SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  49
Company
LOGO
บทนำำ

นัก จิต วิท ยำกลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม
(Cognitivism) เชื่อ ว่ำ กำรเรีย น
รู้เ ป็น สิง ทีม ำกกว่ำ ผลของกำร
           ่ ่
เชื่อ มโยงระหว่ำ งสิง เร้ำ และกำร
                        ่
ตอบสนองโดยให้ก ระบวนกำร
ภำยใน ทีเ รีย กว่ำ ควำมรู้แ ละ
               ่
ควำมเข้ำ ใจ หรือ กำรรู้ค ิด ของ
มนุษ ย์ โดยเชื่อ ว่ำ กำรเรีย นรู้จ ะ
อธิบ ำยให้ด ีท ส ุด หำกเรำ
                   ี่
สำมำรถเช้ำ ใจกำระบวนกำร
ภำยใน ซึง เป็น ตัว กลำงระหว่ำ ง
     2           ่
กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cogniti

     ตั้ง แต่ป ี ค.ศ. 1960 นัก ทฤษฎีก ำรเรีย นรู้เ ริ่ม
   ตระหนัก ว่ำ กำรทีจ ะเข้ำ ถึง กำรเรีย นรู้ไ ด้อ ย่ำ ง
                        ่
   สมบูร ณ์น น จะต้อ งผ่ำ นกำรพิจ ำรณำ ไตร่ต รอง
              ั้
   กำรคิด (Thinking) เช่น เดีย วกับ พฤติก รรม
   และควรเริ่ม สร้ำ งแนวคิด เกี่ย วกับ กำรเรีย นรู้ใ น
   ทรรศนะของ กำรเปลี่ย นแปลงกระบวนกำร
   คิด (Mental change) มำกกว่ำ กำรเปลี่ย นแปลง
   ทำงพฤติก รรม ดัง นัน จึง มี กำรเปลี่ย นกระบวน
                          ้
   ทัศ น์จ ำกควำมสนใจเกีย วกับ สิ่ง เร้ำ กับ กำรตอบ
                            ่
   สนอง
     3
กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cogniti
                                                       (ต่อ )



    พุท ธิป ัญ ญำ (Cognitive) เป็น กำรให้ค วำม
    สำำ คัญ ในกำรศึก ษำเกี่ย วกับ ปฏิส ัม พัน ธ์
    ระหว่ำ งสิ่ง เร้ำ ภำยนอก (ส่ง ผ่ำ นโดยสื่อ ต่ำ ง
    ๆ) กับ สิ่ง เร้ำ ภำยใน ซึ่ง ได้แ ก่ ควำมรู้ค วำม
    เข้ำ ใจ หรือ กระบวนกำรรู้-คิด หรือ
    กระบวนกำรคิด (Cognitive process) ทีช ่ว ย      ่
    ส่ง เสริม กำรเรีย นรู้ ขอบเขตทีเ กีย วข้อ งกับ
                                        ่ ่
    กระบวนกำรคิด (Cognitive process)

     4
กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cogniti
                                                         (ต่อ )


     กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำ ให้ค วำมสนใจเกี่ย วกับ
  กระบวนกำรคิด กำรให้เ หตุผ ลของ
  ผู้เ รีย น ซึง แตกต่ำ งจำกทฤษฎีก ำรเรีย นรู้ข องกลุ่ม
               ่
  พฤติก รรมนิย ม (Behaviorism) ทีม ง เน้น พฤติก รรม
                                            ่ ุ่
  ทีส ัง เกตได้เ ท่ำ นั้น โดยมิไ ด้ส นใจกับ กระบวนกำร
     ่
  คิด หรือ กิจ กรรมทำงสติป ัญ ญำของมนุษ ย์ (Mental
  activities)  ซึ่ง เป็น สิ่ง ทีน ก จิต วิท ยำกลุ่ม พุท ธิ
                                ่ ั
  ปัญ ญำตระหนัก ถึง ควำมจำำ เป็น ทีจ ะต้อ งศึก ษำ
                                          ่
  กระบวนกำรดัง กล่ำ วเป็น สิ่ง ทีไ ม่ส ำมำรถสัง เกตได้
                                      ่
  โดยใช้ก ระบวนกำรทำงวิท ยำศำสตร์
      5
ระบวนกำรคิด (Cognitive Pro
   ควำมใส่ใ จ (Attending)
   กำรรับ รู้ (Perception)
   กำรจำำ ได้ (Remembering)
   กำรคิด อย่ำ งมีเ หตุผ ล (Reasoning)
   จิน ตนำกำรหรือ กำรวำดภำพในใจ
   (Imagining)
   กำรคำดกำรณ์ล ่ว งหน้ำ หรือ กำรมีแ ผนกำรณ์
   รองรับ (Anticipating)
   กำรตัด สิน ใจ(Decision)
   กำรแก้ป ัญ หำ (problem solving)
   กำรจัด กลุ่ม สิ่ง ต่ำ งๆ (Classifying)
   กำรตีค วำมหมำย (Interpreting)
   6
ทฤษฎีพ ัฒ นำเชำว
       ปัญ ญำของเพีย เจต์
เพีย เจต์เ ชื่อ ว่ำ คนเรำทุก คนตั้ง แต่
เกิด มำพร้อ มทีจ ะมีป ฏิส ัม พัน ธ์ก บ สิง
                   ่                   ั ่
แวดล้อ มและโดยธรรมชำติข อง
มนุษ ย์เ ป็น ผู้พ ร้อ มที่ จะมีก ริย ำกรรม
หรือ เริ่ม กระทำำ ก่อ น (Active)
นอกจำกนีเ พีย เจต์ถ ือ ว่ำ มนุษ ย์เ รำมี
              ้
แนวโน้ม พืน ฐำนทีต ิด ตัว มำตั้ง แต่
                ้      ่
กำำ เนิด 2 ชนิด คือ กำรจัด และ
รวบรวม(Oganization) และ กำร
ปรับ ตัว (Adaptation)
   7
ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ
                                                  (ต่อ )



   กำรจัด และรวบรวม (Oganization)
   หมำยถึง กำรจัด และรวบรวมกระบวนกำร
   ต่ำ งๆภำยใน เข้ำ เป็น ระบบอย่ำ งต่อ เนือ ง
                                           ่
   เป็น ระเบีย บ แและมีก ำรปรับ ปรุง เปลีย น
   แปลงอยูต ลอดเวลำตรำบที่ ยัง มีป ฏิส ม พัน ธ์
              ่                          ั
   กับ สิ่ง แวดล้อ ม



   8
ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ
    กำรปรับ ตัว (Adaptation)
     หมำยถึง กำรปรับ ตัว ให้เ ข้ำ กับ สิง
                                        ่         (ต่อ )
     แวดล้อ มเพื่อ อยู่ใ นสภำพสมดุล กำรปรับ
     ตัว ประกอบด้ว ยกระบวนกำร 2 อย่ำ ง
     คือ

      1. กำรซึม ซำบหรือ ดูด ซึม
      (Assimilation)
           เมือ มนุษ ย์ม ป ฏิส ม พัน ธ์ก บ สิ่ง
                ่          ี   ั         ั
      แวดล้อ มก็จ ะซึม ซำบหรือ ดูด ซึม
      ประสบกำรณ์ใ หม่ ให้ร วมเข้ำ อยูใ น   ่
      โครงสร้ำ งขอสติป ัญ ญำ(Cognitive
      Structure) โดยจะเป็น กำรตีค วำม หรือ
    9 กำรรับ ข้อ มูล จำกสิ่ง แวดล้อ ม
ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ
                                                     (ต่อ )



        2.กำรปรับ โครงสร้ำ งทำงปัญ ญำ
        (Accomodation)
               หมำยถึง กำรเปลี่ย นแบบ
        โครงสร้ำ งของเชำว์ป ัญ ญำทีม อ ยูแ ล้ว ให้
                                       ่ ี ่
        เข้ำ กับ สิ่ง แวดล้อ มหรือ ประสบกำรณ์ใ หม่
        หรือ เป็น กำรเปลี่ย นแปลงควำมคิด เดิม ให้
        สอดคล้อ งกับ สิ่ง แวดล้อ มใหม่
        ซึง เป็น ควำมสำมำรถในกำรปรับ
          ่
        โครงสร้ำ งทำงปัญ ญำ
   10
ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ
                                                    (ต่อ )



        เพีย เจต์ก ล่ำ วว่ำ ระหว่ำ งระยะเวลำ
        ตั้ง แต่ท ำรกจนถึง วัย รุ่น คนเรำจะ
        ค่อ ยๆสำมำรถปรับ ตัว เข้ำ กับ สิง   ่
        แวดล้อ มได้ม ำกขึ้น ตำมลำำ ดับ ขั้น โดย
        เพีย เจต์ไ ด้แ บ่ง ลำำ ดับ ขั้น ของ
        พัฒ นำกำรเชำวน์ป ัญ ญำของมนุษ ย์
        ไว้ 4 ขั้น ซึ่ง เป็น ขั้น พัฒ นำกำรเชำวน์
        ปัญ ญำ ดัง นี้

   11
ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ
                                                       (ต่อ )


   รำกฐำนทำงปรัช ญำของทฤษฎีม ำจำกควำม
   พยำยำมทีจ ะเชื่อ มโยงประสบกำรณ์เ ดิม กับ
                 ่
   ประสบกำรณ์ใ หม่ ด้ว ยกระบวนกำรทีพ ิส จ น์   ่ ู
   อย่ำ งมีเ หตุผ ล เป็น ควำมรู้ท เ กิด ขึ้น จำก กำร
                                      ี่
   ไตร่ต รอง
            ซึ่ง ถือ เป็น ปรัช ญำปฏิบ ัต ิน ิย ม
   ประกอบกับ หลัก ฐำนทำงจิต วิท ยำกำรเรีย นรู้
   ทีม อ ิท ธิพ ลต่อ แนวคิด ของเพีย เจต์เ อง ซึง
     ่ ี                                         ่
   เชื่อ ว่ำ กำรเรีย นรู้เ กิด ขึ้น จำก กำรปรับ ตัว
   เข้ำ สู่ส ภำวะสมดุล ย์ (Equilibrium) ระหว่ำ ง
   12
ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ
                                              (ต่อ )
    ขั้น ที1 Sensorimotor (แรกเกิด - 2 ขวบ)
           ่




   13
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                             (ต่อ )


        ขั้น ที1 ...Sensorimotor (แรกเกิด - 2
               ่
        ขวบ)
        เพีย เจต์ เป็น นัก จิต วิท ยาคนแรกทีไ ด้    ่
        ศึก ษาระดับ เชาวน์ป ัญ ญาของเด็ก วัย นี้
        ไว้อ ย่า งละเอีย ดจากการสัง เกตบุต ร 3
        คน โดยทำา บัน ทึก ไว้แ ละสรุป ว่า วัย นี้
        เป็น วัย ทีเ ด็ก มีป ฏิส ม พัน ธ์ก บ สิ่ง แวดล้อ ม
                    ่            ั         ั
        โดยประสาทสัม ผัส และการเคลื่อ นไหว
        ของอวัย วะต่า งๆของร่า งกาย
   14
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                       (ต่อ )
   ขั้น ที2 ...Preoperational (อายุ18 เดือ น - 7 ปี)
          ่




   15
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                              (ต่อ )


  ขั้น ที2 ...Preoperational (อายุ18 เดือ น - 7 ปี)
         ่
   เด็ก ก่อ นเข้า โรงเรีย นและวัย อนุบ าล มีร ะดับ
  เชาวน์ป ัญ ญาอยูใ นขั้น นี้ เด็ก วัย นีม โ ครงสร้า ง
                        ่                ้ ี
  ของสติป ัญ ญา(Structure) ทีจ ะใช้ส ญ ลัก ษณ์แ ทน
                                    ่        ั
  วัต ถุส ิ่ง ของทีอ ยูร อบๆตัว ได้ หรือ มีพ ัฒ นาการ
                   ่ ่
  ทางด้า นภาษา เด็ก วัย นี้จ ะเริ่ม ด้ว ยการพูด เป็น
  ประโยคและเรีย นรู้ค ำา ต่า งๆเพิม ขึ้น เด็ก จะได้ร ู้จ ัก
                                      ่
  คิด

     16
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                         (ต่อ )



   อย่า งไรก็ต าม ความคิด ของของเด็ก วัย นีย ง มีข ้อ
                                                   ้ ั
  จำา กัด หลายอย่า งเด็ก ก่อ นเข้า โรงเรีย นและวัย
  อนุบ าล มีร ะดับ เชาวน์ป ัญ ญาอยูใ นขัน นี้ เด็ก วัย นี้
                                      ่    ้
  มีโ ครงสร้า งของสติป ัญ ญา(Structure) ทีจ ะใช้ ่
  สัญ ลัก ษณ์แ ทนวัต ถุส ง ของทีอ ยู่ร อบๆตัว ได้ หรือ มี
                            ิ่     ่
  พัฒ นาการทางด้า นภาษา เด็ก วัย นีจ ะเริ่ม ด้ว ยการ
                                         ้
  พูด เป็น ประโยคและเรีย นรู้ค ำา ต่า งๆเพิม ขึ้น เด็ก จะ
                                             ่
  ได้ร ู้จ ัก คิด อย่า งไรก็ต าม ความคิด ของของเด็ก วัย
  นีย ง มีข ้อ จำา กัด หลายอย่า ง
    ้ ั
    17
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                     (ต่อ )
  ขั้น ที3 ...Concrete Operations (อายุ 7 - 11 ปี)
         ่




    18
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                        (ต่อ )

   ขั้น ที3 ...Concrete Operations (อายุ 7 -
            ่
   11 ปี)
   พัฒ นาการทางด้า นสติป ัญ ญาและความ
   คิด ของเด็ก วัย นีแ ตกต่า งกัน กับ เด็ก ในขั้น
                      ้
   Preperational มาก เด็ก วัย นี้จ ะสามารถ
   สร้า งกฎเกณฑ์ และตั้ง กฎเกณฑ์ ในการ
   แบ่ง สิ่ง แวดล้อ มออกเป็น หมวดหมูไ ด้ คือ ่
   เด็ก จะสามารถที่จ ะอ้า งอิง ด้ว ยเหตุผ ลและ
   ไม่ข ึ้น กับ การรับ รู้จ ากรูป ร่า งเท่า นั้น เด็ก
   วัย นีส ามารถแบ่ง กลุ่ม โดยใช้เ กณฑ์
          ้
   หลายๆอย่า ง และคิด ย้อ นกลับ
   19
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                   (ต่อ )

  ขั้น ที4 ...Formal Operations (อายุ 12 ปีข ึ้น ไป)
         ่




   20
ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ
                                                            (ต่อ )

  ขั้น ที4 ...Formal Operations (อายุ 12 ปีข ึ้น
          ่
  ไป)
  ในขั้น นี้พ ฒ นาการเชาวน์ป ัญ ญาและความคิด
                   ั
  เห็น ของเด็ก เป็น ขั้น สุด ยอด คือ เด็ก ในวัย นีจ ะ   ้
  เริ่ม คิด เป็น ผู้ใ หญ่ ความคิด แบบเด็ก สิ้น สุด ลง
  เด็ก สามารถทีจ ะคิด หาเหตุผ ลนอกเหนือ ไปจาก
                      ่
  ข้อ มูล ทีม อ ยู่ สามารถทีจ ะคิด เป็น นัก
               ่ ี             ่
  วิท ยาศาสตร์ สามารถทีจ ะตั้ง สมมุต ิฐ านและ
                                 ่
  ทฤษฎีแ ละเห็น ว่า ความจริง ทีเ ห็น ด้ว ยกับ การรับ
                                       ่
  รู้ไ ม่ส ำา คัญ เท่า กับ การคิด ถึง สิง ทีอ าจเป็น ไป
                                         ่ ่
  ได้(Possibility) เพีย เจต์ไ ด้ส รุป ว่า "เด็ก วัย นี้
    21
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น
พบของบรูเ นอร์
บรูเ นอร์เ ชือ ว่า การเรีย นรู้จ ะเกิด ขึน เมือ ผู้เ รีย น
               ่                            ้    ่
ได้
มีป ฏิส ม พัน ธ์ก ับ สิ่ง แวดล้อ มซึ่ง นำา ไปสูก ารค้น พบ
           ั                                   ่
และการแก้ป ัญ หา เรีย กว่า การเรีย นรู้โ ดย
การค้น พบ (Discovery approach) ผู้เ รีย น
จะประมวลข้อ มูล ข่า วสารจากการมีป ฏิส ัม พัน ธ์
กับ สิง แวดล้อ ม และจะรับ รู้ส ิ่ง ทีต นเองเลือ ก หรือ
         ่                             ่
สิ่ง ทีใ ส่ใ จ การเรีย นรู้แ บบนี้จ ะช่ว ยให้เ กิด การ
       ่
ค้น พบเนือ งจากผู้เ รีย นมีค วามอยากรู้อ ยากเห็น
             ่
ซึ่ง จะเป็น แรงผลัก ดัน ทีท ำา ให้ส ำา รวจสิ่ง แวดล้อ ม
                             ่
และทำา ให้เ กิด การเรีย นรู้โ ดยการค้น พบ โดยมี
     22
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น
พบของบรูเ้เนอร์
   1.การเรีย นรู ป็น กระบวนการทีผ ู้เ รีย น
                                ่
                                            (ต่อ )

          มีป ฏิส ม พัน ธ์ก ับ สิ่ง แวดล้อ มด้ว ยตนเอง
                   ั
          2. ผู้เ รีย นแต่ล ะคนจะมีป ระสบการณ์
          และพื้น ฐานความรู้ท แ ตกต่า งกัน การ
                                      ี่
          เรีย นรู้จ ะเกิด จากการทีผ ู้เ รีย นสร้า ง
                                          ่
          ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งสิง ทีพ บใหม่ก ับ
                                         ่ ่
          ความรู้เ ดิม แล้ว นำา มาสร้า งเป็น ความ
          หมายใหม่




     23
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น
พบของบรูเบนอร์
   แนวคิด เกี่ย วกั พัฒ นาการทางปัญ ญาขอ
                                         (ต่อ )

   งบรูเ นอร์ มี 3 ขั้น

   ขั้น ที1 ...Enactive representation (แรก
          ่
   เกิด - 2 ขวบ)
   เด็กจะแสดงการพัฒนาทางสมอง หรือทางปัญญา
   ด้วยการกระทำา และยังคงดำาเนินต่อไปเรื่อยๆตลอด
   ชีวิต วิธีการเรียนรู้ในขั้นนีจะเป็นการแสดงออก
                                ้
   ด้วยการกระทำา เรียกว่า Enactive mode จะเป็น
   วิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการสัมผัส จับ
   ต้องด้วยมือ ผลัก ดึง รวมถึงการใช้ปากกับวัตถุ
   สิ่งของทีอยู่รอบๆตัว สิ่งทีสำาคัญเด็กจะต้องลงมือ
      24     ่                ่
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น
พบของบรูเ นอร์
    ขั้น ที่ 2 ... Iconic representation
                                         (ต่อ )

       ในขั้น พัฒ นาการทางความคิด จะเกิด
   จากการมองเห็น และการใช้ป ระสาทสัม ผัส
   แล้ว เด็ก สามารถถ่า ยทอดประสบการณ์ต ่า งๆ
   เหล่า นัน ด้ว ยการมีภ าพในใจ แทน พัฒ นาการ
            ้
   ทางความรู้ค วามเข้า ใจจะเพิ่ม ตามอายุเ ด็ก ที่
   โตขึ้น ก็จ ะสามารถสร้า งภาพในใจได้ม ากขึ้น
   วิธ ีก ารเรีย นรู้ใ นขั้น นี้ เรีย กว่า Iconic mode
   เมือ เด็ก สามารถทีจ ะสร้า งจิน ตนาการ หรือ
      ่                   ่
   มโนภาพ(Imagery)ในใจได้ เด็ก จะสามารถ
   เรีย นรู้ส ิ่ง ต่า งๆในโลกได้ด ้ว ย Iconic mode
    25
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น
พบของบรูเ นอร์            (ต่อ )

  ขั้น ที3.... Symbolic representation
          ่
  ในขั้น พัฒ นาการทางความคิด ทีผ ู้ เรีย นสามารถ
                                      ่
  ถ่า ยทอดประสบการณ์ห รือ เหตุก ารณ์ต ่า งๆโดย
  ใช้ส ัญ ลัก ษณ์ หรือ ภาษา บรูเ นอร์ถ ือ ว่า การ
  พัฒ นาในขั้น นีเ ป็น ขั้น สูง สุด ของพัฒ นาการ
                   ้
  ทางความรู้ค วามเข้า ใจ เช่น การคิด เชิง เหตุผ ล
  หรือ การแก้ป ัญ หา และเชื่อ ว่า การพัฒ นาการ
  ทางความรู้ค วามเข้า ใจจะควบคู่ไ ปกับ ภาษา วิธ ี
  การเรีย นรู้ใ นขั้น นีเ รีย กว่า Symbolic mode
                        ้
  ซึง ผู้เ รีย นจะใช้ใ นการเรีย นได้เ มือ มี ความ
     ่                                  ่
  สามารถทีจ ะเข้า ใจในสิ่ง ทีเ ป็น นามธรรม หรือ
                ่                 ่
   26
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซูเ บล
ออซูเ บล เป็น นัก จิต วิท ยาแนวปัญ ญา
นิย มทีแ ตกต่า งจาก
             ่
เพีย เจต์แ ละบรูเ นอร์ เพราะออซูเ บลไม่
ได้ม ว ัต ถุป ระสงค์ท ี่
         ี
จะสร้า งทฤษฎีท อ ธิบ ายการเรีย นรู้ไ ด้
                  ี่
ทุก ชนิด
 ทฤษฎีข องออซูเ บลเป็น ทฤษฎีท ห า     ี่
หลัก การอธิบ ายการเรีย นรู้ท เ รีย กว่า
                                 ี่
"Meaningful Verbal Learning"
เท่า นัน โดยเฉพาะ การเชื่อ มโยงความ
           ้
รู้ท ป รากฏในหนัง สือ ที่
     ี่
โรงเรีย นใช้ก ับ ความรู้เ ดิม ทีอ ยูใ นสมอง
        27                      ่ ่
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซูเ บล                                       (ต่อ )


        เน้น ความสำา คัญ ของการเรีย นรู้
        อย่า งมีค วามเข้า ใจและมีค วาม
        หมาย การเรีย นรู้เ กิด ขึ้น เมือ ผู้เ รีย น
                                       ่
        ได้เ รีย นรวมหรือ เชื่อ ม
        โยง(Subsumme) สิ่ง ทีเ รีย นรู้ใ หม
                                   ่
        หรือ ข้อ มูล ใหม่ ซึง อาจจะเป็น ความ
                            ่
        คิด รวบยอด(Concept) หรือ ความรู้
        ทีไ ด้ร ับ ใหม่ใ นโครงสร้า งสติ
          ่
        ปัญ ญากับ ความรู้เ ดิม ทีอ ยูใ นสมอง
                                  ่ ่
        ของผู้เ รีย นอยูแ ล้ว ทฤษฎีข องออซู
                          ่
   28
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซู้โ ดยการรับ อย่า งมีค วาม
 ประเภทของการเรีย นรู
                      เ บล                             (ต่อ )

 หมาย
 1. Subordinate learning เป็น การเรีย นรู้โ ดย
 การรับ อย่า งมีค วามหมาย โดยมีว ธ ีก าร 2 ประเภท
                                        ิ
 คือ
 1.1 Deriveration Subsumption         
 เป็น การเชื่อ มโยงสิ่ง ทีจ ะต้อ งเรีย นรู้ใ หม่ก บ หลัก
                           ่                      ั
 การหรือ กฎเกณฑ์ท เ คยเรีย นมาแล้ว โดยการได้
                        ี่
 รับ ข้อ มูล มาเพิม เช่น มีค นบอก แล้ว สามารถดูด ซึม
                  ่
 เข้า ไปในโครงสร้า งทางสติป ัญ ญาทีม อ ยูแ ล้ว
                                            ่ ี ่
 อย่า งมีค วามหมาย โดยไม่ต ้อ งท่อ งจำา
 1.2 Correlative subsumption
     29
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซูเ บล                                          (ต่อ )
  2. Superordinate learning
   เป็น การเรีย นรู้โ ดยการอนุม าน โดยการจัด
  กลุ่ม สิ่ง ทีเ รีย นใหม่เ ข้า กับ ความคิด รวบยอดที่
               ่
  กว้า งและครอบคลุม ความคิด ยอดของสิ่ง ที่
  เรีย นใหม่ เช่น สุน ข แมว หมู เป็น สัต ว์เ ลี้ย งลูก
                         ั
  ด้ว ยนม

  3. Combinatorial learning
  เป็น การเรีย นรู้ห ลัก การ กฎเกณฑ์ต ่า งๆเชิง
  ผสม ในวิช าคณิต ศาสตร์ หรือ วิท ยาศาสตร์
  โดยการใช้เ หตุผ ล หรือ การสัง เกต เช่น การ
  เรีย นรู้เ กีย วกับ ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งนำ้า หนัก
   30          ่
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซูเ บล                                          (ต่อ )


   Advance organizer
   ออซูเ บลได้เ สนอแนะเกี่ย วกับ Advance
  organizer : เป็น เทคนิค ทีช ่ว ยให้ผ ู้เ รีย นได้
                                    ่
  เรีย นรู้อ ย่า งมีค วามหมายจากการสอนหรือ
  บรรยายของครู โดยการสร้า งความเชื่อ มโยง
  ระหว่า งความรู้ท ม ม าก่อ นกับ ข้อ มูล ใหม่ หรือ
                       ี่ ี
  ความคิด รวบยอดใหม่ ที่จ ะต้อ งเรีย น จะช่ว ย
  ให้ผ ู้เ รีย นเกิด การเรีย นรู้อ ย่า งมีค วามหมายที่
  ไม่ต ้อ งท่อ งจำา หลัก การทัว ไปทีน ำา มาใช้ คือ
                                  ่      ่
   31
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซูเ บล                                                 (ต่อ )


  ออซูเ บลถือ ว่า Advance Organizer มีค วาม
  สำา คัญ มากเพราะเป็น วิธ ีก ารสร้า งการเชือ มช่อ ง
                                                   ่
  ว่า งระหว่า งความรู้ท ผ ู้เ รีย นได้ร ู้แ ล้ว (ความรู้
                              ี่
  เดิม )กับ ความรู้ใ หม่ท ไ ด้ร ับ ทีจ ำา เป็น จะต้อ ง เรีย น
                                 ี่   ่
  รู้เ พือ ผู้เ รีย นจะได้ม ค วามเข้า ใจเนือ หาใหม่ไ ด้ด ี
         ่                  ี                ้
  และจดจำา ได้ไ ด้ด ีข ึ้น ฉะนัน ผู้ส อนควรจะใช้
                                    ้
  เทคนิค Adv ance Organizer ช่ว ยผู้เ รีย นใน
  การเรีย นรู้ท ง ประเภทการรับ อย่า งมีค วามหมาย
                     ั้
  และการค้น พบอย่า งมีค วามหมาย
   32
ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม
หมายของออซูเ บล                    (ต่อ )




   33
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ

ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ จะเป็น การ
อธิบ ายเกี่ย วกับ การได้ม าซึง ความรู้
                                  ่
(acquire) สะสมความรู้ (store) การระลึก
ได้ (recall) ตลอดจนการใช้ข ่า วสารข้อ มูล
หรือ กล่า วได้ว ่า เป็น ทฤษฎีท พ ยายามอธิบ าย
                                    ี่
ให้เ ข้า ใจว่า มนุษ ย์จ ะมีว ิธ ีก ารรับ ข้อ มูล
ข่า วสาร หรือ ความรู้ใ หม่อ ย่า งไร เมือ รับ มา
                                             ่
แล้ว จะมีว ิธ ีก ารประมวลข้อ มูล ข่า วสาร และ
เก็บ สะสมไว้ใ นลัก ษณะใด ตลอดจนจะ
สามารถดึง ความรู้น น มาใช้ไ ด้อ ย่า งไร
                       ั้
 34
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ
                                                         (ต่อ )

 ทฤษฎีน ี้จ ด อยูใ นกลุ่ม พุท ธิป ัญ ญา
              ั      ่
 (Cognitivism) โดยให้ค วาม สนใจเกี่ย ว
 กับ กระบวนการคิด การให้เ หตุผ ลของผู้
 เรีย น ซึง แตกต่า งจากทฤษฎีก ารเรีย นรู้ข อง
           ่
 กลุ่ม พฤติก รรมนิย ม (Behaviorism) ทีม ง         ่ ุ่
 เน้น พฤติก รรมทีส ัง เกตได้เ ท่า นั้น โดยมิไ ด้
                        ่
 สนใจกับ กระบวนการคิด หรือ กิจ กรรมทาง
 สติป ัญ ญาของมนุษ ย์ (mental activities)
 ซึง เป็น สิ่ง ทีน ัก จิต วิท ยากลุ่ม พุท ธิป ัญ ญา
   ่             ่
 ตระหนัก ถึง ความจำา เป็น ทีจ ะต้อ งศึก ษา
                                  ่
 กระบวนการดัง กล่า วซึง เป็น สิ่ง ทีไ ม่
35
                                ่          ่
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ
                                                    (ต่อ )
ความเป็น มา และแนวคิด ของทฤษฎีป ระมวล
สารสนเทศ

           ในระหว่า งปี ค.ศ. 1950-1960 ทฤษฎี
การเรีย นรู้ส ว นใหญ่ม ก จะเป็น การทดลองทีใ ห้ห นูว ิ่ง
                ่           ั                 ่
ในเขาวงกต ซึ่ง นัก จิต วิท ยาหลายท่า นมองเห็น ว่า การ
ทดลองดัง กล่า วไม่ส ามารถทีจ ะช่ว ยในการอธิบ าย
                                ่
เกี่ย วกับ การเรีย นรู้ท ย ง ยากซับ ซ้อ นของมนุษ ย์ไ ด้
                         ี่ ุ่
 นัก จิต วิท ยากลุ่ม หนึ่ง ของพุท ธิป ัญ ญามองว่า การ
เรีย นรู้ เป็น การเปลี่ย นแปลงปริม าณความรู้ข องผู้
เรีย นทัง ในด้า นปริม าณ และวิธ ีก ารประมวล
         ้
สารสนเทศ แนวคิด ดัง กล่า ว เรีย กว่า ทฤษฎีป ระมวล
      36
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ
                                                  (ต่อ )


     นัก จิต วิท ยากลุ่ม ประมวลสารสนเทศ
     เชือ ว่า การเรีย นรู้เ ป็น การเปลี่ย นแปลง
          ่
     ความรู้ข องผู้เ รีย นทั้ง ทางด้า นปริม าณ
     และคุณ ภาพ หรือ กล่า วได้ว ่า นอกจาก
     ผู้เ รีย นจะสามารถเรีย นรู้ส ง ต่า งๆมี
                                     ิ่
     ปริม าณทีเ พิม ขึ้น แล้ว ผู้เ รีย นยัง
                 ่ ่
     สามารถ จัด ระเบีย บ เรีย บเรีย ง
     รวบรวม เพือ ให้ส ามารถเรีย กความรู้
                   ่
     เหล่า นัน มาใช้ไ ด้ใ นเวลาที่ต อ งการ
               ้                        ้
              
37
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ
                                                  (ต่อ )
   อีก ทัง ยัง สามารถควบคุม อัต ราความเร็ว
         ้
  ในการเรีย นรู้ต ลอดจนขั้น ตอนของการ
  เรีย นได้ โดย เน้น ทีจ ะศึก ษาเกี่ย วกับ การ
                              ่
  เปลี่ย นแปลงกระบวนการคิด (cognitive
  operation) แต่ท ฤษฎีน ี้ มีค วามคิด เห็น ที่
  แตกต่า งกับ แนวคิด เกีย วกับ การพัฒ นา
                                ่
  ตามลำา ดับ ขั้น ทางสติป ัญ ญาของเพีย เจต์
  (Piaget) แต่เ ชื่อ ว่า กระบวนการ
  คิด (cognitive process) และความ
  สามารถ (abilities) จะมีแ นวโน้ม ทีจ ะ       ่
  พัฒ นาเพิม ขึ้น เรื่อ ยๆ เช่น เด็ก สามารถ
              ่
38
  เรีย นรู้ไ ด้เ ร็ว ขึ้น จำา ได้ม ากขึ้น และ
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ
                                                 (ต่อ )
นัก ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศมุง เน้น ทีจ ะศึก ษา
                                   ่     ่
ในเรื่อ งต่อ ไปนี้
1. ความใส่ใ จ (attention)
2. กลยุท ธ์ก ารเรีย นรู้ (learning strategies)
3. พืน ฐานความรู้ (knowledge base)
      ้
4. ความรู้เ กีย วกับ การรู้ค ิด ของตนเอง
                ่
(metacognition)
     จากองค์ป ระกอบข้า งต้น จะพบว่า ความรู้
เกีย วกับ การรู้ค ิด ของตนเอง (metacognition)
   ่
เป็น ส่ว นหนึง ของทฤษฎีน ี้ เพราะเหตุผ ลที่ว า
              ่                              ่
การทำา งานของระบบต่า งๆในการประมวล
สารสนเทศ เช่น ความใส่ใ จ การลงรหัส ข้อ มูล
 39
ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ
                      (ต่อ )




40
ทฤษฎีค วามรู้เ กี่ย วกับ ความ
คิด ของตัว เอง
 เนือ งจากนัก จิต วิท ยากลุ่ม พุท ธิป ัญ ญานิย ม
      ่
 เชือ ว่า ผู้เ รีย นเป็น ผู้ท ี่ม ค วามสำา คัญ ต่อ การ
        ่                         ี
 เรีย นรู้ คือ เป็น ผู้ค วบคุม กิจ กรรมการเรีย นรู้
 ของตนเอง (Self-regulation) จึง มีผ ู้ศ ก ษา        ึ
 เกีย วกับ การควบคุม กิจ กรรมทางปัญ ญา
    ่
 (Cognitive Activity) ฟลาเวล (Flavell,
 1979) ได้ใ ห้ค ำา ว่า

          “Meta Cognitive” ซึ่ง หมาย
 ถึง ความรู้ส ่ว นตัว ของแต่ล ะบุค คลต่อ สิง ทีไ ด้
                                              ่ ่
 เรีย นรู้ หรือ สิง ทีต นรู้ (Knowing) ซึ่ง ต่า งกับ
                  ่ ่
 “Cognitive” ซึง หมายถึง การรู้ค ิด หรือ
 41
                     ่
ทฤษฎีค วามรู้เ กี่ย วกับ ความ
คิด ของตัว เอง
ฟลาเวลกล่า วว่า ความรู้เ กี่ย วกับ การรู้ค ิด ของตนเอง อ )
                                                     (ต่
ขึ้น อยูก ับ ปัจ จัย 3 อย่า ง คือ
          ่
            1. บุค คล (Person) หมายถึง ความสามารถ
ของผู้เ รีย นทีจ ะมีค วามรู้เ กี่ย วกับ ตนเองในฐานะผู้
                   ่
เรีย น เช่น ระดับ ความสามารถ ลีล าในการเรีย นรู้ท ี่
ตนถนัด
       2. งาน (Task) ความรู้เ กี่ย วกับ งานทีจ ะ           ่
ต้อ งเรีย นรู้ รวมทัง ระดับ ความยากง่า ยของงาน
                       ้
       3. ยุท ธศาสตร์ (Strategy) ทีใ ช้ใ นการ    ่
เรีย นรู้ “งาน” หรือ สิง ทีจ ะต้อ งเรีย นรู้ข ึ้น อยูก บ วัย ของ
                          ่ ่                        ่ ั
ผู้เ รีย น

    42
ทฤษฎีค วามรู้เ กี่ย วกับ ความ
คิด ของตัว เอง              (ต่อ )




  43
หลัก การที่ส ำา คัญ ของทฤษฎีพ ุท ธิป ัญ ญา
            และการนำา ไปใช้             (ต่อ )

          จากทฤษฎีต ่า งๆในกลุ่ม พุท ธิป ัญ ญานิย ม
     ดัง กล่า วข้า งต้น อาจสามารถสรุป หลัก การ
     แนวคิด ทีส ำา คัญ นำา ไปใช้ไ ด้ ดัง นี้
               ่

     -schema (สกีม า) หรือ โครสร้า งทางปัญ ญา
     เป็น โครงสร้า งของความรู้ใ นสมอง สกีม า
     อาจมีก ารประสานร่ว ม ขยาย หรือ
     เปลี่ย นแปลง หรือ ปรับ เปลี่ย นในการทีจ ะรับ
                                           ่
     ข้อ มูล ใหม่

    44
หลัก การที่ส ำา คัญ ของทฤษฎีพ ุท ธิป ัญ ญา
            และการนำา ไปใช้             (ต่อ )

     -model ของการประมวลเทคโนโลยีส าระ
     สนเทศ ประกอบด้ว ย 3 ขั้น ตอน

         1. การบัน ทึก ผัส สะ ( Sensory register
     )
     กระบวนการผัส สะ ซึง มีห น้า ที่ เก็บ ข้อ มูล
                            ่
     ต่า งๆเพีย งระยะสั้น ๆ
     ประมาณ 2-4 วิน าที เพีย งเพื่อ ให้ไ ด้ต ัด สิน
     ใจว่า เราจะ
     ให้ค วามสนใจและบัน ทึก ไว้ใ นความจำา
     ระยะสั้น ต่อ ไป
    45
2. ความจำา ระยะสั้น ( Short-term Memory )


หลัก การที่ส ำา คัญ ของทฤษฎีพ ุท ธิป ัญ ญา
      2.ความจำา ระยะสั้น เป็น แหล่ง ที่ส องของการ
            และการนำา ไปใช้
   บัน ทึก ความจำา                                (ต่อ )
   หลัง จากประสบการณ์ต ่า งๆทีร ับ เข้า มาจะบัน ทึก
                                ่
   อยูใ น การบัน ทึก ผัส สะ (Sensory Register) ซึ่ง
      ่
   เป็น แหล่ง แรกของการบัน ทึก ความจำา

        3. ความจำา ระยะยาว ( Long-term Memory
   )ข้อ มูล ทีถ ก บัน ทึก ไว้ใ นความจำา ระยะสั้น นั้น ถ้า
              ่ ู
   ต้อ งการดึง ออกมาใช้ (Retrieve)ในภายหลัง ได้
   นัน ข้อ มูล นั้น จะ ต้อ งผ่า นกระบวนการประมวล
     ้
   ผลและเปลี่ย นแปลง (Processed and
   transformed) จากความจำา ระยะสัน ไปสู่ค วาม
                                          ้
   จำา ระยะยาว
     46
บรรณานุกรม
-กุญชรี ค้าขาย. (2540). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพ : ภาควิชา
จิตวิทยาและการ แนะแนวคณะครุศาสตร์                 สถาบันราชภัฏ
สวนสุนันทา
-พรรณี ช.เจนจิต .(2545). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพ : เสริมสิน
พรีเพรสเทม.
-http://www.kroobannok.com/1548 (online 27/11/55)
-สุรางค์ โค้วตระกูล .(2544). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : สำานักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์.
-Fravell, J.H.(1979). Metacn and cognognitiitive moniterring :
Anew area of psycologicalinquiry. American Psychologist,
34,906-911
-Good, T.L. Brophy, J.E.(1990) Basic concepts of
motivation.In.T.L. Good & J.E. Brophy(Eds.), Educational
Psychology: realistic apporoach(4th Ed.) New York: Longman
-Klausmeier, H.J. (1985). Educational Psychology.(5th ed). New
York : Harper & Row .
     47
-Loftus, E.F., & Loftus ; G.R. (1980). On The Performance of
บรรณานุกรม
                                                                      (ต่อ )
.(1976). Cognition and reatity: Principles and implications of cognative psy
sco: freeman
M., & Atkininson, R.C. (1969). Storage and retrieval processing in long-term
cal Review, 76,-179-193.
.S. (1983). Five generalization about cognaitive development. American
ist, 38, 263-277




          48
49

Contenu connexe

Tendances

บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ
ขวัญ ฤทัย
 
Social psychology1
Social psychology1Social psychology1
Social psychology1
csmithikrai
 
Psychology1
Psychology1Psychology1
Psychology1
New Born
 

Tendances (12)

บทที่ 2 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเ...
บทที่ 2 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเ...บทที่ 2 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเ...
บทที่ 2 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเ...
 
แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการความรู้
แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการความรู้แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการความรู้
แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการความรู้
 
บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ
 
Km` กพร
Km` กพรKm` กพร
Km` กพร
 
Social psychology1
Social psychology1Social psychology1
Social psychology1
 
Psychology1
Psychology1Psychology1
Psychology1
 
Knowledge management
Knowledge managementKnowledge management
Knowledge management
 
Innovation
InnovationInnovation
Innovation
 
ไตรสิกขากับการศึกษา TriSikkhaFramework
ไตรสิกขากับการศึกษา TriSikkhaFrameworkไตรสิกขากับการศึกษา TriSikkhaFramework
ไตรสิกขากับการศึกษา TriSikkhaFramework
 
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
 
Km
KmKm
Km
 
กลุ่มพุทธิปัญญานิยม
กลุ่มพุทธิปัญญานิยมกลุ่มพุทธิปัญญานิยม
กลุ่มพุทธิปัญญานิยม
 

Similaire à งานออกแบบสื่อ

เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
math015
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
sofia-m15
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
nurul027
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
saleehah053
 
152010010020
152010010020152010010020
152010010020
Aaesah
 
Original b.
Original b.Original b.
Original b.
ya035
 
บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ
ขวัญ ฤทัย
 
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
Tawanat Ruamphan
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
suweeda
 

Similaire à งานออกแบบสื่อ (20)

เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
 
Content03
Content03Content03
Content03
 
Psychology1
Psychology1Psychology1
Psychology1
 
Technology Of Participation(Top)
Technology Of Participation(Top)Technology Of Participation(Top)
Technology Of Participation(Top)
 
1051202 จิตวิทยาการเรียนรู้ ชุด 1
1051202 จิตวิทยาการเรียนรู้ ชุด 11051202 จิตวิทยาการเรียนรู้ ชุด 1
1051202 จิตวิทยาการเรียนรู้ ชุด 1
 
152010010020
152010010020152010010020
152010010020
 
Original b.
Original b.Original b.
Original b.
 
Original b.
Original b.Original b.
Original b.
 
Original b.
Original b.Original b.
Original b.
 
บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ
 
Original bandura
Original banduraOriginal bandura
Original bandura
 
Original bandura
Original banduraOriginal bandura
Original bandura
 
Original bandura
Original banduraOriginal bandura
Original bandura
 
Original bandura
Original banduraOriginal bandura
Original bandura
 
Original bandura
Original banduraOriginal bandura
Original bandura
 
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 

งานออกแบบสื่อ

  • 2. บทนำำ นัก จิต วิท ยำกลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cognitivism) เชื่อ ว่ำ กำรเรีย น รู้เ ป็น สิง ทีม ำกกว่ำ ผลของกำร ่ ่ เชื่อ มโยงระหว่ำ งสิง เร้ำ และกำร ่ ตอบสนองโดยให้ก ระบวนกำร ภำยใน ทีเ รีย กว่ำ ควำมรู้แ ละ ่ ควำมเข้ำ ใจ หรือ กำรรู้ค ิด ของ มนุษ ย์ โดยเชื่อ ว่ำ กำรเรีย นรู้จ ะ อธิบ ำยให้ด ีท ส ุด หำกเรำ ี่ สำมำรถเช้ำ ใจกำระบวนกำร ภำยใน ซึง เป็น ตัว กลำงระหว่ำ ง 2 ่
  • 3. กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cogniti   ตั้ง แต่ป ี ค.ศ. 1960 นัก ทฤษฎีก ำรเรีย นรู้เ ริ่ม ตระหนัก ว่ำ กำรทีจ ะเข้ำ ถึง กำรเรีย นรู้ไ ด้อ ย่ำ ง ่ สมบูร ณ์น น จะต้อ งผ่ำ นกำรพิจ ำรณำ ไตร่ต รอง ั้ กำรคิด (Thinking) เช่น เดีย วกับ พฤติก รรม และควรเริ่ม สร้ำ งแนวคิด เกี่ย วกับ กำรเรีย นรู้ใ น ทรรศนะของ กำรเปลี่ย นแปลงกระบวนกำร คิด (Mental change) มำกกว่ำ กำรเปลี่ย นแปลง ทำงพฤติก รรม ดัง นัน จึง มี กำรเปลี่ย นกระบวน ้ ทัศ น์จ ำกควำมสนใจเกีย วกับ สิ่ง เร้ำ กับ กำรตอบ ่ สนอง 3
  • 4. กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cogniti (ต่อ ) พุท ธิป ัญ ญำ (Cognitive) เป็น กำรให้ค วำม สำำ คัญ ในกำรศึก ษำเกี่ย วกับ ปฏิส ัม พัน ธ์ ระหว่ำ งสิ่ง เร้ำ ภำยนอก (ส่ง ผ่ำ นโดยสื่อ ต่ำ ง ๆ) กับ สิ่ง เร้ำ ภำยใน ซึ่ง ได้แ ก่ ควำมรู้ค วำม เข้ำ ใจ หรือ กระบวนกำรรู้-คิด หรือ กระบวนกำรคิด (Cognitive process) ทีช ่ว ย ่ ส่ง เสริม กำรเรีย นรู้ ขอบเขตทีเ กีย วข้อ งกับ ่ ่ กระบวนกำรคิด (Cognitive process) 4
  • 5. กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำนิย ม (Cogniti (ต่อ )    กลุ่ม พุท ธิป ัญ ญำ ให้ค วำมสนใจเกี่ย วกับ กระบวนกำรคิด กำรให้เ หตุผ ลของ ผู้เ รีย น ซึง แตกต่ำ งจำกทฤษฎีก ำรเรีย นรู้ข องกลุ่ม ่ พฤติก รรมนิย ม (Behaviorism) ทีม ง เน้น พฤติก รรม ่ ุ่ ทีส ัง เกตได้เ ท่ำ นั้น โดยมิไ ด้ส นใจกับ กระบวนกำร ่ คิด หรือ กิจ กรรมทำงสติป ัญ ญำของมนุษ ย์ (Mental activities)  ซึ่ง เป็น สิ่ง ทีน ก จิต วิท ยำกลุ่ม พุท ธิ ่ ั ปัญ ญำตระหนัก ถึง ควำมจำำ เป็น ทีจ ะต้อ งศึก ษำ ่ กระบวนกำรดัง กล่ำ วเป็น สิ่ง ทีไ ม่ส ำมำรถสัง เกตได้ ่ โดยใช้ก ระบวนกำรทำงวิท ยำศำสตร์ 5
  • 6. ระบวนกำรคิด (Cognitive Pro ควำมใส่ใ จ (Attending) กำรรับ รู้ (Perception) กำรจำำ ได้ (Remembering) กำรคิด อย่ำ งมีเ หตุผ ล (Reasoning) จิน ตนำกำรหรือ กำรวำดภำพในใจ (Imagining) กำรคำดกำรณ์ล ่ว งหน้ำ หรือ กำรมีแ ผนกำรณ์ รองรับ (Anticipating) กำรตัด สิน ใจ(Decision) กำรแก้ป ัญ หำ (problem solving) กำรจัด กลุ่ม สิ่ง ต่ำ งๆ (Classifying) กำรตีค วำมหมำย (Interpreting) 6
  • 7. ทฤษฎีพ ัฒ นำเชำว ปัญ ญำของเพีย เจต์ เพีย เจต์เ ชื่อ ว่ำ คนเรำทุก คนตั้ง แต่ เกิด มำพร้อ มทีจ ะมีป ฏิส ัม พัน ธ์ก บ สิง ่ ั ่ แวดล้อ มและโดยธรรมชำติข อง มนุษ ย์เ ป็น ผู้พ ร้อ มที่ จะมีก ริย ำกรรม หรือ เริ่ม กระทำำ ก่อ น (Active) นอกจำกนีเ พีย เจต์ถ ือ ว่ำ มนุษ ย์เ รำมี ้ แนวโน้ม พืน ฐำนทีต ิด ตัว มำตั้ง แต่ ้ ่ กำำ เนิด 2 ชนิด คือ กำรจัด และ รวบรวม(Oganization) และ กำร ปรับ ตัว (Adaptation) 7
  • 8. ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ (ต่อ ) กำรจัด และรวบรวม (Oganization) หมำยถึง กำรจัด และรวบรวมกระบวนกำร ต่ำ งๆภำยใน เข้ำ เป็น ระบบอย่ำ งต่อ เนือ ง ่ เป็น ระเบีย บ แและมีก ำรปรับ ปรุง เปลีย น แปลงอยูต ลอดเวลำตรำบที่ ยัง มีป ฏิส ม พัน ธ์ ่ ั กับ สิ่ง แวดล้อ ม 8
  • 9. ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ กำรปรับ ตัว (Adaptation) หมำยถึง กำรปรับ ตัว ให้เ ข้ำ กับ สิง ่ (ต่อ ) แวดล้อ มเพื่อ อยู่ใ นสภำพสมดุล กำรปรับ ตัว ประกอบด้ว ยกระบวนกำร 2 อย่ำ ง คือ 1. กำรซึม ซำบหรือ ดูด ซึม (Assimilation)      เมือ มนุษ ย์ม ป ฏิส ม พัน ธ์ก บ สิ่ง ่ ี ั ั แวดล้อ มก็จ ะซึม ซำบหรือ ดูด ซึม ประสบกำรณ์ใ หม่ ให้ร วมเข้ำ อยูใ น ่ โครงสร้ำ งขอสติป ัญ ญำ(Cognitive Structure) โดยจะเป็น กำรตีค วำม หรือ 9 กำรรับ ข้อ มูล จำกสิ่ง แวดล้อ ม
  • 10. ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ (ต่อ ) 2.กำรปรับ โครงสร้ำ งทำงปัญ ญำ (Accomodation)        หมำยถึง กำรเปลี่ย นแบบ โครงสร้ำ งของเชำว์ป ัญ ญำทีม อ ยูแ ล้ว ให้ ่ ี ่ เข้ำ กับ สิ่ง แวดล้อ มหรือ ประสบกำรณ์ใ หม่ หรือ เป็น กำรเปลี่ย นแปลงควำมคิด เดิม ให้ สอดคล้อ งกับ สิ่ง แวดล้อ มใหม่ ซึง เป็น ควำมสำมำรถในกำรปรับ ่ โครงสร้ำ งทำงปัญ ญำ 10
  • 11. ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ (ต่อ ) เพีย เจต์ก ล่ำ วว่ำ ระหว่ำ งระยะเวลำ ตั้ง แต่ท ำรกจนถึง วัย รุ่น คนเรำจะ ค่อ ยๆสำมำรถปรับ ตัว เข้ำ กับ สิง ่ แวดล้อ มได้ม ำกขึ้น ตำมลำำ ดับ ขั้น โดย เพีย เจต์ไ ด้แ บ่ง ลำำ ดับ ขั้น ของ พัฒ นำกำรเชำวน์ป ัญ ญำของมนุษ ย์ ไว้ 4 ขั้น ซึ่ง เป็น ขั้น พัฒ นำกำรเชำวน์ ปัญ ญำ ดัง นี้ 11
  • 12. ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ (ต่อ ) รำกฐำนทำงปรัช ญำของทฤษฎีม ำจำกควำม พยำยำมทีจ ะเชื่อ มโยงประสบกำรณ์เ ดิม กับ ่ ประสบกำรณ์ใ หม่ ด้ว ยกระบวนกำรทีพ ิส จ น์ ่ ู อย่ำ งมีเ หตุผ ล เป็น ควำมรู้ท เ กิด ขึ้น จำก กำร ี่ ไตร่ต รอง          ซึ่ง ถือ เป็น ปรัช ญำปฏิบ ัต ิน ิย ม ประกอบกับ หลัก ฐำนทำงจิต วิท ยำกำรเรีย นรู้ ทีม อ ิท ธิพ ลต่อ แนวคิด ของเพีย เจต์เ อง ซึง ่ ี ่ เชื่อ ว่ำ กำรเรีย นรู้เ กิด ขึ้น จำก กำรปรับ ตัว เข้ำ สู่ส ภำวะสมดุล ย์ (Equilibrium) ระหว่ำ ง 12
  • 13. ฤษฎีพ ัฒ นำเชำวปัญ ญำของเพ (ต่อ ) ขั้น ที1 Sensorimotor (แรกเกิด - 2 ขวบ) ่ 13
  • 14. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที1 ...Sensorimotor (แรกเกิด - 2 ่ ขวบ) เพีย เจต์ เป็น นัก จิต วิท ยาคนแรกทีไ ด้ ่ ศึก ษาระดับ เชาวน์ป ัญ ญาของเด็ก วัย นี้ ไว้อ ย่า งละเอีย ดจากการสัง เกตบุต ร 3 คน โดยทำา บัน ทึก ไว้แ ละสรุป ว่า วัย นี้ เป็น วัย ทีเ ด็ก มีป ฏิส ม พัน ธ์ก บ สิ่ง แวดล้อ ม ่ ั ั โดยประสาทสัม ผัส และการเคลื่อ นไหว ของอวัย วะต่า งๆของร่า งกาย 14
  • 15. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที2 ...Preoperational (อายุ18 เดือ น - 7 ปี) ่ 15
  • 16. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที2 ...Preoperational (อายุ18 เดือ น - 7 ปี) ่  เด็ก ก่อ นเข้า โรงเรีย นและวัย อนุบ าล มีร ะดับ เชาวน์ป ัญ ญาอยูใ นขั้น นี้ เด็ก วัย นีม โ ครงสร้า ง ่ ้ ี ของสติป ัญ ญา(Structure) ทีจ ะใช้ส ญ ลัก ษณ์แ ทน ่ ั วัต ถุส ิ่ง ของทีอ ยูร อบๆตัว ได้ หรือ มีพ ัฒ นาการ ่ ่ ทางด้า นภาษา เด็ก วัย นี้จ ะเริ่ม ด้ว ยการพูด เป็น ประโยคและเรีย นรู้ค ำา ต่า งๆเพิม ขึ้น เด็ก จะได้ร ู้จ ัก ่ คิด 16
  • 17. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) อย่า งไรก็ต าม ความคิด ของของเด็ก วัย นีย ง มีข ้อ ้ ั จำา กัด หลายอย่า งเด็ก ก่อ นเข้า โรงเรีย นและวัย อนุบ าล มีร ะดับ เชาวน์ป ัญ ญาอยูใ นขัน นี้ เด็ก วัย นี้ ่ ้ มีโ ครงสร้า งของสติป ัญ ญา(Structure) ทีจ ะใช้ ่ สัญ ลัก ษณ์แ ทนวัต ถุส ง ของทีอ ยู่ร อบๆตัว ได้ หรือ มี ิ่ ่ พัฒ นาการทางด้า นภาษา เด็ก วัย นีจ ะเริ่ม ด้ว ยการ ้ พูด เป็น ประโยคและเรีย นรู้ค ำา ต่า งๆเพิม ขึ้น เด็ก จะ ่ ได้ร ู้จ ัก คิด อย่า งไรก็ต าม ความคิด ของของเด็ก วัย นีย ง มีข ้อ จำา กัด หลายอย่า ง ้ ั 17
  • 18. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที3 ...Concrete Operations (อายุ 7 - 11 ปี) ่ 18
  • 19. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที3 ...Concrete Operations (อายุ 7 - ่ 11 ปี) พัฒ นาการทางด้า นสติป ัญ ญาและความ คิด ของเด็ก วัย นีแ ตกต่า งกัน กับ เด็ก ในขั้น ้ Preperational มาก เด็ก วัย นี้จ ะสามารถ สร้า งกฎเกณฑ์ และตั้ง กฎเกณฑ์ ในการ แบ่ง สิ่ง แวดล้อ มออกเป็น หมวดหมูไ ด้ คือ ่ เด็ก จะสามารถที่จ ะอ้า งอิง ด้ว ยเหตุผ ลและ ไม่ข ึ้น กับ การรับ รู้จ ากรูป ร่า งเท่า นั้น เด็ก วัย นีส ามารถแบ่ง กลุ่ม โดยใช้เ กณฑ์ ้ หลายๆอย่า ง และคิด ย้อ นกลับ 19
  • 20. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที4 ...Formal Operations (อายุ 12 ปีข ึ้น ไป) ่ 20
  • 21. ฤษฎีพ ัฒ นาเชาวปัญ ญาของเพ (ต่อ ) ขั้น ที4 ...Formal Operations (อายุ 12 ปีข ึ้น ่ ไป) ในขั้น นี้พ ฒ นาการเชาวน์ป ัญ ญาและความคิด ั เห็น ของเด็ก เป็น ขั้น สุด ยอด คือ เด็ก ในวัย นีจ ะ ้ เริ่ม คิด เป็น ผู้ใ หญ่ ความคิด แบบเด็ก สิ้น สุด ลง เด็ก สามารถทีจ ะคิด หาเหตุผ ลนอกเหนือ ไปจาก ่ ข้อ มูล ทีม อ ยู่ สามารถทีจ ะคิด เป็น นัก ่ ี ่ วิท ยาศาสตร์ สามารถทีจ ะตั้ง สมมุต ิฐ านและ ่ ทฤษฎีแ ละเห็น ว่า ความจริง ทีเ ห็น ด้ว ยกับ การรับ ่ รู้ไ ม่ส ำา คัญ เท่า กับ การคิด ถึง สิง ทีอ าจเป็น ไป ่ ่ ได้(Possibility) เพีย เจต์ไ ด้ส รุป ว่า "เด็ก วัย นี้ 21
  • 22. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น พบของบรูเ นอร์ บรูเ นอร์เ ชือ ว่า การเรีย นรู้จ ะเกิด ขึน เมือ ผู้เ รีย น ่ ้ ่ ได้ มีป ฏิส ม พัน ธ์ก ับ สิ่ง แวดล้อ มซึ่ง นำา ไปสูก ารค้น พบ ั ่ และการแก้ป ัญ หา เรีย กว่า การเรีย นรู้โ ดย การค้น พบ (Discovery approach) ผู้เ รีย น จะประมวลข้อ มูล ข่า วสารจากการมีป ฏิส ัม พัน ธ์ กับ สิง แวดล้อ ม และจะรับ รู้ส ิ่ง ทีต นเองเลือ ก หรือ ่ ่ สิ่ง ทีใ ส่ใ จ การเรีย นรู้แ บบนี้จ ะช่ว ยให้เ กิด การ ่ ค้น พบเนือ งจากผู้เ รีย นมีค วามอยากรู้อ ยากเห็น ่ ซึ่ง จะเป็น แรงผลัก ดัน ทีท ำา ให้ส ำา รวจสิ่ง แวดล้อ ม ่ และทำา ให้เ กิด การเรีย นรู้โ ดยการค้น พบ โดยมี 22
  • 23. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น พบของบรูเ้เนอร์ 1.การเรีย นรู ป็น กระบวนการทีผ ู้เ รีย น ่ (ต่อ ) มีป ฏิส ม พัน ธ์ก ับ สิ่ง แวดล้อ มด้ว ยตนเอง ั 2. ผู้เ รีย นแต่ล ะคนจะมีป ระสบการณ์ และพื้น ฐานความรู้ท แ ตกต่า งกัน การ ี่ เรีย นรู้จ ะเกิด จากการทีผ ู้เ รีย นสร้า ง ่ ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งสิง ทีพ บใหม่ก ับ ่ ่ ความรู้เ ดิม แล้ว นำา มาสร้า งเป็น ความ หมายใหม่ 23
  • 24. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น พบของบรูเบนอร์   แนวคิด เกี่ย วกั พัฒ นาการทางปัญ ญาขอ (ต่อ ) งบรูเ นอร์ มี 3 ขั้น ขั้น ที1 ...Enactive representation (แรก ่ เกิด - 2 ขวบ) เด็กจะแสดงการพัฒนาทางสมอง หรือทางปัญญา ด้วยการกระทำา และยังคงดำาเนินต่อไปเรื่อยๆตลอด ชีวิต วิธีการเรียนรู้ในขั้นนีจะเป็นการแสดงออก ้ ด้วยการกระทำา เรียกว่า Enactive mode จะเป็น วิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการสัมผัส จับ ต้องด้วยมือ ผลัก ดึง รวมถึงการใช้ปากกับวัตถุ สิ่งของทีอยู่รอบๆตัว สิ่งทีสำาคัญเด็กจะต้องลงมือ 24 ่ ่
  • 25. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น พบของบรูเ นอร์    ขั้น ที่ 2 ... Iconic representation (ต่อ )     ในขั้น พัฒ นาการทางความคิด จะเกิด จากการมองเห็น และการใช้ป ระสาทสัม ผัส แล้ว เด็ก สามารถถ่า ยทอดประสบการณ์ต ่า งๆ เหล่า นัน ด้ว ยการมีภ าพในใจ แทน พัฒ นาการ ้ ทางความรู้ค วามเข้า ใจจะเพิ่ม ตามอายุเ ด็ก ที่ โตขึ้น ก็จ ะสามารถสร้า งภาพในใจได้ม ากขึ้น วิธ ีก ารเรีย นรู้ใ นขั้น นี้ เรีย กว่า Iconic mode เมือ เด็ก สามารถทีจ ะสร้า งจิน ตนาการ หรือ ่ ่ มโนภาพ(Imagery)ในใจได้ เด็ก จะสามารถ เรีย นรู้ส ิ่ง ต่า งๆในโลกได้ด ้ว ย Iconic mode 25
  • 26. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้โ ดยการค้น พบของบรูเ นอร์ (ต่อ ) ขั้น ที3.... Symbolic representation ่ ในขั้น พัฒ นาการทางความคิด ทีผ ู้ เรีย นสามารถ ่ ถ่า ยทอดประสบการณ์ห รือ เหตุก ารณ์ต ่า งๆโดย ใช้ส ัญ ลัก ษณ์ หรือ ภาษา บรูเ นอร์ถ ือ ว่า การ พัฒ นาในขั้น นีเ ป็น ขั้น สูง สุด ของพัฒ นาการ ้ ทางความรู้ค วามเข้า ใจ เช่น การคิด เชิง เหตุผ ล หรือ การแก้ป ัญ หา และเชื่อ ว่า การพัฒ นาการ ทางความรู้ค วามเข้า ใจจะควบคู่ไ ปกับ ภาษา วิธ ี การเรีย นรู้ใ นขั้น นีเ รีย กว่า Symbolic mode ้ ซึง ผู้เ รีย นจะใช้ใ นการเรีย นได้เ มือ มี ความ ่ ่ สามารถทีจ ะเข้า ใจในสิ่ง ทีเ ป็น นามธรรม หรือ ่ ่ 26
  • 27. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซูเ บล ออซูเ บล เป็น นัก จิต วิท ยาแนวปัญ ญา นิย มทีแ ตกต่า งจาก ่ เพีย เจต์แ ละบรูเ นอร์ เพราะออซูเ บลไม่ ได้ม ว ัต ถุป ระสงค์ท ี่ ี จะสร้า งทฤษฎีท อ ธิบ ายการเรีย นรู้ไ ด้ ี่ ทุก ชนิด  ทฤษฎีข องออซูเ บลเป็น ทฤษฎีท ห า ี่ หลัก การอธิบ ายการเรีย นรู้ท เ รีย กว่า ี่ "Meaningful Verbal Learning" เท่า นัน โดยเฉพาะ การเชื่อ มโยงความ ้ รู้ท ป รากฏในหนัง สือ ที่ ี่ โรงเรีย นใช้ก ับ ความรู้เ ดิม ทีอ ยูใ นสมอง 27 ่ ่
  • 28. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซูเ บล (ต่อ ) เน้น ความสำา คัญ ของการเรีย นรู้ อย่า งมีค วามเข้า ใจและมีค วาม หมาย การเรีย นรู้เ กิด ขึ้น เมือ ผู้เ รีย น ่ ได้เ รีย นรวมหรือ เชื่อ ม โยง(Subsumme) สิ่ง ทีเ รีย นรู้ใ หม ่ หรือ ข้อ มูล ใหม่ ซึง อาจจะเป็น ความ ่ คิด รวบยอด(Concept) หรือ ความรู้ ทีไ ด้ร ับ ใหม่ใ นโครงสร้า งสติ ่ ปัญ ญากับ ความรู้เ ดิม ทีอ ยูใ นสมอง ่ ่ ของผู้เ รีย นอยูแ ล้ว ทฤษฎีข องออซู ่ 28
  • 29. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซู้โ ดยการรับ อย่า งมีค วาม ประเภทของการเรีย นรู เ บล (ต่อ ) หมาย 1. Subordinate learning เป็น การเรีย นรู้โ ดย การรับ อย่า งมีค วามหมาย โดยมีว ธ ีก าร 2 ประเภท ิ คือ 1.1 Deriveration Subsumption          เป็น การเชื่อ มโยงสิ่ง ทีจ ะต้อ งเรีย นรู้ใ หม่ก บ หลัก ่ ั การหรือ กฎเกณฑ์ท เ คยเรีย นมาแล้ว โดยการได้ ี่ รับ ข้อ มูล มาเพิม เช่น มีค นบอก แล้ว สามารถดูด ซึม ่ เข้า ไปในโครงสร้า งทางสติป ัญ ญาทีม อ ยูแ ล้ว ่ ี ่ อย่า งมีค วามหมาย โดยไม่ต ้อ งท่อ งจำา 1.2 Correlative subsumption 29
  • 30. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซูเ บล (ต่อ ) 2. Superordinate learning  เป็น การเรีย นรู้โ ดยการอนุม าน โดยการจัด กลุ่ม สิ่ง ทีเ รีย นใหม่เ ข้า กับ ความคิด รวบยอดที่ ่ กว้า งและครอบคลุม ความคิด ยอดของสิ่ง ที่ เรีย นใหม่ เช่น สุน ข แมว หมู เป็น สัต ว์เ ลี้ย งลูก ั ด้ว ยนม 3. Combinatorial learning เป็น การเรีย นรู้ห ลัก การ กฎเกณฑ์ต ่า งๆเชิง ผสม ในวิช าคณิต ศาสตร์ หรือ วิท ยาศาสตร์ โดยการใช้เ หตุผ ล หรือ การสัง เกต เช่น การ เรีย นรู้เ กีย วกับ ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งนำ้า หนัก 30 ่
  • 31. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซูเ บล (ต่อ )  Advance organizer  ออซูเ บลได้เ สนอแนะเกี่ย วกับ Advance organizer : เป็น เทคนิค ทีช ่ว ยให้ผ ู้เ รีย นได้ ่ เรีย นรู้อ ย่า งมีค วามหมายจากการสอนหรือ บรรยายของครู โดยการสร้า งความเชื่อ มโยง ระหว่า งความรู้ท ม ม าก่อ นกับ ข้อ มูล ใหม่ หรือ ี่ ี ความคิด รวบยอดใหม่ ที่จ ะต้อ งเรีย น จะช่ว ย ให้ผ ู้เ รีย นเกิด การเรีย นรู้อ ย่า งมีค วามหมายที่ ไม่ต ้อ งท่อ งจำา หลัก การทัว ไปทีน ำา มาใช้ คือ ่ ่ 31
  • 32. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซูเ บล (ต่อ ) ออซูเ บลถือ ว่า Advance Organizer มีค วาม สำา คัญ มากเพราะเป็น วิธ ีก ารสร้า งการเชือ มช่อ ง ่ ว่า งระหว่า งความรู้ท ผ ู้เ รีย นได้ร ู้แ ล้ว (ความรู้ ี่ เดิม )กับ ความรู้ใ หม่ท ไ ด้ร ับ ทีจ ำา เป็น จะต้อ ง เรีย น ี่ ่ รู้เ พือ ผู้เ รีย นจะได้ม ค วามเข้า ใจเนือ หาใหม่ไ ด้ด ี ่ ี ้ และจดจำา ได้ไ ด้ด ีข ึ้น ฉะนัน ผู้ส อนควรจะใช้ ้ เทคนิค Adv ance Organizer ช่ว ยผู้เ รีย นใน การเรีย นรู้ท ง ประเภทการรับ อย่า งมีค วามหมาย ั้ และการค้น พบอย่า งมีค วามหมาย 32
  • 33. ทฤษฎีก ารเรีย นรู้อ ย่า งมีค วาม หมายของออซูเ บล (ต่อ ) 33
  • 34. ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ จะเป็น การ อธิบ ายเกี่ย วกับ การได้ม าซึง ความรู้ ่ (acquire) สะสมความรู้ (store) การระลึก ได้ (recall) ตลอดจนการใช้ข ่า วสารข้อ มูล หรือ กล่า วได้ว ่า เป็น ทฤษฎีท พ ยายามอธิบ าย ี่ ให้เ ข้า ใจว่า มนุษ ย์จ ะมีว ิธ ีก ารรับ ข้อ มูล ข่า วสาร หรือ ความรู้ใ หม่อ ย่า งไร เมือ รับ มา ่ แล้ว จะมีว ิธ ีก ารประมวลข้อ มูล ข่า วสาร และ เก็บ สะสมไว้ใ นลัก ษณะใด ตลอดจนจะ สามารถดึง ความรู้น น มาใช้ไ ด้อ ย่า งไร ั้ 34
  • 35. ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ (ต่อ ) ทฤษฎีน ี้จ ด อยูใ นกลุ่ม พุท ธิป ัญ ญา ั ่ (Cognitivism) โดยให้ค วาม สนใจเกี่ย ว กับ กระบวนการคิด การให้เ หตุผ ลของผู้ เรีย น ซึง แตกต่า งจากทฤษฎีก ารเรีย นรู้ข อง ่ กลุ่ม พฤติก รรมนิย ม (Behaviorism) ทีม ง ่ ุ่ เน้น พฤติก รรมทีส ัง เกตได้เ ท่า นั้น โดยมิไ ด้ ่ สนใจกับ กระบวนการคิด หรือ กิจ กรรมทาง สติป ัญ ญาของมนุษ ย์ (mental activities) ซึง เป็น สิ่ง ทีน ัก จิต วิท ยากลุ่ม พุท ธิป ัญ ญา ่ ่ ตระหนัก ถึง ความจำา เป็น ทีจ ะต้อ งศึก ษา ่ กระบวนการดัง กล่า วซึง เป็น สิ่ง ทีไ ม่ 35 ่ ่
  • 36. ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ (ต่อ ) ความเป็น มา และแนวคิด ของทฤษฎีป ระมวล สารสนเทศ            ในระหว่า งปี ค.ศ. 1950-1960 ทฤษฎี การเรีย นรู้ส ว นใหญ่ม ก จะเป็น การทดลองทีใ ห้ห นูว ิ่ง ่ ั ่ ในเขาวงกต ซึ่ง นัก จิต วิท ยาหลายท่า นมองเห็น ว่า การ ทดลองดัง กล่า วไม่ส ามารถทีจ ะช่ว ยในการอธิบ าย ่ เกี่ย วกับ การเรีย นรู้ท ย ง ยากซับ ซ้อ นของมนุษ ย์ไ ด้ ี่ ุ่  นัก จิต วิท ยากลุ่ม หนึ่ง ของพุท ธิป ัญ ญามองว่า การ เรีย นรู้ เป็น การเปลี่ย นแปลงปริม าณความรู้ข องผู้ เรีย นทัง ในด้า นปริม าณ และวิธ ีก ารประมวล ้ สารสนเทศ แนวคิด ดัง กล่า ว เรีย กว่า ทฤษฎีป ระมวล 36
  • 37. ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ (ต่อ ) นัก จิต วิท ยากลุ่ม ประมวลสารสนเทศ เชือ ว่า การเรีย นรู้เ ป็น การเปลี่ย นแปลง ่ ความรู้ข องผู้เ รีย นทั้ง ทางด้า นปริม าณ และคุณ ภาพ หรือ กล่า วได้ว ่า นอกจาก ผู้เ รีย นจะสามารถเรีย นรู้ส ง ต่า งๆมี ิ่ ปริม าณทีเ พิม ขึ้น แล้ว ผู้เ รีย นยัง ่ ่ สามารถ จัด ระเบีย บ เรีย บเรีย ง รวบรวม เพือ ให้ส ามารถเรีย กความรู้ ่ เหล่า นัน มาใช้ไ ด้ใ นเวลาที่ต อ งการ ้ ้           37
  • 38. ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ (ต่อ )  อีก ทัง ยัง สามารถควบคุม อัต ราความเร็ว ้ ในการเรีย นรู้ต ลอดจนขั้น ตอนของการ เรีย นได้ โดย เน้น ทีจ ะศึก ษาเกี่ย วกับ การ ่ เปลี่ย นแปลงกระบวนการคิด (cognitive operation) แต่ท ฤษฎีน ี้ มีค วามคิด เห็น ที่ แตกต่า งกับ แนวคิด เกีย วกับ การพัฒ นา ่ ตามลำา ดับ ขั้น ทางสติป ัญ ญาของเพีย เจต์ (Piaget) แต่เ ชื่อ ว่า กระบวนการ คิด (cognitive process) และความ สามารถ (abilities) จะมีแ นวโน้ม ทีจ ะ ่ พัฒ นาเพิม ขึ้น เรื่อ ยๆ เช่น เด็ก สามารถ ่ 38 เรีย นรู้ไ ด้เ ร็ว ขึ้น จำา ได้ม ากขึ้น และ
  • 39. ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศ (ต่อ ) นัก ทฤษฎีป ระมวลสารสนเทศมุง เน้น ทีจ ะศึก ษา ่ ่ ในเรื่อ งต่อ ไปนี้ 1. ความใส่ใ จ (attention) 2. กลยุท ธ์ก ารเรีย นรู้ (learning strategies) 3. พืน ฐานความรู้ (knowledge base) ้ 4. ความรู้เ กีย วกับ การรู้ค ิด ของตนเอง ่ (metacognition) จากองค์ป ระกอบข้า งต้น จะพบว่า ความรู้ เกีย วกับ การรู้ค ิด ของตนเอง (metacognition) ่ เป็น ส่ว นหนึง ของทฤษฎีน ี้ เพราะเหตุผ ลที่ว า ่ ่ การทำา งานของระบบต่า งๆในการประมวล สารสนเทศ เช่น ความใส่ใ จ การลงรหัส ข้อ มูล 39
  • 41. ทฤษฎีค วามรู้เ กี่ย วกับ ความ คิด ของตัว เอง เนือ งจากนัก จิต วิท ยากลุ่ม พุท ธิป ัญ ญานิย ม ่ เชือ ว่า ผู้เ รีย นเป็น ผู้ท ี่ม ค วามสำา คัญ ต่อ การ ่ ี เรีย นรู้ คือ เป็น ผู้ค วบคุม กิจ กรรมการเรีย นรู้ ของตนเอง (Self-regulation) จึง มีผ ู้ศ ก ษา ึ เกีย วกับ การควบคุม กิจ กรรมทางปัญ ญา ่ (Cognitive Activity) ฟลาเวล (Flavell, 1979) ได้ใ ห้ค ำา ว่า          “Meta Cognitive” ซึ่ง หมาย ถึง ความรู้ส ่ว นตัว ของแต่ล ะบุค คลต่อ สิง ทีไ ด้ ่ ่ เรีย นรู้ หรือ สิง ทีต นรู้ (Knowing) ซึ่ง ต่า งกับ ่ ่ “Cognitive” ซึง หมายถึง การรู้ค ิด หรือ 41 ่
  • 42. ทฤษฎีค วามรู้เ กี่ย วกับ ความ คิด ของตัว เอง ฟลาเวลกล่า วว่า ความรู้เ กี่ย วกับ การรู้ค ิด ของตนเอง อ ) (ต่ ขึ้น อยูก ับ ปัจ จัย 3 อย่า ง คือ ่ 1. บุค คล (Person) หมายถึง ความสามารถ ของผู้เ รีย นทีจ ะมีค วามรู้เ กี่ย วกับ ตนเองในฐานะผู้ ่ เรีย น เช่น ระดับ ความสามารถ ลีล าในการเรีย นรู้ท ี่ ตนถนัด        2. งาน (Task) ความรู้เ กี่ย วกับ งานทีจ ะ ่ ต้อ งเรีย นรู้ รวมทัง ระดับ ความยากง่า ยของงาน ้        3. ยุท ธศาสตร์ (Strategy) ทีใ ช้ใ นการ ่ เรีย นรู้ “งาน” หรือ สิง ทีจ ะต้อ งเรีย นรู้ข ึ้น อยูก บ วัย ของ ่ ่ ่ ั ผู้เ รีย น 42
  • 43. ทฤษฎีค วามรู้เ กี่ย วกับ ความ คิด ของตัว เอง (ต่อ ) 43
  • 44. หลัก การที่ส ำา คัญ ของทฤษฎีพ ุท ธิป ัญ ญา และการนำา ไปใช้ (ต่อ ) จากทฤษฎีต ่า งๆในกลุ่ม พุท ธิป ัญ ญานิย ม ดัง กล่า วข้า งต้น อาจสามารถสรุป หลัก การ แนวคิด ทีส ำา คัญ นำา ไปใช้ไ ด้ ดัง นี้ ่ -schema (สกีม า) หรือ โครสร้า งทางปัญ ญา เป็น โครงสร้า งของความรู้ใ นสมอง สกีม า อาจมีก ารประสานร่ว ม ขยาย หรือ เปลี่ย นแปลง หรือ ปรับ เปลี่ย นในการทีจ ะรับ ่ ข้อ มูล ใหม่ 44
  • 45. หลัก การที่ส ำา คัญ ของทฤษฎีพ ุท ธิป ัญ ญา และการนำา ไปใช้ (ต่อ ) -model ของการประมวลเทคโนโลยีส าระ สนเทศ ประกอบด้ว ย 3 ขั้น ตอน 1. การบัน ทึก ผัส สะ ( Sensory register ) กระบวนการผัส สะ ซึง มีห น้า ที่ เก็บ ข้อ มูล ่ ต่า งๆเพีย งระยะสั้น ๆ ประมาณ 2-4 วิน าที เพีย งเพื่อ ให้ไ ด้ต ัด สิน ใจว่า เราจะ ให้ค วามสนใจและบัน ทึก ไว้ใ นความจำา ระยะสั้น ต่อ ไป 45
  • 46. 2. ความจำา ระยะสั้น ( Short-term Memory ) หลัก การที่ส ำา คัญ ของทฤษฎีพ ุท ธิป ัญ ญา 2.ความจำา ระยะสั้น เป็น แหล่ง ที่ส องของการ และการนำา ไปใช้ บัน ทึก ความจำา (ต่อ ) หลัง จากประสบการณ์ต ่า งๆทีร ับ เข้า มาจะบัน ทึก ่ อยูใ น การบัน ทึก ผัส สะ (Sensory Register) ซึ่ง ่ เป็น แหล่ง แรกของการบัน ทึก ความจำา 3. ความจำา ระยะยาว ( Long-term Memory )ข้อ มูล ทีถ ก บัน ทึก ไว้ใ นความจำา ระยะสั้น นั้น ถ้า ่ ู ต้อ งการดึง ออกมาใช้ (Retrieve)ในภายหลัง ได้ นัน ข้อ มูล นั้น จะ ต้อ งผ่า นกระบวนการประมวล ้ ผลและเปลี่ย นแปลง (Processed and transformed) จากความจำา ระยะสัน ไปสู่ค วาม ้ จำา ระยะยาว 46
  • 47. บรรณานุกรม -กุญชรี ค้าขาย. (2540). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพ : ภาควิชา จิตวิทยาและการ แนะแนวคณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ สวนสุนันทา -พรรณี ช.เจนจิต .(2545). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพ : เสริมสิน พรีเพรสเทม. -http://www.kroobannok.com/1548 (online 27/11/55) -สุรางค์ โค้วตระกูล .(2544). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : สำานักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์. -Fravell, J.H.(1979). Metacn and cognognitiitive moniterring : Anew area of psycologicalinquiry. American Psychologist, 34,906-911 -Good, T.L. Brophy, J.E.(1990) Basic concepts of motivation.In.T.L. Good & J.E. Brophy(Eds.), Educational Psychology: realistic apporoach(4th Ed.) New York: Longman -Klausmeier, H.J. (1985). Educational Psychology.(5th ed). New York : Harper & Row . 47 -Loftus, E.F., & Loftus ; G.R. (1980). On The Performance of
  • 48. บรรณานุกรม (ต่อ ) .(1976). Cognition and reatity: Principles and implications of cognative psy sco: freeman M., & Atkininson, R.C. (1969). Storage and retrieval processing in long-term cal Review, 76,-179-193. .S. (1983). Five generalization about cognaitive development. American ist, 38, 263-277 48
  • 49. 49