SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  13
Télécharger pour lire hors ligne
1
ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน ตอนที่ ๑๔ อุทยปัญหา
ปัญหาเรื่อง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
(๑๓) อุทยปัญหา
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๑๓. อุทยมาณวกปัญหา
ว่าด้วยปัญหาของอุทัยมาณพ
[๑๑๑๒] (อุทัยมาณพทูลถามดังนี้ ) ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมี
ฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั ่งอยู่ ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอ
พระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ (อัญญาวิโมกข์ หมายถึงความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล) อันเป็น
เครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด
[๑๑๑๓] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย) เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ อันเป็นเครื่องละความ
พอใจในกาม และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง
[๑๑๑๔] เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ที่บริสุทธิ์ เพราะมีอุเบกขาและสติ ที่มีธรรมตรรกะเป็น
เบื้องต้น เป็นเครื่องทาลายอวิชชา
[๑๑๑๕] (อุทัยมาณพทูลถามอีกดังนี้ ) สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ อะไรเล่าเป็นเหตุ
เที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน
[๑๑๑๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้ ) สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้
ความตรึก (ความตรึก (วิตก) มี ๙ อย่าง (๑) กามวิตก (ความตรึกในกาม) (๒) พยาบาทวิตก (ความตรึก
ในพยาบาท) (๓) วิหิงสาวิตก (ความตรึกในความเบียดเบียน) (๔) ญาติวิตก (ความตรึกถึงญาติ) (๕)
ชนปทวิตก (ความตรึกถึงชนบท) (๖) อมราวิตก (ความตรึกถึงเทพเจ้า) (๗) ปรานุทยตาปฏิสังยุตตวิตก
(ความตรึกที่ประกอบด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น) (๘) ลาภสักการสิโลกปฏิสังยุตตวิตก (ความตรึกที่
ประกอบด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญ) (๙) อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตก (ความตรึกที่ประกอบด้วย
ความไม่ถูกดูหมิ่น)) เป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น เพราะละตัณหาได้ เราจึงเรียกว่า นิพพาน
2
[๑๑๑๗] (อุทัยมาณพทูลถามอีกดังนี้ ) ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า สัตว์
โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์
[๑๑๑๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้ ) สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก มีสติ
เที่ยวไปอยู่อย่างนี้ วิญญาณ (วิญญาณ หมายถึงอภิสังขารวิญญาณ (วิญญาณที่เกิดพร้อมกับอภิสังขาร))
จึงดับสนิท
อุทยมาณวกปัญหาที่ ๑๓ จบ
-------------------------------------------------
อุทยมาณวปัญหานิทเทส
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
๑๓. อุทยมาณวปัญหานิทเทส
ว่าด้วยปัญหาของอุทัยมาณพ
(คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของนิทเทส)
[๗๔] (ท่านอุทัยทูลถาม ดังนี้ )
ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม
จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี
ประทับนั่งอยู่ ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว
ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง
ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์
อันเป็นเครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด
(๑) คาว่า ผู้ทรงมีฌาน ในคาว่า ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั่งอยู่ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคผู้มี
ฌาน ชื่อว่าทรงมีฌาน ด้วยปฐมฌานบ้าง ด้วยทุติยฌานบ้าง ด้วยตติยฌานบ้าง ด้วยจตุตถฌานบ้าง ด้วย
ฌานที่มีวิตกและวิจารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่ไม่มีวิตก
และวิจารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่มีปีติเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่ไม่มีปีติเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌาน
ที่สหรคตด้วยความแช่มชื่นบ้าง ด้วยฌานที่สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ด้วยฌานที่เป็นสุญญตะบ้าง (ฌานที่
3
เป็นสุญญตะ คือฌานที่ประกอบด้วยสุญญตวิโมกข์) ด้วยฌานที่เป็นอนิมิตตะบ้าง (ฌานที่เป็นอนิมิตตะ คือ
ฌานที่ถอนนิมิตว่าเที่ยง ยั่งยืน ตัวตนได้) ด้วย ฌานที่เป็นอัปปณิหิตะบ้าง (ฌานที่เป็นอัปปณิหิตะ คือฌาน
อันไม่มีที่ตั้งเพราะผลสมาบัติ เพราะชาระถือเอาความปรารถนาด้วยการถึงมรรค) ด้วยฌานที่เป็นโลกิยะ
บ้าง ด้วยฌานที่เป็นโลกุตตระบ้าง คือ ทรงเป็นผู้ยินดีในฌาน ทรงขวนขวายในความเป็นผู้มีจิตมีอารมณ์
หนึ่งเดียว ทรงหนักในประโยชน์ของพระองค์ รวมความว่า ผู้ทรงมีฌาน
ว่าด้วยธุลี
คาว่า ปราศจากธุลี อธิบายว่า ราคะ ชื่อว่าธุลี โทสะ ชื่อว่าธุลี โมหะ ชื่อว่าธุลี โกธะ ชื่อว่าธุลี อุป
นาหะ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทุกประเภท ชื่อว่าธุลี
กิเลสที่เรียกว่าธุลีเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคน
เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทาให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้า
จึงชื่อว่าไม่มีธุลี ปราศจากธุลี คือ ไร้ธุลี บาราศธุลี ละธุลีได้ หลุดพ้นธุลีได้ ก้าวล่วงธุลีทั้งปวงเสียแล้ว
ราคะ เราเรียกว่า ธุลี
เราหาเรียกละอองว่า เป็นธุลี ไม่
คาว่า ธุลีนี้ เป็นชื่อของราคะ
ฉะนั้น พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงละธุลีนั้นแล้ว
จึงเรียกได้ว่า ผู้ปราศจากธุลี
โทสะ เราเรียกว่า ธุลี
เราหาเรียกละอองว่า เป็นธุลี ไม่
คาว่า ธุลีนี้ เป็นชื่อของโทสะ
ฉะนั้น พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงละธุลีนั้นแล้ว
จึงเรียกได้ว่า ผู้ปราศจากธุลี
โมหะ เราเรียกว่า ธุลี
เราหาเรียกละอองว่า เป็นธุลี ไม่
คาว่า ธุลีนี้ เป็นชื่อของโมหะ
ฉะนั้น พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงละธุลีนั้นได้แล้ว
จึงเรียกได้ว่า ผู้ปราศจากธุลี
รวมความว่า ปราศจากธุลี
4
คาว่า ประทับนั่งอยู่ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปาสาณกเจดีย์ รวมความว่า ประทับ
นั่งอยู่
พระสาวกทั้งหลาย ผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุได้
นั่งห้อมล้อมพระมุนีผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์
ประทับอยู่ข้างภูเขา
พระผู้มีพระภาคชื่อว่าประทับนั่งอยู่ อย่างนี้ บ้าง
อีกนัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ชื่อว่าประทับนั่งอยู่ เพราะทรงเป็นผู้สงัดจากความขวนขวายทั้งปวง
แล้ว ทรงอยู่ใน(อริยวาสธรรม)แล้ว ประพฤติจรณธรรมแล้ว ฯลฯ พระองค์ไม่มีการเวียนเกิด เวียนแก่ เวียน
ตาย (และ)ภพใหม่ก็ไม่มีอีก พระผู้มีพระภาค ชื่อว่าประทับนั่งอยู่ อย่างนี้ บ้าง รวมความว่า ผู้ทรงมีฌาน
ปราศจากธุลี ประทับนั่งอยู่
คาว่า อุทัย เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น ฯลฯ ชื่อเรียกเฉพาะ รวมความว่า ท่านอุทัยทูลถาม ดังนี้
คาว่า ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ อธิบายว่า กิจน้อยใหญ่ คือ กิจที่ควรทาและไม่ควรทา
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว
เหลือแต่พื้นที่ ทาให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว
ภิกษุผู้ไม่มีทิฏฐิที่ทาให้ตกไป ตัดกระแสขาดแล้ว
ละกิจน้อยใหญ่ได้แล้ว ย่อมไม่มีความเร่าร้อน
ว่าด้วยอาสวะ ๔
คาว่า ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ อธิบายว่า
คาว่า อาสวะ ได้แก่ อาสวะ ๔ อย่าง คือ
๑. กามาสวะ
๒. ภวาสวะ
๓. ทิฏฐาสวะ
๔. อวิชชาสวะ
อาสวะเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่
ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทาให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าไม่มีอา
สวะ รวมความว่า ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
คาว่า ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคทรงถึงฝั่งได้ด้วยความรู้ยิ่ง ถึงฝั่งได้
ด้วยการกาหนดรู้ ถึงฝั่งได้ด้วยการละ ถึงฝั่งได้ด้วยการเจริญภาวนา ถึงฝั่งได้ด้วยการทาให้แจ้ง ถึงฝั่งได้ด้วย
5
การเข้าสมาบัติ ถึงฝั่งได้ด้วยความรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ถึงฝั่งได้ด้วยการกาหนดรู้ทุกข์ทั้งปวง ถึงฝั่งได้ด้วยการละ
กิเลสทั้งปวง ถึงฝั่งได้ด้วยการเจริญอริยมรรค ๔ ถึงฝั่งได้ด้วยการทาให้แจ้งนิโรธ ถึงฝั่งได้ด้วยการเข้าถึง
สมาบัติ ๘
พระองค์ทรงถึงความชานาญ บรรลุบารมีในอริยศีล ทรงถึงความชานาญบรรลุบารมีในอริยสมาธิ
ทรงถึงความชานาญ บรรลุบารมีในอริยปัญญา ทรงถึงความชานาญ บรรลุบารมีในอริยวิมุตติ
พระองค์ทรงถึงฝั่ง บรรลุฝั่ง ถึงส่วนสุด บรรลุส่วนสุด ถึงปลายสุด บรรลุปลายสุด ถึงท้ายสุด
บรรลุท้ายสุด ถึงความสาเร็จ บรรลุความสาเร็จ ถึงที่ปกป้อง บรรลุที่ปกป้อง ถึงที่หลีกเร้น บรรลุที่หลีกเร้น
ถึงที่พึ่ง บรรลุที่พึ่ง ถึงที่ไม่มีภัย บรรลุที่ไม่มีภัย ถึงที่ไม่จุติ บรรลุที่ไม่จุติ ถึงที่ไม่ตาย บรรลุที่ไม่ตาย ถึงที่ดับ
บรรลุที่ดับ พระผู้มีพระภาคนั้นทรงอยู่ใน(อริยวาสธรรม)แล้ว ประพฤติจรณธรรมแล้ว ฯลฯ พระองค์ไม่มี
การเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนตาย และภพใหม่ก็ไม่มีอีก รวมความว่า ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง
คาว่า ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้า อธิบายว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา
จึงมาเฝ้าแล้ว คือ ปรารถนาจะทูลถามปัญหาจึงมาเฝ้าแล้ว มีความปรารถนาจะฟังปัญหาจึงมาเฝ้าแล้ว รวม
ความว่า ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้า อย่างนี้ บ้าง
อีกนัยหนึ่ง การมาเฝ้า การก้าวเดินเข้าเฝ้า การเข้าไปเฝ้า การเข้าไปนั่งใกล้ พึงมีแก่ผู้ต้องการ
ปัญหา คือ ผู้ปรารถนาจะถามปัญหา ผู้ปรารถนาจะฟังปัญหา รวมความว่า ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม
จึงมาเฝ้า อย่างนี้ บ้าง
อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงมีอาคม(แหล่งความรู้)แห่งปัญหา ทั้งพระองค์ทรงองอาจ ทรงสามารถที่
จะตรัสบอก คือ วิสัชนาปัญหา ที่ข้าพระองค์ทูลถาม ข้อนี้ เป็นภาระของพระองค์ รวมความว่า ข้าพระองค์มี
ปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้าอย่างนี้ บ้าง
คาว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ อธิบายว่า ความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล ตรัส
เรียกว่า อัญญาวิโมกข์ ขอพระองค์โปรดตรัส คือ โปรดบอก แสดง บัญญัติ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาให้
ง่าย ประกาศความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผลด้วยเถิด รวมความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์
คาว่า อันเป็นเครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด อธิบายว่า อันเป็นเครื่องสลาย เป็นเครื่องทาลาย คือ
เป็นการละ การเข้าไปสงบ การสลัดทิ้ง การระงับอวิชชาได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า อันเป็นเครื่อง
ทาลายอวิชชาด้วยเถิด เหตุนั้นพราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า (ท่านอุทัยทูลถาม ดังนี้ )
ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม
จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี
ประทับนั่งอยู่ ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว
ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง
6
ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์
อันเป็นเครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด
[๗๕] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย)
เราจะบอกอัญญาวิโมกข์
อันเป็นเครื่องละความพอใจ
ในกามและโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง
เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ
และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง
(๒) คาว่า อันเป็นเครื่องละความพอใจในกาม อธิบายว่า
คาว่า ความพอใจ ได้แก่ ความพอใจด้วยอานาจความใคร่ ความกาหนัดด้วยอานาจความใคร่
ความเพลิดเพลินด้วยอานาจความใคร่ ความทะยานอยากด้วยอานาจความใคร่ ความเยื่อใยด้วยอานาจ
ความใคร่ ความกระหายด้วยอานาจความใคร่ ความเร่าร้อนด้วยอานาจความใคร่ ความสยบด้วยอานาจ
ความใคร่ ความติดใจด้วยอานาจความใคร่ในกามทั้งหลาย ห้วงน้าคือความใคร่ กิเลสเป็นเครื่องประกอบคือ
ความใคร่ กิเลสเครื่องยึดมั่นคือความใคร่ กิเลสเครื่องกั้นจิตคือความพอใจด้วยอานาจความใคร่ในกาม
ทั้งหลาย
คาว่า อันเป็นเครื่องละความพอใจในกาม อธิบายว่า อันเป็นเครื่องละ คือ เป็นเครื่องเข้าไปสงบ
สลัดทิ้ง ระงับความพอใจในกามได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า อันเป็นเครื่องละความพอใจในกาม
คาว่า อุทัย ในคาว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย เป็นคาที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
พราหมณ์นั้นโดยชื่อ
คาว่า พระผู้มีพระภาค นี้ เป็นคากล่าวโดยความเคารพ ฯลฯ คาว่า พระผู้มีพระภาค นี้ เป็นสัจฉิ
กาบัญญัติ รวมความว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย
คาว่า โทมนัส ในคาว่า และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง อธิบายว่า ความไม่แช่มชื่นทางใจ ความทุกข์ทาง
ใจ ความเสวยอารมณ์เป็นทุกข์อันไม่แช่มชื่นเกิดจากสัมผัสทางใจ ทุกขเวทนาอันไม่แช่มชื่นเกิดจากสัมผัส
ทางใจ
คาว่า และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง อธิบายว่า การละ การเข้าไปสงบ การสลัดทิ้ง การระงับความพอใจ
ในกามและโทมนัสทั้ง ๒ อย่างได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง
7
คาว่า ความย่อท้อ ในคาว่า เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ อธิบายว่า ความที่จิตไม่คล่องแคล่ว
ความที่จิตไม่ควรแก่การงาน ความหดหู่ กิริยาที่หดหู่ ความท้อถอย กิริยาที่ท้อถอย ภาวะที่ท้อถอย ความย่อ
ท้อ กิริยาที่ย่อท้อ ความเป็นผู้มีจิตย่อท้อ
คาว่า เป็นเครื่องบรรเทา ได้แก่ เป็นเครื่องบรรเทา คือ เป็นเครื่องละ เป็นเครื่องเข้าไปสงบ สลัด
ทิ้ง ระงับความย่อท้อได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ
ว่าด้วยความคะนอง
คาว่า ความคะนอง ในคาว่า และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง อธิบายว่า ความคะนองมือ ชื่อว่า
ความคะนอง ความคะนองเท้า ชื่อว่าความคะนอง ความคะนองมือและเท้า ก็ชื่อว่าความคะนอง
ความสาคัญในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร ความสาคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร ฯลฯ ความสาคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มี
โทษ ความสาคัญในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ ความคะนอง กิริยาที่คะนอง ภาวะที่คะนอง ความเดือดร้อนจิต
ใจฟุ้งซ่านเห็นปานนี้ นี้ ตรัสเรียกว่า ความคะนอง
อีกนัยหนึ่ง ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นเพราะเหตุ ๒ อย่าง คือ (๑) เพราะ
ทา (๒) เพราะไม่ทา
ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นเพราะทาและเพราะไม่ทา เป็นอย่างไร
คือ ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เราทาแต่กายทุจริต ไม่ทากายสุจริต”
ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เราทาแต่วจีทุจริต ไม่ทาวจีสุจริต เราทาแต่มโน
ทุจริต ไม่ทามโนสุจริต เราทาแต่ปาณาติปาต ไม่ทาความงดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ เราทาแต่
อทินนาทาน ไม่ทาความงดเว้นจากอทินนาทาน ฯลฯ เราทาแต่กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ทาความงดเว้นจาก
กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ เราทาแต่มุสาวาท ไม่ทาความงดเว้นจากมุสาวาท ฯลฯ เราทาแต่ปิสุณาวาจา ไม่ทา
ความงดเว้นจากปิสุณาวาจา ฯลฯ เราทาแต่ผรุสวาจาไม่ทาความงดเว้นจากผรุสวาจา ฯลฯ เราทาแต่สัมผัป
ปลาปะ ไม่ทาความงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ฯลฯ เราทาแต่อภิชฌา ไม่ทาอนภิชฌา ฯลฯ เราทาแต่พยาบาท
ไม่ทาอัพยาบาท ฯลฯ เราทาแต่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ทาสัมมาทิฏฐิ” ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน
เกิดขึ้นเพราะทาและเพราะไม่ทา เป็นอย่างนี้
อีกนัยหนึ่ง ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เรามิได้รักษาศีลให้บริบูรณ์”
ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เราไม่สารวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ ฯลฯ ไม่รู้จักประมาณ
ในการบริโภคอาหาร ฯลฯ ไม่ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่เสมอ ฯลฯ ไม่หมั่นประกอบ
สติสัมปชัญญะ ฯลฯ ไม่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ ไม่เจริญสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ไม่เจริญอิทธิบาท ๔ ฯลฯ ไม่
8
เจริญอินทรีย์ ๕ ฯลฯ ไม่เจริญพละ ๕ ฯลฯ ไม่เจริญโพชฌงค์ ๗ ฯลฯ ไม่เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ ไม่
กาหนดรู้ทุกข์ ไม่ละสมุทัย ไม่เจริญมรรค เราไม่ทานิโรธให้ประจักษ์แจ้ง”
คาว่า และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง อธิบายว่า เครื่องปิด เครื่องกั้น คือ การละ การเข้าไปสงบ
การสลัดทิ้ง การระงับความคะนองได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง ด้วย
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย)
เราจะบอกอัญญาวิโมกข์
อันเป็นเครื่องละความพอใจ
ในกามและโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง
เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ
และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง
[๗๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า)
เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ที่บริสุทธิ์
เพราะมีอุเบกขาและสติ ที่มีธรรมตรรกเป็นเบื้ องต้น
เป็นเครื่องทาลายอวิชชา
(๓) คาว่า อุเบกขา ในคาว่า ที่บริสุทธิ์เพราะมีอุเบกขาและสติ ได้แก่ อุเบกขา คือ ความเพิกเฉย ความ
เพิกเฉยอย่างยิ่ง ความที่จิตสงบ ความที่จิตสงัด ความที่จิตเป็นกลางในจตุตถฌาน
คาว่า สติ ได้แก่ สติ คือ ความระลึกถึง ฯลฯ สัมมาสติ ปรารภอุเบกขา ในจตุตถฌาน
คาว่า ที่บริสุทธิ์เพราะมีอุเบกขาและสติ อธิบายว่า อุเบกขาและสติในจตุตถฌาน สะอาด คือ หมด
จด บริสุทธิ์ สะอาดพร้อม ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ปราศจากอุปกิเลส อ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้ง
มั่น ถึงความไม่หวั่นไหว รวมความว่า ที่บริสุทธิ์เพราะมีอุเบกขาและสติ
คาว่า ที่มีธรรมตรรกเป็นเบื้องต้น อธิบายว่า สัมมาสังกัปปะ ตรัสเรียกว่า ธรรมตรรก สัมมา
สังกัปปะนั้น เป็นเบื้องต้น คือ เป็นเบื้องหน้า เป็นหัวหน้าแห่งอัญญาวิโมกข์ รวมความว่า ที่มีธรรมตรรกเป็น
เบื้องต้น อย่างนี้ บ้าง
อีกนัยหนึ่ง สัมมาทิฏฐิตรัสเรียกว่า ธรรมตรรก สัมมาทิฏฐินั้น เป็นเบื้องต้น คือ เป็นเบื้องหน้า
เป็นหัวหน้าแห่งอัญญาวิโมกข์ รวมความว่า ที่มีธรรมตรรก เป็นเบื้องต้น อย่างนี้ บ้าง
คาว่า เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ อธิบายว่า ความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล ตรัสเรียกว่า อัญญา
วิโมกข์ เราจะบอก คือ บอก แสดง บัญญัติ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาให้ง่าย ประกาศความหลุดพ้นด้วย
อรหัตตผล รวมความว่า เราจะบอกอัญญาวิโมกข์
9
คาว่า อวิชชา ในคาว่า เป็นเครื่องลาลายอวิชชา อธิบายว่า ความไม่รู้ในทุกข์ ฯลฯ อวิชชา อกุศล
มูลคือโมหะ
คาว่า เป็นเครื่องทาลาย อธิบายว่า เป็นเครื่องสลาย เป็นเครื่องทาลาย คือ การละ การเข้าไปสงบ
การสลัดทิ้ง การระงับอวิชชาได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า เป็นเครื่องทาลายอวิชชา ด้วยเหตุนั้น พระผู้
มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า
เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ที่บริสุทธิ์
เพราะมีอุเบกขาและสติ ที่มีธรรมตรรกเป็นเบื้องต้น
เป็นเครื่องทาลายอวิชชา
[๗๗] (ท่านอุทัยทูลถามว่า)
สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้
อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน
(๔) คาว่า สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ อธิบายว่า อะไรเป็นเครื่องประกอบ คือ เครื่องเกี่ยวข้อง
เครื่องผูกพัน เครื่องเศร้าหมองของสัตว์โลก โลกถูกอะไร ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบทั่วถึง ประกอบ
พร้อม เกาะติด เกี่ยวข้อง พัวพันไว้ รวมความว่า สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้
คาว่า อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น อธิบายว่า อะไรเล่าเป็นเครื่องสัญจร เที่ยวไป คือ
ท่องเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น คือ โลกสัญจรไป เที่ยวไป ท่องเที่ยวไปด้วยอะไร รวมความว่า อะไรเล่าเป็นเหตุ
เที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
คาว่า เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน อธิบายว่า เพราะละ คือ เพราะเข้าไปสงบ
เพราะสลัดทิ้ง เพราะระงับอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสเรียก คือ กล่าว พูด บอก แสดง ชี้แจงว่านิพพาน รวม
ความว่า เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน ด้วยเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า
สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้
อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน
[๗๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า)
สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้
ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
10
เพราะละตัณหาได้ เราจึงเรียกว่า นิพพาน
(๕) คาว่า สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ อธิบายว่า ตัณหา ตรัสเรียกว่า ความ
เพลิดเพลิน ได้แก่ ความกาหนัด ความกาหนัดนัก ฯลฯ อภิชฌา อกุศลมูลคือโลภะ นี้ ตรัสเรียกว่า ความ
เพลิดเพลิน ได้แก่ ความเพลิดเพลินที่เป็นเครื่องประกอบ เป็นเครื่องเกี่ยวข้อง เป็นเครื่องผูกพัน เป็นเครื่อง
เศร้าหมองของสัตว์โลก สัตว์โลกถูกความเพลิดเพลินนี้ ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบทั่วถึง ประกอบพร้อม
เกาะติด เกี่ยวข้อง พัวพันไว้ รวมความว่า สัตว์โลกมีความ เพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้
ว่าด้วยความตรึก ๙ อย่าง
คาว่า ความตรึก ในคาว่า ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น ได้แก่ ความตรึก ๙ อย่าง
คือ
๑. ความตรึกในกาม
๒. ความตรึกในความพยาบาท
๓. ความตรึกในความเบียดเบียน
๔. ความตรึกถึงญาติ
๕. ความตรึกถึงชนบท
๖. ความตรึกถึงเทพเจ้า
๗. ความตรึกเกี่ยวเนื่องด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น
๘. ความตรึกเกี่ยวเนื่องด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญ
๙. ความตรึกเกี่ยวเนื่องด้วยความไม่ถูกดูหมิ่น
เหล่านี้ เรียกว่า ความตรึก ๙ อย่าง ความตรึก ๙ อย่างเหล่านี้ เป็นเหตุสัญจรเที่ยวไป คือ
ท่องเที่ยวไปของสัตว์โลก คือ สัตว์โลกสัญจรไป เที่ยวไป ท่องเที่ยวไปด้วยความตรึก ๙ อย่างเหล่านี้ รวม
ความว่า ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
คาว่า ตัณหา ในคาว่า เพราะละตัณหาได้เราจึงเรียกว่านิพพาน ได้แก่ รูปตัณหา สัททตัณหา
คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
คาว่า เพราะละตัณหาได้เราจึงเรียกว่า นิพพาน อธิบายว่า เพราะละ คือ เพราะเข้าไปสงบ เพราะ
สลัดทิ้ง เพราะระงับตัณหาได้ เราจึงเรียก คือ กล่าว พูด บอก แสดง ชี้แจงว่า นิพพาน รวมความว่า เพราะ
ละตัณหาได้เราจึงเรียกว่า นิพพาน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า
สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้
ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
11
เพราะละตัณหาได้เราจึงเรียกว่า นิพพาน
[๗๙] (ท่านอุทัยทูลถามว่า)
ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท
ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์
(๖) คาว่า สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร อธิบายว่า สัตว์โลกมีสติสัมปชัญญะเที่ยวไป คือ อยู่ เคลื่อนไหว
เป็นไป เลี้ยงชีวิต ดาเนินไป ยังชีวิตให้ดาเนินไปอย่างไร รวมความว่า สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร
คาว่า วิญญาณจึงดับสนิท อธิบายว่า วิญญาณจึงดับ คือ เข้าไปสงบถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ระงับไป
รวมความว่า วิญญาณจึงดับสนิท
คาว่า ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค อธิบายว่า พวกข้าพระองค์มาเฝ้า คือ เป็นผู้
มาเฝ้าแล้ว มาเข้าเฝ้าแล้ว มาถึง ถึงพร้อมแล้ว เป็นผู้มาถึงพร้อมกับพระองค์แล้ว เพื่อทูลถาม คือ ทูลปุจฉา
ทูลขอ ทูลอัญเชิญ ทูลให้พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประกาศ รวมความว่า ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้
มีพระภาค
คาว่า นั้น ในคาว่า ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์ อธิบายว่า พวกข้าพระองค์ขอฟัง คือ เรียน
ทรงจา เข้าไปกาหนดพระดารัส คือ คาที่เป็นแนวทางเทศนา คาสั่งสอน คาที่พร่าสอน รวมความว่า ขอฟัง
พระดารัสนั้นของพระองค์ ด้วยเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า
ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท
ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์
[๘๐] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า)
สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก
มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ วิญญาณจึงดับสนิท
(๗) ว่าด้วยเวทนา
คาว่า สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก อธิบายว่า สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาใน
เวทนาภายในอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มี
อีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น
12
สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายนอกอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ
บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น
ความถือมั่น
สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภายนอกอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจ
เวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ
ความยึดมั่น ความถือมั่น
สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นภายใน พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์
โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปภายใน พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็น
ธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปภายใน พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็น
ธรรมคือความเกิดขึ้นภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความ
เสื่อมไปภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและ
ความเสื่อมไปภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้น
ทั้งภายในและภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไป
ทั้งภายในและภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปทั้งภายในและภายนอก สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง
ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติด
ใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น
สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาด้วยอาการ ๔๒ อย่าง เหล่านี้ อยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่
ติดใจเวทนา ได้แก่ ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ฯลฯ
อีกนัยหนึ่ง สัตว์โลกเห็นเวทนา โดยความเป็นของไม่เที่ยง ก็ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา
ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ
ความยึดมั่น ความถือมั่น
สัตว์โลกเห็นเวทนาโดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นของลาบาก เป็น
อาพาธ ฯลฯ เป็นของที่ต้องสลัดออกไป ก็ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้
หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น
สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาด้วยอาการ ๔๒ อย่างเหล่านี้ อยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่
ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ
ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น รวมความว่า สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก
13
คาว่า มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ อธิบายว่า มีสติสัมปชัญญะ เที่ยวไป คือ อยู่ เคลื่อนไหว เป็นไป
เลี้ยงชีวิต ดาเนินไป ยังชีวิตให้ดาเนินไปอย่างนี้ รวมความว่า มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้
คาว่า วิญญาณจึงดับสนิท อธิบายว่า วิญญาณที่สหรคตด้วยปุญญาภิสังขาร วิญญาณที่สหรคต
ด้วยอปุญญาภิสังขาร วิญญาณที่สหรคตด้วยอาเนญชาภิสังขารจึงดับไป คือ เข้าไปสงบ ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
ระงับไป รวมความว่า วิญญาณจึงดับสนิท ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า
สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก
มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ วิญญาณจึงดับสนิท
พร้อมกับการจบคาถา ฯลฯ อุทัยมาณพ... โดยประกาศว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระ
ภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก”
อุทยมาณวปัญหานิทเทสที่ ๑๓ จบ
--------------------------------------------------

Contenu connexe

Plus de maruay songtanin

010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdfหงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
maruay songtanin
 
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdfหลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
maruay songtanin
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 

Plus de maruay songtanin (20)

010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
010 สุขวิหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
009 มฆเทวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
008 คามณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
007 กัฏฐหาริชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
005 ตัณฑุลนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
004 จูฬเสฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
003 เสริววาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
002 วัณณุปถชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
001 อปัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...
คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...
คำนำชุมนุมชาดก ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ (มี ๕๒๕ เรื่อง) และเล่มที่ ๒๐ (มี ๒...
 
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdfหงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
หงส์ดำ Black Swan - The Impact of the Highly Improbable.pdf
 
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdfหลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
หลักการผู้นำ 7 ประการ 7 proven leadership principles .pdf
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

๑๓ อุทยปัญหา.pdf

  • 1. 1 ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน ตอนที่ ๑๔ อุทยปัญหา ปัญหาเรื่อง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ (๑๓) อุทยปัญหา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ๑๓. อุทยมาณวกปัญหา ว่าด้วยปัญหาของอุทัยมาณพ [๑๑๑๒] (อุทัยมาณพทูลถามดังนี้ ) ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมี ฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั ่งอยู่ ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอ พระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ (อัญญาวิโมกข์ หมายถึงความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล) อันเป็น เครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด [๑๑๑๓] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย) เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ อันเป็นเครื่องละความ พอใจในกาม และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง [๑๑๑๔] เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ที่บริสุทธิ์ เพราะมีอุเบกขาและสติ ที่มีธรรมตรรกะเป็น เบื้องต้น เป็นเครื่องทาลายอวิชชา [๑๑๑๕] (อุทัยมาณพทูลถามอีกดังนี้ ) สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ อะไรเล่าเป็นเหตุ เที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน [๑๑๑๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้ ) สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ ความตรึก (ความตรึก (วิตก) มี ๙ อย่าง (๑) กามวิตก (ความตรึกในกาม) (๒) พยาบาทวิตก (ความตรึก ในพยาบาท) (๓) วิหิงสาวิตก (ความตรึกในความเบียดเบียน) (๔) ญาติวิตก (ความตรึกถึงญาติ) (๕) ชนปทวิตก (ความตรึกถึงชนบท) (๖) อมราวิตก (ความตรึกถึงเทพเจ้า) (๗) ปรานุทยตาปฏิสังยุตตวิตก (ความตรึกที่ประกอบด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น) (๘) ลาภสักการสิโลกปฏิสังยุตตวิตก (ความตรึกที่ ประกอบด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญ) (๙) อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตก (ความตรึกที่ประกอบด้วย ความไม่ถูกดูหมิ่น)) เป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น เพราะละตัณหาได้ เราจึงเรียกว่า นิพพาน
  • 2. 2 [๑๑๑๗] (อุทัยมาณพทูลถามอีกดังนี้ ) ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า สัตว์ โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์ [๑๑๑๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้ ) สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก มีสติ เที่ยวไปอยู่อย่างนี้ วิญญาณ (วิญญาณ หมายถึงอภิสังขารวิญญาณ (วิญญาณที่เกิดพร้อมกับอภิสังขาร)) จึงดับสนิท อุทยมาณวกปัญหาที่ ๑๓ จบ ------------------------------------------------- อุทยมาณวปัญหานิทเทส พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ๑๓. อุทยมาณวปัญหานิทเทส ว่าด้วยปัญหาของอุทัยมาณพ (คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของนิทเทส) [๗๔] (ท่านอุทัยทูลถาม ดังนี้ ) ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั่งอยู่ ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ อันเป็นเครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด (๑) คาว่า ผู้ทรงมีฌาน ในคาว่า ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั่งอยู่ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคผู้มี ฌาน ชื่อว่าทรงมีฌาน ด้วยปฐมฌานบ้าง ด้วยทุติยฌานบ้าง ด้วยตติยฌานบ้าง ด้วยจตุตถฌานบ้าง ด้วย ฌานที่มีวิตกและวิจารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่ไม่มีวิตก และวิจารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่มีปีติเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌานที่ไม่มีปีติเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยฌาน ที่สหรคตด้วยความแช่มชื่นบ้าง ด้วยฌานที่สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ด้วยฌานที่เป็นสุญญตะบ้าง (ฌานที่
  • 3. 3 เป็นสุญญตะ คือฌานที่ประกอบด้วยสุญญตวิโมกข์) ด้วยฌานที่เป็นอนิมิตตะบ้าง (ฌานที่เป็นอนิมิตตะ คือ ฌานที่ถอนนิมิตว่าเที่ยง ยั่งยืน ตัวตนได้) ด้วย ฌานที่เป็นอัปปณิหิตะบ้าง (ฌานที่เป็นอัปปณิหิตะ คือฌาน อันไม่มีที่ตั้งเพราะผลสมาบัติ เพราะชาระถือเอาความปรารถนาด้วยการถึงมรรค) ด้วยฌานที่เป็นโลกิยะ บ้าง ด้วยฌานที่เป็นโลกุตตระบ้าง คือ ทรงเป็นผู้ยินดีในฌาน ทรงขวนขวายในความเป็นผู้มีจิตมีอารมณ์ หนึ่งเดียว ทรงหนักในประโยชน์ของพระองค์ รวมความว่า ผู้ทรงมีฌาน ว่าด้วยธุลี คาว่า ปราศจากธุลี อธิบายว่า ราคะ ชื่อว่าธุลี โทสะ ชื่อว่าธุลี โมหะ ชื่อว่าธุลี โกธะ ชื่อว่าธุลี อุป นาหะ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทุกประเภท ชื่อว่าธุลี กิเลสที่เรียกว่าธุลีเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคน เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทาให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงชื่อว่าไม่มีธุลี ปราศจากธุลี คือ ไร้ธุลี บาราศธุลี ละธุลีได้ หลุดพ้นธุลีได้ ก้าวล่วงธุลีทั้งปวงเสียแล้ว ราคะ เราเรียกว่า ธุลี เราหาเรียกละอองว่า เป็นธุลี ไม่ คาว่า ธุลีนี้ เป็นชื่อของราคะ ฉะนั้น พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงละธุลีนั้นแล้ว จึงเรียกได้ว่า ผู้ปราศจากธุลี โทสะ เราเรียกว่า ธุลี เราหาเรียกละอองว่า เป็นธุลี ไม่ คาว่า ธุลีนี้ เป็นชื่อของโทสะ ฉะนั้น พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงละธุลีนั้นแล้ว จึงเรียกได้ว่า ผู้ปราศจากธุลี โมหะ เราเรียกว่า ธุลี เราหาเรียกละอองว่า เป็นธุลี ไม่ คาว่า ธุลีนี้ เป็นชื่อของโมหะ ฉะนั้น พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงละธุลีนั้นได้แล้ว จึงเรียกได้ว่า ผู้ปราศจากธุลี รวมความว่า ปราศจากธุลี
  • 4. 4 คาว่า ประทับนั่งอยู่ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปาสาณกเจดีย์ รวมความว่า ประทับ นั่งอยู่ พระสาวกทั้งหลาย ผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุได้ นั่งห้อมล้อมพระมุนีผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ประทับอยู่ข้างภูเขา พระผู้มีพระภาคชื่อว่าประทับนั่งอยู่ อย่างนี้ บ้าง อีกนัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ชื่อว่าประทับนั่งอยู่ เพราะทรงเป็นผู้สงัดจากความขวนขวายทั้งปวง แล้ว ทรงอยู่ใน(อริยวาสธรรม)แล้ว ประพฤติจรณธรรมแล้ว ฯลฯ พระองค์ไม่มีการเวียนเกิด เวียนแก่ เวียน ตาย (และ)ภพใหม่ก็ไม่มีอีก พระผู้มีพระภาค ชื่อว่าประทับนั่งอยู่ อย่างนี้ บ้าง รวมความว่า ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั่งอยู่ คาว่า อุทัย เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น ฯลฯ ชื่อเรียกเฉพาะ รวมความว่า ท่านอุทัยทูลถาม ดังนี้ คาว่า ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ อธิบายว่า กิจน้อยใหญ่ คือ กิจที่ควรทาและไม่ควรทา พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทาให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ภิกษุผู้ไม่มีทิฏฐิที่ทาให้ตกไป ตัดกระแสขาดแล้ว ละกิจน้อยใหญ่ได้แล้ว ย่อมไม่มีความเร่าร้อน ว่าด้วยอาสวะ ๔ คาว่า ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ อธิบายว่า คาว่า อาสวะ ได้แก่ อาสวะ ๔ อย่าง คือ ๑. กามาสวะ ๒. ภวาสวะ ๓. ทิฏฐาสวะ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทาให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าไม่มีอา สวะ รวมความว่า ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ คาว่า ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคทรงถึงฝั่งได้ด้วยความรู้ยิ่ง ถึงฝั่งได้ ด้วยการกาหนดรู้ ถึงฝั่งได้ด้วยการละ ถึงฝั่งได้ด้วยการเจริญภาวนา ถึงฝั่งได้ด้วยการทาให้แจ้ง ถึงฝั่งได้ด้วย
  • 5. 5 การเข้าสมาบัติ ถึงฝั่งได้ด้วยความรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ถึงฝั่งได้ด้วยการกาหนดรู้ทุกข์ทั้งปวง ถึงฝั่งได้ด้วยการละ กิเลสทั้งปวง ถึงฝั่งได้ด้วยการเจริญอริยมรรค ๔ ถึงฝั่งได้ด้วยการทาให้แจ้งนิโรธ ถึงฝั่งได้ด้วยการเข้าถึง สมาบัติ ๘ พระองค์ทรงถึงความชานาญ บรรลุบารมีในอริยศีล ทรงถึงความชานาญบรรลุบารมีในอริยสมาธิ ทรงถึงความชานาญ บรรลุบารมีในอริยปัญญา ทรงถึงความชานาญ บรรลุบารมีในอริยวิมุตติ พระองค์ทรงถึงฝั่ง บรรลุฝั่ง ถึงส่วนสุด บรรลุส่วนสุด ถึงปลายสุด บรรลุปลายสุด ถึงท้ายสุด บรรลุท้ายสุด ถึงความสาเร็จ บรรลุความสาเร็จ ถึงที่ปกป้อง บรรลุที่ปกป้อง ถึงที่หลีกเร้น บรรลุที่หลีกเร้น ถึงที่พึ่ง บรรลุที่พึ่ง ถึงที่ไม่มีภัย บรรลุที่ไม่มีภัย ถึงที่ไม่จุติ บรรลุที่ไม่จุติ ถึงที่ไม่ตาย บรรลุที่ไม่ตาย ถึงที่ดับ บรรลุที่ดับ พระผู้มีพระภาคนั้นทรงอยู่ใน(อริยวาสธรรม)แล้ว ประพฤติจรณธรรมแล้ว ฯลฯ พระองค์ไม่มี การเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนตาย และภพใหม่ก็ไม่มีอีก รวมความว่า ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง คาว่า ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้า อธิบายว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงมาเฝ้าแล้ว คือ ปรารถนาจะทูลถามปัญหาจึงมาเฝ้าแล้ว มีความปรารถนาจะฟังปัญหาจึงมาเฝ้าแล้ว รวม ความว่า ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้า อย่างนี้ บ้าง อีกนัยหนึ่ง การมาเฝ้า การก้าวเดินเข้าเฝ้า การเข้าไปเฝ้า การเข้าไปนั่งใกล้ พึงมีแก่ผู้ต้องการ ปัญหา คือ ผู้ปรารถนาจะถามปัญหา ผู้ปรารถนาจะฟังปัญหา รวมความว่า ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม จึงมาเฝ้า อย่างนี้ บ้าง อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงมีอาคม(แหล่งความรู้)แห่งปัญหา ทั้งพระองค์ทรงองอาจ ทรงสามารถที่ จะตรัสบอก คือ วิสัชนาปัญหา ที่ข้าพระองค์ทูลถาม ข้อนี้ เป็นภาระของพระองค์ รวมความว่า ข้าพระองค์มี ปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้าอย่างนี้ บ้าง คาว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ อธิบายว่า ความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล ตรัส เรียกว่า อัญญาวิโมกข์ ขอพระองค์โปรดตรัส คือ โปรดบอก แสดง บัญญัติ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาให้ ง่าย ประกาศความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผลด้วยเถิด รวมความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ คาว่า อันเป็นเครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด อธิบายว่า อันเป็นเครื่องสลาย เป็นเครื่องทาลาย คือ เป็นการละ การเข้าไปสงบ การสลัดทิ้ง การระงับอวิชชาได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า อันเป็นเครื่อง ทาลายอวิชชาด้วยเถิด เหตุนั้นพราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า (ท่านอุทัยทูลถาม ดังนี้ ) ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถาม จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมีฌาน ปราศจากธุลี ประทับนั่งอยู่ ผู้ทรงทากิจสาเร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง
  • 6. 6 ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ อันเป็นเครื่องทาลายอวิชชาด้วยเถิด [๗๕] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย) เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ อันเป็นเครื่องละความพอใจ ในกามและโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง (๒) คาว่า อันเป็นเครื่องละความพอใจในกาม อธิบายว่า คาว่า ความพอใจ ได้แก่ ความพอใจด้วยอานาจความใคร่ ความกาหนัดด้วยอานาจความใคร่ ความเพลิดเพลินด้วยอานาจความใคร่ ความทะยานอยากด้วยอานาจความใคร่ ความเยื่อใยด้วยอานาจ ความใคร่ ความกระหายด้วยอานาจความใคร่ ความเร่าร้อนด้วยอานาจความใคร่ ความสยบด้วยอานาจ ความใคร่ ความติดใจด้วยอานาจความใคร่ในกามทั้งหลาย ห้วงน้าคือความใคร่ กิเลสเป็นเครื่องประกอบคือ ความใคร่ กิเลสเครื่องยึดมั่นคือความใคร่ กิเลสเครื่องกั้นจิตคือความพอใจด้วยอานาจความใคร่ในกาม ทั้งหลาย คาว่า อันเป็นเครื่องละความพอใจในกาม อธิบายว่า อันเป็นเครื่องละ คือ เป็นเครื่องเข้าไปสงบ สลัดทิ้ง ระงับความพอใจในกามได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า อันเป็นเครื่องละความพอใจในกาม คาว่า อุทัย ในคาว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย เป็นคาที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก พราหมณ์นั้นโดยชื่อ คาว่า พระผู้มีพระภาค นี้ เป็นคากล่าวโดยความเคารพ ฯลฯ คาว่า พระผู้มีพระภาค นี้ เป็นสัจฉิ กาบัญญัติ รวมความว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย คาว่า โทมนัส ในคาว่า และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง อธิบายว่า ความไม่แช่มชื่นทางใจ ความทุกข์ทาง ใจ ความเสวยอารมณ์เป็นทุกข์อันไม่แช่มชื่นเกิดจากสัมผัสทางใจ ทุกขเวทนาอันไม่แช่มชื่นเกิดจากสัมผัส ทางใจ คาว่า และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง อธิบายว่า การละ การเข้าไปสงบ การสลัดทิ้ง การระงับความพอใจ ในกามและโทมนัสทั้ง ๒ อย่างได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า และโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง
  • 7. 7 คาว่า ความย่อท้อ ในคาว่า เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ อธิบายว่า ความที่จิตไม่คล่องแคล่ว ความที่จิตไม่ควรแก่การงาน ความหดหู่ กิริยาที่หดหู่ ความท้อถอย กิริยาที่ท้อถอย ภาวะที่ท้อถอย ความย่อ ท้อ กิริยาที่ย่อท้อ ความเป็นผู้มีจิตย่อท้อ คาว่า เป็นเครื่องบรรเทา ได้แก่ เป็นเครื่องบรรเทา คือ เป็นเครื่องละ เป็นเครื่องเข้าไปสงบ สลัด ทิ้ง ระงับความย่อท้อได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ ว่าด้วยความคะนอง คาว่า ความคะนอง ในคาว่า และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง อธิบายว่า ความคะนองมือ ชื่อว่า ความคะนอง ความคะนองเท้า ชื่อว่าความคะนอง ความคะนองมือและเท้า ก็ชื่อว่าความคะนอง ความสาคัญในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร ความสาคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร ฯลฯ ความสาคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มี โทษ ความสาคัญในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ ความคะนอง กิริยาที่คะนอง ภาวะที่คะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่านเห็นปานนี้ นี้ ตรัสเรียกว่า ความคะนอง อีกนัยหนึ่ง ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นเพราะเหตุ ๒ อย่าง คือ (๑) เพราะ ทา (๒) เพราะไม่ทา ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นเพราะทาและเพราะไม่ทา เป็นอย่างไร คือ ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เราทาแต่กายทุจริต ไม่ทากายสุจริต” ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เราทาแต่วจีทุจริต ไม่ทาวจีสุจริต เราทาแต่มโน ทุจริต ไม่ทามโนสุจริต เราทาแต่ปาณาติปาต ไม่ทาความงดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ เราทาแต่ อทินนาทาน ไม่ทาความงดเว้นจากอทินนาทาน ฯลฯ เราทาแต่กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ทาความงดเว้นจาก กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ เราทาแต่มุสาวาท ไม่ทาความงดเว้นจากมุสาวาท ฯลฯ เราทาแต่ปิสุณาวาจา ไม่ทา ความงดเว้นจากปิสุณาวาจา ฯลฯ เราทาแต่ผรุสวาจาไม่ทาความงดเว้นจากผรุสวาจา ฯลฯ เราทาแต่สัมผัป ปลาปะ ไม่ทาความงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ฯลฯ เราทาแต่อภิชฌา ไม่ทาอนภิชฌา ฯลฯ เราทาแต่พยาบาท ไม่ทาอัพยาบาท ฯลฯ เราทาแต่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ทาสัมมาทิฏฐิ” ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นเพราะทาและเพราะไม่ทา เป็นอย่างนี้ อีกนัยหนึ่ง ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เรามิได้รักษาศีลให้บริบูรณ์” ความคะนอง ความเดือดร้อนจิต ใจฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นว่า “เราไม่สารวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ ฯลฯ ไม่รู้จักประมาณ ในการบริโภคอาหาร ฯลฯ ไม่ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่เสมอ ฯลฯ ไม่หมั่นประกอบ สติสัมปชัญญะ ฯลฯ ไม่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ ไม่เจริญสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ไม่เจริญอิทธิบาท ๔ ฯลฯ ไม่
  • 8. 8 เจริญอินทรีย์ ๕ ฯลฯ ไม่เจริญพละ ๕ ฯลฯ ไม่เจริญโพชฌงค์ ๗ ฯลฯ ไม่เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ ไม่ กาหนดรู้ทุกข์ ไม่ละสมุทัย ไม่เจริญมรรค เราไม่ทานิโรธให้ประจักษ์แจ้ง” คาว่า และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง อธิบายว่า เครื่องปิด เครื่องกั้น คือ การละ การเข้าไปสงบ การสลัดทิ้ง การระงับความคะนองได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง ด้วย เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อุทัย) เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ อันเป็นเครื่องละความพอใจ ในกามและโทมนัสทั้ง ๒ อย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความย่อท้อ และเป็นเครื่องกั้นความคะนอง [๗๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ที่บริสุทธิ์ เพราะมีอุเบกขาและสติ ที่มีธรรมตรรกเป็นเบื้ องต้น เป็นเครื่องทาลายอวิชชา (๓) คาว่า อุเบกขา ในคาว่า ที่บริสุทธิ์เพราะมีอุเบกขาและสติ ได้แก่ อุเบกขา คือ ความเพิกเฉย ความ เพิกเฉยอย่างยิ่ง ความที่จิตสงบ ความที่จิตสงัด ความที่จิตเป็นกลางในจตุตถฌาน คาว่า สติ ได้แก่ สติ คือ ความระลึกถึง ฯลฯ สัมมาสติ ปรารภอุเบกขา ในจตุตถฌาน คาว่า ที่บริสุทธิ์เพราะมีอุเบกขาและสติ อธิบายว่า อุเบกขาและสติในจตุตถฌาน สะอาด คือ หมด จด บริสุทธิ์ สะอาดพร้อม ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ปราศจากอุปกิเลส อ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้ง มั่น ถึงความไม่หวั่นไหว รวมความว่า ที่บริสุทธิ์เพราะมีอุเบกขาและสติ คาว่า ที่มีธรรมตรรกเป็นเบื้องต้น อธิบายว่า สัมมาสังกัปปะ ตรัสเรียกว่า ธรรมตรรก สัมมา สังกัปปะนั้น เป็นเบื้องต้น คือ เป็นเบื้องหน้า เป็นหัวหน้าแห่งอัญญาวิโมกข์ รวมความว่า ที่มีธรรมตรรกเป็น เบื้องต้น อย่างนี้ บ้าง อีกนัยหนึ่ง สัมมาทิฏฐิตรัสเรียกว่า ธรรมตรรก สัมมาทิฏฐินั้น เป็นเบื้องต้น คือ เป็นเบื้องหน้า เป็นหัวหน้าแห่งอัญญาวิโมกข์ รวมความว่า ที่มีธรรมตรรก เป็นเบื้องต้น อย่างนี้ บ้าง คาว่า เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ อธิบายว่า ความหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล ตรัสเรียกว่า อัญญา วิโมกข์ เราจะบอก คือ บอก แสดง บัญญัติ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาให้ง่าย ประกาศความหลุดพ้นด้วย อรหัตตผล รวมความว่า เราจะบอกอัญญาวิโมกข์
  • 9. 9 คาว่า อวิชชา ในคาว่า เป็นเครื่องลาลายอวิชชา อธิบายว่า ความไม่รู้ในทุกข์ ฯลฯ อวิชชา อกุศล มูลคือโมหะ คาว่า เป็นเครื่องทาลาย อธิบายว่า เป็นเครื่องสลาย เป็นเครื่องทาลาย คือ การละ การเข้าไปสงบ การสลัดทิ้ง การระงับอวิชชาได้ เป็นอมตนิพพาน รวมความว่า เป็นเครื่องทาลายอวิชชา ด้วยเหตุนั้น พระผู้ มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า เราจะบอกอัญญาวิโมกข์ที่บริสุทธิ์ เพราะมีอุเบกขาและสติ ที่มีธรรมตรรกเป็นเบื้องต้น เป็นเครื่องทาลายอวิชชา [๗๗] (ท่านอุทัยทูลถามว่า) สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน (๔) คาว่า สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ อธิบายว่า อะไรเป็นเครื่องประกอบ คือ เครื่องเกี่ยวข้อง เครื่องผูกพัน เครื่องเศร้าหมองของสัตว์โลก โลกถูกอะไร ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบทั่วถึง ประกอบ พร้อม เกาะติด เกี่ยวข้อง พัวพันไว้ รวมความว่า สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ คาว่า อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น อธิบายว่า อะไรเล่าเป็นเครื่องสัญจร เที่ยวไป คือ ท่องเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น คือ โลกสัญจรไป เที่ยวไป ท่องเที่ยวไปด้วยอะไร รวมความว่า อะไรเล่าเป็นเหตุ เที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น คาว่า เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน อธิบายว่า เพราะละ คือ เพราะเข้าไปสงบ เพราะสลัดทิ้ง เพราะระงับอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสเรียก คือ กล่าว พูด บอก แสดง ชี้แจงว่านิพพาน รวม ความว่า เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน ด้วยเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า สัตว์โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่า นิพพาน [๗๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
  • 10. 10 เพราะละตัณหาได้ เราจึงเรียกว่า นิพพาน (๕) คาว่า สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ อธิบายว่า ตัณหา ตรัสเรียกว่า ความ เพลิดเพลิน ได้แก่ ความกาหนัด ความกาหนัดนัก ฯลฯ อภิชฌา อกุศลมูลคือโลภะ นี้ ตรัสเรียกว่า ความ เพลิดเพลิน ได้แก่ ความเพลิดเพลินที่เป็นเครื่องประกอบ เป็นเครื่องเกี่ยวข้อง เป็นเครื่องผูกพัน เป็นเครื่อง เศร้าหมองของสัตว์โลก สัตว์โลกถูกความเพลิดเพลินนี้ ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบทั่วถึง ประกอบพร้อม เกาะติด เกี่ยวข้อง พัวพันไว้ รวมความว่า สัตว์โลกมีความ เพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ ว่าด้วยความตรึก ๙ อย่าง คาว่า ความตรึก ในคาว่า ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น ได้แก่ ความตรึก ๙ อย่าง คือ ๑. ความตรึกในกาม ๒. ความตรึกในความพยาบาท ๓. ความตรึกในความเบียดเบียน ๔. ความตรึกถึงญาติ ๕. ความตรึกถึงชนบท ๖. ความตรึกถึงเทพเจ้า ๗. ความตรึกเกี่ยวเนื่องด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น ๘. ความตรึกเกี่ยวเนื่องด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญ ๙. ความตรึกเกี่ยวเนื่องด้วยความไม่ถูกดูหมิ่น เหล่านี้ เรียกว่า ความตรึก ๙ อย่าง ความตรึก ๙ อย่างเหล่านี้ เป็นเหตุสัญจรเที่ยวไป คือ ท่องเที่ยวไปของสัตว์โลก คือ สัตว์โลกสัญจรไป เที่ยวไป ท่องเที่ยวไปด้วยความตรึก ๙ อย่างเหล่านี้ รวม ความว่า ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น คาว่า ตัณหา ในคาว่า เพราะละตัณหาได้เราจึงเรียกว่านิพพาน ได้แก่ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา คาว่า เพราะละตัณหาได้เราจึงเรียกว่า นิพพาน อธิบายว่า เพราะละ คือ เพราะเข้าไปสงบ เพราะ สลัดทิ้ง เพราะระงับตัณหาได้ เราจึงเรียก คือ กล่าว พูด บอก แสดง ชี้แจงว่า นิพพาน รวมความว่า เพราะ ละตัณหาได้เราจึงเรียกว่า นิพพาน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ ความตรึกเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกนั้น
  • 11. 11 เพราะละตัณหาได้เราจึงเรียกว่า นิพพาน [๗๙] (ท่านอุทัยทูลถามว่า) ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์ (๖) คาว่า สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร อธิบายว่า สัตว์โลกมีสติสัมปชัญญะเที่ยวไป คือ อยู่ เคลื่อนไหว เป็นไป เลี้ยงชีวิต ดาเนินไป ยังชีวิตให้ดาเนินไปอย่างไร รวมความว่า สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร คาว่า วิญญาณจึงดับสนิท อธิบายว่า วิญญาณจึงดับ คือ เข้าไปสงบถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ระงับไป รวมความว่า วิญญาณจึงดับสนิท คาว่า ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค อธิบายว่า พวกข้าพระองค์มาเฝ้า คือ เป็นผู้ มาเฝ้าแล้ว มาเข้าเฝ้าแล้ว มาถึง ถึงพร้อมแล้ว เป็นผู้มาถึงพร้อมกับพระองค์แล้ว เพื่อทูลถาม คือ ทูลปุจฉา ทูลขอ ทูลอัญเชิญ ทูลให้พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประกาศ รวมความว่า ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้ มีพระภาค คาว่า นั้น ในคาว่า ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์ อธิบายว่า พวกข้าพระองค์ขอฟัง คือ เรียน ทรงจา เข้าไปกาหนดพระดารัส คือ คาที่เป็นแนวทางเทศนา คาสั่งสอน คาที่พร่าสอน รวมความว่า ขอฟัง พระดารัสนั้นของพระองค์ ด้วยเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า สัตว์โลกมีสติเที่ยวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท ขอฟังพระดารัสนั้นของพระองค์ [๘๐] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ วิญญาณจึงดับสนิท (๗) ว่าด้วยเวทนา คาว่า สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก อธิบายว่า สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาใน เวทนาภายในอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มี อีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น
  • 12. 12 สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายนอกอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภายนอกอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจ เวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นภายใน พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์ โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปภายใน พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็น ธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปภายใน พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็น ธรรมคือความเกิดขึ้นภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความ เสื่อมไปภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและ ความเสื่อมไปภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้น ทั้งภายในและภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไป ทั้งภายในและภายนอก พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ สัตว์โลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปทั้งภายในและภายนอก สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติด ใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาด้วยอาการ ๔๒ อย่าง เหล่านี้ อยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ ติดใจเวทนา ได้แก่ ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ฯลฯ อีกนัยหนึ่ง สัตว์โลกเห็นเวทนา โดยความเป็นของไม่เที่ยง ก็ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น สัตว์โลกเห็นเวทนาโดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นของลาบาก เป็น อาพาธ ฯลฯ เป็นของที่ต้องสลัดออกไป ก็ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้ หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น สัตว์โลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาด้วยอาการ ๔๒ อย่างเหล่านี้ อยู่ ไม่ยินดี คือ ไม่บ่นถึง ไม่ ติดใจเวทนา ได้แก่ ละ บรรเทา ทาให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มีอีกซึ่งความยินดี คือ การบ่นถึง ความติดใจ ความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น รวมความว่า สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก
  • 13. 13 คาว่า มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ อธิบายว่า มีสติสัมปชัญญะ เที่ยวไป คือ อยู่ เคลื่อนไหว เป็นไป เลี้ยงชีวิต ดาเนินไป ยังชีวิตให้ดาเนินไปอย่างนี้ รวมความว่า มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ คาว่า วิญญาณจึงดับสนิท อธิบายว่า วิญญาณที่สหรคตด้วยปุญญาภิสังขาร วิญญาณที่สหรคต ด้วยอปุญญาภิสังขาร วิญญาณที่สหรคตด้วยอาเนญชาภิสังขารจึงดับไป คือ เข้าไปสงบ ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ระงับไป รวมความว่า วิญญาณจึงดับสนิท ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า สัตว์โลกไม่ยินดีเวทนาภายในและภายนอก มีสติเที่ยวไปอยู่อย่างนี้ วิญญาณจึงดับสนิท พร้อมกับการจบคาถา ฯลฯ อุทัยมาณพ... โดยประกาศว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระ ภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก” อุทยมาณวปัญหานิทเทสที่ ๑๓ จบ --------------------------------------------------