนที่เป็นรูปธรรมนาไปสู่นามธรรมตามลาดับ
จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ รวมทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรสนุกสนาน
บันเทิงไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วยจึงจะสร้างบรรยากาศที่น่าติดตามต่อไปแก่เด็ก ดังนั้นครูผู้สอน
ต้องศึกษาถึงหลักการสอน จิตวิทยาการเรียนรู้ และเน้นย้าข้อปฏิบัติในการเรียนและการเป็นนักคิด
คณิตศาสตร์ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เพื่อจะได้จัดการเรียนการสอนให้บรรลุผลตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
กระบวนกำรแก้ปัญหำคณิตศำสตร์
สานักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา. (2545 : 123-124) ได้กล่าวถึงกระบวนการ
แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ไว้ว่า การแก้ปัญหาใด ๆ จะต้องใช้ความคิดซึ่งอาศัยกระบวนการทางสมอง
ประสบการณ์ ความรู้ที่ได้ศึกษามา ความพยายามและการหยั่งรู้ เพื่อจะตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใด
ในการแก้ปัญหานั้น องค์ประกอบที่ช่วยในการแก้ปัญหา มีดังนี้
1. ประสบการณ์ เช่น สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว พื้นฐานความรู้ทางคณิตศาสตร์
วิธีการแก้ปัญหาที่คุ้นเคย ลักษณะของโจทย์ปัญหาที่คุ้นเคย อายุ
2. จิตพิสัย เช่น ความสนใจ ความตั้งใจ ความอดทน ความกระตือรือร้น
ความพยายาม ฯลฯ
3. สติปัญญา เช่น ความสามารถทางการอ่าน ความสามารถในการให้เหตุผล ความจา
ความสามารถในการคิดคานวณ ความสามารถในการวิเคราะห์ ความสามารถในการมองภาพ 3 มิติ
การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบ ปัญหาของคนหนึ่งอาจไม่ใช่
ปัญหาของอีกคนหนึ่ง ในการแก้ปัญหาจะต้องมีการวางแผนการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ การกาหนด
สารสนเทศที่ต้องการเพิ่มเติม มีการแสดงความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางวิธีการแก้ปัญหาที่
- 11. 11
หลากหลาย และตรวจสอบวิธีการแก้ปัญหาหาที่เหมาะสม เพื่อนาไปสู่ข้อสรุป กระบวนการ
แก้ปัญหาที่เป็นที่เชื่อถือและยอมรับโดยทั่วไป คือ “กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา”
กระบวนกำรแก้ปัญหำของโพลยำ
กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา (George Polya) ได้มีการเขียนไว้ในหนังสือชื่อ How
to Solve It ในปี ค.ศ.1957 เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงมากโดยได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกไม่
น้อยกว่า 15 ภาษา กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 การทาความเข้าใจปัญหา (Understanding the Problem)
ต้องเข้าใจว่าโจทย์ถามอะไร โจทย์กาหนดอะไรมาให้และเพียงพอสาหรับ
การแก้ปัญหานั้นหรือไม่ สามารถสรุปปัญหาออกมาเป็นภาษาของตนเองได้ ถ้ายังไม่ชัดเจนใน
โจทย์อาจใช้การวาดรูป และแยกแยะสถานการณ์ หรือเงื่อนไขในโจทย์ออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งจะช่วย
ทาให้เข้าใจปัญหามากขึ้น
ขั้นที่ 2 การวางแผนการแก้ปัญหา (Devising a Plan)
การวางแผนการแก้ปัญหาเป็นขั้นตอนที่ค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่โจทย์ถามกับ
ข้อมูลหรือสิ่งที่โจทย์กาหนดให้ ถ้าหากไม่สามารถหาความสัมพันธ์ได้ ก็ควรอาศัยหลักการของการ
วางแผนแก้ปัญหา ดังนี้
1) โจทย์ปัญหาลักษณะนี้เคยพบมาก่อนหรือไม่ มีลักษณะคล้ายคลึงกับโจทย์ปัญหาที่
เคยทามาแล้วอย่างไร
2) เคยพบโจทย์ปัญหาลักษณะนี้เมื่อไร และใช้วิธีการใดแก้ปัญหา
3) ถ้าอ่านโจทย์ปัญหาครั้งแรกแล้วไม่เข้าใจ ควรอ่านโจทย์ปัญหาอีกครั้งแล้ววิเคราะห์
ความแตกต่างของปัญหานี้กับปัญหาที่เคยทามาก่อน
ขั้นที่ 3 การดาเนินการตามแผน (Carrying Out the Plan)
การดาเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ได้คาตอบของปัญหาด้วยการรู้จักเลือกวิธีการคิด
คานวณ สมบัติ กฎ หรือสูตรที่เหมาะสมมาใช้
ขั้นที่ 4 การตรวจสอบผล (Looking Back)
เป็นการตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้ถูกต้อง สมบูรณ์โดยการพิจารณา และ
ตรวจดูว่าถูกต้อง และมีเหตุผลน่าเชื่อถือหรือไม่ ตลอดจนกระบวนการในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจจะ
ใช้วิธีการอีกวิธีหนึ่งตรวจสอบ เพื่อตรวจดูว่าผลลัพธ์ที่ได้ตรงกันหรือไม่ หรืออาจจะใช้
การประมาณค่าของคาตอบอย่างคร่าว ๆ
สรุปได้ว่า กระบวนการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ จะต้องมีการวางแผนการรวบรวมข้อมูล
ต่าง ๆ การกาหนดสารสนเทศที่ต้องการเพิ่มเติม มีการแสดงความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางวิธีการ
- 12. 12
แก้ปัญหาที่หลากหลาย และตรวจสอบวิธีการแก้ปัญหาหาที่เหมาะสมเพื่อนาไปสู่ข้อสรุป
กระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นที่เชื่อถือและยอมรับโดยทั่วไป มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน คือ การทา
ความเข้าใจปัญหา การวางแผนการแก้ปัญหา การดาเนินการตามแผน การตรวจสอบผล ซึ่งเป็น
กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา
ควำมหมำยของกำรเรียนกำรสอนบนเว็บ
บทเรียนออนไลน์ หรือการจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือ
อินเทอร์เน็ต เรียกอีกอย่างว่า E-Learning ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และเว็บไซต์
ได้เข้ามามีบทบาทสาคัญทางการศึกษาและกลายเป็นคลังแห่งความรู้ที่ไร้พรมแดน ซึ่งผู้สอนได้ใช้
เป็นทางเลือกใหม่ในการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเปิดประตูการศึกษาจากห้องเรียนไปสู่โลกแห่ง
การเรียนรู้อันกว้างใหญ่ รวมทั้งการนาการศึกษาไปสู่ผู้ที่ขาดโอกาสด้วยข้อจากัดทางด้านเวลาและ
สถานที่ มีผู้ให้ความหมายและความสาคัญไว้ดังนี้
ดริสคอลล์ (Driscoll. 1999 : 37-44) ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตว่า เป็นการใช้ทักษะ หรือความรู้ต่าง ๆ ถ่ายโยงไปสู่ที่ใดที่หนึ่งโดยการใช้เวิลด์ไวด์เว็บ
เป็นช่องทางในการเผยแพร่สิ่งเหล่านั้น
กิดานันท์ มลิทอง (2543 : 11) กล่าวว่า การเรียนการสอนสื่อบนเครือข่ายเป็นการใช้
เครือข่ายในการเรียนการสอนโดยนาเสนอบทเรียนในลักษณะสื่อหลายมิติของวิชาทั้งหมด ตาม
หลักสูตรหรือเพียงใช้เสนอข้อมูลบางอย่างเพื่อประกอบการสอนก็ได้ รวมทั้งใช้ประโยชน์จาก
คุณลักษณะต่างๆ ของการสื่อสารที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต มาใช้ประกอบกันเพื่อให้เกิด
ประสิทธิภาพสูงสุด
ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ (2545 : 26-28) ได้ให้ความหมายของ คาว่า E-Learning หรือ
Electronic Learning หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
สื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ มีวัตถุประสงค์ที่เอื้ออานวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้องค์ความรู้
(Knowledge) ได้โดยไม่จากัดเวลาและสถานที่ (Anywhere-Anytime Learning) เพื่อให้ระบบ
การเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุ
วัตถุประสงค์ของกระบวนวิชาที่เรียนนั้นๆ
พรรณี เกษกมล (2543 : 49-55) ได้กล่าวถึงการเรียนรู้บนเว็บ (Web-Based Instruction :
WBI) ว่าเป็นวิถีทางของนวัตกรรมในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อผู้เรียนทางไกลโดยการใช้เว็บ
เป็นสื่อกลางการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่จะทาให้ได้รับความรู้ข้อมูลข่าวสาร และกิจกรรมที่สะดวก
ต่อผู้เรียน การบรรลุถึงซึ่งความสาเร็จของเป้าหมายการเรียนรู้ในเรื่องอื่น ๆ เฉพาะด้านเป็นสื่อกลาง
- 13. 13
ในการส่งสาร ในการเรียนการสอนให้ติดต่อถึงกันได้ การเรียนรู้บนเว็บเป็นโปรมแกรมการเรียน
การสอนบนฐานของสื่อที่ได้เชื่อมโยงกันในทางไกลซึ่งได้ประโยชน์จากเหตุผลและทรัพยากรของ
World Wide Web เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความหมายที่สนับสนุนและช่วยให้เกิด
การเรียนรู้บนเว็บได้
สรรรัชต์ ห่อไพศาล (2544 : 93-104) ได้ให้ความหมายการเรียนการสอนผ่านเว็บว่า เป็น
การใช้โปรแกรมสื่อหลายมิติที่อาศัยประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ตและ
เวิลด์วายเว็บ มาออกแบบเป็นเว็บเพื่อการเรียนการสอน สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
อย่างมีความหมาย เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยมีลักษณะที่ผู้สอน
ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันโดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2544 : 87-94) กล่าวถึงการสอนบนเว็บ (Web-Based
Instruction) ว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียน
การสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจากัดทางด้านสถานที่และ
เวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ ไวด์ เว็บ ในการจัด
สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้
อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการเรียนการสอนก็ได้
ส่วนแวววลี สิริวรจรรยาดี (2551 : 9) ได้กล่าวว่าบทเรียนออนไลน์ เรียกอีกอย่างว่า
E-Learning หมายถึง การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ต โดย
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เอาไว้บน
เว็บไซต์หรือบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่จากัดเวลา สถานที่
และระยะทาง
จากการศึกษาความหมายของบทเรียนออนไลน์ดังกล่าว พอสรุปได้ว่า บทเรียน
ออนไลน์ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ต โดยการ
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เอาไว้บน
เว็บไซต์หรือบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่จากัดเวลา สถานที่ ครู
อาจารย์ในสถานศึกษาทุกระดับสามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดกระบวนการเรียนการ
สอนรวมทั้งฝ่ายบริหาร นักการศึกษาที่จะพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ต่อเยาวชนของชาติ พัฒนาแหล่ง
การเรียนรู้ให้มากขึ้น และให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ให้มากที่สุด ควรจะได้พัฒนาการเรียนรู้
บนเว็บนี้ให้เห็นผลในทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นการให้โอกาสในการพัฒนาการเรียนรู้และประสบการณ์
ใหม่ ๆ สาหรับผู้เรียนทั่วโลกที่จะมีโอกาสศึกษาหาความรู้ได้อย่างทัดเทียมกัน
- 14. 14
คุณลักษณะของกำรสอนบนเว็บ
ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2544 : 87-94) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะสาคัญของเว็บซึ่งเอื้อ
ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน มีอยู่ 8 ประการ ได้แก่
1. การที่เว็บเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และ
ผู้เรียนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียน
2. การที่เว็บสามารถนาเสนอเนื้อหา ในรูปแบบของสื่อประสม (Multimedia)
3. การที่เว็บเป็นระบบเปิด (Open System) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้มีอิสระในการเข้าถึงข้อมูล
ได้ทั่วโลก
4. การที่เว็บอุดมไปด้วยทรัพยากร เพื่อการสืบค้นออนไลน์ (Online Search/Resource)
5. ความไม่มีข้อจากัดทางสถานที่และเวลาของการสอนบนเว็บ (Device, Distance and
Time Independent) ผู้เรียนที่มีคอมพิวเตอร์ในระบบใดก็ได้ ซึ่งต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต จะสามารถเข้า
เรียนจากที่ใดก็ได้ในเวลาใดก็ได้
6. การที่เว็บอนุญาตให้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุม (Learner Controlled) ผู้เรียนสามารถเรียน
ตามความพร้อม ความถนัดและความสนใจของตน
7. การที่เว็บมีความสมบูรณ์ในตนเอง (Self- Contained) ทาให้เราสามารถจัด
กระบวนการเรียนการสอนทั้งหมดผ่านเว็บได้
8. การที่เว็บ อนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสาร ทั้งแบบเวลาเดียว (Synchronous
Communication) เช่น Chat และต่างเวลากัน (Asynchronous Communication) เช่น Web Board
เป็นต้น
สรุปได้ว่า คุณลักษณะสาคัญของเว็บซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนนั้น
จะต้องเป็นเว็บที่เปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียน
หรือผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียน เป็นเว็บที่สามารถนาเสนอเนื้อหา ในรูปแบบของสื่อประสม เป็นเว็บ
ระบบเปิดซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้มีอิสระในการเข้าถึงข้อมูลได้ทั่วโลก และอุดมไปด้วยทรัพยากร เพื่อ
การสืบค้นออนไลน์ รวมทั้งการไม่มีข้อจากัดทางสถานที่และเวลา ผู้เรียนสามารถเรียนตามความ
พร้อม ความถนัดและความสนใจของตน การที่เว็บมีความสมบูรณ์ในตนเอง ทาให้เราสามารถจัด
กระบวนการเรียนการสอนทั้งหมดผ่านเว็บได้ ตลอดจนอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสาร ทั้งแบบเวลา
เดียวและต่างเวลากัน ซึ่งในการสร้างเว็บช่วยสอนที่สมบูรณ์จะต้องคานึงถึงสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา
- 15. 15
ลักษณะสำคัญของ E-Learning
ถนอมพร (ตันพิพัฒน์) เลาหจรัสแสง (2545) ยังได้กล่าวถึงลักษณะสาคัญของ
E-Learning ไว้ว่าในการสร้างบทเรียนให้มีคุณภาพ จะต้องคานึงลักษณะสาคัญต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้ เราสามารถที่จะแยกประเด็นลักษณะสาคัญได้ดังนี้
1. Anywhere, Anytime หมายถึง E-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึง
เนื้อหาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้จริง ในที่นี้หมายรวมถึงการที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเนื้อหาตาม
ความสะดวกของผู้เรียน ยกตัวอย่าง เช่น ในประเทศไทยควรมีการใช้เทคโนโลยีการนาเสนอเนื้อหา
ที่สามารถเรียกดูได้ทั้งขณะที่ออนไลน์ (เครื่องมีการต่อเชื่อมกับเครือข่าย) และในขณะทีออฟไลน์
่
(เครื่องไม่มีการต่อเชื่อมกับเครือข่าย)
2. Multimedia หมายถึง E-Learning ควรต้องมีการนาเสนอเนื้อหาโดย ใช้ประโยชน์
จากสื่อประสมเพื่อให้เกิดความคงทนในการเรียนรู้ได้ดีขึ้น
3. Non-linear หมายถึง E-Learning ควรต้องมีการนาเสนอเนื้อหาในลักษณะที่ไม่เป็น
เชิงเส้นตรง กล่าวคือผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาตามความต้องการโดย E-Learning จะต้องจัดหา
การเชื่อมโยงที่ยืดหยุ่น แก่ผู้เรียน
4. Interaction หมายถึง E-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนโต้ตอบ
(มีปฏิสัมพันธ์) กับเนื้อหาหรือกับผู้อื่นได้ กล่าวคือ E-Learning ควรต้องมีการออกแบบกิจกรรมซึ่ง
ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับเนื้อหา รวมทั้งมีการจัดเตรียมแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผู้เรียน
สามารถตรวจสอบความเข้าใจด้วยตนเองได้ E-Learning ควรต้องมีการจัดหาเครื่องมือในการให้
ช่องทางแก่ผู้เรียนในการติดต่อสื่อสารเพื่อการปรึกษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกับ
ผู้สอน วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ หรือเพื่อน
5. Immediate Response หมายถึง E-Learning ควรต้องมีการออกแบบให้มี
การทดสอบ การวัดผลและการประเมินผล ซึ่งให้ผลป้อนกลับโดยทันทีแก่ผู้เรียนไม่ว่าจะอยู่ใน
ลักษณะของแบบทดสอบก่อนเรียน หรือแบบทดสอบหลังเรียน ก็ตาม
สรุปได้ว่า ลักษณะสาคัญของ E-Learning ที่เอื้อต่อการเรียนการสอนและสามารถทาให้
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วย การเข้าถึงเนื้อหาบทเรียนได้โดยไม่จากัด
เวลาและสถานที่ พร้อมทั้งเปิดกว้างให้อิสระในการเข้าถึงข้อมูลได้ทั่วโลก ตลอดจนการนาเสนอ
บทเรียนควรมีลักษณะเป็นสื่อมัลติมีเดีย สามารถเรียนรู้ได้ตามสนใจ และมีการประเมินผลโดย
ให้ผลย้อนกลับทันที
- 16. 16
ข้อดีของกำรสอนบนเว็บ
ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2544 : 87-94) ได้กล่าวถึงข้อดีของการสอนบนเว็บไว้ว่า
การเรียนรู้บนเว็บ ถือเป็นความสาเร็จทางวิชาการโดยกระบวนการเรียนการสอนที่ใช้สื่อที่ทันสมัย
เปิดโอกาสให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย ซึ่งมีข้อดี ดังนี้
1. การสอนบนเว็บเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล หรือไม่มีเวลาในการมาเข้า
ชั้นเรียนได้เรียนในเวลา และสถานที่ที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็นที่บ้าน ที่ทางาน หรือสถานศึกษา
ใกล้เคียงที่ผู้เรียนสามารถเข้าไปใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตได้ การที่ผู้เรียนไม่จาเป็นต้องเดินทาง
มายังสถานศึกษาที่กาหนดไว้ จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาในด้านของข้อจากัดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่
ศึกษาของผู้เรียนเป็นอย่างดี
2. การสอนบนเว็บยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการศึกษา ผู้เรียนที่
ศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในภูมิภาค หรือในประเทศหนึ่งสามารถที่จะศึกษา ถกเถียง อภิปราย
กับอาจารย์ ครูผู้สอนซึ่งสอนอยู่ที่สถาบันการศึกษาในนครหลวง หรือในต่างประเทศก็ตาม
3. การสอนบนเว็บนี้ ยังช่วยส่งเสริมแนวคิดในเรื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจาก
เว็บเป็นแหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหา
ความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง และตลอดเวลา การสอนบนเว็บ สามารถตอบสนองต่อผู้เรียนที่มีความใฝ่รู้
รวมทั้งมีทักษะในการตรวจสอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Meta-Cognitive Skills) ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
4. การสอนบนเว็บ ช่วยทลายกาแพงของห้องเรียนและเปลี่ยนจากห้องเรียนสี่เหลี่ยม
ไปสู่โลกกว้างแห่งการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก
และมีประสิทธิภาพ สนับสนุนสิ่งแวดล้อมทางการเรียนที่เชื่อมโยง สิ่งที่เรียนกับปัญหาที่พบใน
ความเป็นจริง โดยเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตามบริบทในโลกแห่งความเป็นจริง (Contextualization)
และการเรียนรู้จากปัญหา (Problem-Based Learning) ตามแนวคิดแบบ Constructivism
5. การสอนบนเว็บเป็นวิธีการเรียนการสอน ที่มีศักยภาพ เนื่องจากที่เว็บได้กลายเป็น
แหล่งค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการรูปแบบใหม่ ครอบคลุมสารสนเทศทั่วโลก โดยไม่จากัดภาษา
การสอนบนเว็บช่วยแก้ปัญหาของข้อจากัดของแหล่งค้นคว้าแบบเดิม จากห้องสมุด อันได้แก่
ปัญหาทรัพยากรการศึกษาที่มีอยู่จากัด และเวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล เนื่องจากเว็บมีข้อมูลที่
หลากหลายและเป็นจานวนมาก รวมทั้งการที่เว็บใช้การเชื่อมโยงในลักษณะของไฮเปอร์มีเดีย
(Hypermedia) ซึ่งทาให้การค้นหาทาได้สะดวกและง่ายดายกว่าการค้นหาข้อมูลแบบเดิม
6. การสอนบนเว็บจะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ที่กระตือรือร้น ทั้งนี้เนื่องจากคุณลักษณะ
ของเว็บที่เอื้ออานวยให้เกิดการศึกษาในลักษณะที่ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นได้อยู่
- 17. 17
ตลอดเวลาโดยไม่จาเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ตัว อย่างเช่น การให้ผู้เรียนร่วมมือกันในการทา
กิจกรรมต่าง ๆ บนเครือข่าย การให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงไว้บนเว็บบอร์ด
หรือการให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้ามาพบปะกับผู้เรียนคนอื่น ๆ อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในเวลาเดียวกัน
ที่ห้องสนทนา เป็นต้น
7. การสอนบนเว็บเอื้อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งการเปิดปฏิสัมพันธ์นี้อาจทาได้
2 รูปแบบ คือ
7.1 ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนด้วยกันและ/หรือผู้สอน
7.2 ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนในเนื้อหาหรือสื่อการสอนบนเว็บ
ซึ่งลักษณะแรกนี้ จะอยู่ในรูปของการเข้าไปพูดคุย พบปะ แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกัน
(ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) ส่วนในลักษณะหลังนั้น จะอยู่ในรูปแบบของการเรียนการสอน แบบฝึกหัด
หรือแบบทดสอบที่ผู้สอนได้จัดหาไว้ให้แก่ผู้เรียน
8. การสอนบนเว็บ ยังเป็นการเปิดโอกาสสาหรับผู้เรียนในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญ สาขา
ต่าง ๆ ทั้งในและนอกสถาบัน จากในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก โดยผู้เรียนสามารถติดต่อ
สอบถามปัญหาขอข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจริงโดยตรง ซึ่งไม่สามารถทาได้ใน
การเรียนการสอนแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เมื่อเปรียบเทียบกับ
การติดต่อสื่อสารในลักษณะเดิม ๆ
9. การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานของตนสู่สายตาผู้อื่น
อย่างง่ายดาย ทั้งนี้ไม่ได้จากัดเฉพาะเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนหากแต่เป็นบุคคลทั่วไปทั่วโลกได้ ดังนั้น
จึงถือเป็นการสร้างแรงจูงใจภายนอกในการเรียนอย่างหนึ่งสาหรับผู้เรียน ผู้เรียนจะพยายามผลิตผล
งานที่ดีเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงตนเอง นอกจากนี้ ผู้เรียนยังมีโอกาสได้เห็นผลงานของผู้อื่น เพื่อนามา
พัฒนางานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
10. การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยได้
อย่างสะดวกสบายเนื่องจากข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ดังนั้นผู้สอนสามารถ
อัพเดตเนื้อหาหลักสูตรที่ทันสมัยแก่ผู้เรียนได้ตลอดเวลา นอกจากนี้การให้ผู้เรียนได้สื่อสารและ
แสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาทาให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าการเรียน
การสอนแบบเดิม และเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสาคัญ
11. การสอนบนเว็บสามารถนาเสนอเนื้อหาในรูปของมัลติมีเดีย ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง
เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์ ภาพ 3 มิติ โดยผู้สอนและผู้เรียนสามารถเลือกรูปแบบของ
การนาเสนอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางการเรียน