Contenu connexe
Similaire à เฟียเจท์ (20)
เฟียเจท์
- 2. ทฤษฎี เ กี ่ ย ว กั บ พั ฒ นาการ
เชาวน์ ป ั ญ ญาที ่ ผ ู ้ เ ขี ย นเห็ น ว่ า มี
ประโยชน์ สำ า หรั บ ครู คื อ
ทฤษฎี ข องนั ก จิ ต วิ ท ยาชาว สวิ ส
ชื ่ อ เพี ย เจต์ ( P iaget) ที ่ จ ริ ง
แล้ ว เพี ย เจต์ ไ ด้ ร ั บ ปริ ญ ญาเอก
ทางวิ ท ยาศาสตร์ สาขาสั ต วิ ท ยา
ที ่ ม หาวิ ท ยาลั ย Neuc hatel
ประเทศสวิ ส เซอร์ แ ลนด์
หลั ง จากได้ ร ั บ ปริ ญ ญา
- 4. เพี ย เจต์ (Piaget) ได้ ศ ึ ก ษำ
เกี ่ ย วกั บ พั ฒ นำกำรทำงด้ ำ น
ควำมคิ ด ของเด็ ก ว่ ำ มี ข ั ้ น
ตอนหรื อ กระบวนกำร
อย่ ำ งไร ทฤษฎี ข องเพี ย เจต์
ตั ้ ง อยู ่ บ นรำกฐำนของทั ้ ง
องค์ ป ระกอบที ่ เ ป็ น
พั น ธุ ก รรม และสิ ่ ง แวดล้ อ ม
- 5. เฟียเจท์อธิบำยว่ำ กำรเรียนรู้ของ
เด็กเป็นไปตำมพัฒนำกำรทำงสติปญญำ ั
ซึ่งจะมีพัฒนำกำรไปตำมวัยต่ำง ๆ เป็น
ลำำดับขั้น พัฒนำกำรเป็นสิ่งที่เป็นไปตำม
ธรรมชำติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ำมจำก
พัฒนำกำรจำกขั้นหนึ่งไปสูอีกขั้นหนึ่ง
่
เพรำะจะทำำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่กำร
จัดประสบกำรณ์ส่งเสริมพัฒนำกำรของ
เด็กในช่วงที่เด็กกำำลังจะพัฒนำไปสู่ ขั้นที่
สูงกว่ำ สำมำรถช่วยให้เด็กพัฒนำไป
- 8. •ขั ้ น ที ่ 1 ขั ้ น ประสาทรั บ รู ้ แ ละการ
เคลื ่ อ นไหว (Sensorimotor)
แรกเกิ ด - 2 ขวบ
ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรม
ของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับกำรเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
ในวัยนี้เด็กแสดงออกทำงด้ำนร่ำงกำยให้เห็นว่ำมีสติ
ปัญญำด้วยกำรกระทำำ เด็กสำมำรถแก้ปัญหำได้
แม้ว่ำจะไม่สำมำรถอธิบำยได้ด้วยคำำพูด เด็กจะต้องมี
โอกำสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
- 9. •ขั ้ น ที ่ 2 ขั ้ น ก่ อ นปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด
(Preoperational) อำยุ 1 8 เดื อ น - 7 ปี
เด็กก่อนเข้ำโรงเรียนและวัยอนุบำล มีระดับเชำวน์
ปัญญำอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนีมีโครงสร้ำงของสติ
้
ปัญญำ(Structure) ที่จะใช้สญลักษณ์แทนวัตถุสงของ
ั ิ่
ที่อยู่รอบๆตัว ได้ หรือ มีพัฒนำกำรทำงด้ำนภำษำ เด็ก
วัยนี้จะเริ่มด้วยกำรพูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำำต่ำงๆ
เพิ่มขึ้น เด็กจะได้รู้จักคิด ขั้นนี้ แบ่งออกเป็นขั้นย่อย
อีก 2 ขั้น คือ
- 10. 1.ขั ้ น ก่ อ นเกิ ด สั ง กั ป (Preconceptual
Thought)
เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็กอำยุ 2-4 ปี เป็น
ช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบืองต้น สำมำรถจะโยง
้
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกำรณ์ 2 เหตุกำรณ์
หรือมำกกว่ำมำเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและ
กัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำำกัด
อยู่ เพรำะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลำง คือ
ถือควำมคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็น
เหตุผลของผูอื่น ควำมคิดและเหตุผลของเด็ก
้
วัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตำมควำมเป็นจริงนัก แต่
- 11. 2. ขั ้ น การคิ ด แบบญาณหยั ่ ง รู ้ นึ ก ออกเองโดย
ไม่ ใ ช้ เ หตุ ผ ล ( Intuitive Thought)
เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็ก อำยุ 4-7 ปี ขั้นนี้
เด็กจะเกิดควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่ำงๆ รวม
ตัวดีขึ้น เริ่มมีพัฒนำกำรเกี่ยวกับกำรอนุรักษ์ แต่
ไม่แจ่มชัดนัก สำมำรถแก้ปญหำเฉพำะหน้ำได้
ั
โดยไม่คดเตรียมล่วงหน้ำไว้ก่อน รู้จักนำำควำมรู้
ิ
ในสิงหนึ่งไปอธิบำยหรือแก้ปญหำอื่นและ
่ ั
สำมำรถนำำเหตุผลทั่วๆ ไปมำสรุปแก้ปญหำ โดย
ั
ไม่วิเครำะห์อย่ำงถี่ถ้วนเสียก่อน กำรคิดหำเหตุ
- 12. •ขั ้ น ที ่ 3 ขั ้ น ปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด ด้ ำ นรู ป ธรรม
(Concrete Operations)(อำยุ 7 - 11 ปี )
พัฒนำกำรทำงด้ำนสติปัญญำและควำมคิดของเด็กวัยนี้
แตกต่ำงกันกับเด็กในขั้น Preperational มำก เด็กวัยนี้จะ
สำมำรถสร้ำงกฎเกณฑ์ และตั้งกฎเกณฑ์ ในกำร แบ่งสิ่ง
แวดล้อมออกเป็นหมวดหมูได้ คือ เด็กจะสำมำรถทีจะอ้ำงอิง
่ ่
ด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับกำรรับรู้จำกรูปร่ำงเท่ำนั้น เด็กวัยนี้
สำมำรถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลำยๆอย่ำง และคิดย้อนกลับ
(Reversibility) ได้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกิจกรรมและควำม
สัมพันธ์ของตัวเลขก็เพิ่มมำกขึ้น
- 13. •ขั ้ น ที ่ 4 ขั้นปฏิบัติกำรคิดด้วยนำมธรรม (Formal
Operations)อำยุ 12 ปี ข ึ ้ น ไป
ในขั้นนีพัฒนำกำรเชำวน์ปัญญำและควำมคิดเห็น
้
ของเด็กเป็นขั้นสุดยอด คือ เด็กในวัยนีจะเริ่มคิดเป็น
้
ผู้ใหญ่ ควำมคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสำมำรถทีจะคิด
่
หำเหตุผลนอกเหนือไปจำกข้อมูลที่มอยู่ สำมำรถทีจะคิด
ี ่
เป็นนักวิทยำศำสตร์ สำมำรถที่จะตั้งสมมุติฐำนและ
ทฤษฎีและเห็นว่ำควำมจริงทีเห็นด้วยกับกำรรับรู้ไม่
่
สำำคัญเท่ำกับกำรคิดถึงสิ่งทีอำจเป็นไปได้(Possibility
่
- 14. พัฒนำกำรทำงกำรรู้คดของเด็กในช่วงอำยุ 6
ิ
ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษำไว้เป็น
ประสบกำรณ์ สำำคัญที่เด็กควรได้รับกำรส่ง
เสริม มี 6 ขั้น ได้แก่
5.ขั้นควำมรู้แตกต่ำง (Absolute
Differences)
6.ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้ำม (Opposition)
7.ขั้นรู้หลำยระดับ (Discrete Degree)
8.ขั้นควำมเปลี่ยนแปลงต่อเนือง (Variation)
่
9.ขั้นรู้ผลของกำรกระทำำ (Function)
6. ขั้นกำรทดแทนอย่ำงลงตัว (Exact
- 15. กระบวนกำรทำงสติ ป ั ญ ญำมี ล ั ก ษณะดั ง นี ้
3)กำรซึมซับหรือกำรดูดซึม (assimilation)
เป็นกระบวนกำรทำงสมองในกำรรับประสบกำรณ์ เรื่องรำว
และข้อมูลต่ำง ๆ เข้ำมำสะสมเก็บไว้เพือใช้ประโยชน์ต่อไป
่
2. กำรปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนกำร
ทำงสมองในกำรปรับ
ประสบกำรณ์เดิมและประสบกำรณ์ใหม่ให้เข้ำ
กันเป็นระบบ
3. กำรเกิดควำมสมดุล (equilibration)
เป็นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นจำกขั้นของกำรปรับ หำกกำรปรับ
เป็นไปอย่ำงผสมผสำนกลมกลืนก็จะมีควำมสมดุลขึ้น หำกไม่
สำมำรถปรับประสบกำรณ์ใหม่และประสบกำรณ์เดิมให้เข้ำกันได้
- 16. กำรนำ ำ ไปใช้ ใ นกำรจั ด กำรศึ ก ษำ / กำรสอน
1.เมือทำำงำนกับนักเรียน ผู้สอนควรคำำนึงถึงพัฒนำกำรทำงสติ
่
ปํญญำของนักเรียนดังต่อไปนี้
1.1)นักเรียนทีมอำยุเท่ำกันอำจมีขั้นพัฒนำกำรทำงสติ
่ ี
ปัญญำทีแตกต่ำงกัน
่
1.2)นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบกำรณ์ 2 แบบคือ
1.2.1>ประสบกำรณ์ทำงกำยภำพ (physical
experiences)
จะเกิดขึ้นเมือนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับ
่
วัตถุต่ำง ในสภำพแวดล้อม โดยตรง
1.2.2>ประสบกำรณ์ทำงตรรกศำสตร์
(Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้น เมือ ่
- 17. 2.หลักสูตรที่สร้ำงขึ้นบนพื้นฐำนทฤษฎีพัฒนำกำรทำง
สติปญญำของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
ั
1.เน้นพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนโดยต้อง
เน้นให้นักเรียนใช้ศักยภำพของตนเองให้มำกที่สุด
2.เสนอกำรเรียนกำรเสนอที่ให้ผเรียนพบกับควำม
ู้
แปลกใหม่
3.เน้นกำรเรียนรู้ต้องอำศัยกิจกรรมกำรค้นพบ
4.เน้นกิจกรรมกำรสำำรวจและกำรเพิ่มขยำยควำม
คิดในระหว่ำงกำรเรียนกำรสอน
5.ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict
activities) โดยกำรรับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่นนอก
เหนือจำกควำมคิดเห็นของตนเอง
- 18. 3.กำรสอนทีส่งเสริมพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนควร
่
ดำำเนินกำรดังต่อไปนี้
1) ถำมคำำถำมมำกกว่ำกำรให้คำำตอบ
2) ครูผู้สอนควรจะพูดให้นอยลง และฟังให้มำกขึ้น
้
3) ควรให้เสรีภำพแก่นกเรียนทีจะเลือกเรียนกิจกรรมต่ำง ๆ
ั ่
4) เมือนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถำมคำำถำมหรือจัด
่
ประสบกำรณ์ให้นกเรียนใหม่
ั
5) ชี้ระดับพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของนักเรียนจำกงำน
พัฒนำกำรทำงสติปัญญำขั้นนำมธรรมเพื่อดูว่ำนักเรียนคิด
อย่ำงไร
6) ยอมรับควำมจริงทีว่ำ นักเรียนแต่ละคนมีอัตรำพัฒนำกำร
่
ทำงสติปัญญำทีแตกต่ำงกัน
่
7) ผู้สอนต้องเข้ำใจว่ำนักเรียนมีควำมสำมำรถเพิ่มขึ้นใน