SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  42
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
maruays@hotmail.com
1 11 กรกฎาคม 2565
- Veda Vyasa
Bhagavad Gita is an ancient book packed with wisdom about life, our purpose on earth, the importance of
developing virtues that can help us achieve our dharma, and how we can avoid living someone else’s dream.
เกี่ยวกับผู้ประพันธ์ ฤๅษีวยาสะ (Vyasa)
 วยาสะ (ผู้รวบรวม) หรือ เวท วยาสะ (ผู้รวบรวมพระเวท)
หรือ ฤๅษีวยาสะ เป็นบุตรของนางสัตยวดี กับ ฤๅษีปราศร คลอด
ตรงบริเวณเกาะกลางแม่น้ายมุนา มีชื่อเต็มว่า กฤษณะ ทไวปายณะ
แปลว่าผู้มีผิวคล้าเกิดบนเกาะ ต่อมาเปลี่ยนเป็ น วยาสะ แล้วออก
บวชตามบิดาอยู่ในป่ าหิมาลัย
 เป็นฤๅษีในตานานที่ปรากฏในมหาภารตะ ซึ่งชาวฮินดูถือว่าเป็น
ผู้ประพันธ์มหาภารตะ และเป็นอวาตารของพระวิษณุ นอกจากนี้ ยัง
เชื่อว่าท่านเป็นผู้ประพันธ์มนตร์ในพระเวท, ปุราณะทั้ง 18 เล่ม,
และพรหมสูตร ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช
เกริ่นนา
 ชีวิตคือของขวัญล้าค่าที่สุดที่เราได้รับในฐานะมนุษย์ ดังนั้นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากชีวิตจึงมีความ
จาเป็น หากเราต้องการดาเนินชีวิตอย่างเต็มที่
 ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) เป็นงานเขียนโบราณที่ให้ภูมิปัญญาทุกประเภทเกี่ยวกับการกระทาและ
ประสพการณ์ชีวิตคือ การเดินทางของการค้นพบตนเองและการเรียนรู้ตนเอง (a journey of self-
discovery and self-mastery)
 ตลอดการเดินทางนี้ จุดประสงค์ของเราในฐานะมนุษย์คือ การค้นหาว่าเราเป็ นใคร และฆ่ามารร้าย
ในขณะที่เราทาตามเสียงเรียกร้องของเรา ถึงแม้จะท้าทาย แต่ประสบการณ์นี้ จะนาไปสู่รูปแบบสูงสุด
ของการตระหนักรู้ในตนเอง และทาให้เราเกิดสันติสุขและปีติยินดี
ภควัทคีตา
 ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) หมายถึง 'เพลงของพระเจ้า' ได้รับการเปิดเผยโดยฤๅษี เวท วยาสะ
(Veda Vyasa) ในการสนทนาอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่าง พระกฤษณะ และ อรชุน (Lord Krishna and Arjuna)
ซึ่งเป็นข้อความที่แทรกเข้ามาในบรรพที่ 6 (ภีษมบรรพ) แห่งมหากาพย์มหาภารตะ
 ภควัทคีตา กล่าวถึงเส้นทางโยคีที่สาคัญสามประการเพื่อบรรลุถึงความสูงสุด ได้แก่
 1. กรรมโยคะ (Karma Yoga) - เส้นทางแห่งการกระทา (บทที่ 1-6)
 2. ภักติโยคะ (Bhakti Yoga) - เส้นทางแห่งความจงรักภักดี (บทที่ 7-12)
 3. ญานาโยคะ (Jnana Yoga) - เส้นทางแห่งความรู้ (บทที่ 13-18)
สาเหตุที่อรชุนเลือกพระกฤษณะแทนที่จะเลือกกองทัพ
 เมื่อกฤษณะถามอรชุนว่า ทาไมเขาถึงเลือกพระองค์ในเมื่อพระองค์ไม่ทรงถืออาวุธ อรชุนกล่าวว่า "ข้า
แต่พระเจ้า! พระองค์มีพลังที่จะทาลายล้างกองกาลังทั้งหมดด้วยสายตาเพียงเท่านั้น เหตุใดหม่อมฉัน
จึงควรชอบกองทัพไร้ค่านั้นมากกว่า หม่อมฉันมีความปรารถนาในใจมานานแล้วว่า ท่านควรทา
หน้าที่เป็ นสารถีรถรบของหม่อมฉัน กรุณาเติมเต็มความปรารถนาของหม่อมฉันในสงครามครั้งนี้ "
 พระเจ้าผู้เป็นที่รักของสาวกของพระองค์มากที่สุด ทรงตอบรับคาขอด้วยความยินดี และด้วยเหตุนี้
พระกฤษณะจึงทรงยินยอมเป็นสารถีราชรถของอรชุนในสงคราม มหาภารตะ (Mahabharata)
ฝ่ ายเการพตัดสินใจรบกับฝ่ ายปาณฑพ
 หลังจากการกลับของ ทุรโยธน์ (Duryodhana) และ อรชุน (Arjuna) จาก ทวารกะ (Dwaraka) องค์
พระกฤษณะ (Lord Krishna) เอง ก็ได้เสด็จไปยังเมือง หัสตินปุระ (Hastinapura) อีกครั้งหนึ่ง ในฐานะ
ทูตของ ปาณฑพ (Pandavas) และพยายามป้องกันสงคราม
 แต่แล้วภายใต้การแนะนาของ สกุณี (Sakuni) ทุรโยธน์ผู้เห็นแก่ตัว ปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับสันติภาพ
และพยายามกักขังพระกฤษณะ พระกฤษณะจึงแสดงให้เห็น รูปแบบสูงสุดของพระองค์ (Viswarupa)
แม้แต่ ธฤตราษฏร์ (Dhritarashtra) กษัตริย์ผู้ตาบอดก็เห็นโดยพระคุณของพระเจ้า
 เนื่องจากความผูกพันกับพระโอรสของพระองค์ กษัตริย์ธฤตราษฏร์ไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้
และทุรโยธน์หัวหน้าของ เการพ (Kaurava) จึงตัดสินใจรบกับปาณฑพ
บทบาทของพระฤๅษี เวท วยาสะ
 เมื่อทั้งสองฝ่ ายพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ พระฤๅษี เวท วยาสะ (Veda
Vyasa) เข้าพบธฤตราษฏร์กษัตริย์ผู้ตาบอดและกล่าวว่า "ถ้าท่าน
อยากเห็นการสังหารที่เลวร้ายนี้ ด้วยตาของท่านเอง ฉันจะทาให้
ท่านเห็นได้"
 กษัตริย์เการพทูลตอบว่า "โอ้ ท่านมหาฤๅษี! ข้าพเจ้าไม่ต้องการ
เห็นการสังหารครอบครัวของข้าพเจ้าด้วยตาตนเอง แต่ข้าพเจ้า
อยากได้ยินรายละเอียดทั้งหมดของการต่อสู้"
ความเป็นทิพย์ของสัญชัย
 จากนั้นฤาษีได้มอบนิมิตอันศักดิ์สิทธิ์แก่ สัญชัย (Sanjaya) ที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ของกษัตริย์ และบอก
กับกษัตริย์ว่า "สัญชัยจะอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดของสงครามแก่ท่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้ นใน
สงคราม เขาจะเห็นโดยตรง ได้ยินหรือรับรู้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้ นต่อหน้าต่อตาหรือลับหลังของ
เขา ในเวลากลางวันหรือกลางคืน ในที่ส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ และไม่ว่าจะเป็นการกระทาจริงหรือ
ปรากฏเพียงในใจ ก็จะไม่อาจซ่อนเร้นจากทัศนะของเขาได้ เขาจะได้รู้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้ นจริง ไม่มี
อาวุธใดจะแตะต้องตัวเขาและเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อย"
จุดเริ่มต้นภควัทคีตา
 หลังจากสิบวันของการทาสงครามต่อเนื่อง ระหว่างพวกปาณฑพและพวกเการพ เมื่อ ภีษมะ
(Bhishma) นักรบผู้ยิ่งใหญ่ถูกอรชุนยิงธนูจนหล่นลงจากรถม้า สัญชัยได้ประกาศข่าวนี้ แก่ธฤตราษฏร์
 ด้วยความทุกข์ทรมาน กษัตริย์ขอให้สัญชัยบรรยายรายละเอียดของสงครามสิบวันก่อนหน้า ตั้งแต่
ต้นทั้งหมดตามที่เกิดขึ้ น นี่คือจุดเริ่มต้นของ ภควัทคีตา (Bhagavad Gita)
3 บทเรียนที่ได้รับจากหนังสือ
 1. การใช้ชีวิตที่คุณถูกกาหนด การทาตามนามาซึ่งความสงบสุข ในขณะที่
ทาสิ่งที่ตรงกันข้าม ทาให้เกิดความเจ็บปวดและความไม่มั่นคง (Living life
doing what you were destined to do brings peace, while the opposite
breeds pain and insecurity.)
 2. ค้นหาความหมายในการเดินทางและปล่อยวางความข้องเกี่ยว (Find
meaning in the journey and let go of constant anticipation.)
 3. การทาสมาธิช่วยให้คุณควบคุมความคิดและกลับมามีจุดเน้นได้
(Meditation can help you master thoughts and regain focus.)
บทเรียนที่ 1: เราทุกคนมีธรรมะของเราที่จะเติมเต็ม หากเราต้องการรู้ถึงความสุขและความสงบสุข
 อะไรคือจุดประสงค์ในชีวิตของมนุษย์ นี่คือคาถามนิรันดร์ของมนุษยชาติตลอดเวลาที่ผ่านมา
 ศาสนา วิทยาศาสตร์ ความเชื่อ และความศรัทธาต่างๆ ได้พยายามตอบคาถามที่เป็ นภาระนี้ ดู
เหมือนว่าคาตอบจะมาบรรจบกันที่จุดร่วมว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ มีวิจารณญาณว่า
สิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว และเราทุกคนล้วนดิ้นรนเพื่อความสุข
 วิธีที่เราทาคือ การไล่ตามสิ่งที่ทาให้เรามีความสุขและวิ่งหนีจากจุดที่เจ็บปวดทรมาน เห็นได้ชัดว่ามัน
ไม่ง่ายอย่างที่คิด ดังนั้นพวกเราส่วนใหญ่จึงหลงทาง
 ตามทฤษฎีแล้ว เงินที่มากขึ้ นทาให้เรามีอิสระมากขึ้ น ซึ่งช่วยให้เรามุ่งมั่นเพื่อความสุขที่แท้จริงโดย
ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการดิ้นรนในแต่ละวัน ในทางปฏิบัติ การแข่งขันที่ไม่สิ้นสุดนี้ ต้องหยุดลง
 ธรรมะคือธรรมชาติที่เรียบง่ายของความเป็นจริง และสาหรับปัจเจกบุคคล ธรรมะคือเสียงเรียกร้อง
และจุดมุ่งหมายในชีวิต หรือชีวิตควรดาเนินตามธรรมชาติอย่างไร
 ทุกคนมีธรรมะเพื่อให้สมปรารถนา แนวคิดอันทรงพลังนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุขของมนุษย์
และชี้ ไปยังสิ่งที่เราควรจะมุ่งมั่น ดังนั้นการกระทาในสิ่งที่ทาให้เรามีความสุขมากขึ้ น และเผชิญหน้า
กับมารร้าย ความทุกข์ (หรือสิ่งใด ๆ ที่คุณต้องการเรียก) เป็นกุญแจสู่ชีวิตที่เติมเต็ม
บทเรียนที่ 2: ใช้ใจที่มุ่งมั่นของคุณและสนุกกับการเดินทาง
 ส่วนหนึ่งของการขาดสัมฤทธิผลและความทุกข์ยากของเรา มาจากการไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างเต็มที่
 โดยธรรมชาติแล้ว การไม่ปฏิบัติตามธรรมะจะทาร้ายจิตใจคุณ ที่แย่ไปกว่านั้น การทาตามธรรมะ
ของคนอื่น อาจทาให้คุณเจ็บปวดและเสียใจ
 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ก็ยังมีแง่มุมที่สาคัญอีกประการหนึ่งในการ
เดินทางที่ต้องพิจารณา สิ่งที่ว่านั้นคืออะไร? คือการเดินทาง (ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง)!
 การรักษาตัวเองให้อยู่นิ่งและค้นหาความหมายในงานประจาวันอาจเป็นเรื่องยาก เมื่อจิตใจของคุณ
นึกถึงรางวัลใหญ่อยู่เสมอ แนวทางการใช้ชีวิตแบบนี้ ทาให้เราลาบาก ไม่สนุก และไม่มีความสุข
 แทนที่จะไปข้องเกี่ยวอยู่เสมอ สิ่งสาคัญคือ คุณต้องพบกับความสุขในการเดินทาง สุขและทุกข์เป็น
บทเรียนชีวิต กิจกรรมประจาวันจะให้ความหมายและเนื้ อหาแก่คุณ และการบรรลุวัตถุประสงค์เล็กๆ
น้อยๆ จะเตรียมคุณให้พร้อมสาหรับชัยชนะสุดท้าย
 ปัญญาที่แท้จริง อยู่ในการค้นหาความสุขที่นี่ตอนนี้ (finding happiness right here right now) ไม่ใช่แค่
ชั่วขณะหนึ่งในอนาคตที่สาเร็จ
บทเรียนที่ 3: การทาสมาธิคือการเรียนรู้วิธีควบคุมจิตใจ
 การทาสมาธิเป็นหนึ่งในกุญแจสาคัญในการควบคุมจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณของคุณเอง การทา
สมาธิคือการหมกมุ่นอยู่กับปัจจุบันขณะ โดยปล่อยวางชีวิตที่ควรจะเป็น และโอบรับสิ่งที่กาลังเป็นอยู่
 การควบคุมจิตใจให้หยุดคิดในแง่ลบและฝึกตัวเองให้จดจ่อกับสิ่งที่สาคัญที่สุด คือการปฏิบัติที่ทรงพลัง
 นอกจากนี้ เมื่อศึกษาประเด็นทั่วไปของทุกศาสนาและความเชื่อ คุณจะสังเกตเห็นว่า ทุกศาสนาแนะนา
ให้มีความเชี่ยวชาญในตนเองและพัฒนาอุปนิสัยของคุณ
 ผู้ที่สามารถควบคุมตนเองและควบคุมความคิดของตนได้ สามารถพิชิตทุกสิ่งได้
 ตราบใดที่คุณเก็บความสุขไว้ในใจ คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะขยาย ใช้ รู้สึก และโอบรับมันได้นาน
เท่าที่คุณต้องการ
 การทาสมาธิยังช่วยให้คุณกาหนดเป้าหมายความพยายามได้ง่ายขึ้ น และทาให้จิตวิญญาณของคุณจด
จ่ออยู่กับธรรมะ
สรุป
 ภควัทคีตา สอนให้เราบรรลุถึงความเชี่ยวชาญในจิตใจ
ของเรา ความสาคัญของการใฝ่ หาธรรมะของเราตาม
ความเป็นจริงและไม่ย่อท้อ และวิธีโอบรับชีวิตในสิ่งที่
เป็นอยู่
 หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราก็สามารถเข้าใจภูมิปัญญา
อันยิ่งใหญ่ที่ห่อหุ้มไว้ได้อย่างเต็มที่ โดยพื้นฐานแล้ว นี่
คือแนวทางสู่ชีวิตที่มีความหมายและอีกมากมาย
- Ved Vyasa
ภาพโดยรวมของ ภควัทคีตา
 ภควัทคีตา (อ่านว่า "พะ-คะ-วัด-คี-ตา") เป็ นชื่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู โดยเฉพาะสาหรับ
นิกายไวษณพ หรือผู้ที่ยกย่องพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นพระเจ้าสูงสุด
 ชื่อคัมภีร์ ภควัทคีตา (ภควตฺ + คีตา) แปลว่า "บทเพลง (หรือลานา) แห่งพระผู้เป็นเจ้า" นาเรื่องราว
ส่วนหนึ่งมาจากมหากาพย์มหาภารตะ
 คัมภีร์นี้ มิได้มีลักษณะเป็ นเอกเทศ คือมิได้แต่งขึ้ นมาอย่างโดดเดี่ยวเป็ นเล่มเฉพาะเหมือนดังคัมภีร์
พระเวทแต่ละเล่ม แท้ที่จริง เป็นเพียงบทสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคล 2 คน ฝ่ ายที่ถามปัญหาคือ
พระอรชุน เจ้าชายฝ่ ายปาณฑพ แห่งจันทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้นากองทัพใหญ่ มาทาสงครามแย่งชิงเมือง
หัสตินาปุระ จากฝ่ ายเการพ แห่งจันทรวงศ์เช่นเดียวกัน ที่มีเจ้าชายทุรโยธน์และกองทัพพันธมิตร
มากมายเป็นศัตรูคู่สงครามด้วย
 ฝ่ ายที่ตอบปัญหาทั้งหมดและเป็ นผู้อธิบายตลอดทั้งเรื่องก็คือ พระกฤษณะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ ายราช
สกุลจันทรวงศ์ สาขายาทพ
 ในขณะที่ตอบปัญหาอันล้าลึกดังกล่าวนั้น พระกฤษณะกาลังทาหน้าที่เป็นสารถีขับรถศึกให้พระอรชุน
บทสนทนาโต้ตอบนี้ ถ่ายทอดออกมาโดยสัญชัย ผู้เป็นเสวกามาตย์ของพระเจ้าธฤตราษฏร์ พระราชา
พระเนตรบอดแห่งเมืองหัสตินาปุระ
 โดยมหาฤษีวยาสหรือพระฤาษีกฤษณไทวปายน เป็นผู้ให้ตาทิพย์แก่สัญชัย เพื่อแลเห็นเหตุการณ์รบ
พุ่งในมหาสงครามครั้งนั้นอย่างแจ่มแจ้งทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ในพระราชวัง และคอยกราบทูลพระเจ้าธฤต
ราษฎร์ให้ทราบการเคลื่อนไหวทุกขณะในสมรภูมิ
 ถ้าจะกล่าวโดยแท้จริงแล้ว คาสอนในคัมภีร์ภควัทคีตา เกือบครึ่งเล่มเป็นคา
สอนในคัมภีร์อุปนิษัท และอีกกว่าครึ่งเล่มเป็นคาสอนแบบของเหล่าภาควตะ
ซึ่งไหว้พระกฤษณะเป็นเทพสูงสุดในนิกายของตน
 และคาสอนแบบดังกล่าวนี้ มีมานานแล้วในหมู่เหล่าภาควตะ อันเป็ นชน
อารยันอินเดียกลุ่มหนึ่ง ต่อมาเหล่านิกายไวษณพ หรือเหล่าที่นับถือพระวิษณุ
เป็นพระเจ้าสูงสุด ได้ผนวกเอาพระกฤษณะเข้าไปเป็นพระวิษณุอวตาร หรือ
นารายณ์อวตารปางที่ 8
 คาสอนของเหล่าภาควตะซึ่งเน้นในเรื่องความนับถือพระกฤษณะเป็นเทพสูงสุด ก็ถูกกลืนเข้าไป
ผสมผสานกับแนวความคิดของเหล่าไวษณพ ที่มีส่วนในการแต่งมหากาพย์มหาภารตะอยู่มากมาย
หลายตอน จึงปรากฏออกมาในรูปภควัทคีตาดังที่ปรากฏเป็ นที่รู้จักกันทุกวันนี้
 และการที่จะเรียกหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ ว่า ภควัทคีโตปนิษัท หรือ ภควัทคีตา หรือ คีตา เฉย ๆ ก็
ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของคนอินเดียนิกายไวษณพ ในรูปแบบของบท
สนทนาที่มีข้อความเกือบทั้งหมด เป็ นคาอธิบายเรื่องวิถีทางไปสู่พระผู้เป็ นเจ้าอันสูงสุด
ภควัทคีตา โดยย่อ
 คาว่า "ภควัท" หมายถึงผู้ที่เป็นที่เคารพอย่างสูง นาย หรือพระเจ้า ส่วน "คีตา" แปลว่า เพลง ดังนั้น
"ภควัทคีตา" จึงอาจแปลได้ว่า เพลงของพระเจ้า หมายถึงคาสอนที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ เพื่อชี้
ทางให้เข้าถึงพระเจ้า
 ภควัทคีตา เป็นตอนหนึ่งของภีษมบรรพในมหากาพย์ มหาภารตะ อาจพูดได้ว่า ภควัทคีตา มีความ
สมบูรณ์ในตัวเอง แต่ก็เป็ นส่วนหนึ่งของเนื้ อเรื่องมหากาพย์ มหาภารตะ
 มหาภารตะเป็นเรื่องของการสงครามระหว่างลูกพี่ลูกน้องเพื่อชิงอานาจกัน ฝ่ ายพี่เรียกว่าฝ่ ายเการพ
ถือเป็นเสมือนตัวแทนของฝ่ ายอธรรม ฝ่ ายน้องเรียกว่าฝ่ ายปาณฑพ ถือเป็นเสมือนตัวแทนของฝ่ าย
ธรรมะ อรชุนซึ่งเป็นฝ่ ายปาณฑพเกิดความท้อใจที่จะต้องรบและฆ่าฟันญาติมิตร ครูอาจารย์ของ
ตนเอง ซึ่งอยู่ฝ่ ายตรงข้าม จึงปรึกษาปรับทุกข์กับกฤษณะ ซึ่งเป็นมิตรที่อรชุนนับถือมากและกาลังทา
หน้าที่เป็นสารถีให้อรชุน กฤษณะได้สั่งสอนอรชุนให้มีกาลังใจรบ คาสอนของกฤษณะ คือ ภควัทคีตา
 กฤษณะในเนื้ อเรื่องนั้น มีบทบาทเป็ นทั้งญาติและพันธมิตร
ของทั้งฝ่ ายเการพและปาณฑพ จึงตกลงช่วยเหลือทั้งสองฝ่ าย
โดยให้ฝ่ ายหนึ่งเลือกเอาระหว่างกองทัพของเขากับตัวเขาเอง
(ซึ่งจะไม่ยอมแตะต้องอาวุธในการรบครั้งนี้ )
 ปรากฏว่าฝ่ ายเการพเลือกเอากองทัพ ส่วนฝ่ ายปาณฑพเลือก
ตัวกฤษณะ เพราะเห็นว่ามิตรย่อมมีค่าสูงกว่าไพร่พล
 เนื่องจาก ภควัทคีตา เป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์ มหาภารตะ ฉะนั้นการศึกษาปรัชญาใน ภควัทคีตา
จึงควรนาสถานการณ์ในเรื่องมาพิจารณาประกอบด้วยจึงจะเข้าใจชัดเจน
 อรชุนกาลังอยู่ในนาทีวิกฤต หมดกาลังใจที่จะสู้รบกับผู้ที่เป็นญาติมิตรและครูอาจารย์ซึ่งเป็นที่รักของ
เขาแต่อยู่ฝ่ ายตรงข้าม เขาไม่แน่ใจว่า ควรจะทาอย่างไรดีจึงจะเป็นการกระทาที่ถูก จึงหันเข้าหามิตร
คือ กฤษณะ เพื่อขอคาแนะนาว่า "ข้าพเจ้าคือศิษย์ของท่าน โปรดสอนข้าพเจ้าผู้ยึดท่านเป็นที่พึ่ง"
 กฤษณะนี้ แท้จริงก็คือพระเจ้า ซึ่งมาในลักษณะมิตรของอรชุน ลักษณะที่สาคัญของพระเจ้าแห่ง
ภควัทคีตา คือเป็นผู้ที่มนุษย์สามารถรักและยึดเป็นที่พึ่งได้ในยามคับขัน ตามท้องเรื่องนั้น
จุดมุ่งหมายที่สาคัญของกฤษณะคือ ชักชวนให้อรชุนเลิกท้อใจ และทาการรบด้วยความมั่นใจว่าเป็น
การกระทาที่ถูกต้อง
 ฉะนั้นในขั้นแรก กฤษณะจึงชี้ ให้อรชุนเห็นความจริงว่า มนุษย์มีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ร่างกาย
เน่าเปื่ อยได้แต่จิตวิญญาณนั้นเป็ นอมตะ จิตวิญญาณนี้ ย่อมฆ่าไม่ตาย เมื่อร่างกายถูกฆ่า จิตวิญญาณ
จะเปลี่ยนร่างใหม่ได้เช่นเดียวกับคนเปลี่ยนเสื้ อผ้า ดังนั้น จึงไม่ควรโศกเศร้าถึงผู้ใด เมื่อรู้ความจริง
เช่นนี้ อรชุนไม่ต้องกลัวว่าในการรบครั้งนี้ เขาจะทาให้ญาติมิตรและอาจารย์ล้มตาย เพราะความจริง
นั้นจิตวิญญาณของเขาเหล่านั้นมิได้ตาย
 ในขั้นต่อมา กฤษณะก็กล่าวถึงความสาคัญของหน้าที่ อรชุนอยู่ในวรรณะนักรบ จึงต้องรบตามหน้าที่
ของวรรณะ มิฉะนั้นจะเป็ นการละทิ้งหน้าที่ เสียเกียรติและเป็ นบาป นักรบที่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ ก็จะคิดว่า
อรชุนไม่รบเพราะความขลาดกลัว จึงเลิกนับถืออรชุน ศัตรูก็จะว่าให้ได้อาย ฉะนั้นอรชุนต้องตัดสินใจ
รบ หากตายก็จะได้ไปสวรรค์ หากชนะก็จะได้ครองโลก
 แต่กฤษณะก็ทราบดีว่าอรชุนไม่สนใจสวรรค์ ซึ่งตามท้องเรื่องเขาได้ไปเห็นแล้ว และไม่สนใจในการ
ครองโลกเช่นกัน ที่เป็ นเช่นนี้ เพราะสุขในสวรรค์ก็ดี ความยิ่งใหญ่ในโลกก็ดี ต่างมีวันสิ้นสุด
 อรชุนและปราชญ์อินเดียโดยทั่วไปไม่พอใจในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้นกฤษณะจึงต้องหาสิ่งที่น่า
ปรารถนายิ่งกว่าโลกและสวรรค์มาชักนาให้อรชุนยินยอมรบ สิ่งนั้นคือ ทางที่จะนาไปสู่ความหลุดพ้น
จากการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นทุกข์ เนื่องจากอรชุนเป็นนักรบซึ่งถือว่ามีบทบาทสาคัญต่อสังคม สิ่ง
ที่กฤษณะจะแนะให้ จึงต้องเป็นสิ่งที่นักรบใช้ได้
 ฉะนั้น ปรัชญาที่กฤษณะสอนแก่อรชุน จึงเป็นปรัชญาที่เหมาะสาหรับผู้มีหน้าที่ต่อสังคม คือมนุษย์
โดยทั่วไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มิใช่สาหรับพวกที่ออกป่ า นักบวช หรือนักศึกษาธรรมขั้นสูง
แบบคาสอนใน อุปนิษัท
 ปรัชญาภควัทคีตา เป็นปรัชญาที่เน้นถึงการกระทาว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครเลย
ที่จะอยู่ได้แม้แต่ชั่วขณะโดยไม่กระทาอะไรเลย เพราะทุกคนย่อมถูกบังคับให้ประกอบกรรม โดย
แรงผลักดันของธรรมชาติ ผู้ที่ไม่กระทาด้วยกายแต่คิดกระทาอยู่ในใจถือว่าเป็นผู้ประพฤติลวง
 ส่วนผู้ที่ประกอบกรรมโดยสารวมใจมิให้มุ่งหวังผลถือว่าเป็ นคนดีพิเศษ ฉะนั้นการกระทาจึงดีกว่าการ
อยู่นิ่ง ควรประกอบกรรมประหนึ่งเป็นเครื่องสังเวยแด่พระเจ้า ไม่พะวงผูกพันกับผล การกระทาสิ่งที่
ควรกระทาไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน จะนาผู้กระทาไปสู่ความจริงสูงสุด
 ในขณะที่ อุปนิษัท สอนให้คนมุ่งถึงความหลุดพ้นส่วนบุคคลเป็นสาคัญ ภควัทคีตา สอนว่ามนุษย์
จะต้องคานึงถึงสังคมด้วย มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องกระทาเพื่อรักษาความมั่นคงของสังคม มนุษย์ต้อง
คานึงว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีหน้าที่ต่อสังคมซึ่งตนได้รับมอบหมาย การทาตามหน้าที่ของตน
ถึงจะทาได้ไม่ดี ก็ยังดีกว่าทาหน้าที่ของคนอื่นซึ่งทาได้ง่ายกว่า
 ภควัทคีตา อาจแบ่งเนื้ อหาออกได้กว้าง ๆ เป็ น 3 ตอนคือ บทที่ 1-6 กล่าวถึงทางที่จะนาไปสู่ความ
หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด บทที่ 7-11 กล่าวถึงลักษณะและการปรากฏองค์ของพระเจ้า บทที่
12-18 สอนหลักใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในลัทธิฮินดู คือสอนถึงพระเจ้าที่มีความรักต่อมวลมนุษย์ที่
ประพฤติชอบและจงรักภักดีต่อพระเจ้า
 ในเรื่องทางไปสู่ความหลุดพ้นนั้น ภควัทคีตา ได้กล่าวไว้หลายทาง คือ ทางแห่งความรู้ (สางขยโยค)
ทางแห่งกระทา (กรรมโยค) ทางแห่งญาณ (ชญานกรรมสันยาสโยค) ทางแห่งการสละกรรม (กรรม
สันยาสโยค) และ ทางแห่งโยคี (ธยานโยค) ในบรรดาทางทั้งหลายนี้ ทางแห่งการกระทา ถือว่าดี
ที่สุดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
 ทางแห่งความรู้ หมายถึงรู้ในความจริงเกี่ยวกับจิตวิญญาณซึ่งไม่ตายไปกับร่าง รู้จักลักษณะต่าง ๆ
ของปราชญ์ เช่น ปราชญ์รู้จักข่มอินทรีย์ไว้ใต้อานาจ
 ทางแห่งญาณ คือรู้ว่าพระเจ้าเป็ นผู้ไม่เกิดไม่ตาย เป็ นเจ้าแห่งสัตว์โลกทั้งปวง เมื่อใดธรรมะเสื่อมและ
อธรรมเจริญ พระเจ้าจะอวตารลงมาเพื่อปกป้องสาธุชน ปราบทุรชน และสถาปนาธรรมในแต่ละยุค
ผู้ใดรู้จักการอวตารและผลงานของพระเจ้า ผู้นั้นจะไม่เกิดอีก เมื่อตายแล้วก็จะไปถึงพระเจ้า แม้ผู้ที่มี
บาปมากที่สุดก็จะข้ามห้วงมหาสมุทรแห่งความชั่วไปได้ด้วยเรือแห่งญาณ ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าปราศจาก
ศรัทธา มีแต่ความสงสัย ก็จะประสบความหายนะเพราะจิตวิญญาณที่มีแต่ความสงสัย จะไม่พบ
ความสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า
 ทางแห่งการสละกรรม ใช้ควบคู่กับทางแห่งการกระทา การสละกรรมหมายถึงการเป็นสันนยาสี คือ
ไม่มีความยินดียินร้าย ไม่หวังผลใด ๆ มีจิตบริสุทธิ์ ชนะตนเองและอินทรีย์ได้แล้ว ฉะนั้นเมื่อ
ประกอบกรรมใดก็สละความประสงค์ผลได้
 ทางแห่งโยคี เป็นเสมือนการสอนหลักสมาธิหรือการเข้าฌาณ โยคีซึ่งควบคุมจิตได้ เมื่อประกอบตนไว้
เช่นนี้ เสมอแล้ว จะบรรลุถึงศานติ คือนิพพานอันประเสริฐซึ่งอยู่ในพระเจ้า
 ส่วนเรื่องลักษณะและการปรากฏองค์ของพระเจ้านั้น ถือว่าเป็ นความรู้ขั้นสูงสุดซึ่งเปิดเผยให้แก่ผู้ที่
พระเจ้าโปรดปรานเป็ นพิเศษ พระเจ้าเป็ นที่มาของทุกสิ่งในโลกและจักรวาล เป็ นทั้งผู้ให้กาเนิดและผู้
ทาลาย ไม่มีอะไรที่ใหญ่ยิ่งไปกว่าพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เป็นแสงสว่างในดวง
จันทร์และดวงอาทิตย์ เป็นความร้อนในไฟ เป็นปัญญาของนักปราชญ์ เป็นเดชของผู้มีเดชานุภาพ
 ภาวะที่เกิดจาก สัตตวะ (ความดี) รชะ (พลังงาน) และ ตมะ (ความเฉื่อย) ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
(ผู้มีสัตตวะมากกว่าคุณอื่นได้แก่พราหมณ์ ผู้มีรชะมากคือกษัตริย์ ผู้มีตมะมากคือศูทร ส่วนผู้มีรชะ
กับตมะมากพอ ๆ กันคือไวศยะเป็ นต้น ในการกระทาต่างๆ คุณทั้ง 3 จะเป็ นผู้กระทา ฉะนั้นผู้รู้ความ
จริงข้อนี้ ก็จะไม่ผูกพันกับการกระทา)
 พระเจ้ามิได้อยู่ในคุณทั้ง 3 นี้ แต่คุณทั้งสามอยู่ในพระเจ้า อานาจหรือมายาของพระเจ้าประกอบด้วย
คุณทั้งสาม ยากที่ใครจะเข้าใจได้ ผู้ที่ยึดพระเจ้าเป็ นที่พึ่งจึงจะข้ามพ้นมายานี้ได้
 คาว่ามายาใน ภควัทคีตา หมายถึงอานาจของพระเจ้าหรือสิ่งที่เกิดด้วยอานาจของพระเจ้า หาใช่
แปลว่าภาพลวงตาดังในปรัชญาอทไวตเวทานตะของศังกระไม่ ศังกระเปรียบมายาเหมือนการหลงว่า
เชือกในความมืดเป็นงู คืองูเป็นมายาหรือภาพลวงตา ส่วนมายาในภควัทคีตา เป็นที่สิ่งที่บังพระเจ้า
ไว้มิให้มนุษย์แลเห็นและรู้แจ้งว่าพระเจ้าเป็นผู้ไม่เกิดและไม่เปลี่ยนแปลง
 พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้โลกดาเนินไปตามความประสงค์ของพระองค์ พราหมณ์ซึ่งบูชาพระเจ้าด้วย
ยัญพิธีเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ของพระอินทร์ แต่หลังจากสู่สวรรค์จนหมดบุญแล้วก็จะ
กลับมาเกิดใหม่ ส่วนผู้ที่บูชาพระเจ้าโดยไม่คิดมุ่งหวังสิ่งใด พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ยังไม่ได้และจะ
รักษาสิ่งที่ได้มาแล้ว แม้ผู้ที่บูชาเทพอื่นด้วยใจศรัทธา ยัญพิธีที่เขากระทาก็จะไปสู่พระเจ้า ถึงแม้จะ
เป็ นการกระทาที่ไม่ถูกหลัก ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าเป็ นผู้บริโภคยัญพิธีและเป็ นเจ้าแห่งยัญพิธี
 อย่างไรก็ดีผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
 เมื่ออรชุนขอดูร่างที่แท้จริงของพระเจ้า กฤษณะต้องให้ตาทิพย์แก่อรชุน เพราะตามนุษย์ธรรมดาไม่
อาจเห็นร่างแท้จริงของพระเจ้าได้ ในร่างของพระเจ้านั้น อรชุนได้เห็นจักรวาลทั้งหมด เห็นความใหญ่
กว้างที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า พระเจ้าคือบุรุษอมตะที่พรรณนาในบุรุษสูกตะใน ฤคเวทสังหิตา ซึ่ง
เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่ปรากฎใน ฤคเวท
 เมื่ออรชุนแลเห็นบรรดานักรบแห่งทุ่งกุรุเกษตรกาลังพากันกรูเข้าไปในปากอันน่าสพึงกลัวของพระ
เจ้า ก็ถามถึงความมุ่งหมายของพระเจ้า กฤษณะจึงอธิบายว่าพระเจ้าคือกาลเวลา ซึ่งกาลังทาลายโลก
ถึงแม้อรชุนจะไม่รบ พวกนักรบที่อยู่ฝ่ ายตรงข้ามก็คงถูกทาลายอยู่นั่นเอง ฉะนั้นขอให้อรชุนลุกขึ้ นรับ
เกียรติในการมีชัยต่อศัตรูและเสวยราชสมบัติอันมั่งคั่ง พวกศัตรูถูกสังหารโดยพระเจ้า อรชุนเป็น
เพียงเครื่องมือเท่านั้น
 ฉะนั้นในการปรากฏองค์ของพระเจ้า อรชุนจึงทราบถึงบทบาทของมนุษย์ว่าคือเครื่องมือของพระเจ้า
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดาเนินไปตามความประสงค์ของพระเจ้า ถึงมนุษย์จะทาตามหน้าที่หรือ
หลีกเลี่ยง ก็จะเกิดผลเท่ากันในโลก แต่การทาตามหน้าที่ย่อมมีผลดีแก่มนุษย์ และเป็นการแสดงถึง
ศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า
 หลังจากตระหนักในความประเสริฐสุดของพระเจ้า อรชุนก็น้อมกายเคารพและกล่าวขอให้พระเจ้า
อภัยแก่เขา ดังเช่นบิดาอภัยต่อบุตร มิตรอภัยต่อมิตร และคู่รักอภัยต่อคู่รัก
 อรชุนมีความกลัวร่างอันแท้จริงของพระเจ้ามาก จึงขอให้พระเจ้ากลับร่างเป็นวิษณุ 4 กร นี่เป็นการ
อธิบายว่า เหตุใดพระเจ้าจึงมิได้ปรากฏร่างที่แท้จริงแก่มนุษย์ เพราะจะทาให้มนุษย์กลัวจนทาอะไร
ไม่ถูก มนุษย์รักร่างพระเจ้าแบบมี 4 กรมากกว่า ร่างที่แท้จริงนั้นพระเจ้ามิได้ให้ใครเห็นยกเว้นอรชุน
แม้ผู้รู้พระเวท ผู้บาเพ็ญตบะ ผู้ทายัญพิธี ก็ไม่อาจเห็นได้ ผู้ที่มีความภักดีอย่างแน่วแน่ในพระเจ้า
เท่านั้นจึงอาจเห็นและเข้าถึงได้
 ลักษณะเช่นนี้ ของพระเจ้าไม่ปรากฏใน อุปนิษัท ซึ่งมีจุดหมายสาคัญคือ สอนให้มนุษย์เข้าสู่ความเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันกับพรหมอันเป็นอมตะ ส่วน ภควัทคีตา สอนว่า ผู้ที่ฝักใฝ่ ในพรหม ถึงความหลุด
พ้นได้ยากกว่าผู้ฝักใฝ่ ในพระเจ้า เพราะมนุษย์ที่มีร่างนั้น ย่อมเข้าใจพรหมที่ไม่มีรูปร่างได้ยากกว่า
เข้าใจพระเจ้า
 ฉะนั้นทางแห่งความภักดีต่อพระเจ้าจึงเป็ นทางที่นาไปสู่ความหลุดพ้นได้ง่ายกว่า ผู้ที่อุทิศการกระทา
ทั้งปวงให้แก่พระเจ้า คิดถึงพระเจ้า บูชาพระเจ้า โดยสมาธิแน่วแน่ด้วยความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ทาจิตให้ตั้งอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าจะฉุดขึ้ นจากสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทันที
 พระเจ้ารักผู้ที่ภักดีต่อพระเจ้า และถือพระเจ้าเป็นจุดหมายสูงสุด
 ภควัทคีตา กล่าวว่า พระเจ้าคือที่ตั้งของพรหม ความเป็ นอมตะและความไม่เสื่อมสูญธรรมอันยั่งยืน
และความสุขสูงสุด ฉะนั้นพระเจ้าจึงสูงกว่าพรหม ไม่มีอะไรสูงสุดหรือใหญ่ยิ่งเกินกว่าพระเจ้า
 เมื่ออรชุนได้ฟังคาสอนของกฤษณะจบลง ก็สิ้นความหลงและได้สติ มีจิตมั่นคงไม่สงสัยลังเลอีกต่อไป
และตัดสินใจทาตามบัญชาของพระเจ้าคือรบกับศัตรู
ท้ายที่สุด
 ภควัทคีตา คือคัมภีร์ที่เรียกได้ว่าเป็นบทสรุปแห่งคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งปวง ไม่ว่าจะ
เป็นคัมภีร์พระเวท ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อาถรรพ์เวท คัมภีร์สังหิตา พราหมณะ อารัณยกะ
คัมภีร์อุปนิษัท เวทานตะ ปุราณะ ฯลฯ
 ปรัชญาในภควัทคีตาเป็นการรวบยอด เอาคาสอนที่กระจัดกระจายในคัมภีร์ต่างๆ ดังกล่าว มารวมไว้
ในเล่มเดียว ภควัทคีตาจึงเปรียบได้ว่าเป็นหัวใจแห่งคาสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็ไม่ผิดนัก
 เนื่องด้วยภควัทคีตานี้ เป็ นส่วนหนึ่งใน มหากาพย์มหาภารตะ เมื่ออ่านจบแล้ว เราก็ควรอ่านและ
ศึกษาเรื่องมหาภารตะเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจในปรัชญาของชีวิตอย่างเข้มข้น การอ่านภควัทคีตา
ให้จบก่อนมหาภารตะ ก็ไม่เป็ นการผิดขั้นตอนแต่อย่างใด
Bhagavad Gita ภควัทคีตา.pptx

Contenu connexe

Tendances

ลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไร
ลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไรลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไร
ลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไรประพันธ์ เวารัมย์
 
จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา
จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษาจิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา
จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษาจารุวรรณ ชื่นใจชน
 
สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพร
สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพรสเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพร
สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพรminmint
 
โครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคม
โครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคมโครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคม
โครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคมจตุรพล ชานันโท
 
โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1Ocean'Funny Haha
 
2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำ2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำBengelo
 
โครงงานวิชา Is2
โครงงานวิชา Is2โครงงานวิชา Is2
โครงงานวิชา Is2LeoBlack1017
 
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์7roommate
 
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถามIS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถามPloykarn Lamdual
 
หลักการเขียนแนะนำตนเอง
หลักการเขียนแนะนำตนเองหลักการเขียนแนะนำตนเอง
หลักการเขียนแนะนำตนเองRung Kru
 
การจัดการเรียนการสอนแบบ Tgt
การจัดการเรียนการสอนแบบ Tgtการจัดการเรียนการสอนแบบ Tgt
การจัดการเรียนการสอนแบบ Tgtthitinanmim115
 
ถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีWarodom Techasrisutee
 
โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้
โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้
โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้thanapisit marakul na ayudhya
 
41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน
41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน
41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐานPochchara Tiamwong
 
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
แบบประเมินการนำเสนอผลงานแบบประเมินการนำเสนอผลงาน
แบบประเมินการนำเสนอผลงานKhemjira_P
 
โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...
โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...
โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...Suricha Phichan
 
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาThongsawan Seeha
 

Tendances (20)

รายงานกลุ่ม 1
รายงานกลุ่ม 1รายงานกลุ่ม 1
รายงานกลุ่ม 1
 
ลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไร
ลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไรลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไร
ลักษณะนโยบายสาธารณะที่ดีควรเป็นอย่างไร
 
จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา
จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษาจิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา
จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา
 
สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพร
สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพรสเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพร
สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศจากสมุนไพร
 
แนวข้อสอบการค้นคว้าอิสระ Ps796›
แนวข้อสอบการค้นคว้าอิสระ Ps796›แนวข้อสอบการค้นคว้าอิสระ Ps796›
แนวข้อสอบการค้นคว้าอิสระ Ps796›
 
โครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคม
โครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคมโครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคม
โครงการจิตอาสาเพื่อชุมชนและสังคม
 
โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1
 
2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำ2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำ
 
โครงงานวิชา Is2
โครงงานวิชา Is2โครงงานวิชา Is2
โครงงานวิชา Is2
 
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
 
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถามIS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
 
หลักการเขียนแนะนำตนเอง
หลักการเขียนแนะนำตนเองหลักการเขียนแนะนำตนเอง
หลักการเขียนแนะนำตนเอง
 
การจัดการเรียนการสอนแบบ Tgt
การจัดการเรียนการสอนแบบ Tgtการจัดการเรียนการสอนแบบ Tgt
การจัดการเรียนการสอนแบบ Tgt
 
ถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ถอดคำประพันธ์มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
 
โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้
โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้
โครงงานสิ่งประดิษฐ์เหลือใช้
 
รายงานกล้วยฉาบ.Docx อันใหม่
รายงานกล้วยฉาบ.Docx อันใหม่รายงานกล้วยฉาบ.Docx อันใหม่
รายงานกล้วยฉาบ.Docx อันใหม่
 
41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน
41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน
41ตัวอย่าง เครื่องมือประเมินรายมาตรฐาน
 
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
แบบประเมินการนำเสนอผลงานแบบประเมินการนำเสนอผลงาน
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
 
โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...
โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...
โครงงานวิชาไอเอส เรื่องความพึงพอใจในการใช้ห้องน้ำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท...
 
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
 

Plus de maruay songtanin

๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docxmaruay songtanin
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfmaruay songtanin
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 

Plus de maruay songtanin (20)

๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๗๘. สุวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

Bhagavad Gita ภควัทคีตา.pptx

  • 2. - Veda Vyasa Bhagavad Gita is an ancient book packed with wisdom about life, our purpose on earth, the importance of developing virtues that can help us achieve our dharma, and how we can avoid living someone else’s dream.
  • 3. เกี่ยวกับผู้ประพันธ์ ฤๅษีวยาสะ (Vyasa)  วยาสะ (ผู้รวบรวม) หรือ เวท วยาสะ (ผู้รวบรวมพระเวท) หรือ ฤๅษีวยาสะ เป็นบุตรของนางสัตยวดี กับ ฤๅษีปราศร คลอด ตรงบริเวณเกาะกลางแม่น้ายมุนา มีชื่อเต็มว่า กฤษณะ ทไวปายณะ แปลว่าผู้มีผิวคล้าเกิดบนเกาะ ต่อมาเปลี่ยนเป็ น วยาสะ แล้วออก บวชตามบิดาอยู่ในป่ าหิมาลัย  เป็นฤๅษีในตานานที่ปรากฏในมหาภารตะ ซึ่งชาวฮินดูถือว่าเป็น ผู้ประพันธ์มหาภารตะ และเป็นอวาตารของพระวิษณุ นอกจากนี้ ยัง เชื่อว่าท่านเป็นผู้ประพันธ์มนตร์ในพระเวท, ปุราณะทั้ง 18 เล่ม, และพรหมสูตร ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช
  • 4. เกริ่นนา  ชีวิตคือของขวัญล้าค่าที่สุดที่เราได้รับในฐานะมนุษย์ ดังนั้นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากชีวิตจึงมีความ จาเป็น หากเราต้องการดาเนินชีวิตอย่างเต็มที่  ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) เป็นงานเขียนโบราณที่ให้ภูมิปัญญาทุกประเภทเกี่ยวกับการกระทาและ ประสพการณ์ชีวิตคือ การเดินทางของการค้นพบตนเองและการเรียนรู้ตนเอง (a journey of self- discovery and self-mastery)  ตลอดการเดินทางนี้ จุดประสงค์ของเราในฐานะมนุษย์คือ การค้นหาว่าเราเป็ นใคร และฆ่ามารร้าย ในขณะที่เราทาตามเสียงเรียกร้องของเรา ถึงแม้จะท้าทาย แต่ประสบการณ์นี้ จะนาไปสู่รูปแบบสูงสุด ของการตระหนักรู้ในตนเอง และทาให้เราเกิดสันติสุขและปีติยินดี
  • 5. ภควัทคีตา  ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) หมายถึง 'เพลงของพระเจ้า' ได้รับการเปิดเผยโดยฤๅษี เวท วยาสะ (Veda Vyasa) ในการสนทนาอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่าง พระกฤษณะ และ อรชุน (Lord Krishna and Arjuna) ซึ่งเป็นข้อความที่แทรกเข้ามาในบรรพที่ 6 (ภีษมบรรพ) แห่งมหากาพย์มหาภารตะ  ภควัทคีตา กล่าวถึงเส้นทางโยคีที่สาคัญสามประการเพื่อบรรลุถึงความสูงสุด ได้แก่  1. กรรมโยคะ (Karma Yoga) - เส้นทางแห่งการกระทา (บทที่ 1-6)  2. ภักติโยคะ (Bhakti Yoga) - เส้นทางแห่งความจงรักภักดี (บทที่ 7-12)  3. ญานาโยคะ (Jnana Yoga) - เส้นทางแห่งความรู้ (บทที่ 13-18)
  • 6. สาเหตุที่อรชุนเลือกพระกฤษณะแทนที่จะเลือกกองทัพ  เมื่อกฤษณะถามอรชุนว่า ทาไมเขาถึงเลือกพระองค์ในเมื่อพระองค์ไม่ทรงถืออาวุธ อรชุนกล่าวว่า "ข้า แต่พระเจ้า! พระองค์มีพลังที่จะทาลายล้างกองกาลังทั้งหมดด้วยสายตาเพียงเท่านั้น เหตุใดหม่อมฉัน จึงควรชอบกองทัพไร้ค่านั้นมากกว่า หม่อมฉันมีความปรารถนาในใจมานานแล้วว่า ท่านควรทา หน้าที่เป็ นสารถีรถรบของหม่อมฉัน กรุณาเติมเต็มความปรารถนาของหม่อมฉันในสงครามครั้งนี้ "  พระเจ้าผู้เป็นที่รักของสาวกของพระองค์มากที่สุด ทรงตอบรับคาขอด้วยความยินดี และด้วยเหตุนี้ พระกฤษณะจึงทรงยินยอมเป็นสารถีราชรถของอรชุนในสงคราม มหาภารตะ (Mahabharata)
  • 7. ฝ่ ายเการพตัดสินใจรบกับฝ่ ายปาณฑพ  หลังจากการกลับของ ทุรโยธน์ (Duryodhana) และ อรชุน (Arjuna) จาก ทวารกะ (Dwaraka) องค์ พระกฤษณะ (Lord Krishna) เอง ก็ได้เสด็จไปยังเมือง หัสตินปุระ (Hastinapura) อีกครั้งหนึ่ง ในฐานะ ทูตของ ปาณฑพ (Pandavas) และพยายามป้องกันสงคราม  แต่แล้วภายใต้การแนะนาของ สกุณี (Sakuni) ทุรโยธน์ผู้เห็นแก่ตัว ปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับสันติภาพ และพยายามกักขังพระกฤษณะ พระกฤษณะจึงแสดงให้เห็น รูปแบบสูงสุดของพระองค์ (Viswarupa) แม้แต่ ธฤตราษฏร์ (Dhritarashtra) กษัตริย์ผู้ตาบอดก็เห็นโดยพระคุณของพระเจ้า  เนื่องจากความผูกพันกับพระโอรสของพระองค์ กษัตริย์ธฤตราษฏร์ไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ และทุรโยธน์หัวหน้าของ เการพ (Kaurava) จึงตัดสินใจรบกับปาณฑพ
  • 8. บทบาทของพระฤๅษี เวท วยาสะ  เมื่อทั้งสองฝ่ ายพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ พระฤๅษี เวท วยาสะ (Veda Vyasa) เข้าพบธฤตราษฏร์กษัตริย์ผู้ตาบอดและกล่าวว่า "ถ้าท่าน อยากเห็นการสังหารที่เลวร้ายนี้ ด้วยตาของท่านเอง ฉันจะทาให้ ท่านเห็นได้"  กษัตริย์เการพทูลตอบว่า "โอ้ ท่านมหาฤๅษี! ข้าพเจ้าไม่ต้องการ เห็นการสังหารครอบครัวของข้าพเจ้าด้วยตาตนเอง แต่ข้าพเจ้า อยากได้ยินรายละเอียดทั้งหมดของการต่อสู้"
  • 9. ความเป็นทิพย์ของสัญชัย  จากนั้นฤาษีได้มอบนิมิตอันศักดิ์สิทธิ์แก่ สัญชัย (Sanjaya) ที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ของกษัตริย์ และบอก กับกษัตริย์ว่า "สัญชัยจะอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดของสงครามแก่ท่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้ นใน สงคราม เขาจะเห็นโดยตรง ได้ยินหรือรับรู้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้ นต่อหน้าต่อตาหรือลับหลังของ เขา ในเวลากลางวันหรือกลางคืน ในที่ส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ และไม่ว่าจะเป็นการกระทาจริงหรือ ปรากฏเพียงในใจ ก็จะไม่อาจซ่อนเร้นจากทัศนะของเขาได้ เขาจะได้รู้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้ นจริง ไม่มี อาวุธใดจะแตะต้องตัวเขาและเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อย"
  • 10. จุดเริ่มต้นภควัทคีตา  หลังจากสิบวันของการทาสงครามต่อเนื่อง ระหว่างพวกปาณฑพและพวกเการพ เมื่อ ภีษมะ (Bhishma) นักรบผู้ยิ่งใหญ่ถูกอรชุนยิงธนูจนหล่นลงจากรถม้า สัญชัยได้ประกาศข่าวนี้ แก่ธฤตราษฏร์  ด้วยความทุกข์ทรมาน กษัตริย์ขอให้สัญชัยบรรยายรายละเอียดของสงครามสิบวันก่อนหน้า ตั้งแต่ ต้นทั้งหมดตามที่เกิดขึ้ น นี่คือจุดเริ่มต้นของ ภควัทคีตา (Bhagavad Gita)
  • 11. 3 บทเรียนที่ได้รับจากหนังสือ  1. การใช้ชีวิตที่คุณถูกกาหนด การทาตามนามาซึ่งความสงบสุข ในขณะที่ ทาสิ่งที่ตรงกันข้าม ทาให้เกิดความเจ็บปวดและความไม่มั่นคง (Living life doing what you were destined to do brings peace, while the opposite breeds pain and insecurity.)  2. ค้นหาความหมายในการเดินทางและปล่อยวางความข้องเกี่ยว (Find meaning in the journey and let go of constant anticipation.)  3. การทาสมาธิช่วยให้คุณควบคุมความคิดและกลับมามีจุดเน้นได้ (Meditation can help you master thoughts and regain focus.)
  • 12. บทเรียนที่ 1: เราทุกคนมีธรรมะของเราที่จะเติมเต็ม หากเราต้องการรู้ถึงความสุขและความสงบสุข  อะไรคือจุดประสงค์ในชีวิตของมนุษย์ นี่คือคาถามนิรันดร์ของมนุษยชาติตลอดเวลาที่ผ่านมา  ศาสนา วิทยาศาสตร์ ความเชื่อ และความศรัทธาต่างๆ ได้พยายามตอบคาถามที่เป็ นภาระนี้ ดู เหมือนว่าคาตอบจะมาบรรจบกันที่จุดร่วมว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ มีวิจารณญาณว่า สิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว และเราทุกคนล้วนดิ้นรนเพื่อความสุข  วิธีที่เราทาคือ การไล่ตามสิ่งที่ทาให้เรามีความสุขและวิ่งหนีจากจุดที่เจ็บปวดทรมาน เห็นได้ชัดว่ามัน ไม่ง่ายอย่างที่คิด ดังนั้นพวกเราส่วนใหญ่จึงหลงทาง
  • 13.  ตามทฤษฎีแล้ว เงินที่มากขึ้ นทาให้เรามีอิสระมากขึ้ น ซึ่งช่วยให้เรามุ่งมั่นเพื่อความสุขที่แท้จริงโดย ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการดิ้นรนในแต่ละวัน ในทางปฏิบัติ การแข่งขันที่ไม่สิ้นสุดนี้ ต้องหยุดลง  ธรรมะคือธรรมชาติที่เรียบง่ายของความเป็นจริง และสาหรับปัจเจกบุคคล ธรรมะคือเสียงเรียกร้อง และจุดมุ่งหมายในชีวิต หรือชีวิตควรดาเนินตามธรรมชาติอย่างไร  ทุกคนมีธรรมะเพื่อให้สมปรารถนา แนวคิดอันทรงพลังนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุขของมนุษย์ และชี้ ไปยังสิ่งที่เราควรจะมุ่งมั่น ดังนั้นการกระทาในสิ่งที่ทาให้เรามีความสุขมากขึ้ น และเผชิญหน้า กับมารร้าย ความทุกข์ (หรือสิ่งใด ๆ ที่คุณต้องการเรียก) เป็นกุญแจสู่ชีวิตที่เติมเต็ม
  • 14. บทเรียนที่ 2: ใช้ใจที่มุ่งมั่นของคุณและสนุกกับการเดินทาง  ส่วนหนึ่งของการขาดสัมฤทธิผลและความทุกข์ยากของเรา มาจากการไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างเต็มที่  โดยธรรมชาติแล้ว การไม่ปฏิบัติตามธรรมะจะทาร้ายจิตใจคุณ ที่แย่ไปกว่านั้น การทาตามธรรมะ ของคนอื่น อาจทาให้คุณเจ็บปวดและเสียใจ  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ก็ยังมีแง่มุมที่สาคัญอีกประการหนึ่งในการ เดินทางที่ต้องพิจารณา สิ่งที่ว่านั้นคืออะไร? คือการเดินทาง (ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง)!
  • 15.  การรักษาตัวเองให้อยู่นิ่งและค้นหาความหมายในงานประจาวันอาจเป็นเรื่องยาก เมื่อจิตใจของคุณ นึกถึงรางวัลใหญ่อยู่เสมอ แนวทางการใช้ชีวิตแบบนี้ ทาให้เราลาบาก ไม่สนุก และไม่มีความสุข  แทนที่จะไปข้องเกี่ยวอยู่เสมอ สิ่งสาคัญคือ คุณต้องพบกับความสุขในการเดินทาง สุขและทุกข์เป็น บทเรียนชีวิต กิจกรรมประจาวันจะให้ความหมายและเนื้ อหาแก่คุณ และการบรรลุวัตถุประสงค์เล็กๆ น้อยๆ จะเตรียมคุณให้พร้อมสาหรับชัยชนะสุดท้าย  ปัญญาที่แท้จริง อยู่ในการค้นหาความสุขที่นี่ตอนนี้ (finding happiness right here right now) ไม่ใช่แค่ ชั่วขณะหนึ่งในอนาคตที่สาเร็จ
  • 16. บทเรียนที่ 3: การทาสมาธิคือการเรียนรู้วิธีควบคุมจิตใจ  การทาสมาธิเป็นหนึ่งในกุญแจสาคัญในการควบคุมจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณของคุณเอง การทา สมาธิคือการหมกมุ่นอยู่กับปัจจุบันขณะ โดยปล่อยวางชีวิตที่ควรจะเป็น และโอบรับสิ่งที่กาลังเป็นอยู่  การควบคุมจิตใจให้หยุดคิดในแง่ลบและฝึกตัวเองให้จดจ่อกับสิ่งที่สาคัญที่สุด คือการปฏิบัติที่ทรงพลัง  นอกจากนี้ เมื่อศึกษาประเด็นทั่วไปของทุกศาสนาและความเชื่อ คุณจะสังเกตเห็นว่า ทุกศาสนาแนะนา ให้มีความเชี่ยวชาญในตนเองและพัฒนาอุปนิสัยของคุณ
  • 17.  ผู้ที่สามารถควบคุมตนเองและควบคุมความคิดของตนได้ สามารถพิชิตทุกสิ่งได้  ตราบใดที่คุณเก็บความสุขไว้ในใจ คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะขยาย ใช้ รู้สึก และโอบรับมันได้นาน เท่าที่คุณต้องการ  การทาสมาธิยังช่วยให้คุณกาหนดเป้าหมายความพยายามได้ง่ายขึ้ น และทาให้จิตวิญญาณของคุณจด จ่ออยู่กับธรรมะ
  • 18.
  • 19. สรุป  ภควัทคีตา สอนให้เราบรรลุถึงความเชี่ยวชาญในจิตใจ ของเรา ความสาคัญของการใฝ่ หาธรรมะของเราตาม ความเป็นจริงและไม่ย่อท้อ และวิธีโอบรับชีวิตในสิ่งที่ เป็นอยู่  หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราก็สามารถเข้าใจภูมิปัญญา อันยิ่งใหญ่ที่ห่อหุ้มไว้ได้อย่างเต็มที่ โดยพื้นฐานแล้ว นี่ คือแนวทางสู่ชีวิตที่มีความหมายและอีกมากมาย
  • 21. ภาพโดยรวมของ ภควัทคีตา  ภควัทคีตา (อ่านว่า "พะ-คะ-วัด-คี-ตา") เป็ นชื่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู โดยเฉพาะสาหรับ นิกายไวษณพ หรือผู้ที่ยกย่องพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นพระเจ้าสูงสุด  ชื่อคัมภีร์ ภควัทคีตา (ภควตฺ + คีตา) แปลว่า "บทเพลง (หรือลานา) แห่งพระผู้เป็นเจ้า" นาเรื่องราว ส่วนหนึ่งมาจากมหากาพย์มหาภารตะ
  • 22.  คัมภีร์นี้ มิได้มีลักษณะเป็ นเอกเทศ คือมิได้แต่งขึ้ นมาอย่างโดดเดี่ยวเป็ นเล่มเฉพาะเหมือนดังคัมภีร์ พระเวทแต่ละเล่ม แท้ที่จริง เป็นเพียงบทสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคล 2 คน ฝ่ ายที่ถามปัญหาคือ พระอรชุน เจ้าชายฝ่ ายปาณฑพ แห่งจันทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้นากองทัพใหญ่ มาทาสงครามแย่งชิงเมือง หัสตินาปุระ จากฝ่ ายเการพ แห่งจันทรวงศ์เช่นเดียวกัน ที่มีเจ้าชายทุรโยธน์และกองทัพพันธมิตร มากมายเป็นศัตรูคู่สงครามด้วย  ฝ่ ายที่ตอบปัญหาทั้งหมดและเป็ นผู้อธิบายตลอดทั้งเรื่องก็คือ พระกฤษณะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ ายราช สกุลจันทรวงศ์ สาขายาทพ
  • 23.  ในขณะที่ตอบปัญหาอันล้าลึกดังกล่าวนั้น พระกฤษณะกาลังทาหน้าที่เป็นสารถีขับรถศึกให้พระอรชุน บทสนทนาโต้ตอบนี้ ถ่ายทอดออกมาโดยสัญชัย ผู้เป็นเสวกามาตย์ของพระเจ้าธฤตราษฏร์ พระราชา พระเนตรบอดแห่งเมืองหัสตินาปุระ  โดยมหาฤษีวยาสหรือพระฤาษีกฤษณไทวปายน เป็นผู้ให้ตาทิพย์แก่สัญชัย เพื่อแลเห็นเหตุการณ์รบ พุ่งในมหาสงครามครั้งนั้นอย่างแจ่มแจ้งทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ในพระราชวัง และคอยกราบทูลพระเจ้าธฤต ราษฎร์ให้ทราบการเคลื่อนไหวทุกขณะในสมรภูมิ
  • 24.  ถ้าจะกล่าวโดยแท้จริงแล้ว คาสอนในคัมภีร์ภควัทคีตา เกือบครึ่งเล่มเป็นคา สอนในคัมภีร์อุปนิษัท และอีกกว่าครึ่งเล่มเป็นคาสอนแบบของเหล่าภาควตะ ซึ่งไหว้พระกฤษณะเป็นเทพสูงสุดในนิกายของตน  และคาสอนแบบดังกล่าวนี้ มีมานานแล้วในหมู่เหล่าภาควตะ อันเป็ นชน อารยันอินเดียกลุ่มหนึ่ง ต่อมาเหล่านิกายไวษณพ หรือเหล่าที่นับถือพระวิษณุ เป็นพระเจ้าสูงสุด ได้ผนวกเอาพระกฤษณะเข้าไปเป็นพระวิษณุอวตาร หรือ นารายณ์อวตารปางที่ 8
  • 25.  คาสอนของเหล่าภาควตะซึ่งเน้นในเรื่องความนับถือพระกฤษณะเป็นเทพสูงสุด ก็ถูกกลืนเข้าไป ผสมผสานกับแนวความคิดของเหล่าไวษณพ ที่มีส่วนในการแต่งมหากาพย์มหาภารตะอยู่มากมาย หลายตอน จึงปรากฏออกมาในรูปภควัทคีตาดังที่ปรากฏเป็ นที่รู้จักกันทุกวันนี้  และการที่จะเรียกหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ ว่า ภควัทคีโตปนิษัท หรือ ภควัทคีตา หรือ คีตา เฉย ๆ ก็ ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของคนอินเดียนิกายไวษณพ ในรูปแบบของบท สนทนาที่มีข้อความเกือบทั้งหมด เป็ นคาอธิบายเรื่องวิถีทางไปสู่พระผู้เป็ นเจ้าอันสูงสุด
  • 26.
  • 27. ภควัทคีตา โดยย่อ  คาว่า "ภควัท" หมายถึงผู้ที่เป็นที่เคารพอย่างสูง นาย หรือพระเจ้า ส่วน "คีตา" แปลว่า เพลง ดังนั้น "ภควัทคีตา" จึงอาจแปลได้ว่า เพลงของพระเจ้า หมายถึงคาสอนที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ เพื่อชี้ ทางให้เข้าถึงพระเจ้า  ภควัทคีตา เป็นตอนหนึ่งของภีษมบรรพในมหากาพย์ มหาภารตะ อาจพูดได้ว่า ภควัทคีตา มีความ สมบูรณ์ในตัวเอง แต่ก็เป็ นส่วนหนึ่งของเนื้ อเรื่องมหากาพย์ มหาภารตะ  มหาภารตะเป็นเรื่องของการสงครามระหว่างลูกพี่ลูกน้องเพื่อชิงอานาจกัน ฝ่ ายพี่เรียกว่าฝ่ ายเการพ ถือเป็นเสมือนตัวแทนของฝ่ ายอธรรม ฝ่ ายน้องเรียกว่าฝ่ ายปาณฑพ ถือเป็นเสมือนตัวแทนของฝ่ าย ธรรมะ อรชุนซึ่งเป็นฝ่ ายปาณฑพเกิดความท้อใจที่จะต้องรบและฆ่าฟันญาติมิตร ครูอาจารย์ของ ตนเอง ซึ่งอยู่ฝ่ ายตรงข้าม จึงปรึกษาปรับทุกข์กับกฤษณะ ซึ่งเป็นมิตรที่อรชุนนับถือมากและกาลังทา หน้าที่เป็นสารถีให้อรชุน กฤษณะได้สั่งสอนอรชุนให้มีกาลังใจรบ คาสอนของกฤษณะ คือ ภควัทคีตา
  • 28.  กฤษณะในเนื้ อเรื่องนั้น มีบทบาทเป็ นทั้งญาติและพันธมิตร ของทั้งฝ่ ายเการพและปาณฑพ จึงตกลงช่วยเหลือทั้งสองฝ่ าย โดยให้ฝ่ ายหนึ่งเลือกเอาระหว่างกองทัพของเขากับตัวเขาเอง (ซึ่งจะไม่ยอมแตะต้องอาวุธในการรบครั้งนี้ )  ปรากฏว่าฝ่ ายเการพเลือกเอากองทัพ ส่วนฝ่ ายปาณฑพเลือก ตัวกฤษณะ เพราะเห็นว่ามิตรย่อมมีค่าสูงกว่าไพร่พล
  • 29.  เนื่องจาก ภควัทคีตา เป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์ มหาภารตะ ฉะนั้นการศึกษาปรัชญาใน ภควัทคีตา จึงควรนาสถานการณ์ในเรื่องมาพิจารณาประกอบด้วยจึงจะเข้าใจชัดเจน  อรชุนกาลังอยู่ในนาทีวิกฤต หมดกาลังใจที่จะสู้รบกับผู้ที่เป็นญาติมิตรและครูอาจารย์ซึ่งเป็นที่รักของ เขาแต่อยู่ฝ่ ายตรงข้าม เขาไม่แน่ใจว่า ควรจะทาอย่างไรดีจึงจะเป็นการกระทาที่ถูก จึงหันเข้าหามิตร คือ กฤษณะ เพื่อขอคาแนะนาว่า "ข้าพเจ้าคือศิษย์ของท่าน โปรดสอนข้าพเจ้าผู้ยึดท่านเป็นที่พึ่ง"  กฤษณะนี้ แท้จริงก็คือพระเจ้า ซึ่งมาในลักษณะมิตรของอรชุน ลักษณะที่สาคัญของพระเจ้าแห่ง ภควัทคีตา คือเป็นผู้ที่มนุษย์สามารถรักและยึดเป็นที่พึ่งได้ในยามคับขัน ตามท้องเรื่องนั้น จุดมุ่งหมายที่สาคัญของกฤษณะคือ ชักชวนให้อรชุนเลิกท้อใจ และทาการรบด้วยความมั่นใจว่าเป็น การกระทาที่ถูกต้อง
  • 30.  ฉะนั้นในขั้นแรก กฤษณะจึงชี้ ให้อรชุนเห็นความจริงว่า มนุษย์มีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ร่างกาย เน่าเปื่ อยได้แต่จิตวิญญาณนั้นเป็ นอมตะ จิตวิญญาณนี้ ย่อมฆ่าไม่ตาย เมื่อร่างกายถูกฆ่า จิตวิญญาณ จะเปลี่ยนร่างใหม่ได้เช่นเดียวกับคนเปลี่ยนเสื้ อผ้า ดังนั้น จึงไม่ควรโศกเศร้าถึงผู้ใด เมื่อรู้ความจริง เช่นนี้ อรชุนไม่ต้องกลัวว่าในการรบครั้งนี้ เขาจะทาให้ญาติมิตรและอาจารย์ล้มตาย เพราะความจริง นั้นจิตวิญญาณของเขาเหล่านั้นมิได้ตาย  ในขั้นต่อมา กฤษณะก็กล่าวถึงความสาคัญของหน้าที่ อรชุนอยู่ในวรรณะนักรบ จึงต้องรบตามหน้าที่ ของวรรณะ มิฉะนั้นจะเป็ นการละทิ้งหน้าที่ เสียเกียรติและเป็ นบาป นักรบที่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ ก็จะคิดว่า อรชุนไม่รบเพราะความขลาดกลัว จึงเลิกนับถืออรชุน ศัตรูก็จะว่าให้ได้อาย ฉะนั้นอรชุนต้องตัดสินใจ รบ หากตายก็จะได้ไปสวรรค์ หากชนะก็จะได้ครองโลก
  • 31.  แต่กฤษณะก็ทราบดีว่าอรชุนไม่สนใจสวรรค์ ซึ่งตามท้องเรื่องเขาได้ไปเห็นแล้ว และไม่สนใจในการ ครองโลกเช่นกัน ที่เป็ นเช่นนี้ เพราะสุขในสวรรค์ก็ดี ความยิ่งใหญ่ในโลกก็ดี ต่างมีวันสิ้นสุด  อรชุนและปราชญ์อินเดียโดยทั่วไปไม่พอใจในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้นกฤษณะจึงต้องหาสิ่งที่น่า ปรารถนายิ่งกว่าโลกและสวรรค์มาชักนาให้อรชุนยินยอมรบ สิ่งนั้นคือ ทางที่จะนาไปสู่ความหลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นทุกข์ เนื่องจากอรชุนเป็นนักรบซึ่งถือว่ามีบทบาทสาคัญต่อสังคม สิ่ง ที่กฤษณะจะแนะให้ จึงต้องเป็นสิ่งที่นักรบใช้ได้  ฉะนั้น ปรัชญาที่กฤษณะสอนแก่อรชุน จึงเป็นปรัชญาที่เหมาะสาหรับผู้มีหน้าที่ต่อสังคม คือมนุษย์ โดยทั่วไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มิใช่สาหรับพวกที่ออกป่ า นักบวช หรือนักศึกษาธรรมขั้นสูง แบบคาสอนใน อุปนิษัท
  • 32.  ปรัชญาภควัทคีตา เป็นปรัชญาที่เน้นถึงการกระทาว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครเลย ที่จะอยู่ได้แม้แต่ชั่วขณะโดยไม่กระทาอะไรเลย เพราะทุกคนย่อมถูกบังคับให้ประกอบกรรม โดย แรงผลักดันของธรรมชาติ ผู้ที่ไม่กระทาด้วยกายแต่คิดกระทาอยู่ในใจถือว่าเป็นผู้ประพฤติลวง  ส่วนผู้ที่ประกอบกรรมโดยสารวมใจมิให้มุ่งหวังผลถือว่าเป็ นคนดีพิเศษ ฉะนั้นการกระทาจึงดีกว่าการ อยู่นิ่ง ควรประกอบกรรมประหนึ่งเป็นเครื่องสังเวยแด่พระเจ้า ไม่พะวงผูกพันกับผล การกระทาสิ่งที่ ควรกระทาไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน จะนาผู้กระทาไปสู่ความจริงสูงสุด  ในขณะที่ อุปนิษัท สอนให้คนมุ่งถึงความหลุดพ้นส่วนบุคคลเป็นสาคัญ ภควัทคีตา สอนว่ามนุษย์ จะต้องคานึงถึงสังคมด้วย มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องกระทาเพื่อรักษาความมั่นคงของสังคม มนุษย์ต้อง คานึงว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีหน้าที่ต่อสังคมซึ่งตนได้รับมอบหมาย การทาตามหน้าที่ของตน ถึงจะทาได้ไม่ดี ก็ยังดีกว่าทาหน้าที่ของคนอื่นซึ่งทาได้ง่ายกว่า
  • 33.  ภควัทคีตา อาจแบ่งเนื้ อหาออกได้กว้าง ๆ เป็ น 3 ตอนคือ บทที่ 1-6 กล่าวถึงทางที่จะนาไปสู่ความ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด บทที่ 7-11 กล่าวถึงลักษณะและการปรากฏองค์ของพระเจ้า บทที่ 12-18 สอนหลักใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในลัทธิฮินดู คือสอนถึงพระเจ้าที่มีความรักต่อมวลมนุษย์ที่ ประพฤติชอบและจงรักภักดีต่อพระเจ้า  ในเรื่องทางไปสู่ความหลุดพ้นนั้น ภควัทคีตา ได้กล่าวไว้หลายทาง คือ ทางแห่งความรู้ (สางขยโยค) ทางแห่งกระทา (กรรมโยค) ทางแห่งญาณ (ชญานกรรมสันยาสโยค) ทางแห่งการสละกรรม (กรรม สันยาสโยค) และ ทางแห่งโยคี (ธยานโยค) ในบรรดาทางทั้งหลายนี้ ทางแห่งการกระทา ถือว่าดี ที่สุดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  ทางแห่งความรู้ หมายถึงรู้ในความจริงเกี่ยวกับจิตวิญญาณซึ่งไม่ตายไปกับร่าง รู้จักลักษณะต่าง ๆ ของปราชญ์ เช่น ปราชญ์รู้จักข่มอินทรีย์ไว้ใต้อานาจ
  • 34.  ทางแห่งญาณ คือรู้ว่าพระเจ้าเป็ นผู้ไม่เกิดไม่ตาย เป็ นเจ้าแห่งสัตว์โลกทั้งปวง เมื่อใดธรรมะเสื่อมและ อธรรมเจริญ พระเจ้าจะอวตารลงมาเพื่อปกป้องสาธุชน ปราบทุรชน และสถาปนาธรรมในแต่ละยุค ผู้ใดรู้จักการอวตารและผลงานของพระเจ้า ผู้นั้นจะไม่เกิดอีก เมื่อตายแล้วก็จะไปถึงพระเจ้า แม้ผู้ที่มี บาปมากที่สุดก็จะข้ามห้วงมหาสมุทรแห่งความชั่วไปได้ด้วยเรือแห่งญาณ ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าปราศจาก ศรัทธา มีแต่ความสงสัย ก็จะประสบความหายนะเพราะจิตวิญญาณที่มีแต่ความสงสัย จะไม่พบ ความสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า  ทางแห่งการสละกรรม ใช้ควบคู่กับทางแห่งการกระทา การสละกรรมหมายถึงการเป็นสันนยาสี คือ ไม่มีความยินดียินร้าย ไม่หวังผลใด ๆ มีจิตบริสุทธิ์ ชนะตนเองและอินทรีย์ได้แล้ว ฉะนั้นเมื่อ ประกอบกรรมใดก็สละความประสงค์ผลได้  ทางแห่งโยคี เป็นเสมือนการสอนหลักสมาธิหรือการเข้าฌาณ โยคีซึ่งควบคุมจิตได้ เมื่อประกอบตนไว้ เช่นนี้ เสมอแล้ว จะบรรลุถึงศานติ คือนิพพานอันประเสริฐซึ่งอยู่ในพระเจ้า
  • 35.  ส่วนเรื่องลักษณะและการปรากฏองค์ของพระเจ้านั้น ถือว่าเป็ นความรู้ขั้นสูงสุดซึ่งเปิดเผยให้แก่ผู้ที่ พระเจ้าโปรดปรานเป็ นพิเศษ พระเจ้าเป็ นที่มาของทุกสิ่งในโลกและจักรวาล เป็ นทั้งผู้ให้กาเนิดและผู้ ทาลาย ไม่มีอะไรที่ใหญ่ยิ่งไปกว่าพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เป็นแสงสว่างในดวง จันทร์และดวงอาทิตย์ เป็นความร้อนในไฟ เป็นปัญญาของนักปราชญ์ เป็นเดชของผู้มีเดชานุภาพ  ภาวะที่เกิดจาก สัตตวะ (ความดี) รชะ (พลังงาน) และ ตมะ (ความเฉื่อย) ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น (ผู้มีสัตตวะมากกว่าคุณอื่นได้แก่พราหมณ์ ผู้มีรชะมากคือกษัตริย์ ผู้มีตมะมากคือศูทร ส่วนผู้มีรชะ กับตมะมากพอ ๆ กันคือไวศยะเป็ นต้น ในการกระทาต่างๆ คุณทั้ง 3 จะเป็ นผู้กระทา ฉะนั้นผู้รู้ความ จริงข้อนี้ ก็จะไม่ผูกพันกับการกระทา)  พระเจ้ามิได้อยู่ในคุณทั้ง 3 นี้ แต่คุณทั้งสามอยู่ในพระเจ้า อานาจหรือมายาของพระเจ้าประกอบด้วย คุณทั้งสาม ยากที่ใครจะเข้าใจได้ ผู้ที่ยึดพระเจ้าเป็ นที่พึ่งจึงจะข้ามพ้นมายานี้ได้
  • 36.  คาว่ามายาใน ภควัทคีตา หมายถึงอานาจของพระเจ้าหรือสิ่งที่เกิดด้วยอานาจของพระเจ้า หาใช่ แปลว่าภาพลวงตาดังในปรัชญาอทไวตเวทานตะของศังกระไม่ ศังกระเปรียบมายาเหมือนการหลงว่า เชือกในความมืดเป็นงู คืองูเป็นมายาหรือภาพลวงตา ส่วนมายาในภควัทคีตา เป็นที่สิ่งที่บังพระเจ้า ไว้มิให้มนุษย์แลเห็นและรู้แจ้งว่าพระเจ้าเป็นผู้ไม่เกิดและไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้โลกดาเนินไปตามความประสงค์ของพระองค์ พราหมณ์ซึ่งบูชาพระเจ้าด้วย ยัญพิธีเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ของพระอินทร์ แต่หลังจากสู่สวรรค์จนหมดบุญแล้วก็จะ กลับมาเกิดใหม่ ส่วนผู้ที่บูชาพระเจ้าโดยไม่คิดมุ่งหวังสิ่งใด พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ยังไม่ได้และจะ รักษาสิ่งที่ได้มาแล้ว แม้ผู้ที่บูชาเทพอื่นด้วยใจศรัทธา ยัญพิธีที่เขากระทาก็จะไปสู่พระเจ้า ถึงแม้จะ เป็ นการกระทาที่ไม่ถูกหลัก ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าเป็ นผู้บริโภคยัญพิธีและเป็ นเจ้าแห่งยัญพิธี  อย่างไรก็ดีผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
  • 37.  เมื่ออรชุนขอดูร่างที่แท้จริงของพระเจ้า กฤษณะต้องให้ตาทิพย์แก่อรชุน เพราะตามนุษย์ธรรมดาไม่ อาจเห็นร่างแท้จริงของพระเจ้าได้ ในร่างของพระเจ้านั้น อรชุนได้เห็นจักรวาลทั้งหมด เห็นความใหญ่ กว้างที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า พระเจ้าคือบุรุษอมตะที่พรรณนาในบุรุษสูกตะใน ฤคเวทสังหิตา ซึ่ง เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่ปรากฎใน ฤคเวท  เมื่ออรชุนแลเห็นบรรดานักรบแห่งทุ่งกุรุเกษตรกาลังพากันกรูเข้าไปในปากอันน่าสพึงกลัวของพระ เจ้า ก็ถามถึงความมุ่งหมายของพระเจ้า กฤษณะจึงอธิบายว่าพระเจ้าคือกาลเวลา ซึ่งกาลังทาลายโลก ถึงแม้อรชุนจะไม่รบ พวกนักรบที่อยู่ฝ่ ายตรงข้ามก็คงถูกทาลายอยู่นั่นเอง ฉะนั้นขอให้อรชุนลุกขึ้ นรับ เกียรติในการมีชัยต่อศัตรูและเสวยราชสมบัติอันมั่งคั่ง พวกศัตรูถูกสังหารโดยพระเจ้า อรชุนเป็น เพียงเครื่องมือเท่านั้น
  • 38.  ฉะนั้นในการปรากฏองค์ของพระเจ้า อรชุนจึงทราบถึงบทบาทของมนุษย์ว่าคือเครื่องมือของพระเจ้า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดาเนินไปตามความประสงค์ของพระเจ้า ถึงมนุษย์จะทาตามหน้าที่หรือ หลีกเลี่ยง ก็จะเกิดผลเท่ากันในโลก แต่การทาตามหน้าที่ย่อมมีผลดีแก่มนุษย์ และเป็นการแสดงถึง ศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า  หลังจากตระหนักในความประเสริฐสุดของพระเจ้า อรชุนก็น้อมกายเคารพและกล่าวขอให้พระเจ้า อภัยแก่เขา ดังเช่นบิดาอภัยต่อบุตร มิตรอภัยต่อมิตร และคู่รักอภัยต่อคู่รัก  อรชุนมีความกลัวร่างอันแท้จริงของพระเจ้ามาก จึงขอให้พระเจ้ากลับร่างเป็นวิษณุ 4 กร นี่เป็นการ อธิบายว่า เหตุใดพระเจ้าจึงมิได้ปรากฏร่างที่แท้จริงแก่มนุษย์ เพราะจะทาให้มนุษย์กลัวจนทาอะไร ไม่ถูก มนุษย์รักร่างพระเจ้าแบบมี 4 กรมากกว่า ร่างที่แท้จริงนั้นพระเจ้ามิได้ให้ใครเห็นยกเว้นอรชุน แม้ผู้รู้พระเวท ผู้บาเพ็ญตบะ ผู้ทายัญพิธี ก็ไม่อาจเห็นได้ ผู้ที่มีความภักดีอย่างแน่วแน่ในพระเจ้า เท่านั้นจึงอาจเห็นและเข้าถึงได้
  • 39.  ลักษณะเช่นนี้ ของพระเจ้าไม่ปรากฏใน อุปนิษัท ซึ่งมีจุดหมายสาคัญคือ สอนให้มนุษย์เข้าสู่ความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันกับพรหมอันเป็นอมตะ ส่วน ภควัทคีตา สอนว่า ผู้ที่ฝักใฝ่ ในพรหม ถึงความหลุด พ้นได้ยากกว่าผู้ฝักใฝ่ ในพระเจ้า เพราะมนุษย์ที่มีร่างนั้น ย่อมเข้าใจพรหมที่ไม่มีรูปร่างได้ยากกว่า เข้าใจพระเจ้า  ฉะนั้นทางแห่งความภักดีต่อพระเจ้าจึงเป็ นทางที่นาไปสู่ความหลุดพ้นได้ง่ายกว่า ผู้ที่อุทิศการกระทา ทั้งปวงให้แก่พระเจ้า คิดถึงพระเจ้า บูชาพระเจ้า โดยสมาธิแน่วแน่ด้วยความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทาจิตให้ตั้งอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าจะฉุดขึ้ นจากสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทันที  พระเจ้ารักผู้ที่ภักดีต่อพระเจ้า และถือพระเจ้าเป็นจุดหมายสูงสุด
  • 40.  ภควัทคีตา กล่าวว่า พระเจ้าคือที่ตั้งของพรหม ความเป็ นอมตะและความไม่เสื่อมสูญธรรมอันยั่งยืน และความสุขสูงสุด ฉะนั้นพระเจ้าจึงสูงกว่าพรหม ไม่มีอะไรสูงสุดหรือใหญ่ยิ่งเกินกว่าพระเจ้า  เมื่ออรชุนได้ฟังคาสอนของกฤษณะจบลง ก็สิ้นความหลงและได้สติ มีจิตมั่นคงไม่สงสัยลังเลอีกต่อไป และตัดสินใจทาตามบัญชาของพระเจ้าคือรบกับศัตรู
  • 41. ท้ายที่สุด  ภควัทคีตา คือคัมภีร์ที่เรียกได้ว่าเป็นบทสรุปแห่งคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งปวง ไม่ว่าจะ เป็นคัมภีร์พระเวท ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อาถรรพ์เวท คัมภีร์สังหิตา พราหมณะ อารัณยกะ คัมภีร์อุปนิษัท เวทานตะ ปุราณะ ฯลฯ  ปรัชญาในภควัทคีตาเป็นการรวบยอด เอาคาสอนที่กระจัดกระจายในคัมภีร์ต่างๆ ดังกล่าว มารวมไว้ ในเล่มเดียว ภควัทคีตาจึงเปรียบได้ว่าเป็นหัวใจแห่งคาสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็ไม่ผิดนัก  เนื่องด้วยภควัทคีตานี้ เป็ นส่วนหนึ่งใน มหากาพย์มหาภารตะ เมื่ออ่านจบแล้ว เราก็ควรอ่านและ ศึกษาเรื่องมหาภารตะเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจในปรัชญาของชีวิตอย่างเข้มข้น การอ่านภควัทคีตา ให้จบก่อนมหาภารตะ ก็ไม่เป็ นการผิดขั้นตอนแต่อย่างใด

Notes de l'éditeur

  1. The Bhagavad Gita is an ancient book packed with wisdom about life, our purpose on earth, the importance of developing virtues that can help us achieve our dharma, and how we can avoid living someone else’s dream.
  2. Life is the most precious gift we receive as humans, so making the most out of it is imperative if we want to live it fully. The Bhagavad Gita is an ancient writing that provides all kinds of wisdom on how to do so and experience life for what it is: a journey of self-discovery and self-mastery. Throughout this journey, our purpose as humans is to discover who we are and kill our demons while fulfilling our calling. Although challenging, this experience can lead to the highest form of self-actualization and thus bring us peace and joy. 
  3. The Bhagavad Gita, meaning 'The Song of the Supreme', was originally revealed by Veda Vyasa and scribed by Lord Ganesha. It is revered for the sacred conversation between Lord Krishna and Arjuna. The Bhagavad Gita talks about three important Yogic Paths as a means to attain the Supreme: 1. Karma Yoga - The Path of Action (Chapters 1-6), 2. Bhakti Yoga - The Path of Devotion (Chapters 7-12), 3. Jnana Yoga - The Path of Knowledge (Chapters 13-18)
  4. When Krishna asked Arjuna why he chose Him when He was not for taking up arms, Arjuna said, "O Lord! You have the power to destroy all the forces by a mere sight. Why then should I prefer that worthless army? I have for a long time been cherishing a desire in my heart that you should act as my charioteer. Kindly fulfil my desire in this war." The Lord, who is ever the most devoted lover of His devotees, accepted his request with pleasure; and thus Krishna became the charioteer of Arjuna in the battle of the Mahabharata.
  5. After the return of Duryodhana and Arjuna from Dwaraka, Lord Krishna Himself went once to Hastinapura as the emissary of the Pandavas and tried to prevent the war. But then, under the guidance of Sakuni, the egoistic Duryodhana refused to agree to the peace mission and tried to imprison Lord Krishna, at which Krishna showed His Supreme Form (Viswarupa). Even the blind Dhritarashtra saw it by the Lord's Grace. King Dhritarashtra, due to his attachment to his sons, failed to control them, and the Kaurava chief, Duryodhana, with vain hope, decided to meet the powerful Pandavas in war.
  6. When both sides were prepared to commence the battle, the sage Veda Vyasa approached blind Dhritarashtra and said, "If you wish to see this terrible carnage with your own eyes I can give you the gift of vision." The Kaurava king replied, "O Chief of the Brahmarishis! I have no desire to see with my own eyes this slaughter of my family, but I should like to hear all the details of the battle."
  7. Then the sage conferred the gift of divine vision on Sanjaya, the trusty counsellor of the king, and told the king, "Sanjaya will describe to you all the incidents of the war. Whatever happens in the course of the war, he will directly see, hear or otherwise come to know. Whether an incident takes place before his eyes or behind his back, during the day or during the night, privately or in public, and whether it is reduced to actual action or appears only in thought, it will not remain hidden from his view. He will come to know everything, exactly as it happens. No weapon will touch his body nor will he feel tired."
  8. After the ten days of continued war between the Pandavas and the Kauravas, when the great warrior Bhishma was thrown down from his chariot by Arjuna, Sanjaya announces the news to Dhritarashtra. In agony the king asks Sanjaya to narrate the full details of the previous ten days war, from the very beginning, in all detail as it happened. Here commences the Bhagavad Gita.
  9. 3 Lessons Learned 1. Living life doing what you were destined to do brings peace, while the opposite breeds pain and insecurity. 2. Find meaning in the journey and let go of constant anticipation. 3. Meditation can help you master thoughts and regain focus. 
  10. Lesson 1: We all have our dharma to fulfill if we want to know joy and peace. A man’s purpose in life is the eternal question of humanity. Throughout time, religion, science, different beliefs, and faiths have tried to answer this burdening question. However, it seems that throughout this quest, all these forces seem to meet at a common point.  Humans are conscious creatures with judgment about what is good and bad, and we’re all essentially striving for happiness. The way we do so is by chasing what gives us pleasure and running away from our pain points. Clearly, it’s not as easy as it sounds, so the majority of us get lost on the way.
  11. In theory, more money brings us more freedom, which allows us to strive for true happiness without worrying about day-to-day struggles. In practice, this infinite race must stop. Dharma is the simple nature of reality, and for individuals, it’s their call and purpose in life, or how their life should naturally occur. Everyone has a dharma to fulfill. This powerful concept lies at the foundation of our happiness as humans and points towards what we should be striving for. Therefore, doing more of what makes us happy and facing our demons, paint points, or however you want to call them is the key to a fulfilled life.
  12. Lesson 2: Work on your temperament and enjoy the journey. Part of our lack of fulfillment and misery comes from not experiencing life fully. Naturally, not pursuing your dharma is going to hurt your soul. Even worse, following someone else’s dharma can cause you pain and regret. However, even if you’re on the correct path in life, there’s another important aspect to consider. What would that be? Well, the journey!
  13.  It can be difficult to keep yourself grounded and find meaning in daily tasks when your mind is always thinking about the grand prize. However, this approach to life makes it that much more difficult to enjoy it and be happy. Instead of always anticipating, it’s crucial to find joy in the journey. Ups and downs are life lessons, daily activities give you meaning and substance, and achieving smaller objectives prepares you for the end victory. True wisdom lies in finding happiness right here right now, not just for a brief moment in the accomplished future.
  14. Lesson 3: To meditate is to learn how to control your mind. Meditation is one of the keys to mastering your own mind, body, and spirit. To meditate is to fully immerse yourself in the present moment by letting go of how life should be and embracing it for what it is.  Controlling your mind to stop producing negative thoughts and training yourself to focus attention on what matters most is a powerful practice. Moreover, by studying the common points of all religions and beliefs, you’ll notice how all of them advise mastering yourself and developing your character.
  15. The person who can master themselves and control their thoughts can conquer anything. As long as you keep your happiness in your mind, you can learn how to expand, use, feel, and embrace it for as long as you want. Meditating can also help you target efforts more easily and keep your spirit focused on its dharma.
  16. The Bhagavad Gita teaches us the mastery of our own minds, the importance of pursuing our dharma truthfully and unapologetically, and how to embrace life for what it is. Only after repeatedly reading this book, we can fully comprehend the immense wisdom it encapsulates. Essentially, this is a guide to a meaningful life and so much more. Everyone should give this book a try!