SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  209
Télécharger pour lire hors ligne
Free Powerpoint Templates
Page 1
บทที่ 2 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
(Plant Structure and Function) : part 2
รายวิชาชีววิทยา 3 (ว30243)
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562
นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์
ครู คศ.1 สาขาวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
Free Powerpoint Templates
Page 2
ครูผู้สอน
• นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา
ประวัติการศึกษา :
– พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกรียตินิยมอันดับ 2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
– พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
– พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
– พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
– พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา
เอกวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
Free Powerpoint Templates
Page 3
Free Powerpoint Templates
Page 4
Free Powerpoint Templates
Page 5
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 6
Free Powerpoint Templates
Page 7
Free Powerpoint Templates
Page 8
Free Powerpoint Templates
Page 9
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 10
โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
ลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ : เมื่อตัดลาต้นของพืชใบเลี้ยงคู่ที่ยังอ่อนอยู่ตามขวาง แล้วนามาศึกษาจะพบลักษณะ
การเรียงตัวของลาต้นและรากคล้ายกันและลาต้นมีการเรียงตัว ดังนี้
1) เอพิเดอร์มิส ( Epidermis ) อยู่ชั้นนอกสุด ปกติเป็นเซลล์เรียงตัวชั้นเดียวไม่มีคลอโรฟิลล์ อาจ
เปลี่ยนแปลงไปเป็นขนหนาม หรือเซลล์คุม ( Guard Cell ) ผิวด้านนอกของเอพิดอร์มิสมักมีสารพวกคิว
ทิน เคลือบอยู่เพื่อป้องกันการระเหยของน้า
Free Powerpoint Templates
Page 11
2) คอร์เทกซ์ ( Cortex ) มีอาณาเขตแคบกว่าในรากเซลล์ ส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นเซลล์พาเรงคิมาเรียงตัวกัน
หลายชั้นเซลล์พวกนี้มักมีสีเขียวและสังเคราะห์ด้วยแสงได้ด้วยนอกจากนี้ยังช่วยสะสมน้าและอาหารให้แก่
พืช เซลล์ชั้นคอร์เทกซ์ที่อยู่ติดกับเอพิเดอร์มิสเป็นเซลล์เล็กๆ2-3 แถว คือ เซลล์พวกคอลเลงคิมาและมีเซลล์
สเกลอเรงคิมาแทรกอยู่ช่วยให้ลาต้นแข็งแรงขึ้น การแตกกิ่งของพืชจะแตกในชั้นนี้เรียกว่า“ เอกโซจีนัสบราน
ชิ่ง ( Exogenous branching )” ซึ่งแตกต่างจากรากซึ่งเป็นเอนโดจีนัสบรานชิ่ง ชั้นในของคอร์เทกซ์ คือ เอนโด
เดอร์มิสเป็นเซลล์เรียงตัวชั้นเดียวในลาต้น
พืชส่วนใหญ่มักเห็นชั้นเอนโดเดอร์มิสได้ไม่ชัดเจนหรือไม่เห็นเลยซึ่งแตกต่างจากรากซึ่งมีและเห็น
ชัดเจน เซลล์ที่ทาหน้าที่ในการหลั่งสาร( Secretory Cell ) เช่น เรซิน ( Resin ) น้ายาง ( Latex ) ก็อยู่ในชั้นนี้
โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
Free Powerpoint Templates
Page 12
คอร ์เทกซ ์( Cortex )
Free Powerpoint Templates
Page 13
3) สตีล ( Stele ) ในลาต้นฃั้นสองของสตีลจะแคบมากและแบ่งออกจากชั้นของคอร์เทกซ์ได้ไม่ชัดเจน
นัก และแตกต่างจากในราก ประกอบด้วย
3.1 มัดท่อลาเลียง อยู่เป็นกลุ่มๆ ด้านในเป็นไซเลม ด้านนอกเป็นโฟลเอ็มเรียงตัวในแนวรัศมีเดียวกัน
โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
Free Powerpoint Templates
Page 14
3.2 วาสคิวลาร์เรย์ (vascular ray) เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมา (parenchyma) ที่อยู่ระหว่างมัดท่อลาเลียง
เชื่อมต่อระหว่างคอร์เทกซ์และพิธ
โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
Free Powerpoint Templates
Page 15
3.3 พิธ (Pith) อยู่ชั้นในสุดเป็นไส้ในของลาต้นประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ทาหน้าที่สะสมแป้ง
หรือสารต่างๆ เช่น ผลึกแทนนิน ( Tannin ) พิธที่แทรกอยู่ในมัดท่อลาเลียงจะดูดคล้ายรัศมี เรียกว่า พิธ
เรย์ ( Pith Ray ) ทาหน้าที่สะสมอาหาร ช่วยลาเลียงน้า เกลือแร่ และอาหารไปทางด้านข้างของลาต้น
โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
Free Powerpoint Templates
Page 16
ลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว : ส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตขั้นต้น ( Primary Growth ) เท่านั้น มีชั้น
ต่างๆเช่นเดียวกับพืชใบเลี้ยงคู่ต่างกันที่มัดท่อลาเลียงรวมกันเป็นกลุ่มๆประกอบด้วยเซลล์ค่อนข้างกลม
ขนาดใหญ่ 2 เซลล์ ซึ่งได้แก่ไซเลมและเซลล์เล็กๆ ด้านบนคือโฟลเอ็ม ส่วนทางด้านล่างของไซเลมเป็น
ช่องกลมๆ เช่นกันคือช่องอากาศมัดท่อลาเลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีบันเดิลชีท ( Bundle Sheath )
ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อพวกพาเรงคิมาที่มีแป้งสะสมหรืออาจเป็นเนื้อเยื่อสเกลอเรงคิมามาหุ้มล้อมรอบเอาไว้
โครงสร้างภายในลาต้น(internal structure of stem)
Free Powerpoint Templates
Page 17
กลุ่มของมัดท่อลาเลียง (vascular bundle) จะกระจายทุกส่วนของลาต้น แต่มักอยู่รอบนอกมาก
ว่ารอบในและมัดท่อลาเลียงไม่มีเนื้อเยื่อเจริญด้านข้างหรือแคมเบียมคั่นอยู่ พืชพวกนี้จึงเจริญเติบโต
ด้านข้างจากัด แต่มักจะสูงขึ้นได้มาก เนื่องจากพืชใบเลี้ยเดี่ยวมีเนื้อเยื่อเจริญบริเวณข้อทาให้ปล้องยืด
ยาวขึ้น ในพืชบางชนิดส่วนของพืชจะสลายไปกลายเป็นช่องกลวงอยู่กลางลาต้น เรียกว่า
“ ช่องพิธ ( Pith Cavity ) ” เช่น ในลาต้นของไผ่ หญ้า เป็นต้น
โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
Free Powerpoint Templates
Page 18
Free Powerpoint Templates
Page 19
ตารางแสดงความแตกต่างระหว่างลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่กับลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่
1. มีข้อและปล้องเห็นได้ชัดเจน
2. ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา
3.มัดท่อน้าท่ออาหารกระจายไปทั่วลาต้น
4. ส่วนมากไม่มีแคมเบียม
5. ส่วนมากไม่มีการเจริญขั้นที่สอง
6. ส่วนมากไม่มีวงปี
7. โฟลเอ็มและไซเลมมีอายุการในการทางาน
1. เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
2. มีกิ่งก้านสาขามาก
3. มัดท่อน้าท่ออาหารเรียงตัวเป็นวงรอบลาต้น
4. ส่วนมากมีแคมเบียม นอกจากพืชล้มลุกบางชนิดไม่มี
5. ส่วนมากมีการเจริญขั้นที่สองและเจริญไปเรื่อยๆ
สัมพันธ์กับความสูง
6. ส่วนมากมีวงปี
7. โฟลเอ็มและไซเลมมีอายุการทางานสั้น แต่จะมีการ
สร้างขึ้นมาทดแทนอยู่เรื่อยๆ โดยแคมเบียม
Free Powerpoint Templates
Page 20
Free Powerpoint Templates
Page 21
Shoot Development
Free Powerpoint Templates
Page 22
Free Powerpoint Templates
Page 23
Free Powerpoint Templates
Page 24
Free Powerpoint Templates
Page 25
Free Powerpoint Templates
Page 26
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Lenticel Cork
Free Powerpoint Templates
Page 27
Free Powerpoint Templates
Page 28
Free Powerpoint Templates
Page 29
การเจริญระยะทุติยภูมิ (Secondary growth) หรือ การเจริญด้านข้าง
(lateral growth) ของลาต้น แสดงวงปี (Annual ring)
1
2 3
Pith
Annual ring
(2 xylem)
Free Powerpoint Templates
Page 30
Free Powerpoint Templates
Page 31
Free Powerpoint Templates
Page 32
Free Powerpoint Templates
Page 33
Free Powerpoint Templates
Page 34
Free Powerpoint Templates
Page 35
Free Powerpoint Templates
Page 36
Free Powerpoint Templates
Page 37
สรุป : การจาแนกชนิดของลาต้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
1. ลาต้นเหนือดิน (aerial stem/terrestrial stem) : Tree / Shrub / Herb ***หน้าที่พิเศษ
1.1 Creeping stem (ขนานผิวดิน/น้า : ผักบุ้ง ผักกระเฉด ฟักทอง สตรอเบอรี่ หญ้า)
1.2 climbing stem (ไต่ขึ้นที่สูงตามหลักหรือตาต้นพืชชนิดอื่น)
- twining stem (เถาวัลย์ บอระเพ็ด) - stem tendril (องุ่น บวบ กระทกรก พวงชมพู)
- root climber (พลู พลูด่าง พริกไทย) - stem spine/stem thorn (เฟื่องฟ้า ไมยราบ)
1.3 cladophyll/phylloclade/cladode (กระบองเพชร พญาไร้ใบ หน่อไม้ฝรั่ง โปร่งฟ้า)
1.4 Bulbil/crown/slip (หอม กระเทียม สับปะรด)
2. ลาต้นใต้ดิน (underground stem)
2.1 Rhizome * ขิง ข่า ขมิ้น กล้วย พุทธรักษา
2.2 Tuber * มันฝรั่ง
2.3 Bulb * หอม กระเทียม
2.4 Corm * เผือก แห้วจีน
Free Powerpoint Templates
Page 38
ชนิดของลาต้น (type of stem)
สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน
ลาต้นเหนือดิน (aerial stem)
1) ต้นไม้ยืนต้น (tree) เป็นต้นไม้ที่มีลาต้นหลักต้นเดียว จากนั้นจึงแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณยอด
ลักษณะเนื้อแข็ง ลาต้นมีขนาดใหญ่ อายุยืนหลายปี
Free Powerpoint Templates
Page 39
ชนิดของลาต้น (type of stem)
สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน
ลาต้นเหนือดิน (aerial stem)
2) ต้นไม้พุ่ม (shrub) เป็นต้นไม้ที่มีลาต้นหลักหลายต้น มักมีเนื้อไม้แข็งแต่มีขนาดเล็กว่าไม้ยืนต้น แตก
กิ่งก้านสาขาใกล้บริเวณผิวดิน
Free Powerpoint Templates
Page 40
ชนิดของลาต้น (type of stem)
สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน
ลาต้นเหนือดิน (aerial stem)
3) ต้นไม้ล้มลุก (herb) เป็นต้นไม้ที่มีเนื้อไม้อ่อนหรือไม่มีเนื้อไม้ ส่วนใหญ่มีอายุปีเดียว บางชนิดอาจ
อยู่ได้สองปี เมื่อครบวัฏจักรชีวิตจะตายไป ไม้ล้มลุกบางชนิดที่มีลาต้นอยู่ใต้ดิน เมื่อส่วนที่อยู่เหนือดินตาย
ส่วนที่อยู่ใต้ดินจะพักตัวอยู่และงอกในฤดูถัดไป
Free Powerpoint Templates
Page 41
ชนิดของลาต้น (type of stem)
จาแนกตามลักษณะของเนื้อไม้
1) ลาต้นที่มีเนื้อไม้ (woody stem) ได้แก่ ลาต้นของต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม
Free Powerpoint Templates
Page 42
ชนิดของลาต้น (type of stem)
จาแนกตามลักษณะของเนื้อไม้
2) ลาต้นที่ไม่มีเนื้อไม้ (herbaceous stem) ได้แก่ ลาต้นของต้นไม้ประเภท ไม้ล้มลุก
Free Powerpoint Templates
Page 43
Free Powerpoint Templates
Page 44
Free Powerpoint Templates
Page 45
Free Powerpoint Templates
Page 46
Free Powerpoint Templates
Page 47
ลาต้นเลื้อยขนานไปกับผิวดิน หรือผิวน้า (Prostrate หรือ Creeping stem)
ส่วนใหญ่ของพืชพวกนี้มีลาต้นอ่อน ตั้งตรงไม่ได้ จึงต้องเลื้อยขนานไปกับผิวดิน เช่น ผักบุ้ง หญ้า แตงโม
บัวบก ผักกระเฉด ผักตบชวา สตรอเบอรี่ เป็นต้นบริเวณข้อมีรากแตกเป็นแขนงออกมาแล้วปักลงดินเพื่อยึดลา
ต้นให้ติดแน่นกับที่มีการแตกแขนงลาต้นออกจากตาบริเวณที่เป็นข้อ ทาให้มีลาต้นแตกแขนงออกไป ซึ่งเป็นการ
แพร่พันธุ์วิธีหนึ่ง แขนงที่แตกออกมาเลื้อยขนานไปกับผิวดินหรือน้านี้เรียกว่า สโตลอน (Stolon) หรือรันเนอร์
(Runner) ที่ตรงกับภาษาไทยว่า ไหล
Free Powerpoint Templates
Page 48
ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง (Climbing stem หรือ Climber)
1) ใช้ลาต้นพันหลักเป็นเกลียวขึ้น
ไป (Twining stem หรือ Twiner) การพัน
อาจเวียนซ้าย หรือเวียนขวา เช่น ต้นถั่ว
ฝอยทอง เถาวัลย์ชนิดต่าง ๆ ผักบุ้งฝรั่ง
บอระเพ็ด
พืชพวกนี้มีลำต้นอ่อนเช่นเดียวกับพวกแรก แต่ไต่ขึ้นสูงโดยขึ้นไปตำมหลักหรือต้นไม้ที่อยู่
ติดกันวิธีกำรไต่ขึ้นสูงนั้นมีอยู่หลำยวิธีคือ
แสดงลาต้นพันหลักเป็นเกลียวขึ้นไปพวกเถาวัลย์
Free Powerpoint Templates
Page 49
Free Powerpoint Templates
Page 50
Free Powerpoint Templates
Page 51
ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง (Climbing stem หรือ Climber)
2) ลาต้นเปลี่ยนเป็นมือเกาะ (Stem tendril หรือ
Tendril climber) มือเกาะจะบิดเป็นเกลียวคล้ายสปริง
เพื่อให้มีการยืดหยุ่น เมื่อลมพัดผ่านมือเกาะจะยืดหดได้
ตัวอย่างเช่น ต้นบวบ น้าเต้า ฟักทอง องุ่น แตงกวา
พวงชมพู กะทกรก ลิ้นมังกร เสาวรส โคกกระออมเป็นต้น
(บางครั้ง Tendril อาจเกิดจากใบที่เปลี่ยนแปลงไปจะทราบ
จากการสังเกต เช่น ใบถั่วลันเตา ตาลึง มะระ บริเวณปลาย
ใบเปลี่ยนไปเป็นมือเกาะ) แสดงลาต้นเหนือดินที่เปลี่ยนแปลง
ไปเป็นมือเกาะ (Stem tendril หรือ
Tendril climber) ของต้นพวงชมพู
Free Powerpoint Templates
Page 52
Free Powerpoint Templates
Page 53
ลาต้นใช้รากพัน (Root climber)
เป็นลาต้นที่ไต่ขึ้นสูงโดยงอกรากออกมาบริเวณข้อ
ยึดกับหลักหรือต้นไม้ต้นอื่น ตัวอย่างเช่น ต้นพลู พลูด่าง
พริกไทย รากพืชเหล่านี้หากยึดติดกับต้นไม้จะไม่แทง
รากเข้าไปในลาต้นของพืชที่เกาะ ไม่เหมือนพวกกาฝาก
หรือฝอยทองซึ่งเป็นพืชปรสิตที่แทงรากเข้าไปในมัดท่อ
ลาเลียงของพืชที่เกาะ
แสดงใช้รากพัน(Root climber) ของต้นพลูด่าง
Free Powerpoint Templates
Page 54
ลาต้นเปลี่ยนเป็นหนาม (Stem spine หรือ Stem thorn)
หรือขอเกี่ยว (Hook) บางทีเรียกลาต้นชนิดนี้
ว่า สแครมเบลอร์ (Scrambler) เพื่อใช้ในการไต่ขึ้น
ที่สูง และยังทาหน้าที่ป้องกันอันตรายอีกด้วย เช่น
หนามของต้นเฟื่องฟ้าหรือตรุษจีน มะนาว มะกรูด
และส้มชนิดต่าง ๆ หนามเหล่านี้จะแตกออกมาจาก
ตาที่อยู่บริเวณซอกใบ หนามบางชนิดเปลี่ยนแปลง
มาจากใบ หนามบางชนิดไม่ใช่ทั้งลาต้น ใบและกิ่ง
ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เกิดจากผิวนอกของลาต้นงอก
ออกมาเป็นหนาม เช่น หนามกุหลาบส่วนต้น
กระดังงา และการเวก มีขอเกี่ยวที่เปลี่ยนแปลงมา
จากลาต้นแล้วยังมีดอกออกมาจากขอเกี่ยวได้ด้วย
Free Powerpoint Templates
Page 55
Free Powerpoint Templates
Page 56
Free Powerpoint Templates
Page 57
ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายใบ (Cladophyll หรือ Phylloclade หรือ Cladode)
ลาต้นที่เปลี่ยนไปอาจแผ่แบนคล้ายใบหรือเป็นเส้นเล็กยาวและยังมีสีเขียว
ทาให้เข้าใจผิดว่าเป็นใบ เช่น สนทะเล หรือ สนประดิพัทธ์ ที่มีสีเขียวต่อกันเป็น
ท่อน ๆ นั้นเป็นส่วนของลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใบที่แท้จริงเป็นแผ่นเล็ก ๆ ติด
อยู่รอบ ๆ ข้อ เรียกว่า ใบเกล็ด (Scale leaf) เช่นเดียวกับต้นโปร่งฟ้า (Asparcus) ที่
เห็นเป็นเส้นฝอยแผ่กระจายอยู่เป็นแผงและมีสีเขียวนั้นเป็นลาต้น ส่วนใบเป็นใบ
เกล็ดเล็กๆ ติดอยู่ตรงข้อ
นอกจากนั้นยังมีลาต้นอวบน้า(Succulent) เป็นลาต้นของพืชที่อยู่ในที่แห้ง
แล้งกันดารน้า จึงมีการสะสมน้าไว้ในลาต้น เช่น ต้นกระบองเพชร สลัดได และ
พญาไร้ใบ ลาต้นบางชนิดอาจเกิดจากตาหรือหน่อเล็กๆ ที่อยู่เป็นยอดอ่อนหรือใบ
เล็ก ๆประมาณ 2-3 ใบที่แตกออกบริเวณซอกใบกับลาต้น หรือแตกออกจากยอดลา
ต้นแทนดอก เมื่อหลุดออกจากต้นเดิมร่วงลงดินสามารถเจริญไปเป็นต้นใหม่ได้
ตัวอย่างเช่นหอม กระเทียม ตะเกียงสับปะรด ศรนารายณ์ เป็นต้น
Free Powerpoint Templates
Page 58
Free Powerpoint Templates
Page 59
Free Powerpoint Templates
Page 60
Free Powerpoint Templates
Page 61
Free Powerpoint Templates
Page 62Phylloclade
Free Powerpoint Templates
Page 63
แง่งหรือเหง้า (Rhizome)
ลาต้นใต้ดินจะอยู่ขนานกับผิวดินเห็นข้อปล้องได้ชัดเจน
ตามข้อมีใบสีน้าตาลที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ มีลักษณะเป็นเกล็ด
เรียกว่าใบเกล็ด หุ้มตาเอาไว้ มีรากงอกออกจากเหง้า หรือ
แง่งนั้น ๆ ตาอาจแตกแขนงเป็นใบอยู่เหนือดิน หรือเป็นลา
ต้นอยู่ใต้ดินก็ได้ เช่น หญ้าแห้วหมู ขิง ข่า ขมิ้น มันฝรั่ง
ว่านสะระแหน่ หญ้าแพรก พุทธรักษา กล้วย เป็นต้น
แสดงลาต้นใต้ดินชนิด แง่งหรือเหง้า
(Rhizome) ของต้นว่านมหาปราบ
Free Powerpoint Templates
Page 64
Free Powerpoint Templates
Page 65
ทูเบอร์ (Tuber)
เป็นลาต้นใต้ดินที่งอกออกมาจากปลายไรโซมมี
ปล้องเพียง 3-4 ปล้อง ตามข้อไม่มีใบเกล็ดและราก
สะสมอาหารเอาไว้มากในลาต้นส่วนใต้ดิน จึงดูอ้วน
ใหญ่กว่าหัวชนิดไรโซม แต่บริเวณที่เป็นตาจะบุ๋มลงไป
ตัวอย่างเช่น มันฝรั่ง เหนือดินมีลาต้น และใต้ดินมีไร
โซม ซึ่งบริเวณปลายพองออกเป็นทูเบอร์ ดังในรูปที่ชี้
ว่าเป็น “Eye” นั้นคือตานั่นเองถ้ามีความชื้นพอเพียง
ต้นใหม่จะงอกออกมาจากบริเวณตา ซึ่งผิดกับหัวมัน
เทศซึ่งเป็นรากไม่สามารถงอกต้นใหม่จากบริเวณหัวที่
มีรอยบุ๋มได้ เพราะไม่ใช่ตา ตัวอย่างอื่น ๆ ของหัวชนิดทู
เบอร์ ได้แก่ หญ้าแห้วหมู หัวมันมือเสือ มันกลอย
Free Powerpoint Templates
Page 66
Free Powerpoint Templates
Page 67
หัวกลีบ หรือบัลบ์ (Bulb)
เป็นลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรง อาจมีส่วนพ้นดินขึ้นมาบ้างก็ได้ ลา
ต้นมีขนาดเล็กที่มีปล้องที่สั้นมากบริเวณปล้องมีใบเกล็ดที่ซ้อนกัน
หลายชั้นจนเห็นเป็นหัว เช่น หัวหอม หัวกระเทียม อาหารสะสมอยู่
ในใบเกล็ดในลาต้นไม่มีอาหารสะสมบริเวณส่วนล่างของลาต้นมี
รากเส้นเล็ก ๆ แตกออกมาหลายเส้น เมื่อนาหัวหอมมาผ่าตามยาวจะ
พบใบเกล็ดเป็นชั้น ๆ ชั้นนอกสุดเป็นแผ่นบาง ๆ เนื่องจากไม่มี
อาหารสะสม ชั้นถัดเข้าไปมีอาหารสะสม จึงมีความหนากว่าแผ่น
นอกชั้นในสุดของลาต้นเป็นส่วนยอดถ้าเอาหัวชนิดนี้ไปปลูกส่วน
ยอดจะงอกออกมาเป็นใบสีเขียว
แสดงลาต้นใต้ดิน ชนิดหัวกลีบหรือบัลบ์ (Bulb)
ของต้นแสนพันล้อม
Free Powerpoint Templates
Page 68
Free Powerpoint Templates
Page 69
Free Powerpoint Templates
Page 70
คอร์ม (Corm)
ลักษณะของลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรง
เช่นเดียวกับหัวกลีบ ลักษณะที่แตกต่างกันคือ
เก็บอาหารไว้ในลาต้นแทนที่จะเก็บไว้ในใบเกล็ด
ลาต้นจึงมีลักษณะอวบใหญ่ ทางด้านล่างของลา
ต้นมีรากเส้นเล็ก ๆ หลาย ๆ เส้นที่ข้อมีใบเกล็ด
บาง ๆ หุ้ม ตาแตกออกมาจากข้อเป็นใบชูขึ้นสูง
หรืออาจเป็นลาต้นใต้ดินต่อไป ตัวอย่างเช่น
เผือก ซ่อนกลิ่นฝรั่ง และแห้ว เป็นต้น
Free Powerpoint Templates
Page 71
Free Powerpoint Templates
Page 72
ใบ ( Leaves) เป็น อวัยวะที่เจริญออกไปบริเวณด้านข้างโดยมีตาเหน่งอยู่ที่ข้อปล้อง
ของต้นและ กิ่ง ใบส่วนใหญ่มักแผ่แบน มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ ทาหน้าที่หลักในการ
สังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) และคายน้า (transpiration) รูปร่างและขนาดของ
ใบแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช หน้าที่หลักของใบคือใช้ในการสังเคราะห์แสง การ
หายใจและการคายน้า
Free Powerpoint Templates
Page 73
Free Powerpoint Templates
Page 74
ใบ ( Leaves)
Free Powerpoint Templates
Page 75
การเรียงของใบ (Leaf Arrangement)
Free Powerpoint Templates
Page 76
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
1. แผ่นใบหรือตัวใบ (leaf blade or lamina) มักแผ่แบน มีสีเขียว ส่วนใหญ่มีรูปร่างรี
บางชนิดอาจมีรูปร่างกลม รูปหัวใจ รูปพัด ในใบหญ้าแผ่นใบมักจะเรียวยาว แผ่นใบเป็นส่วน
สาคัญที่สุด เพราะเป็นส่วนที่สร้างอาหาร บางชนิดมีขนาดเล็กเป็นใบเกล็ด (scale leaf) หรือ
ม้วนเป็นท่อ เช่นในใบหอม
Free Powerpoint Templates
Page 77
Free Powerpoint Templates
Page 78
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 1.1 เส้นใบ (vein) ให้สังเกตเส้นกลางใบ (midrib) ซึ่งต่อเป็นเนื้อเดียวกับก้านใบ จากเส้นกลางใบ
แยกออกเป็นเส้นใบ ซึ่งจะแยกแขนงออกไปอีกเป็นเส้นแขนงใบ (veinlet) การเรียงของใบ
(venation) เส้นใบแบบขนาน (parallel venation)พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แบ่งเป็นเรียงตามยาว
ของใบ (plamately parallel venation) และเส้นใบขนานกันตามขวางของใบ (pinately parallel
venation)
Free Powerpoint Templates
Page 79
เส้นใบ ( vein )
• Parallel venation ลักษณะเส้นใบขนานกัน ถ้ามีเส้นกลางใบและมีเส้นใบย่อยแตกออกจากเส้น
กลางใบขนานกัน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า Costal parallel เช่น ใบหญ้า อ้อย ข้าว ถ้าเส้นใบขนาน
กันตั้งแต่โคนใบ ไม่มีเส้นใบกลางใบ แบบนี้เรียกว่า Basal parallel เช่น ใบ พุทธรักษา ใบตอง
Free Powerpoint Templates
Page 80
เส้นใบ ( vein )
• Reticulate venation หรือ netted venation ลักษณะคล้ายร่างแห สานกัน ถ้ามีเส้นกลางใบและมี
เส้นใบย่อยแตกออกจากเส้นกลางใบ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า pinnately netted venation ถ้าแตก
จากโคนของใบ ไม่มีเส้นใบกลางใบ แบบนี้เรียกว่า palmately
Free Powerpoint Templates
Page 81
Free Powerpoint Templates
Page 82
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 1.2 ส่วนของใบเลี้ยงคู่เป็นแบบตาข่าย (netted หรือ recticulated venation) ซึ่งมี 2 แบบคือ
แบบตาข่ายขนนก (pinnately netted venation) ตาข่ายแบบรูปมือ (palmately netted
venation)
Free Powerpoint Templates
Page 83
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 2. ก้านใบ (petiole) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตัวใบกับลาต้น มีลักษณะเป็นก้านสั้นๆ ในใบหญ้า
ก้านใบมักจะแบนบางโอบส่วนลาต้นไว้ ซึ่งนิยมเรียกว่ากาบ หรือsheath พืชบางชนิดอาจไม่มี
ก้านใบ เรียกใบแบบนี้ว่า sessile leaf ถ้ามีก้านใบเรียกว่า petiolate
Free Powerpoint Templates
Page 84
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 3. หูใบ (stipule) เป็นส่วนของระยางค์ที่ยื่นออกมาตรงโคนใบที่ติดกับลาต้น หูใบมักมีอายุไม่นาน
และจะลดร่วงไป หูใบมักมีสีเขียวแต่อาจมีสีเช่น หูใบของต้นยางอินเดียหูใบมีสีสันสวยงามหุ้มยอด
อ่อนเอาไว้ พืชบางชนิดอาจไม่มีหูใบ เรียกใบแบบนี้ว่าexstipulate leaf ถ้ามีหูใบเรียกว่า stipulate
leaf เช่น เข็ม พุดน้าบุด มีหูใบอยู่ระหว่างใบทั้งสองข้าง กุหลาบมีหูใบเชื่อมติดต่อกับก้านใบ ชบามี
หูใบอยู่บริเวณซอกใบ
Free Powerpoint Templates
Page 85
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 4. ขอบใบ (Leaf margin) หมายถึงส่วนริมสุดของตัวใบตั้งแต่โคนใบจนถึงปลายใบ พืชแต่ละ
ชนิดจะมีลักษณะขอบใบแตกต่างกันไป เช่น ขอบใบเรียบ ขอบใบหยัก ขอบใบเว้า
Free Powerpoint Templates
Page 86
Free Powerpoint Templates
Page 87
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 5. โคนใบ หรือฐานใบ (Leaf base) คือส่วนที่อยู่ล่างสุดของแผ่นใบที่ติดกับก้านใบหรือกิ่ง
Free Powerpoint Templates
Page 88Leaf base
Free Powerpoint Templates
Page 89
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 6. ปลายใบ (Leaf apex) ส่วนของแผ่นใบที่อยู่ปลายสุดตรงข้ามกับก้านใบ ปลายใบของพืชแต่ละ
ชนิดมีลักษณะแตกต่างกันไป
Free Powerpoint Templates
Page 90
Free Powerpoint Templates
Page 91
ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf
• 7. เส้นกลางใบ (Midrib) คือ ส่วนที่ยื่นต่อจากก้านใบเข้าไปในตัวใบ มีลักษณะเป็นสันนูน แบ่งใบ
ออกเป็นสองซีก เส้นกลางใบจะแตกแขนงมากมายกระจายไปทั่วแผ่นใบ เรียกว่า เส้นใบ (Vein) ซึ่ง
จะช่วยให้แผ่นใบกางอยู่ได้
Free Powerpoint Templates
Page 92
Free Powerpoint Templates
Page 93
Free Powerpoint Templates
Page 94
Free Powerpoint Templates
Page 95
Free Powerpoint Templates
Page 96
ใบพืช C3 ใบพืช C4
Free Powerpoint Templates
Page 97
Free Powerpoint Templates
Page 98
Free Powerpoint Templates
Page 99
สรุป : การจาแนกชนิดของใบ
1. ใบเลี้ยง (cotyledon) : albuminous / exalbuminous
2. ใบเกล็ด (scale leaf) : หอม กระเทียม
3. .ใบดอกหรือใบประดับ (floral leaf or bract) : เฟื่องฟ้า หน้าวัว
4. ใบแท้ (foliage leaf)
***ใบแท้ (foliage leaf) มี 2 ชนิด
4.1 ใบเดี่ยว (simple leaf) : ทั่วไป 4.2 ใบประกอบ (compound leaf)
****ใบประกอบ (compound leaf) แบ่งเป็น 2 ชนิด
4.2.1 ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves):
ชั้นเดียว (กุหลาบ) /สองชั้น (จามจุรี) /สามชั้น (ปีบ)
4.2.2 ใบประกอบแบบนิ้วมือ (palmately compound leaves) : หนวดปลาหมึก พญาสัตบรรณ
ใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะอย่าง (Modified leaf หรือ specialized leaf)
- Leaf tendril (ตาลึง มะระ ถั่วลันเตา) - leaf spine (กระบองเพชร เหงือกปลาหอม)
- Storage leaf (ว่านหางจระเข้) - scale leaf (ขิง ข่า เผือก แห้วจีน หัวหอม)
- Phyllode (กระถินณรงค์) - floating leaf (ผักตบชวา)
- vegetative reproduction organ (คว่าตายหงายเป็น เศรษฐีพันล้าน)
- Carnivorous leaf / insectivorous leaf
(หม้อข้าวหม้อแกงลิง กาบหอยแครง หยาดน้าค้าง สาหร่ายข้าวเหนียว)
Free Powerpoint Templates
Page 100
การจัดประเภทของใบ
• 1. ใบแท้ (Foliage leaf) คือใบไม้ปกติทั่วๆ ไป มีสีเขียวและแผ่นเป็นแผ่นกว้างแบนเพื่อทาหน้าที่
สังเคราะห์ด้วยแสง หายใจ และคายน้า แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ใบเดี่ยว และใบประกอบ
• 2. ใบพิเศษ (Specialized leaf)หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf) พืชบางชนิดมีใบที่
เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ มือเกาะ หนาม
สะสมอาหาร เป็นต้น
Free Powerpoint Templates
Page 101
ใบแท้ (Foliage leaf)
• 1. ใบเดี่ยว (simple leaf) ใบที่มีตัวใบแผ่นเดียว เช่น ใบน้อยหน่า มะม่วง ชมพู่ พืชบางชนิดตัวใบ
เว้า โค้งไปมา จึงทาให้ดูคล้ายมีตัวใบหลายแผ่นแต่บางส่วนของตัวใบยังเชื่อมกันอยู่ถือว่า เป็นใบ
เดี่ยว เช่น ใบมะละกอ ใบฟักทอง ตัวใบมักติดกับก้านใบ ถ้าใบที่ไม่มีก้านใบเรียก sessile leaves
เช่น บานชื่น
Free Powerpoint Templates
Page 102
ใบแท้ (Foliage leaf)
• 2. ใบประกอบ (compound leaf) ใบที่มีตัวใบหลายแผ่นติดอยู่กับก้านใบเดียว เช่น ขี้เหล็ก ใบจามจุรี
ใบย่อย เรียกว่า leaflets ใบประกอบจะมีตาที่ซอกใบที่ติดกับลาต้นเท่านั้น (แต่ส่วนที่เป็นก้านใบย่อย
จะไม่พบตา) ใบประกอบยังสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้ 2 ประเภทดังนี้
Free Powerpoint Templates
Page 103
ใบประกอบ (compound leaf)
• Pinnately compound leaf (ใบประกอบแบบขนนก) ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets)
แต่ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolule) ออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ๆ คล้ายขนนก
Free Powerpoint Templates
Page 104
Pinnately compound leaf
• ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (Pinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออก
จากก้านใบเพียงครั้งเดียว ใบย่อยแต่ละใบจะมีก้านใบย่อย เรียกว่าpetiolue ได้แก่ ใบกุหลาบ ใบ
มะขาม ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา ใบทองอุไร ใบกาลพฤกษ์
Free Powerpoint Templates
Page 105
Pinnately compound leaf
• ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (bipinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออก
จากก้านใบเพียง 2 ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla เช่น ใบ
หางนกยูงฝรั่ง จามจุรี กระถิน
Free Powerpoint Templates
Page 106
Pinnately compound leaf
• ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น (tripinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตก
ออกจากก้านใบเพียง 3ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ
rachilla แต่แกนกลางที่ 3 อาจเรียกรวมว่า rachilla ตัวอย่าง เช่น ใบมะรุม บีบ
Free Powerpoint Templates
Page 107
ใบประกอบ (compound leaf)
• Palmately compound leaf (ใบประกอบแบบฝ่ ามือ) ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets)
แตกออกจากส่วนก้านใบลักษณะคล้ายนิ้วมือ ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ bifoliage ใบที่
ประกอบด้วยใบย่อย 2 ใบ trifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ
Free Powerpoint Templates
Page 108
Palmately compound leaf
bifoliage trifoliage
Free Powerpoint Templates
Page 109
Free Powerpoint Templates
Page 110
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
1. มือเกาะ (leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อยึดและพยุงลาต้นให้ไต่ขึ้นที่สูงได้ เช่น ถั่ว
ลันเตา มะระ ตาลึง เป็นต้น โดยอาจเปลี่ยนแปลงมาจากทั้งใบหรือส่วนต่าง ๆ ของใบ เช่น หูใบ ก้านใบ
ปลายใบ หรือใบย่อย
Free Powerpoint Templates
Page 111
มือเกาะ (Leaf tendril)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ
เพื่อยึดและพยุงลาต้นให้ขึ้นสูง มือเกาะ
อาจเปลี่ยนมาจากใบบางส่วน หรือใบทั้ง
ใบก็ได้ ตัวอย่างมือเกาะของถั่วลันเตา ถั่ว
หอม บานบุรีสีม่วง พวงแก้วกุดั่น มะระ
กะทกรก ดองดึง หวายลิง เป็นต้น
แสดงมือเกาะ (Leaf tendrill) ของต้นกะทกรก
Free Powerpoint Templates
Page 112
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
2. หนาม (Leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่จะมากัดกิน และ
ช่วยลดการคายน้าอีกด้วย เช่น มะขามเทศ กระบองเพชร ป่ านศรนารายณ์ สับปะรด เป็นต้น
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 113
ใบหนาม (Leaf spine)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่มา
กัดกิน พร้อมกับป้องกันการคายน้า เนื่องจากปากใบลดน้อยลงกว่าปกติ
หนามที่เกิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งใบกลายเป็นหนาม หรือบางส่วน
ของใบกลายเป็นหนามก็ได้ ตัวอย่างเช่น หนามของต้นเหงือกปลาหมอ
เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบและหูใบ หนามของต้นกระบองเพชร
เปลี่ยนแปลงมาจากใบหนามมะขามเทศเปลี่ยนแปลงมาจากหูใบ หนาม
ของศรนารายณ์ (หรือต้นร้อยปี) เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบ เป็นต้น
Free Powerpoint Templates
Page 114
Free Powerpoint Templates
Page 115
แสดงใบเปลี่ยนแปลงเป็นหนามของต้นกระบองเพชร
Free Powerpoint Templates
Page 116
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
3. ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่สะสมอาหารและน้า จึงมีลักษณะ
อวบอ้วนเนื่องจากสะสมน้าและอาหารไว้มาก เช่น ใบเลี้ยงของพืชต่างๆ ใบว่านหางจระเข้ กาบกล้วย
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 117
ใบสะสมอาหาร (Storage leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่เก็บสะสม
อาหาร จึงมีลักษณะอวบหนา ได้แก่ใบเลี้ยง
(Cotyledon) และใบพืชอีกหลายชนิด เช่น ใบว่าน
หางจระเข้ หัวหอม หัวกระเทียม กาบกล้วย ส่วน
กะหล่าปลีเก็บอาหารสะสมไว้ที่เส้นใบ และก้านใบ
อนึ่งใบเลี้ยงเป็นใบใบแรกที่อยู่ในเมล็ด พืชบาง
ชนิดมีใบเลี้ยงขนาดใหญ่เนื่องจากการสะสมอาหาร
ไว้ โดยดูดอาหารมาจากเอนโดสเปิร์ม
(Endosperm) เพื่อนาไปใช้ในการงอกของต้นอ่อน
ใบเลี้ยงจึงมีลักษณะอวบใหญ่ ใบเลี้ยงยังมีหน้าที่
ปกคลุมเพื่อป้องกันยอดอ่อนไม่ให้เป็นอันตราย เมื่อ
ยอดอ่อนแทงทะลุดินขึ้นมา และเมื่อพ้นดินแล้วยัง
ช่วยสังเคราะห์อาหารอีกด้วยในพืชบางชนิด
แสดงใบสะสมอาหารของต้นว่านหางจระเข้
Free Powerpoint Templates
Page 118
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
4. ใบเกล็ด (Scale leaf) มีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ ไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น ใบเกล็ดของสนทะเล โปร่งฟ้า
ขิง ข่า เผือก แห้ว เป็นต้น
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 119
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
5. เกล็ดหุ้มตา (Bud scale) มีลักษณะเป็นแผ่นหุ้มตาไว้ เมื่อตาเจริญเติบโตก็จะดันให้เกล็ดหุ้มตากาง
ออกหรือหลุดร่วงไป เช่น ในต้นสาเก จาปี และยาง เป็นต้น
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 120
เกล็ดหุ้มตา (Bud scale)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทา
หน้าที่หุ้มตาหรือคลุมตาไว้ เมื่อตา
เจริญเติบโตออกมา จึงดันให้เกล็ดหุ้ม
ตาหลุดไปพบในต้นยาง จาปี สาเก
เป็นต้น
แสดง เกล็ดตา (Bud scale)
Free Powerpoint Templates
Page 121
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
6. ฟิลโลด (Phyllode) หรือ Phyllodium (Gr. phyllon = ใบ) เป็นส่วนต่างๆ ของใบที่เปลี่ยนแปลงไป
เป็นแผ่นแบนคล้ายตัวใบ พืชที่มีใบแบบนี้มักจะไม่มีใบที่แท้จริง เช่น ใบกระถินณรงค์เปลี่ยนแปลงมา
จากก้านใบ
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 122
ฟิลโลด (Phyllode หรือ Phyllodium )
บางส่วนของใบเปลี่ยนแปลงไป
เป็นแผ่นแบนคล้ายใบแต่แข็งแรงกว่า
ปกติ ทาให้ไม่มีตัวใบที่แท้จริง จึงลด
การคายน้าได้ด้วย เช่น ใบกระถิน
ณรงค์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากก้านใบ
แสดงใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นแผ่นคล้ายใบ ของ
ต้นระถินรณงค์ (Rakbankerd Limited,2006)
Free Powerpoint Templates
Page 123
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
7. ทุ่นลอย (Floating leaf) พืชน้าบางชนิด เช่น ผักตบชวา จะมีก้านใบที่พองออก ภายในมีช่องว่างให้
อากาศแทรกอยู่มาก จึงช่วยพยุงลาต้นทาให้สามารถลอยน้าได้
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 124
ทุ่นลอย (Floating leaf)
พืชน้าบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลง
ก้านใบให้พองโตคล้ายทุ่น ภายในมี
เนื้อเยื่อที่จัดตัวอย่างหลวม ๆ ทาให้มีช่อง
อากาศกว้างใหญ่ สามารถพยุงลาต้นให้
ลอยน้ามาได้ เช่น ผักตบชวา
แสดงทุนลอย (Floating leaf) ของผักตบชวา
Free Powerpoint Templates
Page 125
Free Powerpoint Templates
Page 126
ใบประดับ (Bract)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไป ทา
หน้าที่ช่วยรองรับดอกหรือช่อดอก
อยู่บริเวณซอกใบ และมักมีสีเขียว
แต่อาจมีสีอื่นก็ได้ ใบประดับมิได้
เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของดอก
ตัวอย่างเช่น กาบปลีของกล้วย กาบ
เขียงของมะพร้าวและหมากซึ่งมีสี
เขียว บางท่านจัดรวมใบดอกและใบ
ประดับไว้เป็นชนิดเดียวกัน แต่ถ้ามี
สีสวยงามเรียกว่า ใบดอก
แสดง ใบประดับที่เรียกว่า กาบเขียงของต้นหมาก
Free Powerpoint Templates
Page 127
ภาพแสดง ใบประดับที่เรียกว่า
กาบเขียงของต้นมะพร้าว
ภาพแสดง ใบประดับที่
เรียกว่ากาบปลีของต้นกล้วย
Free Powerpoint Templates
Page 128
Free Powerpoint Templates
Page 129
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
8. ใบประดับหรือใบดอก (Floral leaf หรือ Bract: L. bractea = แผ่นโลหะ) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลง
ไปเพื่อทาหน้าที่ช่วยรองรับดอก มักมีสีเขียว แต่พืชหลายชนิดมีใบประดับเป็นสีอื่นๆ คล้ายกลีบดอก
เพื่อช่วยล่อแมลงสาหรับผสมเกสร เช่น เฟื่องฟ้า คริสต์มาส หน้าวัว เป็นต้น
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 130
ใบดอก (Floral leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปมีสี
สวยงามคล้ายกลีบดอก ทาหน้าที่
ช่วยล่อแมลง เช่น หน้าวัว (เป็นส่วน
ที่เป็นแผ่นสีแดงเรียกว่า Spathe)
อุตพิด คริสต์มาส เฟื่องฟ้า
แสดงใบดอกของต้นหน้าวัวและต้นเฟื่องฟ้า
Free Powerpoint Templates
Page 131
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
9. ใบสืบพันธุ์ (Vegetativereproductive leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วยในการแพร่พันธุ์
เช่น ใบคว่าตายหงายเป็น
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 132
ใบแพร่พันธุ์ (Vegetative reproductive organ)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วย
แพร่พันธุ์โดยบริเวณของใบที่มีลักษณะ
เว้าเข้าเล็กน้อย มีตา (Aventitious bud)
ที่งอกต้นเล็ก ๆ ออกมาได้ ตัวอย่างเช่น
ใบของต้นตายใบเป็น (หรือคว่าตายหงาย
เป็น) ต้นเศรษฐีพันล้าน ต้นโคมญี่ปุ่ น
แสดงใบแพร่พันธุ์ (Vegetative reproductive organ)
ของต้นโคมญี่ปุ่ น
Free Powerpoint Templates
Page 133
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
10. กับดักแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่ดัก
จับแมลงหรือสัตว์เล็กๆ โดยมีการสร้างเอนไซม์สาหรับย่อยแล้วดูดซึมแร่ธาตุไปใช้ประโยชน์
ตัวอย่างเช่น หยาดน้าค้าง กาบหอยแครง และหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น
ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 134
ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดัก
แมลง หรือสัตว์ขนาดเล็ก ภายในกับดักมีต่อม
สร้างเอนไซม์ประเภทโพรทีเอส (Protease)ที่
ย่อยโปรตีนสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักได้ พืชชนิด
นี้มีใบปกติที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือน
พืชทั่วๆ ไป แต่พืชเหล่านี้มักอยู่ในที่มี
ความชื้นมากกว่าปกติ อาจขาดธาตุอาหารบาง
ชนิดจึงต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดัก
เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (หรือน้าเต้า
ฤๅษี) ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดน้าค้างต้น
สาหร่ายข้าวเหนียวหรือสาหร่ายนา (ไม่ใช่
สาหร่าย แต่เป็นพืชน้าขนาดเล็ก)เป็นต้น
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของ
ต้นหม้อข่าวหม้อแกงลิง (Carnivorous Plant Website, 2006)
Free Powerpoint Templates
Page 135
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
ของต้นหยาดน้าค้าง (Carnivorous Plant Website, 2006)
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
ของต้นกาบหอยแครง (Carnivorous Plant Website, 2006)
Free Powerpoint Templates
Page 136
ใบเกล็ด (Scale leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนมาจากใบแท้ เพื่อทา
หน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ตาและยอดอ่อน
ใบเกล็ดไม่มีสีเขียว เพราะไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น
ใบเกล็ดของสนทะเลที่เป็นแผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่
รอบ ๆ ข้อใบเกล็ดของโปร่งฟ้าเป็นแผ่นเล็ก ๆ
ติดอยู่ตรงข้อเช่นเดียวกัน ใบเกล็ด ของขิงข่า
เผือก แห้วจีน เป็นต้น นอกจากนี้ใบเกล็ดบาง
ชนิดยังสะสมอาหารไว้ด้วย ใบเกล็ดจึงมีขนาด
ใหญ่ เช่น หัวหอม หัวกระเทียม
แสดง ใบเกล็ด (Scale leaf)
Free Powerpoint Templates
Page 137
Free Powerpoint Templates
Page 138
จุดเน้นควรเข้าใจ !!!
ส่วนสะสมอาหารของพืชดอก
ต้น : ขิง ข่า ขมิ้น มันฝรั่ง เผือก แห้ว ใบ : หอมหัวใหญ่ส่วนที่เรากิน
ราก : แครอท หัวไชเท้า กระชาย มันแกว มันเทศ มันสาปะหลัง
สารในพืชที่เราควรรู้จัก
1. ที่ cell wall : pectin cellulose hemicellulose lignin 3. ฉาบอยู่บนใบ : cutin wax
2. ที่ cork และ endodermis : suberin 4. พอกอยู่ในเนื้อไม้ : lignin suberin tannin resin
เนื้อเยื่อถาวรบางที่เปลี่ยนกลับเป็นเนื้อเยื่อเจริญแล้วสร้าง
1. รากแขนง เกิดจาก pericycle 2. กิ่งแขนงเกิดจาก cortex
3. Cork cambium 4. Vascular cambium
Free Powerpoint Templates
Page 139
สรุปเน้นสอบหัวข้อสาคัญ
1. transpiration: stomatal/cuticular/lenticular
2. stomatal pore: typical (mesophyte) / sunken (xerophyte, halophyte) / raised (hydrophyte)
3. กระบวนการปิดเปิดปากใบ : K+ pump / guard cell / stomata / subsidiary cell / hypotonic
solution
4. ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้า
-ปัจจัยภายนอก : แสงสว่าง / อุณหภูมิ / ความชื้น / ลม / ความอุดมสมบูรณ์ของน้าในดิน / ความ
กดดันของบรรยากาศ
-ปัจจัยภายใน : ลักษณะของปากใบ / อัตราส่วน root : shoot / ความหนาของ cuticle / พื้นที่ใบ /
การจัดเรียงตัวของใบ / ขนาดและรูปร่างของใบ
5. guttation: hydathode (เมื่ออากาศมีความชื้นมาก น้าในดินมีปริมาณมาก อุณหภูมิต่า แรงดัน
รากสูง)
6. การลาเลียงน้าและอาหารของพืช: บริเวณ root hair มากที่สุด (osmosis น้า และ active แร่ธาตุ)
- ความสาคัญของน้าที่มีต่อพืช: ส่วนประกอบมากที่สุด / ควบคุมอุณหภูมิคงที่ / ตัวทาละลาย / ตัว
พยุง / แหล่ง H กับ O / กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
- การดูดน้าของพืช apoplasmic pathway (intercellular space)/ symplasmic pathway
(endodermis , plasmodesmata)
Free Powerpoint Templates
Page 140
สรุปเน้นสอบหัวข้อสาคัญ
- กลไกการลาเลียงน้าของพืช : bulk flow หรือ mass flow
- แรงที่ใช้ในการลาเลียงน้า: capillaryforce / root pressure / transpiration pull
7. การลาเลียงสารอาหารของพืช ***การศึกษา : Malpighi (ทดลองควั่นลาต้นใบเลี้ยงคู่ออกตั้งแต่เปลือก
ไม้จนถึงชั้นแคมเบียม)
: Mason and Maskell (ทดลองโดยใช้ธาตุกัมันตรังสี 14C ในรูปสารละลายให้กับใบด้านล่างและใบ
ด้านบน : ทิศทางลาเลียงแหล่งสร้างไปแหล่งสะสม)
: Zimmerman (ทดลองตัดหัวเพลี้ยอ่อนที่ใช้งวงแทงลงไปถึงท่อโฟลเอ็ม: ส่วนใหญ่เป็นน้าตาลซูโครส)
8. สรุปการลาเลียงสารในพืช = Diffusion / protoplasm streaming (cyclosis): Hugo De Vries / mass
(pressure) flow hypothesis : E. Munch
9. ธาตุอาหารของพืช: macronutrient (N P K S Ca Mg) / micronutrient (Fe Cl Mn B Zn Cu Ni Mo)
*** chlorosis
Free Powerpoint Templates
Page 141
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 142
Free Powerpoint Templates
Page 143
Free Powerpoint Templates
Page 144
Free Powerpoint Templates
Page 145
Free Powerpoint Templates
Page 146
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 147
Free Powerpoint Templates
Page 148
Free Powerpoint Templates
Page 149
Free Powerpoint Templates
Page 150
Free Powerpoint Templates
Page 151
• การคายน้าคือการสูญเสียน้าของพืชในรูปของไอน้า น้าที่พืชดูดขึ้นไปจะใช้ในกระบวนการสังเคราะห์
ด้วยแสงเพียงร้อยละ 1 - 2 เท่านั้น น้าส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 98 - 99 จะสูญเสียไปในรูปของการคายน้า
โดยน้าเปลี่ยนเป็นไอและระเหยออกไป น้าส่วนใหญ่จะระเหยออกทางปากใบ (stomata) เรียกว่า สโตมา
ทอลทรานสพิเรชัน (stomatal transpiration)
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 152
• นอกจากนี้น้าอาจสูญเสียทางผิวใบและส่วนของลาต้นอ่อน ๆ เรียกว่า คิวทิคิวลาร์ ทรานสพิเรชัน
(cuticular traspiration) ทางรอยแตกหรือรูเล็ก ๆ ที่ลาต้นหรือเลนทิเซล (lenticel) เรียกว่า เลนทิคิวลาร์
ทรานสพิเรชัน (lenticular transpiration)
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 153
lenticular transpiration
Free Powerpoint Templates
Page 154
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
• การคายน้าทางผิวใบและเลนทิเซลถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการคายน้าทางปากใบ แต่ในสภาพที่พืช
ขาดน้า ปากใบจะปิดดังนั้นการคายน้าทางผิวใบ และเลนทิเซล จะช่วยลดอุณหภูมิให้กับพืชได้บ้างทาให้
ลาต้นพืชไม่ร้อนมากจนเกินไป ที่ผิวใบพืชมีเซลล์ชั้นเอพิเดอร์มิส (epidermis layer)เซลล์ชั้นนี้เป็นชั้น
ที่อยู่นอกสุดปกคลุมส่วนที่อยู่ข้างในทั้งทางด้านบน คือ เอพิเดอร์มิสด้านบน (upper epidermis) และ
ทางด้านล่าง คือ เอพิเดอร์มิสด้านล่าง (lower epidermis)
Free Powerpoint Templates
Page 155
• เซลล์เอพิเดอร์มิสมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงตัวแถวเดียวตลอดทั่วไป เซลล์ชั้นนี้ไม่มีคลอโรฟีลล์
อยู่ด้วย จึงทาให้สังเคราะห์ด้วยแสง ไม่ได้เซลล์เอพิเดอร์มิสบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เป็น
เซลล์คุม (guard cell) อยู่ด้วยกันเป็นคู่ผนังด้านในของเซลล์คุมหนากว่าผนังเซลล์ด้านนอกระหว่าง
เซลล์คุมเป็นปากใบ (stomata)
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 156
• พบว่าทางด้านล่างของใบมีปากใบอยู่มากกว่าทางด้านบนเซลล์คุมทาหน้าที่ปิดและเปิดปาก
ใบ เซลล์คุมแตกต่างจากเซลล์เอพิเดอร์มิสอื่น คือ เซลล์คุมมีคลอโรฟีลล์อยู่ด้วย จึงสามารถ
สังเคราะห์ด้วยแสงได้และการสังเคราะห์ด้วยแสงนี้เป็นกลไกสาคัญที่ทาให้เกิดการเปิดปิด
ของปากใบ, การคายน้าและการลาเลียงสารของพืช ผิวของเซลล์ชั้นเอพิเดอร์มิสมีสารพวก
ขี้ผึ้ง เรียกว่า คิวทิน (cutin) ฉาบอยู่ช่วยป้องกันการระเหยของน้าออกจากผิวใบ
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 157
• ปากใบพืชจาแนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็น 3 แบบ คือ
1.ปากใบแบบธรรมดา (typical stomata) เป็นปากใบของพืชทั่วไปโดยมีเซลล์คุมอยู่ใน
ระดับเดียวกับเซลล์เอพิเดอร์มิสพืชที่ปากใบเป็นแบบนี้เป็นพวกเจริญอยู่ในที่ ๆ มีน้าอุดม
สมบูรณ์พอสมควร (mesophyte)
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 158
• ปากใบพืชจาแนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็น 3 แบบ คือ
2.ปากใบแบบจม (sunken stomata) เป็นปากใบที่อยู่ลึกเข้าไปในเนื้อใบเซลล์คุมอยู่ลึกกว่าหรือต่า
กว่าชั้นเซลล์เอพิเดอร์มิสพบในพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง (xerophyte) เช่น พืชทะเลทราย พวก
กระบองเพชร พืชป่ าชายเลน (halophyte) เช่น โกงกาง แสม ลาพู เป็นต้น
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 159
• ปากใบพืชจาแนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็น 3 แบบ คือ
3.ปากใบแบบยกสูง (raised stomata) เป็นปากใบที่มีเซลล์คุมอยู่สูงกว่าระดับเอพิเดอร์มิส
ทั่วไป เพื่อช่วยให้น้าระเหยออกจากปากใบได้เร็วขึ้นพบได้ในพืชที่เจริญอยู่ในน้าที่ที่มีน้า
มากหรือชื้นแฉะ(hydrophyte)
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 160
• ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หญ้า ข้าวโพด ที่ชั้นเอพิเดอร์มิสมีเซลล์ขนาดใหญ่และผนังเซลล์
บาง เรียกว่า บัลลิฟอร์มเซลล์ (bulliform cell) ช่วยทาให้ใบม้วนงอได้เมื่อพืชขาดน้าช่วยลดการคาย
น้าของพืชให้น้อยลง พืชบางชนิดอาจมีเอพิเดอร์มิสหนามากกว่า 1 ชั้น ซึ่งพบมากทางด้านหลังใบ
มากกว่าทางด้านท้องใบเรียกว่า มัลติเปิล เอพิเดอร์มิส (multiple epidermis) ซึ่งพบในพืชที่แห้งแล้ง
ช่วยลดการของได้ เซลล์ชั้นนอกสุดเรียกว่า เอพิเดอร์มิส ส่วนเซลล์แถวที่อยู่ถัดเข้าไปเรียกว่า ไฮโพ
เดอร์มิส (hypodermis)
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 161
• การคายน้าของพืชมีความสัมพันธ์กับการลาเลียงน้าของพืชไปตามเซลล์ที่มีลักษณะเป็นท่อยาว ๆ ถ้า
หากพืชคายน้าออกไปมากจะมีกระบวนการลาเลียงน้ามากด้วย
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 162
• ในขณะที่สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมกับการคายน้าทางปากใบ เช่น เมื่ออากาศมีความชื้นมาก พืชบาง
ชนิดจะกาจัดน้าออกมาในรูปของหยดน้า ทางรูเปิดเล็ก ๆ ตามปลายของเส้นใบ รูเหล่านี้เรียกว่า ไฮดา
โทด (hydathode) กระบวนการคายน้าของพืชในรูปของหยดน้าเช่นนี้เรียกว่า กัตเตชัน (guttation)
เนื่องจากพืชมีการดูดน้าอยู่ตลอดเวลา น้าจะเข้าไปอยู่ในรากเป็นจานวนมากขึ้นทุกที ทาให้เกิดแรงดัน
ของเหลวให้ไหลขึ้นไปตามท่อไซเลมในลาดับและใบ และไหลออกมาทางรูเปิดของท่อเล็ก ๆ ที่อยู่
ปลายของเส้น มองเห็นเป็นหยดน้าเล็กๆ เกาะอยู่ตามขอบใบเราจะพบปรากฏการณ์นี้ในธรรมชาติได้
อย่างชัดเจนในตอนเช้าที่อากาศมีความชื้นมาก ๆ ซึ่งมักไม่เกิดบ่อยนัก
การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
Free Powerpoint Templates
Page 163
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคายน้า
1) แสงสว่าง ถ้ามีความเข้มข้นแสงมาก ปากใบจะเปิดได้กว้าง พืชจะคายน้าได้มาก
2) อุณหภูมิ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลควบคู่กับแสงสว่างเสมอ ถ้าอุณหภูมิในบรรยากาศสูง พืชจะคาย
น้าได้มากและรวดเร็ว
3) ความชื้นในบรรยากาศ ถ้าบรรยากาศมีความชื้นสูงจะคายน้าได้น้อย พืชบางชนิดจะกาจัดน้า
ออกมาในรูปของหยดน้า ทางรูเปิดเล็กๆ ตามรูเปิดของเส้นใบ เรียกว่า การคายน้าเป็นหยดหรือ กัตเตชัน
(guttation) และถ้าในบรรยากาศมี ความชื้นน้อย พืชจะคายน้าได้มากและรวดเร็ว
Free Powerpoint Templates
Page 164
• 4.) ลม ลมจะพัดพาเอาความชื้นของพืชไปที่อื่น เป็นสาเหตุให้พืชสูญเสียน้ามากขึ้น ในภาวะที่ลมสงบ
ไอน้าที่ระเหยออกไปจะ คงอยู่ในบรรยากาศใกล้ๆ ใบ บรรยากาศจึงมีความชื้นสูงพืชจะคายน้าได้ลดลง
แต่ถ้าลมพัดแรงมากพืชจะปิดหรือหรี่แคบลง มีผลทาให้การคายน้าลดลง
• 5.) ปริมาณน้าในดิน ถ้าสภาพดินขาดน้า หรือปริมาณน้าในดินน้อย พืชไม่สามารถนาไปใช้ได้เพียงพอ
ปากใบของพืชจะปิด หรือแคบหรี่ลง มีผลทาให้การคายน้าลดลง
• 6.) โครงสร้างของใบ ตาแหน่ง จานวน และการกระจายของปากใบ รวมถึงความหนาของคิวทิเคิล ( สาร
เคลือบผิวใบ ) ลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการคายน้าของพืช
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคายน้า
Free Powerpoint Templates
Page 165
Free Powerpoint Templates
Page 166
Free Powerpoint Templates
Page 167
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 168
Free Powerpoint Templates
Page 169
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 170
Free Powerpoint Templates
Page 171
Free Powerpoint Templates
Page 172
แร่ธาตุ ความสาคัญ
C H O N
S
P
Mg N
Ca
K
Fe
Cu
Mn Cl
อยู่ในสารอินทรีย์
อยู่ในกรดอะมิโนบางตัว
อยู่ใน DNA ,ATP ,เยื่อหุ้มเซลล์
อยู่ใน chlorophyll
อยู่ในผนังเซลล์
ควบคุมการเปิดปิดปากใบ
อยู่ใน cytochrome ใช้ถ่ายทอด e-
อยู่ใน cytochrome ใช้ถ่ายทอด e-
ช่วยให้เกิด photolysis
Chlorosis
Free Powerpoint Templates
Page 173
Free Powerpoint Templates
Page 174
Free Powerpoint Templates
Page 175
Free Powerpoint Templates
Page 176
Free Powerpoint Templates
Page 177
Free Powerpoint Templates
Page 178
Free Powerpoint Templates
Page 179
Free Powerpoint Templates
Page 180
Free Powerpoint Templates
Page 181
Free Powerpoint Templates
Page 182
Free Powerpoint Templates
Page 183
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Free Powerpoint Templates
Page 184
Free Powerpoint Templates
Page 185
Free Powerpoint Templates
Page 186
Free Powerpoint Templates
Page 187
Free Powerpoint Templates
Page 188
Free Powerpoint Templates
Page 189
Free Powerpoint Templates
Page 190
การลาเลียงสารอาหารของพืช (Translocation of Nutrients)
การลาเลียงอาหารเกิดขึ้นในโฟลเอม
• พืชทาการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ใบได้น้าตาล แล้วเปลี่ยนเป็นแป้ง ส่งไปตามโฟลเอม ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ
ของพืช
• ในปี พ.ศ. 2229 มาร์เซลโล มัลพิจิ (MarcelloMalpighi) ได้ทาการทดลองที่แสดงว่าพืชลาเลียงอาหาร
ไปตามท่อโฟลเอม โดยการควั่นและลอกเปลือกของลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ออก ทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์
Free Powerpoint Templates
Page 191
การลาเลียงสารอาหารของพืช (Translocation of Nutrients)
จากการทดลองพบว่าบริเวณรอยควั่นตอนบนโป่ งออก เนื่องจากอาหารที่ลาเลียงลงมาจาก
ยอดมาสะสมอยู่มาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 (ค.ศ.1928) ทีจี เมสัน และ อีเจ มาสเคล (T. G. Mason
and E. J. Maskell) ได้สังเกตว่า การควั่นกิ่งไม่ได้มีผลต่อการคายน้าของพืชเนื่องจากน้าถูกลาเลียง
ผ่านทางไซเลมซึ่งอยู่ถัดจากเปลือกลงไป ในขณะที่น้าตาลนั้นมีการลาเลียงในโฟลเอมซึ่งอยู่ในส่วน
ของเปลือกที่ถูกตัดออกไป
Free Powerpoint Templates
Page 192
การลาเลียงสารอาหารของพืช (Translocation of Nutrients)
• สมมติฐานที่อธิบายกลไกการลาเลียงสารอาหารของพืชที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบันคือ Mass Flow
Hypothesis ซึ่งอธิบายว่าสารอาหารถูกลาเลียงไปในท่อโฟลเอมเกิดจากการผลักดันโดยความแตกต่างของ
ความดันภายในท่อสมมติฐานนี้มีนักวิทยาศาสตร์ได้ทาการศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุน ดังเช่น M.H
Zimmerman ได้สังเกตการใช้ปากของเพลี้ยอ่อนเจาะเข้าไปในท่อโฟลเอมของพืชเพื่อดูดของเหลวจากท่อ
จนล้นออกมาทางก้น (Honen dew) การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของของเหลวที่ไม่ผ่านลาตัวของ
เพลี้ยน่าจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่าเขาจึงตัดส่วนของลาตัวเพลี้ยโดยการทาให้สลบด้วยแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์และตัดตัวเพลี้ยด้วยแสงเลเซอร์ ของเหลวที่ได้จากปากเพลี้ยพบว่าส่วนใหญ่เป็น
น้าตาลซูโครส
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai
Plant 2 62_kruwichai

Contenu connexe

Tendances

Lesson3 plantgrowth wichaitu62
Lesson3 plantgrowth wichaitu62Lesson3 plantgrowth wichaitu62
Lesson3 plantgrowth wichaitu62Wichai Likitponrak
 
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีรูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีอาภัสรา ยิ่งคำแหง
 
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีPowerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีอาภัสรา ยิ่งคำแหง
 
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีรูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีอาภัสรา ยิ่งคำแหง
 
Biomapcontest2014 คาเสะ
Biomapcontest2014 คาเสะBiomapcontest2014 คาเสะ
Biomapcontest2014 คาเสะWichai Likitponrak
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวกโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวกพัน พัน
 
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของรากเล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของรากkanyamadcharoen
 

Tendances (20)

Lesson2 plantrepro wichaitu62
Lesson2 plantrepro wichaitu62Lesson2 plantrepro wichaitu62
Lesson2 plantrepro wichaitu62
 
001 3
001 3001 3
001 3
 
Lesson3 plantgrowth wichaitu62
Lesson3 plantgrowth wichaitu62Lesson3 plantgrowth wichaitu62
Lesson3 plantgrowth wichaitu62
 
Bio3 62 photosyn_1
Bio3 62 photosyn_1Bio3 62 photosyn_1
Bio3 62 photosyn_1
 
Pptgst uprojectbanana62
Pptgst uprojectbanana62Pptgst uprojectbanana62
Pptgst uprojectbanana62
 
Plant 1 62_kruwichai
Plant 1 62_kruwichaiPlant 1 62_kruwichai
Plant 1 62_kruwichai
 
Pptgst uprojectcoconut61
Pptgst uprojectcoconut61Pptgst uprojectcoconut61
Pptgst uprojectcoconut61
 
2 plantstrruc 1
2 plantstrruc 12 plantstrruc 1
2 plantstrruc 1
 
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีรูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
 
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีPowerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
 
Biocontest2014 kitty
Biocontest2014 kittyBiocontest2014 kitty
Biocontest2014 kitty
 
Plant hor 6_77_60
Plant hor 6_77_60Plant hor 6_77_60
Plant hor 6_77_60
 
Plant hor 1_77_60
Plant hor 1_77_60Plant hor 1_77_60
Plant hor 1_77_60
 
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีรูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
รูปเล่มโครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
 
Biomapcontest2014 คาเสะ
Biomapcontest2014 คาเสะBiomapcontest2014 คาเสะ
Biomapcontest2014 คาเสะ
 
Plant hor 5_77_60
Plant hor 5_77_60Plant hor 5_77_60
Plant hor 5_77_60
 
M6 78 60_10
M6 78 60_10M6 78 60_10
M6 78 60_10
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวกโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
 
M6 78 60_6
M6 78 60_6M6 78 60_6
M6 78 60_6
 
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของรากเล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
 

Similaire à Plant 2 62_kruwichai

Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้งBiomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้งWichai Likitponrak
 
Stem structure and function
Stem structure and functionStem structure and function
Stem structure and functionsukanya petin
 
Root structure and function
Root structure and functionRoot structure and function
Root structure and functionsukanya petin
 
Lessonplanunit2 plantkruwichai62
Lessonplanunit2 plantkruwichai62Lessonplanunit2 plantkruwichai62
Lessonplanunit2 plantkruwichai62Wichai Likitponrak
 
การศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชม
การศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชมการศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชม
การศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชมNarubordinPremsri
 
โครงสร้างหน้าที่พืช
โครงสร้างหน้าที่พืชโครงสร้างหน้าที่พืช
โครงสร้างหน้าที่พืชWichai Likitponrak
 
2560 project438 (1)
2560 project438 (1)2560 project438 (1)
2560 project438 (1)saruta38605
 
10.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน1
10.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน110.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน1
10.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน1Wichai Likitponrak
 
Stemแก้net
Stemแก้netStemแก้net
Stemแก้netAnana Anana
 
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...BhuritNantajeewarawa
 
งานคอมใบ 2 8
งานคอมใบ 2 8งานคอมใบ 2 8
งานคอมใบ 2 8Boy Phakinai
 
พืชรอบตัวเรา
พืชรอบตัวเราพืชรอบตัวเรา
พืชรอบตัวเราsujitrapa
 

Similaire à Plant 2 62_kruwichai (20)

Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้งBiomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
 
Bio project m.5 group10
Bio project m.5 group10Bio project m.5 group10
Bio project m.5 group10
 
Stem structure and function
Stem structure and functionStem structure and function
Stem structure and function
 
Root structure and function
Root structure and functionRoot structure and function
Root structure and function
 
Lessonplanunit2 plantkruwichai62
Lessonplanunit2 plantkruwichai62Lessonplanunit2 plantkruwichai62
Lessonplanunit2 plantkruwichai62
 
การศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชม
การศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชมการศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชม
การศึกษาโครงสร้างดอกเข็ม มะลิ ชวนชม
 
โครงสร้างหน้าที่พืช
โครงสร้างหน้าที่พืชโครงสร้างหน้าที่พืช
โครงสร้างหน้าที่พืช
 
2560 project438 (1)
2560 project438 (1)2560 project438 (1)
2560 project438 (1)
 
10.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน1
10.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน110.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน1
10.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน1
 
Stemแก้net
Stemแก้netStemแก้net
Stemแก้net
 
Minibook 931 2
Minibook 931 2Minibook 931 2
Minibook 931 2
 
Minibook 2.931
Minibook 2.931Minibook 2.931
Minibook 2.931
 
Bio 656 group4
Bio 656 group4Bio 656 group4
Bio 656 group4
 
ลำต้น54
ลำต้น54ลำต้น54
ลำต้น54
 
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ของพืชตัวอย...
 
Minibook group 8 m.5/834
Minibook group 8 m.5/834Minibook group 8 m.5/834
Minibook group 8 m.5/834
 
งานคอมใบ 2 8
งานคอมใบ 2 8งานคอมใบ 2 8
งานคอมใบ 2 8
 
ราก (T)
ราก (T)ราก (T)
ราก (T)
 
M6 78 60_1
M6 78 60_1M6 78 60_1
M6 78 60_1
 
พืชรอบตัวเรา
พืชรอบตัวเราพืชรอบตัวเรา
พืชรอบตัวเรา
 

Plus de Wichai Likitponrak

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfWichai Likitponrak
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64Wichai Likitponrak
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564Wichai Likitponrak
 

Plus de Wichai Likitponrak (20)

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
 
Biotest kku60
Biotest kku60Biotest kku60
Biotest kku60
 
Key biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaituKey biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaitu
 
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichaiBi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
 
BiOsaman2564
BiOsaman2564BiOsaman2564
BiOsaman2564
 
Biosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichaiBiosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichai
 
Ijs obio62 testing
Ijs obio62 testingIjs obio62 testing
Ijs obio62 testing
 
Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62
 
Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62
 
Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61
 
Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61
 

Plant 2 62_kruwichai

  • 1. Free Powerpoint Templates Page 1 บทที่ 2 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก (Plant Structure and Function) : part 2 รายวิชาชีววิทยา 3 (ว30243) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ ครู คศ.1 สาขาวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
  • 2. Free Powerpoint Templates Page 2 ครูผู้สอน • นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา ประวัติการศึกษา : – พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกรียตินิยมอันดับ 2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล – พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช – พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต – พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช – พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา เอกวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
  • 5. Free Powerpoint Templates Page 5 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 9. Free Powerpoint Templates Page 9 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 10. Free Powerpoint Templates Page 10 โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem) ลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ : เมื่อตัดลาต้นของพืชใบเลี้ยงคู่ที่ยังอ่อนอยู่ตามขวาง แล้วนามาศึกษาจะพบลักษณะ การเรียงตัวของลาต้นและรากคล้ายกันและลาต้นมีการเรียงตัว ดังนี้ 1) เอพิเดอร์มิส ( Epidermis ) อยู่ชั้นนอกสุด ปกติเป็นเซลล์เรียงตัวชั้นเดียวไม่มีคลอโรฟิลล์ อาจ เปลี่ยนแปลงไปเป็นขนหนาม หรือเซลล์คุม ( Guard Cell ) ผิวด้านนอกของเอพิดอร์มิสมักมีสารพวกคิว ทิน เคลือบอยู่เพื่อป้องกันการระเหยของน้า
  • 11. Free Powerpoint Templates Page 11 2) คอร์เทกซ์ ( Cortex ) มีอาณาเขตแคบกว่าในรากเซลล์ ส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นเซลล์พาเรงคิมาเรียงตัวกัน หลายชั้นเซลล์พวกนี้มักมีสีเขียวและสังเคราะห์ด้วยแสงได้ด้วยนอกจากนี้ยังช่วยสะสมน้าและอาหารให้แก่ พืช เซลล์ชั้นคอร์เทกซ์ที่อยู่ติดกับเอพิเดอร์มิสเป็นเซลล์เล็กๆ2-3 แถว คือ เซลล์พวกคอลเลงคิมาและมีเซลล์ สเกลอเรงคิมาแทรกอยู่ช่วยให้ลาต้นแข็งแรงขึ้น การแตกกิ่งของพืชจะแตกในชั้นนี้เรียกว่า“ เอกโซจีนัสบราน ชิ่ง ( Exogenous branching )” ซึ่งแตกต่างจากรากซึ่งเป็นเอนโดจีนัสบรานชิ่ง ชั้นในของคอร์เทกซ์ คือ เอนโด เดอร์มิสเป็นเซลล์เรียงตัวชั้นเดียวในลาต้น พืชส่วนใหญ่มักเห็นชั้นเอนโดเดอร์มิสได้ไม่ชัดเจนหรือไม่เห็นเลยซึ่งแตกต่างจากรากซึ่งมีและเห็น ชัดเจน เซลล์ที่ทาหน้าที่ในการหลั่งสาร( Secretory Cell ) เช่น เรซิน ( Resin ) น้ายาง ( Latex ) ก็อยู่ในชั้นนี้ โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
  • 12. Free Powerpoint Templates Page 12 คอร ์เทกซ ์( Cortex )
  • 13. Free Powerpoint Templates Page 13 3) สตีล ( Stele ) ในลาต้นฃั้นสองของสตีลจะแคบมากและแบ่งออกจากชั้นของคอร์เทกซ์ได้ไม่ชัดเจน นัก และแตกต่างจากในราก ประกอบด้วย 3.1 มัดท่อลาเลียง อยู่เป็นกลุ่มๆ ด้านในเป็นไซเลม ด้านนอกเป็นโฟลเอ็มเรียงตัวในแนวรัศมีเดียวกัน โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
  • 14. Free Powerpoint Templates Page 14 3.2 วาสคิวลาร์เรย์ (vascular ray) เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมา (parenchyma) ที่อยู่ระหว่างมัดท่อลาเลียง เชื่อมต่อระหว่างคอร์เทกซ์และพิธ โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
  • 15. Free Powerpoint Templates Page 15 3.3 พิธ (Pith) อยู่ชั้นในสุดเป็นไส้ในของลาต้นประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ทาหน้าที่สะสมแป้ง หรือสารต่างๆ เช่น ผลึกแทนนิน ( Tannin ) พิธที่แทรกอยู่ในมัดท่อลาเลียงจะดูดคล้ายรัศมี เรียกว่า พิธ เรย์ ( Pith Ray ) ทาหน้าที่สะสมอาหาร ช่วยลาเลียงน้า เกลือแร่ และอาหารไปทางด้านข้างของลาต้น โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
  • 16. Free Powerpoint Templates Page 16 ลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว : ส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตขั้นต้น ( Primary Growth ) เท่านั้น มีชั้น ต่างๆเช่นเดียวกับพืชใบเลี้ยงคู่ต่างกันที่มัดท่อลาเลียงรวมกันเป็นกลุ่มๆประกอบด้วยเซลล์ค่อนข้างกลม ขนาดใหญ่ 2 เซลล์ ซึ่งได้แก่ไซเลมและเซลล์เล็กๆ ด้านบนคือโฟลเอ็ม ส่วนทางด้านล่างของไซเลมเป็น ช่องกลมๆ เช่นกันคือช่องอากาศมัดท่อลาเลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีบันเดิลชีท ( Bundle Sheath ) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อพวกพาเรงคิมาที่มีแป้งสะสมหรืออาจเป็นเนื้อเยื่อสเกลอเรงคิมามาหุ้มล้อมรอบเอาไว้ โครงสร้างภายในลาต้น(internal structure of stem)
  • 17. Free Powerpoint Templates Page 17 กลุ่มของมัดท่อลาเลียง (vascular bundle) จะกระจายทุกส่วนของลาต้น แต่มักอยู่รอบนอกมาก ว่ารอบในและมัดท่อลาเลียงไม่มีเนื้อเยื่อเจริญด้านข้างหรือแคมเบียมคั่นอยู่ พืชพวกนี้จึงเจริญเติบโต ด้านข้างจากัด แต่มักจะสูงขึ้นได้มาก เนื่องจากพืชใบเลี้ยเดี่ยวมีเนื้อเยื่อเจริญบริเวณข้อทาให้ปล้องยืด ยาวขึ้น ในพืชบางชนิดส่วนของพืชจะสลายไปกลายเป็นช่องกลวงอยู่กลางลาต้น เรียกว่า “ ช่องพิธ ( Pith Cavity ) ” เช่น ในลาต้นของไผ่ หญ้า เป็นต้น โครงสร้างภายในลาต้น (internal structure of stem)
  • 19. Free Powerpoint Templates Page 19 ตารางแสดงความแตกต่างระหว่างลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่กับลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ 1. มีข้อและปล้องเห็นได้ชัดเจน 2. ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา 3.มัดท่อน้าท่ออาหารกระจายไปทั่วลาต้น 4. ส่วนมากไม่มีแคมเบียม 5. ส่วนมากไม่มีการเจริญขั้นที่สอง 6. ส่วนมากไม่มีวงปี 7. โฟลเอ็มและไซเลมมีอายุการในการทางาน 1. เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก 2. มีกิ่งก้านสาขามาก 3. มัดท่อน้าท่ออาหารเรียงตัวเป็นวงรอบลาต้น 4. ส่วนมากมีแคมเบียม นอกจากพืชล้มลุกบางชนิดไม่มี 5. ส่วนมากมีการเจริญขั้นที่สองและเจริญไปเรื่อยๆ สัมพันธ์กับความสูง 6. ส่วนมากมีวงปี 7. โฟลเอ็มและไซเลมมีอายุการทางานสั้น แต่จะมีการ สร้างขึ้นมาทดแทนอยู่เรื่อยๆ โดยแคมเบียม
  • 21. Free Powerpoint Templates Page 21 Shoot Development
  • 26. Free Powerpoint Templates Page 26 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก Lenticel Cork
  • 29. Free Powerpoint Templates Page 29 การเจริญระยะทุติยภูมิ (Secondary growth) หรือ การเจริญด้านข้าง (lateral growth) ของลาต้น แสดงวงปี (Annual ring) 1 2 3 Pith Annual ring (2 xylem)
  • 37. Free Powerpoint Templates Page 37 สรุป : การจาแนกชนิดของลาต้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้ 1. ลาต้นเหนือดิน (aerial stem/terrestrial stem) : Tree / Shrub / Herb ***หน้าที่พิเศษ 1.1 Creeping stem (ขนานผิวดิน/น้า : ผักบุ้ง ผักกระเฉด ฟักทอง สตรอเบอรี่ หญ้า) 1.2 climbing stem (ไต่ขึ้นที่สูงตามหลักหรือตาต้นพืชชนิดอื่น) - twining stem (เถาวัลย์ บอระเพ็ด) - stem tendril (องุ่น บวบ กระทกรก พวงชมพู) - root climber (พลู พลูด่าง พริกไทย) - stem spine/stem thorn (เฟื่องฟ้า ไมยราบ) 1.3 cladophyll/phylloclade/cladode (กระบองเพชร พญาไร้ใบ หน่อไม้ฝรั่ง โปร่งฟ้า) 1.4 Bulbil/crown/slip (หอม กระเทียม สับปะรด) 2. ลาต้นใต้ดิน (underground stem) 2.1 Rhizome * ขิง ข่า ขมิ้น กล้วย พุทธรักษา 2.2 Tuber * มันฝรั่ง 2.3 Bulb * หอม กระเทียม 2.4 Corm * เผือก แห้วจีน
  • 38. Free Powerpoint Templates Page 38 ชนิดของลาต้น (type of stem) สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน ลาต้นเหนือดิน (aerial stem) 1) ต้นไม้ยืนต้น (tree) เป็นต้นไม้ที่มีลาต้นหลักต้นเดียว จากนั้นจึงแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณยอด ลักษณะเนื้อแข็ง ลาต้นมีขนาดใหญ่ อายุยืนหลายปี
  • 39. Free Powerpoint Templates Page 39 ชนิดของลาต้น (type of stem) สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน ลาต้นเหนือดิน (aerial stem) 2) ต้นไม้พุ่ม (shrub) เป็นต้นไม้ที่มีลาต้นหลักหลายต้น มักมีเนื้อไม้แข็งแต่มีขนาดเล็กว่าไม้ยืนต้น แตก กิ่งก้านสาขาใกล้บริเวณผิวดิน
  • 40. Free Powerpoint Templates Page 40 ชนิดของลาต้น (type of stem) สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน ลาต้นเหนือดิน (aerial stem) 3) ต้นไม้ล้มลุก (herb) เป็นต้นไม้ที่มีเนื้อไม้อ่อนหรือไม่มีเนื้อไม้ ส่วนใหญ่มีอายุปีเดียว บางชนิดอาจ อยู่ได้สองปี เมื่อครบวัฏจักรชีวิตจะตายไป ไม้ล้มลุกบางชนิดที่มีลาต้นอยู่ใต้ดิน เมื่อส่วนที่อยู่เหนือดินตาย ส่วนที่อยู่ใต้ดินจะพักตัวอยู่และงอกในฤดูถัดไป
  • 41. Free Powerpoint Templates Page 41 ชนิดของลาต้น (type of stem) จาแนกตามลักษณะของเนื้อไม้ 1) ลาต้นที่มีเนื้อไม้ (woody stem) ได้แก่ ลาต้นของต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม
  • 42. Free Powerpoint Templates Page 42 ชนิดของลาต้น (type of stem) จาแนกตามลักษณะของเนื้อไม้ 2) ลาต้นที่ไม่มีเนื้อไม้ (herbaceous stem) ได้แก่ ลาต้นของต้นไม้ประเภท ไม้ล้มลุก
  • 47. Free Powerpoint Templates Page 47 ลาต้นเลื้อยขนานไปกับผิวดิน หรือผิวน้า (Prostrate หรือ Creeping stem) ส่วนใหญ่ของพืชพวกนี้มีลาต้นอ่อน ตั้งตรงไม่ได้ จึงต้องเลื้อยขนานไปกับผิวดิน เช่น ผักบุ้ง หญ้า แตงโม บัวบก ผักกระเฉด ผักตบชวา สตรอเบอรี่ เป็นต้นบริเวณข้อมีรากแตกเป็นแขนงออกมาแล้วปักลงดินเพื่อยึดลา ต้นให้ติดแน่นกับที่มีการแตกแขนงลาต้นออกจากตาบริเวณที่เป็นข้อ ทาให้มีลาต้นแตกแขนงออกไป ซึ่งเป็นการ แพร่พันธุ์วิธีหนึ่ง แขนงที่แตกออกมาเลื้อยขนานไปกับผิวดินหรือน้านี้เรียกว่า สโตลอน (Stolon) หรือรันเนอร์ (Runner) ที่ตรงกับภาษาไทยว่า ไหล
  • 48. Free Powerpoint Templates Page 48 ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง (Climbing stem หรือ Climber) 1) ใช้ลาต้นพันหลักเป็นเกลียวขึ้น ไป (Twining stem หรือ Twiner) การพัน อาจเวียนซ้าย หรือเวียนขวา เช่น ต้นถั่ว ฝอยทอง เถาวัลย์ชนิดต่าง ๆ ผักบุ้งฝรั่ง บอระเพ็ด พืชพวกนี้มีลำต้นอ่อนเช่นเดียวกับพวกแรก แต่ไต่ขึ้นสูงโดยขึ้นไปตำมหลักหรือต้นไม้ที่อยู่ ติดกันวิธีกำรไต่ขึ้นสูงนั้นมีอยู่หลำยวิธีคือ แสดงลาต้นพันหลักเป็นเกลียวขึ้นไปพวกเถาวัลย์
  • 51. Free Powerpoint Templates Page 51 ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง (Climbing stem หรือ Climber) 2) ลาต้นเปลี่ยนเป็นมือเกาะ (Stem tendril หรือ Tendril climber) มือเกาะจะบิดเป็นเกลียวคล้ายสปริง เพื่อให้มีการยืดหยุ่น เมื่อลมพัดผ่านมือเกาะจะยืดหดได้ ตัวอย่างเช่น ต้นบวบ น้าเต้า ฟักทอง องุ่น แตงกวา พวงชมพู กะทกรก ลิ้นมังกร เสาวรส โคกกระออมเป็นต้น (บางครั้ง Tendril อาจเกิดจากใบที่เปลี่ยนแปลงไปจะทราบ จากการสังเกต เช่น ใบถั่วลันเตา ตาลึง มะระ บริเวณปลาย ใบเปลี่ยนไปเป็นมือเกาะ) แสดงลาต้นเหนือดินที่เปลี่ยนแปลง ไปเป็นมือเกาะ (Stem tendril หรือ Tendril climber) ของต้นพวงชมพู
  • 53. Free Powerpoint Templates Page 53 ลาต้นใช้รากพัน (Root climber) เป็นลาต้นที่ไต่ขึ้นสูงโดยงอกรากออกมาบริเวณข้อ ยึดกับหลักหรือต้นไม้ต้นอื่น ตัวอย่างเช่น ต้นพลู พลูด่าง พริกไทย รากพืชเหล่านี้หากยึดติดกับต้นไม้จะไม่แทง รากเข้าไปในลาต้นของพืชที่เกาะ ไม่เหมือนพวกกาฝาก หรือฝอยทองซึ่งเป็นพืชปรสิตที่แทงรากเข้าไปในมัดท่อ ลาเลียงของพืชที่เกาะ แสดงใช้รากพัน(Root climber) ของต้นพลูด่าง
  • 54. Free Powerpoint Templates Page 54 ลาต้นเปลี่ยนเป็นหนาม (Stem spine หรือ Stem thorn) หรือขอเกี่ยว (Hook) บางทีเรียกลาต้นชนิดนี้ ว่า สแครมเบลอร์ (Scrambler) เพื่อใช้ในการไต่ขึ้น ที่สูง และยังทาหน้าที่ป้องกันอันตรายอีกด้วย เช่น หนามของต้นเฟื่องฟ้าหรือตรุษจีน มะนาว มะกรูด และส้มชนิดต่าง ๆ หนามเหล่านี้จะแตกออกมาจาก ตาที่อยู่บริเวณซอกใบ หนามบางชนิดเปลี่ยนแปลง มาจากใบ หนามบางชนิดไม่ใช่ทั้งลาต้น ใบและกิ่ง ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เกิดจากผิวนอกของลาต้นงอก ออกมาเป็นหนาม เช่น หนามกุหลาบส่วนต้น กระดังงา และการเวก มีขอเกี่ยวที่เปลี่ยนแปลงมา จากลาต้นแล้วยังมีดอกออกมาจากขอเกี่ยวได้ด้วย
  • 57. Free Powerpoint Templates Page 57 ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายใบ (Cladophyll หรือ Phylloclade หรือ Cladode) ลาต้นที่เปลี่ยนไปอาจแผ่แบนคล้ายใบหรือเป็นเส้นเล็กยาวและยังมีสีเขียว ทาให้เข้าใจผิดว่าเป็นใบ เช่น สนทะเล หรือ สนประดิพัทธ์ ที่มีสีเขียวต่อกันเป็น ท่อน ๆ นั้นเป็นส่วนของลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใบที่แท้จริงเป็นแผ่นเล็ก ๆ ติด อยู่รอบ ๆ ข้อ เรียกว่า ใบเกล็ด (Scale leaf) เช่นเดียวกับต้นโปร่งฟ้า (Asparcus) ที่ เห็นเป็นเส้นฝอยแผ่กระจายอยู่เป็นแผงและมีสีเขียวนั้นเป็นลาต้น ส่วนใบเป็นใบ เกล็ดเล็กๆ ติดอยู่ตรงข้อ นอกจากนั้นยังมีลาต้นอวบน้า(Succulent) เป็นลาต้นของพืชที่อยู่ในที่แห้ง แล้งกันดารน้า จึงมีการสะสมน้าไว้ในลาต้น เช่น ต้นกระบองเพชร สลัดได และ พญาไร้ใบ ลาต้นบางชนิดอาจเกิดจากตาหรือหน่อเล็กๆ ที่อยู่เป็นยอดอ่อนหรือใบ เล็ก ๆประมาณ 2-3 ใบที่แตกออกบริเวณซอกใบกับลาต้น หรือแตกออกจากยอดลา ต้นแทนดอก เมื่อหลุดออกจากต้นเดิมร่วงลงดินสามารถเจริญไปเป็นต้นใหม่ได้ ตัวอย่างเช่นหอม กระเทียม ตะเกียงสับปะรด ศรนารายณ์ เป็นต้น
  • 63. Free Powerpoint Templates Page 63 แง่งหรือเหง้า (Rhizome) ลาต้นใต้ดินจะอยู่ขนานกับผิวดินเห็นข้อปล้องได้ชัดเจน ตามข้อมีใบสีน้าตาลที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ มีลักษณะเป็นเกล็ด เรียกว่าใบเกล็ด หุ้มตาเอาไว้ มีรากงอกออกจากเหง้า หรือ แง่งนั้น ๆ ตาอาจแตกแขนงเป็นใบอยู่เหนือดิน หรือเป็นลา ต้นอยู่ใต้ดินก็ได้ เช่น หญ้าแห้วหมู ขิง ข่า ขมิ้น มันฝรั่ง ว่านสะระแหน่ หญ้าแพรก พุทธรักษา กล้วย เป็นต้น แสดงลาต้นใต้ดินชนิด แง่งหรือเหง้า (Rhizome) ของต้นว่านมหาปราบ
  • 65. Free Powerpoint Templates Page 65 ทูเบอร์ (Tuber) เป็นลาต้นใต้ดินที่งอกออกมาจากปลายไรโซมมี ปล้องเพียง 3-4 ปล้อง ตามข้อไม่มีใบเกล็ดและราก สะสมอาหารเอาไว้มากในลาต้นส่วนใต้ดิน จึงดูอ้วน ใหญ่กว่าหัวชนิดไรโซม แต่บริเวณที่เป็นตาจะบุ๋มลงไป ตัวอย่างเช่น มันฝรั่ง เหนือดินมีลาต้น และใต้ดินมีไร โซม ซึ่งบริเวณปลายพองออกเป็นทูเบอร์ ดังในรูปที่ชี้ ว่าเป็น “Eye” นั้นคือตานั่นเองถ้ามีความชื้นพอเพียง ต้นใหม่จะงอกออกมาจากบริเวณตา ซึ่งผิดกับหัวมัน เทศซึ่งเป็นรากไม่สามารถงอกต้นใหม่จากบริเวณหัวที่ มีรอยบุ๋มได้ เพราะไม่ใช่ตา ตัวอย่างอื่น ๆ ของหัวชนิดทู เบอร์ ได้แก่ หญ้าแห้วหมู หัวมันมือเสือ มันกลอย
  • 67. Free Powerpoint Templates Page 67 หัวกลีบ หรือบัลบ์ (Bulb) เป็นลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรง อาจมีส่วนพ้นดินขึ้นมาบ้างก็ได้ ลา ต้นมีขนาดเล็กที่มีปล้องที่สั้นมากบริเวณปล้องมีใบเกล็ดที่ซ้อนกัน หลายชั้นจนเห็นเป็นหัว เช่น หัวหอม หัวกระเทียม อาหารสะสมอยู่ ในใบเกล็ดในลาต้นไม่มีอาหารสะสมบริเวณส่วนล่างของลาต้นมี รากเส้นเล็ก ๆ แตกออกมาหลายเส้น เมื่อนาหัวหอมมาผ่าตามยาวจะ พบใบเกล็ดเป็นชั้น ๆ ชั้นนอกสุดเป็นแผ่นบาง ๆ เนื่องจากไม่มี อาหารสะสม ชั้นถัดเข้าไปมีอาหารสะสม จึงมีความหนากว่าแผ่น นอกชั้นในสุดของลาต้นเป็นส่วนยอดถ้าเอาหัวชนิดนี้ไปปลูกส่วน ยอดจะงอกออกมาเป็นใบสีเขียว แสดงลาต้นใต้ดิน ชนิดหัวกลีบหรือบัลบ์ (Bulb) ของต้นแสนพันล้อม
  • 70. Free Powerpoint Templates Page 70 คอร์ม (Corm) ลักษณะของลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรง เช่นเดียวกับหัวกลีบ ลักษณะที่แตกต่างกันคือ เก็บอาหารไว้ในลาต้นแทนที่จะเก็บไว้ในใบเกล็ด ลาต้นจึงมีลักษณะอวบใหญ่ ทางด้านล่างของลา ต้นมีรากเส้นเล็ก ๆ หลาย ๆ เส้นที่ข้อมีใบเกล็ด บาง ๆ หุ้ม ตาแตกออกมาจากข้อเป็นใบชูขึ้นสูง หรืออาจเป็นลาต้นใต้ดินต่อไป ตัวอย่างเช่น เผือก ซ่อนกลิ่นฝรั่ง และแห้ว เป็นต้น
  • 72. Free Powerpoint Templates Page 72 ใบ ( Leaves) เป็น อวัยวะที่เจริญออกไปบริเวณด้านข้างโดยมีตาเหน่งอยู่ที่ข้อปล้อง ของต้นและ กิ่ง ใบส่วนใหญ่มักแผ่แบน มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ ทาหน้าที่หลักในการ สังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) และคายน้า (transpiration) รูปร่างและขนาดของ ใบแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช หน้าที่หลักของใบคือใช้ในการสังเคราะห์แสง การ หายใจและการคายน้า
  • 74. Free Powerpoint Templates Page 74 ใบ ( Leaves)
  • 75. Free Powerpoint Templates Page 75 การเรียงของใบ (Leaf Arrangement)
  • 76. Free Powerpoint Templates Page 76 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf 1. แผ่นใบหรือตัวใบ (leaf blade or lamina) มักแผ่แบน มีสีเขียว ส่วนใหญ่มีรูปร่างรี บางชนิดอาจมีรูปร่างกลม รูปหัวใจ รูปพัด ในใบหญ้าแผ่นใบมักจะเรียวยาว แผ่นใบเป็นส่วน สาคัญที่สุด เพราะเป็นส่วนที่สร้างอาหาร บางชนิดมีขนาดเล็กเป็นใบเกล็ด (scale leaf) หรือ ม้วนเป็นท่อ เช่นในใบหอม
  • 78. Free Powerpoint Templates Page 78 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 1.1 เส้นใบ (vein) ให้สังเกตเส้นกลางใบ (midrib) ซึ่งต่อเป็นเนื้อเดียวกับก้านใบ จากเส้นกลางใบ แยกออกเป็นเส้นใบ ซึ่งจะแยกแขนงออกไปอีกเป็นเส้นแขนงใบ (veinlet) การเรียงของใบ (venation) เส้นใบแบบขนาน (parallel venation)พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แบ่งเป็นเรียงตามยาว ของใบ (plamately parallel venation) และเส้นใบขนานกันตามขวางของใบ (pinately parallel venation)
  • 79. Free Powerpoint Templates Page 79 เส้นใบ ( vein ) • Parallel venation ลักษณะเส้นใบขนานกัน ถ้ามีเส้นกลางใบและมีเส้นใบย่อยแตกออกจากเส้น กลางใบขนานกัน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า Costal parallel เช่น ใบหญ้า อ้อย ข้าว ถ้าเส้นใบขนาน กันตั้งแต่โคนใบ ไม่มีเส้นใบกลางใบ แบบนี้เรียกว่า Basal parallel เช่น ใบ พุทธรักษา ใบตอง
  • 80. Free Powerpoint Templates Page 80 เส้นใบ ( vein ) • Reticulate venation หรือ netted venation ลักษณะคล้ายร่างแห สานกัน ถ้ามีเส้นกลางใบและมี เส้นใบย่อยแตกออกจากเส้นกลางใบ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า pinnately netted venation ถ้าแตก จากโคนของใบ ไม่มีเส้นใบกลางใบ แบบนี้เรียกว่า palmately
  • 82. Free Powerpoint Templates Page 82 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 1.2 ส่วนของใบเลี้ยงคู่เป็นแบบตาข่าย (netted หรือ recticulated venation) ซึ่งมี 2 แบบคือ แบบตาข่ายขนนก (pinnately netted venation) ตาข่ายแบบรูปมือ (palmately netted venation)
  • 83. Free Powerpoint Templates Page 83 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 2. ก้านใบ (petiole) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตัวใบกับลาต้น มีลักษณะเป็นก้านสั้นๆ ในใบหญ้า ก้านใบมักจะแบนบางโอบส่วนลาต้นไว้ ซึ่งนิยมเรียกว่ากาบ หรือsheath พืชบางชนิดอาจไม่มี ก้านใบ เรียกใบแบบนี้ว่า sessile leaf ถ้ามีก้านใบเรียกว่า petiolate
  • 84. Free Powerpoint Templates Page 84 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 3. หูใบ (stipule) เป็นส่วนของระยางค์ที่ยื่นออกมาตรงโคนใบที่ติดกับลาต้น หูใบมักมีอายุไม่นาน และจะลดร่วงไป หูใบมักมีสีเขียวแต่อาจมีสีเช่น หูใบของต้นยางอินเดียหูใบมีสีสันสวยงามหุ้มยอด อ่อนเอาไว้ พืชบางชนิดอาจไม่มีหูใบ เรียกใบแบบนี้ว่าexstipulate leaf ถ้ามีหูใบเรียกว่า stipulate leaf เช่น เข็ม พุดน้าบุด มีหูใบอยู่ระหว่างใบทั้งสองข้าง กุหลาบมีหูใบเชื่อมติดต่อกับก้านใบ ชบามี หูใบอยู่บริเวณซอกใบ
  • 85. Free Powerpoint Templates Page 85 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 4. ขอบใบ (Leaf margin) หมายถึงส่วนริมสุดของตัวใบตั้งแต่โคนใบจนถึงปลายใบ พืชแต่ละ ชนิดจะมีลักษณะขอบใบแตกต่างกันไป เช่น ขอบใบเรียบ ขอบใบหยัก ขอบใบเว้า
  • 87. Free Powerpoint Templates Page 87 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 5. โคนใบ หรือฐานใบ (Leaf base) คือส่วนที่อยู่ล่างสุดของแผ่นใบที่ติดกับก้านใบหรือกิ่ง
  • 89. Free Powerpoint Templates Page 89 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 6. ปลายใบ (Leaf apex) ส่วนของแผ่นใบที่อยู่ปลายสุดตรงข้ามกับก้านใบ ปลายใบของพืชแต่ละ ชนิดมีลักษณะแตกต่างกันไป
  • 91. Free Powerpoint Templates Page 91 ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf • 7. เส้นกลางใบ (Midrib) คือ ส่วนที่ยื่นต่อจากก้านใบเข้าไปในตัวใบ มีลักษณะเป็นสันนูน แบ่งใบ ออกเป็นสองซีก เส้นกลางใบจะแตกแขนงมากมายกระจายไปทั่วแผ่นใบ เรียกว่า เส้นใบ (Vein) ซึ่ง จะช่วยให้แผ่นใบกางอยู่ได้
  • 96. Free Powerpoint Templates Page 96 ใบพืช C3 ใบพืช C4
  • 99. Free Powerpoint Templates Page 99 สรุป : การจาแนกชนิดของใบ 1. ใบเลี้ยง (cotyledon) : albuminous / exalbuminous 2. ใบเกล็ด (scale leaf) : หอม กระเทียม 3. .ใบดอกหรือใบประดับ (floral leaf or bract) : เฟื่องฟ้า หน้าวัว 4. ใบแท้ (foliage leaf) ***ใบแท้ (foliage leaf) มี 2 ชนิด 4.1 ใบเดี่ยว (simple leaf) : ทั่วไป 4.2 ใบประกอบ (compound leaf) ****ใบประกอบ (compound leaf) แบ่งเป็น 2 ชนิด 4.2.1 ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves): ชั้นเดียว (กุหลาบ) /สองชั้น (จามจุรี) /สามชั้น (ปีบ) 4.2.2 ใบประกอบแบบนิ้วมือ (palmately compound leaves) : หนวดปลาหมึก พญาสัตบรรณ ใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะอย่าง (Modified leaf หรือ specialized leaf) - Leaf tendril (ตาลึง มะระ ถั่วลันเตา) - leaf spine (กระบองเพชร เหงือกปลาหอม) - Storage leaf (ว่านหางจระเข้) - scale leaf (ขิง ข่า เผือก แห้วจีน หัวหอม) - Phyllode (กระถินณรงค์) - floating leaf (ผักตบชวา) - vegetative reproduction organ (คว่าตายหงายเป็น เศรษฐีพันล้าน) - Carnivorous leaf / insectivorous leaf (หม้อข้าวหม้อแกงลิง กาบหอยแครง หยาดน้าค้าง สาหร่ายข้าวเหนียว)
  • 100. Free Powerpoint Templates Page 100 การจัดประเภทของใบ • 1. ใบแท้ (Foliage leaf) คือใบไม้ปกติทั่วๆ ไป มีสีเขียวและแผ่นเป็นแผ่นกว้างแบนเพื่อทาหน้าที่ สังเคราะห์ด้วยแสง หายใจ และคายน้า แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ใบเดี่ยว และใบประกอบ • 2. ใบพิเศษ (Specialized leaf)หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf) พืชบางชนิดมีใบที่ เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ มือเกาะ หนาม สะสมอาหาร เป็นต้น
  • 101. Free Powerpoint Templates Page 101 ใบแท้ (Foliage leaf) • 1. ใบเดี่ยว (simple leaf) ใบที่มีตัวใบแผ่นเดียว เช่น ใบน้อยหน่า มะม่วง ชมพู่ พืชบางชนิดตัวใบ เว้า โค้งไปมา จึงทาให้ดูคล้ายมีตัวใบหลายแผ่นแต่บางส่วนของตัวใบยังเชื่อมกันอยู่ถือว่า เป็นใบ เดี่ยว เช่น ใบมะละกอ ใบฟักทอง ตัวใบมักติดกับก้านใบ ถ้าใบที่ไม่มีก้านใบเรียก sessile leaves เช่น บานชื่น
  • 102. Free Powerpoint Templates Page 102 ใบแท้ (Foliage leaf) • 2. ใบประกอบ (compound leaf) ใบที่มีตัวใบหลายแผ่นติดอยู่กับก้านใบเดียว เช่น ขี้เหล็ก ใบจามจุรี ใบย่อย เรียกว่า leaflets ใบประกอบจะมีตาที่ซอกใบที่ติดกับลาต้นเท่านั้น (แต่ส่วนที่เป็นก้านใบย่อย จะไม่พบตา) ใบประกอบยังสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้ 2 ประเภทดังนี้
  • 103. Free Powerpoint Templates Page 103 ใบประกอบ (compound leaf) • Pinnately compound leaf (ใบประกอบแบบขนนก) ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แต่ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolule) ออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ๆ คล้ายขนนก
  • 104. Free Powerpoint Templates Page 104 Pinnately compound leaf • ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (Pinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออก จากก้านใบเพียงครั้งเดียว ใบย่อยแต่ละใบจะมีก้านใบย่อย เรียกว่าpetiolue ได้แก่ ใบกุหลาบ ใบ มะขาม ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา ใบทองอุไร ใบกาลพฤกษ์
  • 105. Free Powerpoint Templates Page 105 Pinnately compound leaf • ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (bipinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออก จากก้านใบเพียง 2 ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla เช่น ใบ หางนกยูงฝรั่ง จามจุรี กระถิน
  • 106. Free Powerpoint Templates Page 106 Pinnately compound leaf • ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น (tripinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตก ออกจากก้านใบเพียง 3ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla แต่แกนกลางที่ 3 อาจเรียกรวมว่า rachilla ตัวอย่าง เช่น ใบมะรุม บีบ
  • 107. Free Powerpoint Templates Page 107 ใบประกอบ (compound leaf) • Palmately compound leaf (ใบประกอบแบบฝ่ ามือ) ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แตกออกจากส่วนก้านใบลักษณะคล้ายนิ้วมือ ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ bifoliage ใบที่ ประกอบด้วยใบย่อย 2 ใบ trifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ
  • 108. Free Powerpoint Templates Page 108 Palmately compound leaf bifoliage trifoliage
  • 110. Free Powerpoint Templates Page 110 ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf) • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 1. มือเกาะ (leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อยึดและพยุงลาต้นให้ไต่ขึ้นที่สูงได้ เช่น ถั่ว ลันเตา มะระ ตาลึง เป็นต้น โดยอาจเปลี่ยนแปลงมาจากทั้งใบหรือส่วนต่าง ๆ ของใบ เช่น หูใบ ก้านใบ ปลายใบ หรือใบย่อย
  • 111. Free Powerpoint Templates Page 111 มือเกาะ (Leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ เพื่อยึดและพยุงลาต้นให้ขึ้นสูง มือเกาะ อาจเปลี่ยนมาจากใบบางส่วน หรือใบทั้ง ใบก็ได้ ตัวอย่างมือเกาะของถั่วลันเตา ถั่ว หอม บานบุรีสีม่วง พวงแก้วกุดั่น มะระ กะทกรก ดองดึง หวายลิง เป็นต้น แสดงมือเกาะ (Leaf tendrill) ของต้นกะทกรก
  • 112. Free Powerpoint Templates Page 112 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 2. หนาม (Leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่จะมากัดกิน และ ช่วยลดการคายน้าอีกด้วย เช่น มะขามเทศ กระบองเพชร ป่ านศรนารายณ์ สับปะรด เป็นต้น ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 113. Free Powerpoint Templates Page 113 ใบหนาม (Leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่มา กัดกิน พร้อมกับป้องกันการคายน้า เนื่องจากปากใบลดน้อยลงกว่าปกติ หนามที่เกิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งใบกลายเป็นหนาม หรือบางส่วน ของใบกลายเป็นหนามก็ได้ ตัวอย่างเช่น หนามของต้นเหงือกปลาหมอ เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบและหูใบ หนามของต้นกระบองเพชร เปลี่ยนแปลงมาจากใบหนามมะขามเทศเปลี่ยนแปลงมาจากหูใบ หนาม ของศรนารายณ์ (หรือต้นร้อยปี) เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบ เป็นต้น
  • 115. Free Powerpoint Templates Page 115 แสดงใบเปลี่ยนแปลงเป็นหนามของต้นกระบองเพชร
  • 116. Free Powerpoint Templates Page 116 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 3. ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่สะสมอาหารและน้า จึงมีลักษณะ อวบอ้วนเนื่องจากสะสมน้าและอาหารไว้มาก เช่น ใบเลี้ยงของพืชต่างๆ ใบว่านหางจระเข้ กาบกล้วย ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 117. Free Powerpoint Templates Page 117 ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่เก็บสะสม อาหาร จึงมีลักษณะอวบหนา ได้แก่ใบเลี้ยง (Cotyledon) และใบพืชอีกหลายชนิด เช่น ใบว่าน หางจระเข้ หัวหอม หัวกระเทียม กาบกล้วย ส่วน กะหล่าปลีเก็บอาหารสะสมไว้ที่เส้นใบ และก้านใบ อนึ่งใบเลี้ยงเป็นใบใบแรกที่อยู่ในเมล็ด พืชบาง ชนิดมีใบเลี้ยงขนาดใหญ่เนื่องจากการสะสมอาหาร ไว้ โดยดูดอาหารมาจากเอนโดสเปิร์ม (Endosperm) เพื่อนาไปใช้ในการงอกของต้นอ่อน ใบเลี้ยงจึงมีลักษณะอวบใหญ่ ใบเลี้ยงยังมีหน้าที่ ปกคลุมเพื่อป้องกันยอดอ่อนไม่ให้เป็นอันตราย เมื่อ ยอดอ่อนแทงทะลุดินขึ้นมา และเมื่อพ้นดินแล้วยัง ช่วยสังเคราะห์อาหารอีกด้วยในพืชบางชนิด แสดงใบสะสมอาหารของต้นว่านหางจระเข้
  • 118. Free Powerpoint Templates Page 118 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 4. ใบเกล็ด (Scale leaf) มีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ ไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น ใบเกล็ดของสนทะเล โปร่งฟ้า ขิง ข่า เผือก แห้ว เป็นต้น ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 119. Free Powerpoint Templates Page 119 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 5. เกล็ดหุ้มตา (Bud scale) มีลักษณะเป็นแผ่นหุ้มตาไว้ เมื่อตาเจริญเติบโตก็จะดันให้เกล็ดหุ้มตากาง ออกหรือหลุดร่วงไป เช่น ในต้นสาเก จาปี และยาง เป็นต้น ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 120. Free Powerpoint Templates Page 120 เกล็ดหุ้มตา (Bud scale) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทา หน้าที่หุ้มตาหรือคลุมตาไว้ เมื่อตา เจริญเติบโตออกมา จึงดันให้เกล็ดหุ้ม ตาหลุดไปพบในต้นยาง จาปี สาเก เป็นต้น แสดง เกล็ดตา (Bud scale)
  • 121. Free Powerpoint Templates Page 121 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 6. ฟิลโลด (Phyllode) หรือ Phyllodium (Gr. phyllon = ใบ) เป็นส่วนต่างๆ ของใบที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นแผ่นแบนคล้ายตัวใบ พืชที่มีใบแบบนี้มักจะไม่มีใบที่แท้จริง เช่น ใบกระถินณรงค์เปลี่ยนแปลงมา จากก้านใบ ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 122. Free Powerpoint Templates Page 122 ฟิลโลด (Phyllode หรือ Phyllodium ) บางส่วนของใบเปลี่ยนแปลงไป เป็นแผ่นแบนคล้ายใบแต่แข็งแรงกว่า ปกติ ทาให้ไม่มีตัวใบที่แท้จริง จึงลด การคายน้าได้ด้วย เช่น ใบกระถิน ณรงค์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากก้านใบ แสดงใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นแผ่นคล้ายใบ ของ ต้นระถินรณงค์ (Rakbankerd Limited,2006)
  • 123. Free Powerpoint Templates Page 123 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 7. ทุ่นลอย (Floating leaf) พืชน้าบางชนิด เช่น ผักตบชวา จะมีก้านใบที่พองออก ภายในมีช่องว่างให้ อากาศแทรกอยู่มาก จึงช่วยพยุงลาต้นทาให้สามารถลอยน้าได้ ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 124. Free Powerpoint Templates Page 124 ทุ่นลอย (Floating leaf) พืชน้าบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลง ก้านใบให้พองโตคล้ายทุ่น ภายในมี เนื้อเยื่อที่จัดตัวอย่างหลวม ๆ ทาให้มีช่อง อากาศกว้างใหญ่ สามารถพยุงลาต้นให้ ลอยน้ามาได้ เช่น ผักตบชวา แสดงทุนลอย (Floating leaf) ของผักตบชวา
  • 126. Free Powerpoint Templates Page 126 ใบประดับ (Bract) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไป ทา หน้าที่ช่วยรองรับดอกหรือช่อดอก อยู่บริเวณซอกใบ และมักมีสีเขียว แต่อาจมีสีอื่นก็ได้ ใบประดับมิได้ เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของดอก ตัวอย่างเช่น กาบปลีของกล้วย กาบ เขียงของมะพร้าวและหมากซึ่งมีสี เขียว บางท่านจัดรวมใบดอกและใบ ประดับไว้เป็นชนิดเดียวกัน แต่ถ้ามี สีสวยงามเรียกว่า ใบดอก แสดง ใบประดับที่เรียกว่า กาบเขียงของต้นหมาก
  • 127. Free Powerpoint Templates Page 127 ภาพแสดง ใบประดับที่เรียกว่า กาบเขียงของต้นมะพร้าว ภาพแสดง ใบประดับที่ เรียกว่ากาบปลีของต้นกล้วย
  • 129. Free Powerpoint Templates Page 129 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 8. ใบประดับหรือใบดอก (Floral leaf หรือ Bract: L. bractea = แผ่นโลหะ) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลง ไปเพื่อทาหน้าที่ช่วยรองรับดอก มักมีสีเขียว แต่พืชหลายชนิดมีใบประดับเป็นสีอื่นๆ คล้ายกลีบดอก เพื่อช่วยล่อแมลงสาหรับผสมเกสร เช่น เฟื่องฟ้า คริสต์มาส หน้าวัว เป็นต้น ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 130. Free Powerpoint Templates Page 130 ใบดอก (Floral leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปมีสี สวยงามคล้ายกลีบดอก ทาหน้าที่ ช่วยล่อแมลง เช่น หน้าวัว (เป็นส่วน ที่เป็นแผ่นสีแดงเรียกว่า Spathe) อุตพิด คริสต์มาส เฟื่องฟ้า แสดงใบดอกของต้นหน้าวัวและต้นเฟื่องฟ้า
  • 131. Free Powerpoint Templates Page 131 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 9. ใบสืบพันธุ์ (Vegetativereproductive leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วยในการแพร่พันธุ์ เช่น ใบคว่าตายหงายเป็น ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 132. Free Powerpoint Templates Page 132 ใบแพร่พันธุ์ (Vegetative reproductive organ) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วย แพร่พันธุ์โดยบริเวณของใบที่มีลักษณะ เว้าเข้าเล็กน้อย มีตา (Aventitious bud) ที่งอกต้นเล็ก ๆ ออกมาได้ ตัวอย่างเช่น ใบของต้นตายใบเป็น (หรือคว่าตายหงาย เป็น) ต้นเศรษฐีพันล้าน ต้นโคมญี่ปุ่ น แสดงใบแพร่พันธุ์ (Vegetative reproductive organ) ของต้นโคมญี่ปุ่ น
  • 133. Free Powerpoint Templates Page 133 • พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ 10. กับดักแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่ดัก จับแมลงหรือสัตว์เล็กๆ โดยมีการสร้างเอนไซม์สาหรับย่อยแล้วดูดซึมแร่ธาตุไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น หยาดน้าค้าง กาบหอยแครง และหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf)
  • 134. Free Powerpoint Templates Page 134 ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดัก แมลง หรือสัตว์ขนาดเล็ก ภายในกับดักมีต่อม สร้างเอนไซม์ประเภทโพรทีเอส (Protease)ที่ ย่อยโปรตีนสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักได้ พืชชนิด นี้มีใบปกติที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือน พืชทั่วๆ ไป แต่พืชเหล่านี้มักอยู่ในที่มี ความชื้นมากกว่าปกติ อาจขาดธาตุอาหารบาง ชนิดจึงต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดัก เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (หรือน้าเต้า ฤๅษี) ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดน้าค้างต้น สาหร่ายข้าวเหนียวหรือสาหร่ายนา (ไม่ใช่ สาหร่าย แต่เป็นพืชน้าขนาดเล็ก)เป็นต้น แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของ ต้นหม้อข่าวหม้อแกงลิง (Carnivorous Plant Website, 2006)
  • 135. Free Powerpoint Templates Page 135 แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของต้นหยาดน้าค้าง (Carnivorous Plant Website, 2006) แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของต้นกาบหอยแครง (Carnivorous Plant Website, 2006)
  • 136. Free Powerpoint Templates Page 136 ใบเกล็ด (Scale leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนมาจากใบแท้ เพื่อทา หน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ตาและยอดอ่อน ใบเกล็ดไม่มีสีเขียว เพราะไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น ใบเกล็ดของสนทะเลที่เป็นแผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ รอบ ๆ ข้อใบเกล็ดของโปร่งฟ้าเป็นแผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ตรงข้อเช่นเดียวกัน ใบเกล็ด ของขิงข่า เผือก แห้วจีน เป็นต้น นอกจากนี้ใบเกล็ดบาง ชนิดยังสะสมอาหารไว้ด้วย ใบเกล็ดจึงมีขนาด ใหญ่ เช่น หัวหอม หัวกระเทียม แสดง ใบเกล็ด (Scale leaf)
  • 138. Free Powerpoint Templates Page 138 จุดเน้นควรเข้าใจ !!! ส่วนสะสมอาหารของพืชดอก ต้น : ขิง ข่า ขมิ้น มันฝรั่ง เผือก แห้ว ใบ : หอมหัวใหญ่ส่วนที่เรากิน ราก : แครอท หัวไชเท้า กระชาย มันแกว มันเทศ มันสาปะหลัง สารในพืชที่เราควรรู้จัก 1. ที่ cell wall : pectin cellulose hemicellulose lignin 3. ฉาบอยู่บนใบ : cutin wax 2. ที่ cork และ endodermis : suberin 4. พอกอยู่ในเนื้อไม้ : lignin suberin tannin resin เนื้อเยื่อถาวรบางที่เปลี่ยนกลับเป็นเนื้อเยื่อเจริญแล้วสร้าง 1. รากแขนง เกิดจาก pericycle 2. กิ่งแขนงเกิดจาก cortex 3. Cork cambium 4. Vascular cambium
  • 139. Free Powerpoint Templates Page 139 สรุปเน้นสอบหัวข้อสาคัญ 1. transpiration: stomatal/cuticular/lenticular 2. stomatal pore: typical (mesophyte) / sunken (xerophyte, halophyte) / raised (hydrophyte) 3. กระบวนการปิดเปิดปากใบ : K+ pump / guard cell / stomata / subsidiary cell / hypotonic solution 4. ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้า -ปัจจัยภายนอก : แสงสว่าง / อุณหภูมิ / ความชื้น / ลม / ความอุดมสมบูรณ์ของน้าในดิน / ความ กดดันของบรรยากาศ -ปัจจัยภายใน : ลักษณะของปากใบ / อัตราส่วน root : shoot / ความหนาของ cuticle / พื้นที่ใบ / การจัดเรียงตัวของใบ / ขนาดและรูปร่างของใบ 5. guttation: hydathode (เมื่ออากาศมีความชื้นมาก น้าในดินมีปริมาณมาก อุณหภูมิต่า แรงดัน รากสูง) 6. การลาเลียงน้าและอาหารของพืช: บริเวณ root hair มากที่สุด (osmosis น้า และ active แร่ธาตุ) - ความสาคัญของน้าที่มีต่อพืช: ส่วนประกอบมากที่สุด / ควบคุมอุณหภูมิคงที่ / ตัวทาละลาย / ตัว พยุง / แหล่ง H กับ O / กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง - การดูดน้าของพืช apoplasmic pathway (intercellular space)/ symplasmic pathway (endodermis , plasmodesmata)
  • 140. Free Powerpoint Templates Page 140 สรุปเน้นสอบหัวข้อสาคัญ - กลไกการลาเลียงน้าของพืช : bulk flow หรือ mass flow - แรงที่ใช้ในการลาเลียงน้า: capillaryforce / root pressure / transpiration pull 7. การลาเลียงสารอาหารของพืช ***การศึกษา : Malpighi (ทดลองควั่นลาต้นใบเลี้ยงคู่ออกตั้งแต่เปลือก ไม้จนถึงชั้นแคมเบียม) : Mason and Maskell (ทดลองโดยใช้ธาตุกัมันตรังสี 14C ในรูปสารละลายให้กับใบด้านล่างและใบ ด้านบน : ทิศทางลาเลียงแหล่งสร้างไปแหล่งสะสม) : Zimmerman (ทดลองตัดหัวเพลี้ยอ่อนที่ใช้งวงแทงลงไปถึงท่อโฟลเอ็ม: ส่วนใหญ่เป็นน้าตาลซูโครส) 8. สรุปการลาเลียงสารในพืช = Diffusion / protoplasm streaming (cyclosis): Hugo De Vries / mass (pressure) flow hypothesis : E. Munch 9. ธาตุอาหารของพืช: macronutrient (N P K S Ca Mg) / micronutrient (Fe Cl Mn B Zn Cu Ni Mo) *** chlorosis
  • 141. Free Powerpoint Templates Page 141 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 146. Free Powerpoint Templates Page 146 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 151. Free Powerpoint Templates Page 151 • การคายน้าคือการสูญเสียน้าของพืชในรูปของไอน้า น้าที่พืชดูดขึ้นไปจะใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสงเพียงร้อยละ 1 - 2 เท่านั้น น้าส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 98 - 99 จะสูญเสียไปในรูปของการคายน้า โดยน้าเปลี่ยนเป็นไอและระเหยออกไป น้าส่วนใหญ่จะระเหยออกทางปากใบ (stomata) เรียกว่า สโตมา ทอลทรานสพิเรชัน (stomatal transpiration) การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 152. Free Powerpoint Templates Page 152 • นอกจากนี้น้าอาจสูญเสียทางผิวใบและส่วนของลาต้นอ่อน ๆ เรียกว่า คิวทิคิวลาร์ ทรานสพิเรชัน (cuticular traspiration) ทางรอยแตกหรือรูเล็ก ๆ ที่ลาต้นหรือเลนทิเซล (lenticel) เรียกว่า เลนทิคิวลาร์ ทรานสพิเรชัน (lenticular transpiration) การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 153. Free Powerpoint Templates Page 153 lenticular transpiration
  • 154. Free Powerpoint Templates Page 154 การคายน้าของพืช (Plant Transpiration) • การคายน้าทางผิวใบและเลนทิเซลถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการคายน้าทางปากใบ แต่ในสภาพที่พืช ขาดน้า ปากใบจะปิดดังนั้นการคายน้าทางผิวใบ และเลนทิเซล จะช่วยลดอุณหภูมิให้กับพืชได้บ้างทาให้ ลาต้นพืชไม่ร้อนมากจนเกินไป ที่ผิวใบพืชมีเซลล์ชั้นเอพิเดอร์มิส (epidermis layer)เซลล์ชั้นนี้เป็นชั้น ที่อยู่นอกสุดปกคลุมส่วนที่อยู่ข้างในทั้งทางด้านบน คือ เอพิเดอร์มิสด้านบน (upper epidermis) และ ทางด้านล่าง คือ เอพิเดอร์มิสด้านล่าง (lower epidermis)
  • 155. Free Powerpoint Templates Page 155 • เซลล์เอพิเดอร์มิสมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงตัวแถวเดียวตลอดทั่วไป เซลล์ชั้นนี้ไม่มีคลอโรฟีลล์ อยู่ด้วย จึงทาให้สังเคราะห์ด้วยแสง ไม่ได้เซลล์เอพิเดอร์มิสบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เป็น เซลล์คุม (guard cell) อยู่ด้วยกันเป็นคู่ผนังด้านในของเซลล์คุมหนากว่าผนังเซลล์ด้านนอกระหว่าง เซลล์คุมเป็นปากใบ (stomata) การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 156. Free Powerpoint Templates Page 156 • พบว่าทางด้านล่างของใบมีปากใบอยู่มากกว่าทางด้านบนเซลล์คุมทาหน้าที่ปิดและเปิดปาก ใบ เซลล์คุมแตกต่างจากเซลล์เอพิเดอร์มิสอื่น คือ เซลล์คุมมีคลอโรฟีลล์อยู่ด้วย จึงสามารถ สังเคราะห์ด้วยแสงได้และการสังเคราะห์ด้วยแสงนี้เป็นกลไกสาคัญที่ทาให้เกิดการเปิดปิด ของปากใบ, การคายน้าและการลาเลียงสารของพืช ผิวของเซลล์ชั้นเอพิเดอร์มิสมีสารพวก ขี้ผึ้ง เรียกว่า คิวทิน (cutin) ฉาบอยู่ช่วยป้องกันการระเหยของน้าออกจากผิวใบ การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 157. Free Powerpoint Templates Page 157 • ปากใบพืชจาแนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็น 3 แบบ คือ 1.ปากใบแบบธรรมดา (typical stomata) เป็นปากใบของพืชทั่วไปโดยมีเซลล์คุมอยู่ใน ระดับเดียวกับเซลล์เอพิเดอร์มิสพืชที่ปากใบเป็นแบบนี้เป็นพวกเจริญอยู่ในที่ ๆ มีน้าอุดม สมบูรณ์พอสมควร (mesophyte) การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 158. Free Powerpoint Templates Page 158 • ปากใบพืชจาแนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็น 3 แบบ คือ 2.ปากใบแบบจม (sunken stomata) เป็นปากใบที่อยู่ลึกเข้าไปในเนื้อใบเซลล์คุมอยู่ลึกกว่าหรือต่า กว่าชั้นเซลล์เอพิเดอร์มิสพบในพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง (xerophyte) เช่น พืชทะเลทราย พวก กระบองเพชร พืชป่ าชายเลน (halophyte) เช่น โกงกาง แสม ลาพู เป็นต้น การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 159. Free Powerpoint Templates Page 159 • ปากใบพืชจาแนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็น 3 แบบ คือ 3.ปากใบแบบยกสูง (raised stomata) เป็นปากใบที่มีเซลล์คุมอยู่สูงกว่าระดับเอพิเดอร์มิส ทั่วไป เพื่อช่วยให้น้าระเหยออกจากปากใบได้เร็วขึ้นพบได้ในพืชที่เจริญอยู่ในน้าที่ที่มีน้า มากหรือชื้นแฉะ(hydrophyte) การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 160. Free Powerpoint Templates Page 160 • ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หญ้า ข้าวโพด ที่ชั้นเอพิเดอร์มิสมีเซลล์ขนาดใหญ่และผนังเซลล์ บาง เรียกว่า บัลลิฟอร์มเซลล์ (bulliform cell) ช่วยทาให้ใบม้วนงอได้เมื่อพืชขาดน้าช่วยลดการคาย น้าของพืชให้น้อยลง พืชบางชนิดอาจมีเอพิเดอร์มิสหนามากกว่า 1 ชั้น ซึ่งพบมากทางด้านหลังใบ มากกว่าทางด้านท้องใบเรียกว่า มัลติเปิล เอพิเดอร์มิส (multiple epidermis) ซึ่งพบในพืชที่แห้งแล้ง ช่วยลดการของได้ เซลล์ชั้นนอกสุดเรียกว่า เอพิเดอร์มิส ส่วนเซลล์แถวที่อยู่ถัดเข้าไปเรียกว่า ไฮโพ เดอร์มิส (hypodermis) การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 161. Free Powerpoint Templates Page 161 • การคายน้าของพืชมีความสัมพันธ์กับการลาเลียงน้าของพืชไปตามเซลล์ที่มีลักษณะเป็นท่อยาว ๆ ถ้า หากพืชคายน้าออกไปมากจะมีกระบวนการลาเลียงน้ามากด้วย การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 162. Free Powerpoint Templates Page 162 • ในขณะที่สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมกับการคายน้าทางปากใบ เช่น เมื่ออากาศมีความชื้นมาก พืชบาง ชนิดจะกาจัดน้าออกมาในรูปของหยดน้า ทางรูเปิดเล็ก ๆ ตามปลายของเส้นใบ รูเหล่านี้เรียกว่า ไฮดา โทด (hydathode) กระบวนการคายน้าของพืชในรูปของหยดน้าเช่นนี้เรียกว่า กัตเตชัน (guttation) เนื่องจากพืชมีการดูดน้าอยู่ตลอดเวลา น้าจะเข้าไปอยู่ในรากเป็นจานวนมากขึ้นทุกที ทาให้เกิดแรงดัน ของเหลวให้ไหลขึ้นไปตามท่อไซเลมในลาดับและใบ และไหลออกมาทางรูเปิดของท่อเล็ก ๆ ที่อยู่ ปลายของเส้น มองเห็นเป็นหยดน้าเล็กๆ เกาะอยู่ตามขอบใบเราจะพบปรากฏการณ์นี้ในธรรมชาติได้ อย่างชัดเจนในตอนเช้าที่อากาศมีความชื้นมาก ๆ ซึ่งมักไม่เกิดบ่อยนัก การคายน้าของพืช (Plant Transpiration)
  • 163. Free Powerpoint Templates Page 163 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคายน้า 1) แสงสว่าง ถ้ามีความเข้มข้นแสงมาก ปากใบจะเปิดได้กว้าง พืชจะคายน้าได้มาก 2) อุณหภูมิ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลควบคู่กับแสงสว่างเสมอ ถ้าอุณหภูมิในบรรยากาศสูง พืชจะคาย น้าได้มากและรวดเร็ว 3) ความชื้นในบรรยากาศ ถ้าบรรยากาศมีความชื้นสูงจะคายน้าได้น้อย พืชบางชนิดจะกาจัดน้า ออกมาในรูปของหยดน้า ทางรูเปิดเล็กๆ ตามรูเปิดของเส้นใบ เรียกว่า การคายน้าเป็นหยดหรือ กัตเตชัน (guttation) และถ้าในบรรยากาศมี ความชื้นน้อย พืชจะคายน้าได้มากและรวดเร็ว
  • 164. Free Powerpoint Templates Page 164 • 4.) ลม ลมจะพัดพาเอาความชื้นของพืชไปที่อื่น เป็นสาเหตุให้พืชสูญเสียน้ามากขึ้น ในภาวะที่ลมสงบ ไอน้าที่ระเหยออกไปจะ คงอยู่ในบรรยากาศใกล้ๆ ใบ บรรยากาศจึงมีความชื้นสูงพืชจะคายน้าได้ลดลง แต่ถ้าลมพัดแรงมากพืชจะปิดหรือหรี่แคบลง มีผลทาให้การคายน้าลดลง • 5.) ปริมาณน้าในดิน ถ้าสภาพดินขาดน้า หรือปริมาณน้าในดินน้อย พืชไม่สามารถนาไปใช้ได้เพียงพอ ปากใบของพืชจะปิด หรือแคบหรี่ลง มีผลทาให้การคายน้าลดลง • 6.) โครงสร้างของใบ ตาแหน่ง จานวน และการกระจายของปากใบ รวมถึงความหนาของคิวทิเคิล ( สาร เคลือบผิวใบ ) ลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการคายน้าของพืช ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคายน้า
  • 167. Free Powerpoint Templates Page 167 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 169. Free Powerpoint Templates Page 169 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 172. Free Powerpoint Templates Page 172 แร่ธาตุ ความสาคัญ C H O N S P Mg N Ca K Fe Cu Mn Cl อยู่ในสารอินทรีย์ อยู่ในกรดอะมิโนบางตัว อยู่ใน DNA ,ATP ,เยื่อหุ้มเซลล์ อยู่ใน chlorophyll อยู่ในผนังเซลล์ ควบคุมการเปิดปิดปากใบ อยู่ใน cytochrome ใช้ถ่ายทอด e- อยู่ใน cytochrome ใช้ถ่ายทอด e- ช่วยให้เกิด photolysis Chlorosis
  • 183. Free Powerpoint Templates Page 183 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
  • 190. Free Powerpoint Templates Page 190 การลาเลียงสารอาหารของพืช (Translocation of Nutrients) การลาเลียงอาหารเกิดขึ้นในโฟลเอม • พืชทาการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ใบได้น้าตาล แล้วเปลี่ยนเป็นแป้ง ส่งไปตามโฟลเอม ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของพืช • ในปี พ.ศ. 2229 มาร์เซลโล มัลพิจิ (MarcelloMalpighi) ได้ทาการทดลองที่แสดงว่าพืชลาเลียงอาหาร ไปตามท่อโฟลเอม โดยการควั่นและลอกเปลือกของลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ออก ทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์
  • 191. Free Powerpoint Templates Page 191 การลาเลียงสารอาหารของพืช (Translocation of Nutrients) จากการทดลองพบว่าบริเวณรอยควั่นตอนบนโป่ งออก เนื่องจากอาหารที่ลาเลียงลงมาจาก ยอดมาสะสมอยู่มาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 (ค.ศ.1928) ทีจี เมสัน และ อีเจ มาสเคล (T. G. Mason and E. J. Maskell) ได้สังเกตว่า การควั่นกิ่งไม่ได้มีผลต่อการคายน้าของพืชเนื่องจากน้าถูกลาเลียง ผ่านทางไซเลมซึ่งอยู่ถัดจากเปลือกลงไป ในขณะที่น้าตาลนั้นมีการลาเลียงในโฟลเอมซึ่งอยู่ในส่วน ของเปลือกที่ถูกตัดออกไป
  • 192. Free Powerpoint Templates Page 192 การลาเลียงสารอาหารของพืช (Translocation of Nutrients) • สมมติฐานที่อธิบายกลไกการลาเลียงสารอาหารของพืชที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบันคือ Mass Flow Hypothesis ซึ่งอธิบายว่าสารอาหารถูกลาเลียงไปในท่อโฟลเอมเกิดจากการผลักดันโดยความแตกต่างของ ความดันภายในท่อสมมติฐานนี้มีนักวิทยาศาสตร์ได้ทาการศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุน ดังเช่น M.H Zimmerman ได้สังเกตการใช้ปากของเพลี้ยอ่อนเจาะเข้าไปในท่อโฟลเอมของพืชเพื่อดูดของเหลวจากท่อ จนล้นออกมาทางก้น (Honen dew) การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของของเหลวที่ไม่ผ่านลาตัวของ เพลี้ยน่าจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่าเขาจึงตัดส่วนของลาตัวเพลี้ยโดยการทาให้สลบด้วยแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์และตัดตัวเพลี้ยด้วยแสงเลเซอร์ ของเหลวที่ได้จากปากเพลี้ยพบว่าส่วนใหญ่เป็น น้าตาลซูโครส