Contenu connexe
Similaire à (๒๓) พระปฏาจาราเถรี มจร.pdf (20)
Plus de maruay songtanin (20)
(๒๓) พระปฏาจาราเถรี มจร.pdf
- 1. 1
พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก
ตอนที่ ๑๙ ปฏาจาราเถริยาปทาน
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒
๑๐. ปฏาจาราเถริยาปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปฏาจาราเถรี
เกริ่นนา
พระชินเจ้าทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งหม่อมฉันไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะว่า ‘ปฏาจา
ราภิกษุณีเพียงผู้เดียวเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงวินัย’
(พระปฏาจาราเถรี เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๖๘] พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ถึงความสาเร็จแห่งธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นา เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้วในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ ไป
[๔๖๙] ครั้งนั้น หม่อมฉันเกิดในตระกูลเศรษฐี มีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในกรุงหงสวดี เป็น
ผู้เพียบพร้อมด้วยความสุขมาก
[๔๗๐] หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าพระมหาวีระพระองค์นั้นแล้ว ได้ฟังพระธรรมเทศนา แต่นั้นหม่อมฉัน
เกิดความเลื่อมใส ได้ถึงพระชินเจ้าเป็นสรณะ
[๔๗๑] ครั้งนั้น พระชินเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นา ทรงสรรเสริญภิกษุณีรูปหนึ่งผู้มีหิริ ผู้คงที่คล่องแคล่วใน
กิจที่ควรและไม่ควรว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงวินัย
[๔๗๒] ครั้งนั้น หม่อมฉันมีจิตเบิกบาน หวังตาแหน่งนั้น จึงทูลนิมนต์พระทศพลผู้ทรงเป็นผู้นา
สัตว์โลกพร้อมทั้งพระสงฆ์
[๔๗๓] ให้เสวยและฉันตลอด ๗ วัน ถวายบาตรและจีวรแล้ว ซบศีรษะลงแทบพระยุคลบาท แล้ว
ได้กราบทูลคานี้ ว่า
[๔๗๔] ‘ข้าแต่พระธีรมุนี ผู้ทรงเป็นผู้นาสัตว์โลก ภิกษุณีรูปใด ที่พระองค์ทรงสรรเสริญใน
ตาแหน่งที่เลิศ ในวันที่ ๘ แต่นี้ ถ้าตาแหน่งนั้นจะสาเร็จแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันจักเป็นเช่นนั้น’
[๔๗๕] ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสกับหม่อมฉันว่า ‘นางผู้เจริญ อย่ากลัวเลย จงเบาใจเถิด เธอจัก
ได้ตาแหน่งนั้นสมความปรารถนาในอนาคตกาล
[๔๗๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ ไป พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรง
สมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
- 2. 2
[๔๗๗] สตรีผู้นี้ จักมีนามว่าปฏาจารา เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต จักเป็นสาวิกา
ของพระศาสดาพระองคนั้น’
[๔๗๘] ครั้งนั้น หม่อมฉันเป็นผู้เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา ปรนนิบัติพระชินเจ้าผู้ทรงเป็น
ผู้นาสัตว์โลก พร้อมทั้งพระสงฆ์จนตลอดชีวิต
[๔๗๙] ด้วยกรรมที่หม่อมฉันได้ทาไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น หม่อมฉันละกายมนุษย์
แล้ว จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๔๘๐] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ มีพระยศยิ่งใหญ่พระนามว่ากัสสปะ
ตามพระโคตร ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
[๔๘๑] ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี เป็นใหญ่กว่านรชนในกรุงพาราณสีที่ประเสริฐสุด ทรง
เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๔๘๒] หม่อมฉันเป็นธิดาคนที่ ๓ ของพระองค์ มีนามปรากฏว่าภิกษุณี ได้ฟังธรรมของพระชิน
เจ้าผู้เลิศแล้วพอใจการบรรพชา
[๔๘๓] แต่พระชนกนาถมิได้ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหลายบวช ครั้งนั้น หม่อมฉันทั้งหลายไม่
เกียจคร้านครองเรือนอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี
[๔๘๔] พระราชกัญญาทั้ง ๗ พระองค์ มีความสุข ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่ยังเป็นกุมารี
เพลิดเพลินยินดีอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
[๔๘๕] คือ (๑) พระนางสมณี (๒) พระนางสมณคุตตา (๓) พระนางภิกษุณี (๔) พระนางภิกขุ
ทาสิกา (๕) พระนางธรรมา (๖) พระนางสุธรรมา (๗) พระนางสังฆทาสิกา
[๔๘๖] (พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้นได้กลับชาติมาเกิด) คือ หม่อมฉัน ๑ พระอุบลวรรณาเถรี ๑ พระ
เขมาเถรี ๑ พระภัทราภิกษุณีเถรี ๑ พระกีสาโคตมีเถรี ๑ พระธรรมทินนาเถรี ๑ และคนที่ ๗ เป็นวิสาขา
มหาอุบาสิกา
[๔๘๗] ด้วยกรรมทั้งหลายที่หม่อมฉันได้ทาไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น หม่อมฉันละ
กายมนุษย์แล้ว จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๔๘๘] บัดนี้ เป็นภพสุดท้าย หม่อมฉันเกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถีที่เจริญมั่งคั่ง
กว้างขวาง มีทรัพย์มาก
[๔๘๙] เมื่อหม่อมฉันเจริญวัยเป็นสาว ได้ตกอยู่ในอานาจของวิตก พบบุรุษชาวชนบทผู้หนึ่งแล้ว
ได้ตามไปอยู่กับเขา
[๔๙๐] หม่อมฉันคลอดบุตรคนที่หนึ่ง ตั้งครรภ์บุตรคนที่ ๒ เมื่อนั้น หม่อมฉันปรารถนาว่าจะไป
เยี่ยมมารดาบิดา
[๔๙๑] ครั้งนั้น หม่อมฉันมิได้บอกสามี เมื่อสามีของหม่อมฉันไม่อยู่ หม่อมฉันคนเดียวออกจาก
เรือน จะเดินทางไปยังกรุงสาวัตถีที่ประเสริฐสุด
- 3. 3
[๔๙๒] ภายหลังสามีของหม่อมฉันตามมาทันที่หนทาง ขณะนั้น ลมกรรมชวาต (ลมกรรมชวาต
หมายถึงลมเกิดแต่กรรมคือลมเกิดในครรภ์เวลาคลอดบุตร ได้แก่ ลมเบ่ง) แสนจะทารุณเกิดขึ้นแก่หม่อม
ฉัน
[๔๙๓] ครั้งนั้น มหาเมฆก็เกิดขึ้นในเวลาที่หม่อมฉันจะคลอด สามีไปหาเครื่องกาบังแต่ถูกงูกัด
ตาย
[๔๙๔] ครั้งนั้น หม่อมฉันมีทุกข์เพราะการคลอด หมดที่พึ่ง เป็นคนกาพร้า เดินไปเห็นแม่น้าน้อย
แห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้าเต็มเปี่ยม เป็นที่อยู่อาศัยของนกเหยี่ยว
[๔๙๕] หม่อมฉันอุ้มลูกคนเล็ก ข้ามไปที่ฝั่งโน้นคนเดียว ให้ลูกคนเล็กดื่มนมจนอิ่มแล้ว ประสงค์ที่
จะนาบุตรอีกคนหนึ่ง (คนโต) ให้ข้ามมา
[๔๙๖] จึงย้อนกลับมา เหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบลูกคนเล็กที่ร้องไห้จ้าไป บุตรคนโตกระแสน้าก็พัดไป
หม่อมฉันนั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกเหลือประมาณ
[๔๙๗] จึงเดินทางต่อไปยังกรุงสาวัตถี ได้ฟังข่าวว่า ญาติของตน (มารดา บิดาและพี่ชาย) ตาย
แล้ว เวลานั้น หม่อมฉันอัดอั้นตันใจด้วยความเศร้าโศก เปี่ยมด้วยความโสกาดูรอย่างใหญ่หลวง ได้กล่าวว่า
[๔๙๘] ‘ลูก ๒ คนก็ตายเสียแล้ว สามีของเราก็ตายในป่า มารดาบิดาและพี่ชายของเรา ก็ถูกเผา
อยู่ที่เชิงตะกอนเดียวกัน’
[๔๙๙] ครั้งนั้น หม่อมฉันทั้งซูบผอม ทั้งเหลืองซีด ไม่มีที่พึ่ง ตรอมใจอยู่ทุกวัน เมื่อหม่อมฉัน
กระเซอะกระเซิงไป ได้พบพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นสารถีฝึกนรชน
[๕๐๐] ลาดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสกับหม่อมฉันว่า ‘เธออย่าเศร้าโศกถึงบุตรเลย จงผ่อนคลาย
บ้างเถิด จงแสวงหาตนเองเถิด จะเดือดร้อนอย่างไร้ประโยชน์ไปทาไม
[๕๐๑] บุตร ธิดา ญาติและพวกพ้อง มีไว้เพื่อต้านทานคนผู้ถึงที่ตายไม่ได้เลย บรรดาหมู่ญาติ ผู้ที่
จะต้านทานได้ก็ไม่มี’
[๕๐๒] หม่อมฉันได้ฟังพระดารัสของพระมุนีนั้นแล้ว ได้บรรลุโสดาปัตติผล บวชแล้วไม่นานก็ได้
บรรลุอรหัตตผล
[๕๐๓] หม่อมฉันเป็นผู้มีความชานาญในฤทธิ์ ในทิพพโสตธาตุและเจโตปริยญาณ เป็นผู้ปฏิบัติ
ตามคาสั่งสอนของพระศาสดา
[๕๐๔] รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักษุหม่อมฉันก็ชาระให้หมดจดแล้ว หม่อมฉันทาอาสวะ
ทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทิน
[๕๐๕] ครั้งนั้น หม่อมฉันเรียนวินัยทั้งปวง ในสานักของพระผู้ทรงรู้เห็นธรรมทั้งปวง และกล่าว
อธิบายพระวินัยทั้งปวงได้อย่างพิสดารตามเป็นจริง
[๕๐๖] พระชินเจ้าทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งหม่อมฉันไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะว่า
‘ปฏาจาราภิกษุณีเพียงผู้เดียวเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงวินัย’
[๕๐๗] พระศาสดาหม่อมฉันก็ปรนนิบัติแล้ว คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ทาสาเร็จแล้ว
ภาระอันหนักหม่อมฉันก็ปลงลงได้แล้ว ตัณหาที่นาไปสู่ภพหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว
- 4. 4
[๕๐๘] กุลบุตรกุลธิดาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นคือความสิ้น
สังโยชน์ทั้งปวง หม่อมฉันได้บรรลุแล้วโดยลาดับ
[๕๐๙] กิเลสทั้งหลายหม่อมฉันก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว หม่อมฉันตัดกิเลส
เครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๑๐] การที่หม่อมฉันมาในสานักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ หม่อมฉันได้บรรลุแล้วโดยลาดับ คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทาสาเร็จแล้ว
[๕๑๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันก็ได้ทาให้แจ้งแล้ว
คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทาสาเร็จแล้ว ดังนี้ แล
ได้ทราบว่า ปฏาจาราภิกษุณีได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ปฏาจาราเถริยาปทานที่ ๑๐ จบ
-------------------------