Contenu connexe Plus de Wichai Likitponrak Plus de Wichai Likitponrak (20) ประสาท2. 2
ระบบประสาท (nervous system)
ฮอร์โมน (hormone)
ระบบประสานงาน
(coordinating system)
สิ่งมีชีวิตมีการเคลื่อนที่เพื่อตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ การเคลื่อนที่ของ
สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันเกิดจากการมีโครงสร้างของร่างกาย และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่
แตกต่างกัน
การรับรู้และการตอบสนอง
3. ระบบประสาท
3
หมายถึง ระบบที่เกี่ยวกับการสั่งงาน การติดต่อเชื่อมโยง การประสานงาน การรับคาสั่ง และปรับ
ระบบต่างๆของร่างกายให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายใน โดยใช้เวลารวดเร็วและ
สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ส่วนระบบต่อมไร้ท่อนั้นจะตอบสนองเป็นไปอย่างช้าๆและกระทาต่อเนื่อง
เป็นเวลานาน
• ไวต่อสิ่งเร้า(stimulus)
• นากระแสประสาทได้
คุณสมบัติของเซลล์ประสาท
6. ระบบประสาทของซีเลนเทอเรต
6
ไฮดรายังไม่มีระบบประสาท แต่มีเส้นใยประสาท
เรียกว่า ร่างแหประสาท(nerve net)
เมื่อกระตุ้นทุกส่วนร่างกายจะหดตัว
การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทจะช้ากว่าสัตว์ชั้นสูงมาก
และมีทิศทางที่ไม่แน่นอน
ปากและเทนตาเคิล(tentacle)มีเส้นใยประสาทมาก
พบที่ผนังลาไส้ในสัตว์ชั้นสูง ทาให้เกิด peristalsis
ระบบประสาทของหนอนตัวแบน
พลานาเรีย มีปมประสาท 2 ปมอยู่ที่ส่วนหัว เรียกว่า ปม
ประสาทสมอง(cerebral ganglion) ทาหน้าที่เป็นสมอง
ทางด้านล่างสมองมีเส้นประสาทแยกออกข้างลาตัวข้างละเส้น
เรียกว่า เส้นประสาททางด้านข้าง (lateral nerve cord) มี
เส้นประสาทพาดขวางเป็นระยะเรียกว่า เส้นประสาทตามขวาง
(transverse nerve)
7. ระบบประสาทของหนอนตัวกลม
7
มีปมประสาทรูปวงแหวน(nerve ring) อยู่รอบคอหอย
(circumpharyngeal brian)
มีเส้นประสาททางด้านหลัง เรียกว่า dorsal nerve
cord และเส้นประสาททางด้านล่าง เรียกว่า ventral
nerve cord
ระบบประสาทของพวกมอลลัสก์ หอยกาบคู่ มีปมประสาท 3 คู่
1. ปมประสาทสมอง(cerebral ganglion) อยู่
ทางด้านข้างของปาก ควบคุมอวัยวะตอนบน
2. ปมประสาทที่อวัยวะภายใน(visceral
ganglion)อยู่ทางด้านท้ายควบคุมอวัยวะ
ภายใน เช่นระบบย่อยอาหาร ตับ หัวใจ
3. ปมประสาทที่เท้า(pedal ganglion)อยู่ที่เท้า
ทาหน้าควบคุมการยืดตัวและหดตัวที่
กล้ามเนื้อเท้า
8. ระบบประสาทของแอนเนลิด
8
ไส้เดือนมีระบบประสาทประกอบด้วย
1. สมอง(brain) ปมประสาท 2 ปมเป็นพู เรียกว่าปมประสาท
ซีรีบรัล(cerebral ganglion)
2. ปมประสาทใต้คอหอย(subpharyngeal ganglion) เกิด
จากแขนงประสาทที่แยกออกจากสมองแล้วอ้อมรอบคอ
หอย(circumpharyngeal commissure) มาบรรจบกัน
3. เส้นประสาททางด้านท้อง(ventral nerve cord) มี
เส้นประสาท 2 เส้นแต่มักรวมกันเป็นเส้นเดียว และมีปม
ประสาทแต่ละปล้องและแขนงประสาท 3-5 คู่แยกออกไป
เลี้ยงอวัยวะต่างๆ
ไส้เดือนมีเซลล์ที่ทาหน้าที่รับสัมผัสแสงเรียกว่า โฟโตรีเซปเตอร์
เซลล์(photoreceptor cell)
มีเซลล์ทาหน้าที่รับความรู้สึก (sensory cell) และดมกลิ่น
ด้วย
10. ระบบประสาทของเอไคโนเดิร์ม
10
ระบบประสาท วงแหวนประสาท(nerve ring)อยู่รอบปาก มี
แขนงประสาทแยกออกไปยัง arm เรียกว่า radial nerve
มีอวัยวะสัมผัสแสงเรียกว่า จุดตา(eyespot) อยู่ที่บริเวณ
ปลายสุดของทุกแฉก
เทนเทเคิล(tentacle) รับสัมผัสเคมี
ประกอบด้วยสมอง เป็นปมประสาทขนาดใหญ่อยู่ส่วนหัว มีแขนง
แยกไปเลี้ยงตา (optic nerve) และไปเลี้ยงหนวด
จากปมประสาท สมองมีเส้นประสาทล้อมรอบหลอดอาหาร ลง
มายังปมประสาทด้านล่าง รวมกันเป็นปมประสาททรวงอก
(thoracic ganglion) ซึ่งมีปมประสาท 7 ปม จากนั้นจะทอดยาว
เป็นปมประสาทส่วนท้อง (ventral nerve cord) และมีปม
ประสาทแยกออกไปยังกล้ามเนื้อ และระยางค์ต่าง ๆ
ระบบประสาทของกุ้ง
11. 11
สรุป
-สัตว์พวกแรกที่เริ่มมีระบบประสาทที่แท้จริงคือ cnidarians เรียก nerve net
-ในดาวทะเล ระบบประสาทจะซับซ้อนขึ้น โดยจะมี nerve ring เชื่อม
กับ radial nerve ที่เชื่อมอยู่กับ nerve net ในแต่ละแขนของดาวทะเลอีกทีหนึ่ง
-สิ่งมีชีวิตตั้งแต่พวกหนอนตัวแบนเป็นต้นไป จะมีการรวมกันของเซลล์ประสาท (ganglion) ที่บริเวณ
หัว เรียก cephalization
-พลานาเรียจะมีการเรียงตัวของเส้นประสาทบริเวณด้านข้างลาตัวทั้ง 2 ข้างและจะมีเส้นประสาท
เชื่อม เรียก transverse nerve
-ตั้งแต่พวกหนอนตัวกลมขึ้นไป จะมีการเรียงตัวของเส้นประสาทอยู่ทางด้านท้องเรียก ventral
nerve cord
-ในแมลงมีการรวมกันของเซลล์ประสาท เรียก glangion ในแต่ละข้อปล้องของลาตัว
-ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง จะมี dorsal hollow nerve cord มาแทนที่ ventral nerve cord และไม่
มี segmental ganglia
13. 13
-เซลล์ประสาท (neuron or nerve cell) เป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนแปลง
พลังงานจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง (transducer) เช่นเปลี่ยนจาก
สารเคมี ความร้อน และความดันที่มากระตุ้น (stimulus) ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า
(electrical signal) ที่เรียกว่า nerve impulse หรือ action potential
เซลล์ประสาท (neuron หรือ nerve cell)
14. การขนส่งสารของเซลล์ประสาท
14
มี 2 ระบบ ได้แก่
1. ระบบแอกโซพลาสมิกโฟลว์(axoplasmic flow) สารที่ขนส่งจะไปทาหน้าที่ซ่อมแซมใย
ประสาทที่ถูกตัดหรือถูกทาลาย ซึ่งจะเป็นการขนส่งช้าๆ
2. ระบบแอกโซนัล ทรานสปอร์ต(axonal transport) ขนส่งสารที่ทาหน้าที่ปลายแอกซอน
และต้องใช้พลังงานด้วย
15. โครงสร้างของระบบประสาท
15
เซลล์ประสาท (neuron หรือ nerve cell)
เซลล์ค้าจุน (glial cells)
เซลล์ประสาท (neuron หรือ nerve cell)
1. ตัวเซลล์ประสาท (cell body)
2. ใยประสาท (cell process หรือ nerve fiber)
- เดนไดรต์ (dendrite)
- แอกซอน (axon)
17. 17
Dendrite
-dendrite นาคาสั่ง/ข้อมูลจากเซลล์อื่นในรูปของสัญญาณไฟฟ้ามายัง cell
body (ทาหน้าที่คล้ายเสาอากาศ)
-มักมีแขนงสั้นๆ จานวนมาก เพื่อให้มีพื้นที่ผิวมากและสามารถรับข้อมูลได้
มากๆ ก่อนจะส่งข้อมูลไปยัง cell body
-มี polyribosome (or Nissl body) อยู่ในบริเวณที่ dendrite รับข้อมูล
-คาสั่งอาจจะส่งหรือไม่ส่งต่อไปยังaxon ขึ้นอยู่กับความแรงของสัญญาณว่า
ถึง threshold หรือไม่
-ในเซลล์ประสาทที่ไม่มี dendrite จะรับข้อมูลโดยตรงทาง cell body
Cell body
-Cell body หรือ soma รับข้อมูลจาก dendrite และส่งคาสั่งต่อไปยัง axon
-ประกอบด้วย nucleus&organelle ต่าง ๆ เหมือนเซลล์ทั่วไป
-ganglion (ganglia):การเข้ามารวมกลุ่มกันของnerve cell body ในบริเวณ
PNS เช่นที่ dorsal root ganglion (or sensory ganglion)
-Nucleus (nuclei):การเข้ามารวมกลุ่มกันของnerve cell body ในสมอง
(CNS)ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
19. 19
-axon นาคาสั่งในรูปของ action potential จาก cell
bodyไปยังเซลล์/neuron อื่น (ทาหน้าที่คล้ายสายเคเบิล)
นอกจากนี้ยังทาหน้าที่ขนส่งสารที่ cell body สร้างไปยัง
axon ending หรือจาก axon ending cell body
-axon เชื่อมต่อกับ cell body ตรงบริเวณที่เรียกว่า
axon hillox
-axon hillox: รวบรวมสัญญาณที่ส่งมาจาก dendrite
และก่อให้เกิด action potential (ถ้าสัญญาณที่รวบรวม
ได้ไม่ถึง threshold ก็ไม่เกิด action potential)
-Nerve: มัดของ axons หลายๆอันมารวมกัน
Axon
20. 20
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง axon และ dendrite
Axon Dendrite
1.นาข้อมูล/สัญญาณออกจากเซลล์ 1.นาข้อมูล/สัญญาณเข้าสู่เซลล์
2.smooth surface 2.rough surface (dendritic spine)
3.มี 1 axon/cell 3.ส่วนใหญ่มีมากกว่า 1 dendrite/cell
4.ไม่มี ribosome 4.มี ribosome
5.มี myelin 5.ไม่มี myelin
6.มีการแตกแขนงในตาแหน่งที่ห่างจาก
cell body
6.แตกแขนงในตาแหน่งที่ใกล้กับ
cell body
21. เซลล์ประสาทแบ่งตามจานวนแขนงที่แยกออกจากตัวเซลล์ แบ่งได้ 3 ชนิดคือ
21
เซลล์ประสาทขั้วเดียว(unipolar neuron)
- เดนไดรท์ยาวกว่าแอกซอนมาก
- พบที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง(dorsal root
ganglion)
- มีแขนงแยกออกจากเซลล์บอดีแขนงเดียว
เซลล์ประสาทสองขั้ว(bipolar neuron)
- มีแขนงแยกออกจากเซลล์บอดี 2 แขนง
- ความยาวของเดนไดรต์และแอกซอนใกล้เคียงกัน
- พบที่เรตินาของลูกตา คอเคลียของหู และเยื่อดมกลิ่นที่
จมูก
เซลล์ประสาทหลายขั้ว(multipolar neuron)
- มีแขนงแยกออกจากเซลล์บอดี หลายแขนงเป็นแอกซอน
1 และเดนไดรต์หลายแขนง
- เซลล์ประสาทส่วนใหญ่ในร่างกายเป็นแบบหลายขั้ว ซึ่งมี
แอกซอนยาวเดนไดรต์สั้นทาหน้าที่นาคาสั่งไปยังอวัยวะ
ตอบสนอง
- พบที่สมองและไขสันหลัง
*เซลล์ประสาทขั้วเดียวและสองขั้วมักจะทาหน้าที่
เป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก(sensory neuron)
22. เซลล์ประสาทแบ่งตามหน้าที่การทางาน แบ่งได้ 3 ชนิดคือ
22
เซลล์ประสาทรับความรู้สึก(sensory neuron)
- มีเดนไดรต์ต่อยู่กับอวัยวะรับสัมผัส เช่นหู ตา จมูก ผิวหนัง มี
แอกซอนต่ออยู่กับเซลล์ประสาทอื่น และนาความรู้สึกเข้าสู่
สมองและไขสันหลัง
เซลล์ประสาทประสานงาน
(association neuron หรือ interneuron)
มีเดนไดรต์ต่อยู่กับแอกซอนของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก
และมีแอกซอนต่อกับเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทสั่งการ ทา
หน้าที่เชื่อมโยงวงจรประสาท พบที่ไขสันหลัง
เซลล์ประสาทสั่งการ(motor neuron)
มีเดนไดรต์ต่อยู่กับเซลล์ประสาทอื่นและมีแอกซอนต่อกับ
กล้ามเนื้อมัดต่างๆต่อมมีท่อหรือต่อมไร้ท่อ เซลล์ประสาทสั่ง
การเป็นเซลล์ประสาทหลายขั้วพบที่สมอง และไขสันหลัง
24. 24
Neuroglia :ทาหน้าที่ค้าจุนเซลล์ประสาทให้อาหารและสนับสนุนให้เซลล์ประสาททาหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มี
จานวนมากกว่าเซลล์ประสาท 10-50 เท่า ไม่มีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาท ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด ได้แก่
Supporting cell or glial cells or neuroglia
• Astrocyte:glia cellในCNSเกิดtight junctionรอบๆ
capillary ทาให้เกิด Blood-brain barrierเป็นเซลล์ที่
มีขนาดใหญ่ ติดกับเซลล์ประสาท หรือเส้นเลือดที่มา
เลี้ยงสมอง ทาหน้าที่ รับส่งสารให้แก่เซลล์ประสาท
• Oligodendrocyte(ในCNS)และSchwann cell (ใน
PNS): glial cell ที่ทาหน้าที่สร้างเยื่อmyelin sheath
หุ้มแอกซอนของเซลล์ประสาทในสมอง
• Microglia มีขนาดเล็กสุดลักษณะเหมือนรากไม้อยู่รอบ
เซลล์ประสาท
• Ependymal cell เป็นเกลียเซลล์สั้นบุอยู่รอบๆใน
สมองและในไขสันหลัง
• Schwann cell เป็นเกลียเซลล์ที่ทาหน้าที่สร้างเยื่อไมอี
ลินชีทหุ้มแอกซอน(แต่ละปล้องคือ 1 เซลล์ชวันน์เซลล์)
25. ชวันน์ เซลล์
25
เกิดจากชวันน์ เซลล์ไปห่อหุ้มแอกซอนโดยการโอบล้อมปลายแอกซอน คุณสมบัติเป็น
ชนวน การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทเกิดที่ node of ranvier เท่านั้น
26. 26
การลาเลียงกระแสประสาทในเส้นใยประสาท
โครงสร้างของเซลล์ประสาท การเคลื่อนที่ของกระแสประสาท
1.ใยประสาทมีไมอีลินหุ้ม ขนาดใหญ่ 12 – 120 เมตร/วินาที
2. ใยประสาทมีไมอีลินหุ้ม ขนาดเล็ก 3 – 15 เมตร/วินาที
3. ใยประสาทมีไม่ไมอีลินหุ้ม 0.5 – 2.3 เมตร/วินาที
แบบ 1 พบที่ เส้นประสาทนาความรู้สึกและสั่งการ
แบบ 2 พบที่ เส้นประสาทของระบบประสาทอัตโนมัติ
แบบ 3 พบที่ ระบบประสาทซิมพาเทติก และเส้นใยรับความรู้สึกเจ็บปวด ร้อนหนาว เข้าสู่ไขสันหลัง
ความเร็วของกระแสประสาทในใยประสาท
เยื่อไมอีลิน ถ้าเยื่อประสาทมีเยื่อไมอีลินหุ้มล้อมรอบกระแสประสาทจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นประมาณ 10 เท่า
ระยะห่างระหว่างโนด ออฟ แรนเวียร์ ถ้าโนด ออฟ แรนเวียร์ ห่างกันมากขึ้นกระแสประสาทจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของใยประสาท ถ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของใยประสาทเพิ่มขึ้น กระแสประสาทจะเคลื่อนที่
ได้เร็วขึ้นเพราะเหตุว่ามีความต้านทานต่าลง
28. 28
-synaptic terminal (axon ending):ส่วนปลายของaxon ทาหน้าที่หลั่งสาร
neurotransmitter(สารสื่อประสาท)
-synapse:บริเวณที่ synaptic terminal ไปสัมผัสกับเซลล์เป้ าหมาย(neuron/effector)
-เซลล์ที่ส่งสัญญาณเรียก presynaptic cell
-เซลล์เป้ าหมายเรียก postsynaptic cell (จะมี receptorต่อneurotransmitterของ presynaptic cell)
Synaptic terminal
29. หน้าที่ของซิแนปส์
29
กระแสประสาทเดินทางเป็นทิศทางเดียวเท่านั้น ไม่ยุ่งเหยิงสับสน
ทาหน้าที่ขยายสัญญาณ โดยมีการรวมกันหรือกระจายกระแสประสาทออกทาให้คาสั่งนั้น
แผ่กระจายกว้างขวางมากขึ้น
ทาหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานของคาสั่งต่างๆมีทั้งเร่งการทางานหรือรั่งการทางาน ให้มี
การตอบสนองที่แน่นอนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ซิแนปส์มี 2 ประเภท
ไซแนปส์ไฟฟ้า(electeical synapse) เป็นบริเวณหรือช่องไซแนปส์ที่มีขนาดเล็กมาก
กระแสประสาทสามารถผ่านข้ามไปได้โดยตรงโดยไม่จาเป็นต้องอาศัยสื่อใดๆ พบน้อยมาก
เช่น บริเวณปลายกล้ามเนื้อเรียบ
ไซแนปส์เคมี(chemical synapse) เป็นบริเวณหรือช่องไซแนปส์ที่กระแสประสาทไม่
สามารถผ่านได้ ต้องอาศัยสารสื่อประสาทไปกระตุ้นให้เกิดกระแสประสาท
30. 30
Electrical synapse
-บริเวณ presynatic membrane และ postsynaptic membrane เชื่อมต่อกันด้วย
gap junction ดังนั้น ion current จากaction potential จึงสามารถเคลื่อนจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีก
เซลล์หนึ่งได้โดยตรง
Chemical synapse
1.action potential ที่ synaptic terminal ทาให้เกิด Ca+ influx
2.synaptic vesicle รวมกับเยื่อเซลล์
3.หลั่งneurotransmitter สู่ synaptic cleft และเคลื่อนไปจับกับตัวรับที่ postsynatic membrane
4.การจับทาให้ ion channel (เช่น Na+) เปิด, Na+ เคลื่อนเข้าในเซลล์ เกิด depolarization
สารสื่อประสาท
(neurotransmitter)
สารสื่อประสาท ตาแหน่งที่สร้าง
Acetylcholine CNS,PNS
สร้างจากปลายแอกซอนทั่วไป
Norepinephrine CNS,PNS
Dopamine CNS,PNS
Serotonin CNS
31. 31
สารสื่อประสาทของระบบประสาทอัตโนมัติที่สาคัญได้แก่ acetylcholine (ACh) และ
noradrenaline (norepinephrine, NE) ซึ่งเส้นประสาทที่มี ACh เป็นสารสื่อประสาท เรียกว่า
เส้นประสาท cholinergic และเส้นประสาทที่มี NE เป็นสารสื่อประสาท เรียกว่า เส้นประสาท
adrenergic
การทางานของสารสื่อประสาท
เมื่อสารสื่อประสาทถูกปล่อยมาจากแอกซอนของเซลล์ประสาทก่อนไซแนป์ ไปยังเดนไดรต์ของเซลล์
ประสาทหลังไซแนป์ จะมีการปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยสลายสารสื่อประสาท
Acetylcholine
Enzyme cholinesterase
Acetic acid + Choline
32. 32
เซลล์ประสาทที่ปล่อยสารสื่อประสาทแอซีทิลโคลินออกมาที่ปลายแอกซอน เรียกว่า คอลิเนอจิก
นิวรอน(cholinergic neuron)
สารสื่อประสาทที่ทาหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการทางานของระบบประสาท คือ แอซิทิลโคลิน เอพิเนฟริน
นอร์เอพิเนฟริน โดปามีน เซโรโทนิน แอล-กลูทาเมต แอล-แอสพาเตต
สารสื่อประสาทที่ทาหน้าที่ยับยั้งการทางานของระบบประสาท คือ GABA ไกลซีน และอะลานีน
สารที่มีผลต่อการถ่ายทอดกระแสประสาทที่ซิแนปส์
สารพิษจากแบคทีเรีย สารจะไปยับยั้งไม่ให้แอกซอนปล่อยสารสื่อประสาททาให้กล้ามเนื้อไม่หดตัว
เกิดอาการอัมพาต
ยาระงับประสาท ทาให้สารสื่อประสาทปล่อยออกมาน้อย อันมีผลทาให้กระแสประสาทส่งไปยังสมอง
น้อยจึงเกิดอาการสงบ ไม่วิตก
สารนิโคติน คาแฟอีน แอมเฟตามีน จะไปกระตุ้นให้แอกซอนปล่อยสารสื่อประสาทออกมามาก ทา
ให้เกิดอาการตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว
ยาฆ่าแมลงบางชนิด จะไปยับยั้งการทางานของเอมไซม์ที่จะมาสลายสารสื่อประสาท
34. 34
-membrane potential: ความต่างศักย์ที่เยื่อเซลล์
เนื่องจากความแตกต่างของอิออน ภายใน-นอกเซลล์
(Na+ K+ Cl- และโปรตีน) ปกติมีค่า= -50 ถึง
-100 mV (ค่าติดลบหมายถึงภายในเซลล์มีขั้วเป็นลบ
เมื่อเทียบกับนอกเซลล์)
-สามารถวัดได้โดยใช้ microelectrode ต่อกับ
voltmeter หรือoscilloscope หรือใช้
micromanipulator วัด
-membrane potential ของเซลล์ประสาทขณะที่ยัง
ไม่ถูกกระตุ้นเรียก resting potential จะมีค่าเป็นลบ -
65 มิลลิโวลต์ ถ้าถูกกระตุ้นเรียกว่า action potential
จะมีค่าเป็นบวก +65 มิลลิโวลต์
การศึกษาการเกิดกระแสประสาท
35. 35
Action potential
-action potential: การเปลี่ยนแปลง membrane potential อย่างรวดเร็วของเซลล์ประสาทเมื่อ
ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า ที่ทาให้เกิด depolarization จนถึงระดับ threshold potential
-เกิดที่ axon เท่านั้น และเป็นแบบ all-or-none
threshold potential
หมายถึง ระดับของการกระตุ้นที่สามารถทาให้เกิดกระแสประสาทในเซลล์ประสาท ความแรงของ
การกระตุ้นที่สูงกว่าระดับเทรสโฮลต์ มิได้ทาให้กระแสประสาทเคลื่อนที่ได้เร็วแต่อย่างใด
all-or-none
• หมายถึง ถ้ากระตุ้นแรงเพียงพอ ก็จะเกิดการนากระแสประสาทไปโดยตลอด แต่ถ้าไม่แรงถึงระดับ
ขีดเริ่มก็จะไม่มีการนากระแสประสาทเกิดขึ้นเลย
37. 37
Polarization
• มีการแพร่(diffusion) ของโซเดียมจากภายนอกเข้าสู่ภายในและโพแทสเซียมจากภายในออกสู่ภายนอก แต่
อัตราการแพร่ของโพแทสเซียมมากกว่าโซเดียมอิออน
• มีกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต คือ sodium-potassium pump ของโซเดียมจากภายในออกสู่ภายนอก
และโพแทสเซียมจากภายนอกเข้าสู่ภายใน
Depolarization
• ช่องโซเดียมจะเปิดออกทาให้โซเดียมจากภายนอกเข้ามาภายในเซลล์มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงประจุที่ผิว
ด้านนอกเป็นลบ ประจุด้านในเป็นบวก
• การเปลี่ยนแปลงของประจุที่เยื่อหุ้มเซลล์เป็นผลทาให้เกิดแอกชันโพเทลเชียล หรือ กระแสประสาทขึ้นกระแส
ประสาทส่งไปด้วยความเร็วไม่เกิน 1,000 ครั้ง/วินาที
Repolarization
• มีการเปิดของช่องโพแทสเซียม ทาให้โพแทสเซียมเคลื่อนที่จากภายในออกสู่ภายนอก ที่เยื่อหุ้มเซลล์ด้านนอก
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ไฟฟ้า ทาให้ภายนอกเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นประจุบวกและ
ภายในเซลล์เปลี่ยนเป็นประจุลบ
40. การกาเนิดระบบประสาท
40
ศูนย์กลางของระบบประสาทอยู่ที่สมองและไขสันหลัง ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากนิวรัลทิวบ์(neural tube)
ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอก(ectoderm)ในระยะเอ็มบริโอ ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดยาวมีการ
เจริญพัฒนาการพองออก เจริญเป็นสมอง ส่วนท้ายเจริญเป็นไขสันหลัง ทั้งสมองและไขสันหลังมีเยื่อหุ้ม
เดียวกัน เรียกว่า เยื่อหุ้มสมอง(meninges)ทาหน้าที่ป้องกันอันตรายและเป็นทางให้อาหารแก่สมองและ
ไขสันหลัง
ระบบประสาทแบ่งเป็น
1.ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous
system; CNS): สมองและไขสันหลัง ทาหน้าที่
รวบรวมและแปลผลข้อมูล
2.ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral nervous
system; PNS): เส้นประสาทสมอง(cranial
nerve) เส้นประสาทไขสันหลัง(spinal nerve) และ
ปมประสาท (ganglia) ทาหน้าที่นาสัญญาณ
ประสาทเข้า-ออก CNS และควบคุมการเปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อมภายในร่างกาย
ระบบประสาทในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
42. เยื่อหุ้ม(meninges) ประกอบด้วย 3 ชั้น คือ
42
ชั้นนอก(dura matter) หนาและเหนียวและแข็งแรงช่วยป้องกันอันตรายและกระทบกระเทือน
ให้แก่สมองและไขสันหลัง
ชั้นกลาง(arachniod matter) เป็นเยื่อบางๆอยู่ระหว่างชั้นอกกับชั้นใน
ชั้นใน(pia matter) เป็นชั้นที่อยู่ติดกับเนื้อสมองและไขสันหลังเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่มากนา
อาการและออกซิเจนมาให้สมอง
ระบบประสาทส่วนกลาง(central nervous system)
44. โครงสร้างของสมอง
44
• สมองส่วนหน้า(forebrain หรือ prosencephalon)
• สมองส่วนกลาง(midbrain หรือ mesencephalon)
• สมองส่วนท้าย(hindbrain หรือ rhombencephalon)
พัฒนาการสมองของสัตว์
• สมองส่วนหน้า(forebrain หรือ prosencephalon) ทาหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้เป็นส่วน
ใหญ่ พบในสัตว์ที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น
• สมองส่วนกลาง(midbrain หรือ mesencephalon) ทาหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น จะมี
ขนาดใหญ่สุดในปลาและมีขนาดเล็กลงในสัตว์ที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น
• สมองส่วนท้าย(hindbrain หรือ rhombencephalon) จะมีพัฒนาการดีมากในสัตว์ที่
เคลื่อนที่ 3 มิติ เช่น ปลา นก รวมทั้งคนด้วย
46. 46
โครงสร้างและหน้าที่ในสมองส่วนต่างๆของคน
• สมองส่วนหน้า(forebrain หรือ prosencephalon)
1. ซีรีบัล(cerebrum)
* frontal lobe * temporal lobe * parietal lope* occipital lobe
2. ทาลามัส(thalamus)
3. ไฮโพทาลามัส(hypothalamus)
4. ออแฟกตอรบัลบ์(olfactory bulb)
• สมองส่วนกลาง(midbrain หรือ mesencephalon)
1.ออฟติก โลป(optic lope)
• สมองส่วนท้าย(hindbrain หรือ rhombencephalon)
1.ซีรีเบลลัม(cerebellum) 2.medulla ablongata 3. pons
47. สมองส่วนหน้า(forebrain หรือ prosencephalon)
47
1. cerebrum
- เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ - เป็นศูนย์กลางการรับรู้
- ควบคุมการทางานของกล้ามเนื้อลาย - ควบคุมการออกเสียงของคน
- ควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์ - ควบคุมเกี่ยวกับบุคลิกภาพ
- ควบคุมทักษะ - เกี่ยวกับการต่อสู้
- ควบคุมพฤติกรรมทางสังคม
frontal lobe เกี่ยวกับความจา ความคิด สั่งงานกล้ามเนื้อ
temporal lobe ดมกลิ่น ได้ยิน การพูด
เข้าใจคาพูดและการอ่าน
parietal lope รูสึกตัว การเขียน รับความรู้สึก
occipital lobe การมองเห็น
49. 49 The limbic system generates the feeling; emotion and memory
50. 50
• สมองส่วนกลาง(midbrain หรือ mesencephalon)
ออฟติก โลป(optic lope) ทาหน้าที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นเจริญพัฒนามากในสัตว์พวกปลา
นกและลดน้อยลงในสัตว์ชั้นสูง
• สมองส่วนท้าย(hindbrain หรือ rhombencephalon)
1.ซีรีเบลลัม(cerebellum) ทาหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวต่างๆให้เป็นไปอย่างสละสลวย ควบคุม
การทรงตัว
2.เมดุลา ออฟลองกาตา(medulla ablongata) ทาหน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนวัติ ได้แก่
ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ควบคุมการหายใจ ความดันเลือด การกลืนการจาม การอาเจียน
3. พอนส์(pons) ทาหน้าที่ ควบคุมการเคี้ยว การหลั่งน้าลายและการเคลื่อนไหวของใบหน้าควบคุม
การหายใจ เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างซีรีบรัมกับซีรีเบลลัมและระหว่างซีรีเบลลัม
กับไขสันหลัง
52. เส้นประสาทสมอง(cranial nerve)
เส้นประสาทสมองมี 3 ประเภท
เส้นประสาทสมองที่ทาหน้าที่รับความรู้สึก(sensory nerve)ทำหน้ำที่ รับกระแสควำมรู้สึก
จำกหน่วยรับควำมรู้สึกไปยังสมองส่วนที่เกี่ยวข้อง
เส้นประสาทสมองที่ทาหน้าที่นาคาสั่ง (moter nerve) ทำหน้ำที่ นำกระแสคำสั่งจำกสมอง
ไปยังหน่วยปฏิบัติงำน
เส้นประสาทสมองที่ทาหน้าที่ผสม (mixed nerve) ทำหน้ำที่รับกระแสควำมรู้สึกจำกหน่วย
รับควำมรู้สึก ไปยังสมองส่วนที่เกี่ยวข้อง และจำกสมองไปยังหน่วยปฏิบัติงำน
55. 55
ไขสันหลัง(spinal cord)
• เนื้อไขสันหลังมี 2 ส่วนคือ
- white matter เป็นส่วนที่มีสีขาวอยู่รอบนอก โดยบริเวณนี้มีเฉพาะใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
โดยไม่มีตัวเซลล์ประสาทอยู่เลย
- Gray matter เป็นส่วนที่มีสีเทา อยู่บริเวณกลางๆ โดยบริเวณนี้มีทั้งตัวเซลล์ประสาทและใย
ประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม ตัวเซลล์ประสาทมีทั้งเซลล์ประสาทประสานงานและเซลล์ประสาทนา
คาสั่ง
โครงสร้างของไขสันหลัง
เนื้อไขสันหลังประกอบด้วย 2 ส่วน White matter มีสีขาวอยู่รอบนอก
1. Gray matter มีสีเทา อยู่บริเวณกลางๆ มีรูปร่างคล้ายตัวอักษรตัว H หรือปีกผีเสื้อ
ประกอบด้วย - ปีกบน(dorsal horn) เป็นบริเวณรับความรู้สึก
- ปีกล่าง(ventral horn) เป็นบริเวณนาคาสั่ง
- ปีกข้าง(lateral horn) เป็นระบบประสาทอัตโนวัติเพราะมีเซลล์ประสาท
นา คาสั่งตัวที่ 1 ปรากฏอยู่
59. ระบบประสาทรอบนอกหรือระบบประสาทส่วนปลาย
(peripheral nervous system = PNS)
59
1. ระบบประสาทใต้อานาจจิตใจ(voluntary nervous system) หรือระบบประสาทโซมาติก
(somatic nervous system)
- ศูนย์สั่งการอยู่ที่ สมองและไขสันหลัง
- หน่วยปฏิบัติงาน ได้แก่ กล้ามเนื้อลาย
2. ระบบประสาทอัตโนวัติ(involuntary nervous system หรือ autonomic nervous system)
หรือ ระบบประสาทนอกอานาจจิตใจ
- ศูนย์ควบคุม ได้แก่ เมดุลลา ออฟลองกาต้า และ ไฮโปทาลามัส
- หน่วยปฏิบัติงาน ได้แก่ กล้ามเนื้อเรียบ อวัยวะภายในและต่อมต่างๆ
60. 60
ประเภทของรีแฟลกซ์ แอกชัน(reflex action)
รีแฟลกซ์ แอกชัน(reflex action)
- somatic reflex เป็นรีแฟลกซ์ของระบบประสาทใต้อานาจจิตใจ แต่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยอยู่นอกเหนืออานาจ
จิตใจชั่วขณะ และมีหน่วยปฏิบัติงานเป็นกล้ามเนื้อลาย
* การกระตุกขา เมื่อถูกเคาะที่หัวเข่า
* การชักมือชักเท้าหนีของร้อนๆ หรือของมีคม
- autonomic reflex ป็นรีแฟลกซ์ของระบบประสาทอัตโนวัติ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอยู่นอกเหนืออานาจจิตใจะ
และมีหน่วยปฏิบัติงานเป็นกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ อวัยวะภายใน และต่อมต่างๆ
* การเกิดเพอริสตัลซีสที่ท่อทางเดินอาหาร
* การหลั่งน้าตา น้าย่อย น้าลาย น้านม
สิ่งเร้า หน่วยรับความรู้สึก เซลล์ประสาทรับความรู้สึก
เซลล์ประสาทนาคาสั่งหน่วยปฏิบัติงานการตอบสนอง
เซลล์ประสาทประสานงาน
หน่วยปฏิบัติงานในรีแฟลกซ์นี้เป็ น กล้ามเนื้อลาย
รีแฟลกซ์ ของการกระตุกขาเมื่อถูกเคาะที่หัวเข่า กระแสประสาทจะไม่ผ่านเซลล์
ประสาทประสานงาน ดังนั้นชนิดเซลล์ประสาทน้อยที่สุดทางานได้ ประกอบด้วย
เซลล์ประสาท 2 ชนิดคือ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก และเซลล์ประสาทนาคาสั่ง
63. รีแฟลกซ์ ของระบบประสาทนอกอานาจจิตใจ
63
หน่วยปฏิบัติงานในรีแฟลกซ์นี้เป็น กล้ามเนื้อเรียบ,กล้ามเนื้อหัวใจ,อวัยวะภายในและต่อมต่างๆ
จานวนเซลล์ประสาทนาคาสั่งจากศูนย์กลางไปยังหน่วยปฏิบัติงานจะมี 2 เซลล์ซึ่งต่างจากระบบประสาทใต้
อานาจจิตใจมี 1 เซลล์
สิ่งเร้า หน่วยรับความรู้สึก
การตอบสนอง
เซลล์ประสาทรับความรู้สึก
เซลล์ประสาทนาคาสั่ง ตัวที่ 1
(preganglionic neuron)
หน่วยปฏิบัติงาน เซลล์ประสาทนาคาสั่ง ตัวที่ 2
(posganglionic neuron)
ระบบประสาทอัตโนวัติ(autonomic nervous system)
- ระบบประสาทซิมพาเทติก(sympathetic nervous system) เป็นระบบประสาทอัตโนวัติที่มีเซลล์ประสาทนา
คาสั่งตัวที่ 1 (preganglionic neuron) อยู่ในไขสันหลังส่วนอก และเอว(thoracolumbar outflow)
- ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก(parasympathetic nervous system) เป็นระบบประสาทอัตโนวัติที่เซลล์
ประสาทตัวที่ 1 อยู่ในสมองและไขสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ
64. เปรียบเทียบระหว่างซิมพาเทติกกับพาราซิมพาเทติก
สิ่งที่เปรียบเทียบ ระบบประสาทซิมพาเทติก ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
ตาแหน่งของเซลล์ประสาทนาคาสั่ง
-ตัวที่ 1 (preganglionic neuron)
อยู่ในไขสันหลังส่วนอกและเอว อยู่ในสมองและไขสันหลังส่วนกระเบน
เหน็บ
- ตัวที่ 2 (posganglionic neuron) อยู่นอกไขสันหลังโดยอยู่ใกล้
ศูนย์สั่งงาน โดย 1 สั้น 2 ยาว
อยู่นอกสมองและไขสันหลังอยู่ใกล้
หน่วยปฏิบัติงาน โดย 1 ยาว 2 สั้น
ตาแหน่งปมประสาท อยู่ใกล้ศูนย์สั่งงาน แต่อยู่ไกล
หน่วยปฏิบัติงาน
อยู่ใน/ใกล้หน่วยปฏิบัติงาน แต่อยู่ไกล
ศูนย์ส่งงาน
ศูนย์กลางการสั่งงาน อยู่ในไขสันหลัง อยู่ในสมองและไขสันหลัง
สารสื่อประสาทของเซลล์ประสาทนาคาสั่ง
-ตัวที่ 1 (ไซแนป์กับเซลล์ประสาทนาคาสั่งตัวที่ 2) Acetylcholine
- ตัวที่ 2 (ไซแนป์กับหน่วยปฏิบัติงาน) noradrenaline acetylcholine
ลักษณะการตอบสนองของหน่วยปฏิบัติงาน กระตุ้น ยับยั้ง
65. ชื่ออวัยวะ ซิมพาเทติก พาราซิมพาเทติก
ม่านตา รูม่านตาเปิดกว้าง รูม่านตาหรี่
ต่อมน้าลาย กระตุ้นการหลั่งน้าลาย ยับยั้งการหลั่งน้าลาย
หัวใจ เพิ่มอัตราสูบฉีด ทาให้เส้นเลือดขยายตัว ลดอัตราการสูบฉีด
เส้นเลือดอาร์เทอรี่ บีบตัวที่ผนัง และอวัยวะภายใน บีบและคลายที่กล้ามเนื้อลาย คลายตัวที่ต่อมน้าลาย และอวัยวะสืบพันธุ์
ต่อมน้าลาย สร้างน้าเมือก สร้างส่วนที่เป็นน้า
กระเพาะและลาไส้เล็ก ห้ามการเคลื่อนไหวแบบเพอริสเตอลซีส กระตุ้นการเคลื่อนไหวแบบเพอริสเตอลซีส
อะดรีนัล เมดุลลา กระตุ้นการหลั่งอะดีนาลีนและนอร์อะดีนาลีน ไม่มี
ตับ กระตุ้นการสลายตัวของไกลโคเจน บีบตัวและกระตุ้นการหลั่งน้าดี
ตับอ่อน ไม่มี กระตุ้นการหลั่งอินซูลินและน้าย่อย
ม้าม กระตุ้นให้บีบตัว นาเลือดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดมากขึ้น ไม่มี
กระเพาะปัสสาวะ ทาให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัวไม่ให้ปัสสาวะ กระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะปีบตัวมีการปัสสาวะ
ปอด กระตุ้นการขยายตัวของบรองคิโอล์ทาให้หายใจคล่อง กระตุ้นการบีบตัวของบรองคิโอลหายไม่คล่อง
ต่อมเหงื่อ กระตุ้นการขับเหงื่อออกมา ไม่มี
อวัยวะสืบพันธุ์ กระตุ้นการหลั่งน้าอสุจิในเพศชาย กระตุ้นเพนนิสและคลิเทอริสให้แข็งตัว
65
66. 66
Parasympathetic and sympathetic nervous system
-parasympathetic และ
sympathetic มักจะทางาน
ตรงข้ามกัน (antagonist)
-sym มักจะกระตุ้นการทางานของ
อวัยวะที่ทาให้เกิดการตื่นตัวและ
ก่อให้เกิดพลังงาน ในขณะที่
parasym จะเกิดตรงกันข้าม
-sympathetic neuron
มักจะหลั่ง norepinephrine
-parasympathetic neuron
มักจะหลั่ง acetylcholine
preganglionicganglion, Achpostganglionic ganglion
70. 70
อวัยวะรับสัมผัส
-Sensation: การเคลื่อนของ action potential ผ่าน sensory neuron ไปยังสมอง
-Perception: การรวบรวมและแปลผล sensation ที่สมองได้รับ
SENSORY MECHANISM
Sensory Mechanism ประกอบด้วย
1. Sensory transduction การที่สิ่งเร้ามากระตุ้น receptor cell แล้วทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ
membrane potential
2. Amplification การขยายสัญญาณจากการกระตุ้นของสิ่งเร้า เช่น การขยายสัญญาณภายในหูจาก
การสั่นของเยื่อแก้วหู และกระดูกหู 3 ชิ้น
3. Transmission การนาสัญญาณประสาท (nerve impulse) ไปยัง CNS
4. Integration การรวบรวม nerve impulse ที่ได้รับ โดยการ summation of graded potential
Sensory adaptation การลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่กระตุ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดการ
ตอบสนองต่อการสัมผัสของเสื้อผ้าที่สวมใส่
71. 71
แบ่ง sensory receptor ตามชนิดของสิ่งเร้าได้เป็น 5 ชนิด คือ
1.Mechanoreceptor: สิ่งเร้าเป็นแรงกล เช่น แรงดัน (ผิวหนัง), การสัมผัส(ผิวหนัง), การเคลื่อนไหว(หู),
เสียง(หู)
2.Chemoreceptor: สิ่งเร้าเป็นสารเคมี เช่น กลูโคส, O2, CO2, กรดอะมิโน
-Gustatory (taste) receptor (ลิ้น)และ Olfactory (smell) receptor (จมูก)
3.Electromegnetic receptor (Photoreceptor): สิ่งเร้าเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น
แสง (visible light), กระแสไฟฟ้า, สนามแม่เหล็ก (ตา)
4.Thermoreceptor: สิ่งเร้าเป็นอุณหภูมิ เช่นความร้อน, ความเย็น (ผิวหนัง)
แบ่ง sensory receptor ตามการรับสิ่งเร้าได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.Exteroreceptor: รับสิ่งเร้าจากภายนอกร่างกาย เช่น ความร้อน, แสง, ความดัน, สารเคมี
2.Interoreceptor: รับสิ่งเร้าจากภายในร่างกาย เช่น blood pressure(พบที่เส้นเลือด) , body position
(พบที่หู)
72. โครงสร้างของนัยน์ตาคน
72
Sclera หรือ sclerotic coat ได้แก่ส่วนขาวของตา ส่วนหน้าสุดจะโป่งออก เรียกว่า กระจกตา(cornea) หรือตาดา
เป็นส่วนที่ให้แสงเข้าผ่าน
Choroid เป็นเยื่อบางๆสาหรับอาศัยของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงลูกตาผนังจะมีรงควัตถุดูดแสงมิให้ผ่านทะลุไปยังด้านหลัง
ของนัยน์ตา ด้านหน้าจะมีเยื่อยื่นออกมาเรียกว่า ม่านตา(Iris)ช่องตรงกลางเรียกว่า รูม่านตา(pupil) ซึ่งจะเกี่ยวกับ
ปริมาณแสง
Retina เป็นผนังชั้นในสุด เป็นที่อยู่ของเซลล์รับแสง 2 ชนิด
1. เซลล์รูปแท่ง(rod cell) ทางานได้ดีขณะแสงสลัว จึงพบมากในสัตว์ออกหากินในเวลากลางคืน ภาพที่เห็น
เรียกว่า scotopic vision เป็นภาพที่ไม่มีรายละเอียด ไม่มีสีสันเป็นขาวดา ไวต่อแสงสีเขียวมากที่สุด เซลล์รูป
แท่งหนาแนนที่สุด ทางด้านข้างของเรตินาและลดน้อยลงเมื่อเข้าใกล้ใจกลางเรตินาดังนั้นเวลากลางคืนจะเห็น
ภาพชัดเจนเมื่อแสงตกที่ด้านข้างเรตินา
2. เซลล์รูปกรวย(cone cell) ทางานได้ดีขณะแสงมาก จึงพบมากที่หากินในเวลากลางวัน ภาพที่เห็นเรียกว่า
photopic vision ภาพมีสีสันรายละเอียด ไวต่อแสงน้าเงิน เขียว แดง มาก เซลล์รูปกรวยหนาแน่นบริเวณใจ
กลางเรตินาเรียกตาแหน่งนี้ว่าโพเวีย(fovea) ซึ่งเห็นภาพชัดเจนที่สุด เมื่อออกด้านข้างเซลล์รูปกลวยจะลดลง
*จุดบอด(bilnd spot) บริเวณนี้จะมีเส้นประสาทคู่ที่ 2 อยู่จึงไม่พบเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย
ตา(Eye): การมองเห็น
74. 74
Single lens eyes ในคน
white outer layer of
connective tissue
thin, pigmented layer
give the eye its color
contain photoreceptor cell
the information of photoreceptor leaves the eye,
the optic nerve attached to the eyes
clear, watery
jelly-like
liquid lens
transparent protein
Photoreceptor cells: Rod cell and Cone cell
76. 76
Photoreceptors of the retina
-photoreceptors มี 2 ชนิด
1.Rod cells มี ประมาณ 125 ล้านเซลล์
-ไวแสง แต่ไม่สามารถแยกสีได้
2.Cone cells มีประมาณ 6 ล้านเซลล์
-ไม่ไวแสง แต่สามารถแยกสีได้ แบ่งเป็น red
cone, green cone, blue cone
-fovea เป็นบริเวณที่มีแต่ cone cells ไม่มี rod
cell
77. 77
สรีรวิทยาของการมองเห็นภาพ
พบว่าส่วนนอกสุดของเซลล์รูปแท่งมีรงควัตถุสีม่วง
แดง เรียกว่า โรดออฟซิน(rhodopsin) ซึ่งประกอบ
จากโปรตีน เรียกว่า ออฟซิน(posin)
จับกับอนุพันธ์ของวิตามิน A เรียกว่า เรตินิน
(retinene)ในรูปของ Cis-retinene รงควัตถุ
เปรียบเสมือนสารเคมีที่ฉาบไว้บนฟิลม์ในกล้อง
ถ่ายรูปเมื่อได้รับแสงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
กลายเป็น lumirhodopsin และMetarhodopsin
แล้วสลายตัวเป็น opsin กับ retinene และเกิด
พลังงานในรูปกระแสไฟฟ้ากระตุ้นทาให้เกิดกระแส
ประสาทในเซลล์รูปแท่งและถ่ายทอดไปยัง
เส้นประสาทเส้นที่ 2 และเพื่อไปแปลความหมายของ
ภาพที่สมองส่วนซีรีบรัม
78. 78
The Vertebrate Retina
ขั้นตอนการเกิดภาพมีดังนี้
1.หลังจากแสงมากระตุ้น rods&cones เกิด action
potential
2.rods&cones synapse กับ bipolar cells
3.bipolar cells synapse กับ ganglion cells
4.ganglion cells ส่ง visual sensation (action
potential)ไปยังสมอง
5.การถ่ายทอดข้อมูลระหว่าง rods&cones,
bipolar cells, ganglion cells ไม่ได้เป็นแบบ
one-to-one
6.horizontal&amacrine cells ทาหน้าที่ integrate
signal
79. 79
Neural Pathways for Vision
-สมองด้านขวารับ sensory information จาก
วัตถุที่อยู่ทางด้านซ้าย (left visual field, blue)
-สมองด้านซ้ายรับ sensory information จาก
วัตถุที่อยู่ทางด้านขวา (right visual field, red)
-optic nerve จากตาทั้งสองข้างจะมาพบกันที่
optic chiasma
-optic nerve จะเข้าสู่ lateral geniculate nuclei
ของ thalamus
-ส่ง sensation ไปยัง primary visual cortex ใน
occipital lobe ของ cerebrum
80. การบอดสี(colour blindness)
80
การเห็นสีเกิดจากการทางานของเซลล์รูปกรวย(cone cell) แบ่งเป็น 3 พวกเซลล์รูปกรวยรับสี
แดง,น้าเงิน,เขียว การที่เราเห็นสีมากมายเนื่องจากกระตุ้นเซลล์รูปกรวยแต่ละสีพร้อมๆกันด้วย
ความเข้มต่างกัน เกิดการผสมสีเป็นสีต่างๆกัน การเกิดการบอดสีคือการที่เซลล์รูปกรวยชนิดใด
ชนิดหนึ่งพิการทางานไม่ได้โดยการบอดสีสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
คนส่วนมากพบตาบอด สีแดง>เขียว>น้าเงิน
81. 81
สายตาสั้น(myopia) คือสภาวะที่กระบอกตายาวกว่าเดิม ทาให้แสงจากวัตถุโฟกัสที่วุ้นในลูกตาแล้ว
กระจายออกเป็นวงพร่าไปตกบนเรตินา
* การแก้ไข กระทาโดยการใส่แว่นตาที่ประกอบด้วยเลนส์เว้าช่วยกระจายแสง เพื่อยืดความยาวของ
โฟกัสออกให้มาตกที่บริเวณเรตินาพอดี
สายตายาว(hypermetropia) คือ ภาวะที่กระบอกตาสั้นกว่าปรกติ ทาให้แสงตกบนเรตินาก่อนที่มีการ
โฟกัส
* การแก้ไข กระทาโดยการใส่แว่นตาที่ประกอบด้วยเลนส์นูนช่วยรวมแสง เพื่อให้แสงมาตกที่บริเวณเรติ
นาพอดี
• สายตาเอียง(astigmatism) คือสภาวะเกิดจากการที่ผิวกระจกตาหรือ เลนส์ ไม่สม่าเสมอทาให้โค้งไม่
เท่ากัน แสงจากวัตถุผ่านกระจกตาทาให้เกิดการหักเหและให้ภาพไม่เป็นจุดชัด
* การแก้ไข กระทาโดยการใช้เลนส์ทรงกระบอกหรือทั้งเลนส์ทรงกระบอกและทรงกลม เพื่อให้แสงในแต่
ละระนาบมาโฟกัสที่จุดเดียวกัน
83. โครงสร้างของหู(ear)
83
โครงสร้างของหูส่วนนอก
- ใบหู(pinna)
- ช่องหูหรือรูหู(external auditory canal)
- แก้วหูหรือเยื่อแก้วหู(tympanic membrane หรือ ear drum)
โครงสร้างของหูส่วนกลาง
- ท่อยูสเตเชียน(eustachian tube)ทาหน้าที่ปรับความดันระหว่างหูตอนกลางและอากาศภายนอก และระบายคลื่น
เสียงส่วนเกิน
จากหูตอนใน
- กระดูกหู มีข้างละ 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกค้อน(malleus) กระดูกทั่ง(incus) กระดูกโกลน(stapes) ทาหน้าที่ขยายความ
สั่นสะเทือนของคลื่นเสียงให้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 20 เท่า เมื่อเข้าในหูตอนใน
โครงสร้างของหูส่วนใน เป็นที่อยู่ของอวัยวะรับเสียงและอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว
1. Utricular region เป็นที่อยู่ของอวัยวะการทรงตัวประกอบด้วยถุง utriculus และมี เซมิเซอร์คิวลาแคแนล
(semicitcular canal) เป็นหลอดครึ่งวงกลม 3 อัน มีของเหลวบรรจุอยู่
2. saccular region เป็นที่อยู่ของอวัยวะรับเสียงเรียกว่า คอเคลีย(cochiea) มีลักษณะคล้ายก้นหอยภายในมีของเหลว
บรรจุอยู่ เมื่อคลื่นเสียงผ่านเข้ามาภายในทาให้เกิดการสั่นสะเทือนกระตุ้นส่งสัญญานไปตามเส้นประสาท
85. 85
การทรงตัว
-utricle, saccule และ semicircular canals ในหูชั้นใน รับรู้เกี่ยว
กับการทรงตัวและตาแหน่งของร่างกาย โดยมี hair cell อยู่ข้างใน
-utricle&sacculeส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ว่าทิศใดเป็นด้านบนและ
ร่างกายอยู่ในท่าได้
-semicircular canals รับรู้เกี่ยวกับทิศทางทั้ง 3 ระนาบ โดยบริเวณ
โคนท่อมีการบวมเป็นกระเปาะเรียก ampulla
-ในampullaมี gelatinous cap เรียก cupula ที่มี hair cell อยู่
86. 86
จมูก(Nose): การได้กลิ่น
-olfactory receptor cell เป็น neuron มาทาหน้าที่โดยตรง
-ส่วนปลายของเซลล์ยื่นออกมาเป็น cilia สู่ mucus
-สารเคมีมาจับกับ receptor ที่เยื่อเซลล์ของ cilia
-เกิด signal-transduction pathway, depolarization, action potential สู่สมอง
87. 87
ลิ้น(Tongue): การรับรส
-บนลิ้นของคนมีตุ่มลิ้น(taste bud)ประมาณ 10,000 อัน ฝังตัวอยู่ในปุ่มลิ้น (papilla)
-แต่ละ taste bud จะมี taste (gustatory) receptor cell ซึ่งเป็น modified epithelial cell อยู่
การรับรส มีขั้นตอนดังนี้
1.โมเลกุลของสารเช่นน้าตาล จับกับtaste receptor
2.มีการส่งสัญญาณผ่าน signal-transduction pathway
3.K+ channel ปิด Na+channel เปิด
4.Na+ แพร่เข้าสู่เซลล์ เกิด depolarization
5.กระตุ้นการนา Ca+ เข้าสู่เซลล์
6.receptor cell หลั่ง
neurotransmitter
ที่ไปกระตุ้น sensory
neuron ต่อไป
88. 88
ผิวหนัง(Skin): การับสัมผัส
-สิ่งเร้าที่เป็นแรงกลจะทาให้เกิดการโค้งงอหรือบิดเบี้ยว
ของเยื่อเซลล์ของ mechanoreceptor จะทาให้
permeability ต่อ Na+ และ K+ เปลี่ยนไป และทาให้เกิด
depolarization
-mechanoreceptor เป็น modified dendrite ของ sensory
neuron
Pacinian
corpuscle
Meissner’s
corpuscle
Krouse’s
end bulb
Ruffini’s
corpuscle
รีเซปเตอร์รับการสัมผัส อยู่มากตามฝ่ามือฝ่าเท้า
มากกว่าที่อื่น บริวเวณที่มีขนน้อยกว่าไม่มีขน โดย
ปลายนิ้วจะมีมากกว่าที่อื่น
รีเซปเตอร์รับร้อน-หนาว ไม่พบที่อวัยวะภายใน พบ
ที่หลังมือมากกว่าฝ่ามือ(ไม่แน่นอน)
รีเซปเตอร์รับความเจ็บปวด จะมีการส่งกระแส
ประสาทไปยัง ทาลามัส และถ่ายทอดไปยังซีรับรัม
คอเทกซ์ บริเวณที่มีรีเซปเตอร์นี้น้อยได้แก่บริเวณ
ต้นแขนและตะโพก
ปลายประสาทรับรู้เกี่ยวกับเจ็บปวด จะอยู่ชั้นบนสุด
ของผิวหนังปรากฏบริเวณชั้นหนังกาพร้า
ปลายประสาทรับรู้แรงกดดัน จะอยู่ระดับล่างสุด
โดยปรากฏภายใต้ชั้นหนังแท้