Contenu connexe
Similaire à Book Museum Refocused (8)
Plus de National Discovery Museum Institute (NDMI) (20)
Book Museum Refocused
- 3. พิ(ศ)พิธภัณฑ์
Museum Refocused
ISBN: 978-616-329-057-1
บรรณาธิการ
ฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร
กองบรรณาธิการ
ชนน์ชนก พลสิงห์ วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ อาทิตย์ เคนมี
ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ อารยา คงแป้น
พิสูจน์อักษร
คีรีบูน วงษ์ชื่น
ออกแบบปก
สกลชนก เผื่อนพงษ์
ศิลปกรรม
ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
ภาพถ่าย
อนุชิต นิ่มตลุง
จัดพิมพ์โดย
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
www.ndmi.or.th
พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2558
จำ�นวนพิมพ์ 1,000 เล่ม
พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ภาพพิมพ์
- 5. สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ภายใต้กำ�กับ
สำ�นักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สังกัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี
มีพันธกิจในการจัดตั้งและบริหารจัดการมิวเซียมสยาม สร้างความร่วมมือกับเครือข่าย
พิพิธภัณฑ์ เพื่อยกระดับมาตรฐานพิพิธภัณฑ์ของประเทศ เผยแพร่วัฒนธรรม
สร้างสรรค์ และเสริมสร้างความรู้ด้านพิพิธภัณฑ์วิทยาแก่สังคมไทย
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นภายใต้บริบทของการจัดประชุมวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษา
พิ(ศ)พิธภัณฑ์ หรือ Museum Refocused ซึ่งเป็นการประชุมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ทบทวนและรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ 2) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และ
ประสบการณ์ด้านพิพิธภัณฑ์ระหว่างนักวิชาการและนักปฏิบัติการจากหลากสาขา
วิชา การประชุมดังกล่าวทำ�หน้าที่สำ�รวจประเด็นต่างๆ ทางด้านพิพิธภัณฑ์ในภาพ
กว้าง ส่วนหนังสือเล่มนี้ ทำ�หน้าที่สำ�รวจประเด็นที่เจาะจงสำ�หรับนักปฏิบัติการด้าน
พิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ โดยจัดทำ�ด้วยวิธีการสัมภาษณ์และเรียบเรียงความคิด แนวทาง
การทำ�งานของผู้ปฏิบัติงานด้านพิพิธภัณฑ์จำ�นวน 9 เรื่อง
- 6. สำ�หรับคนทำ�งานด้านพิพิธภัณฑ์ หนังสือเล่มนี้เปิดให้เห็นวิธีคิดของคนทำ�
พิพิธภัณฑ์ในด้านต่างๆ ประกอบด้วย ด้านนิทรรศการ ด้านการอนุรักษ์ ด้านกิจกรรม
การศึกษา ด้านการทำ�งานกับชุมชน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างพิพิธภัณฑ์กับผู้ชม ฯลฯ
สำ�หรับสาธารณชนที่สนใจหาความรู้จากพิพิธภัณฑ์ หรือนักท่องพิพิธภัณฑ์ การ
ได้รับทราบส่วนเสี้ยวเบื้องหลังการทำ�งานพิพิธภัณฑ์ น่าจะทำ�ให้ท่านเที่ยวพิพิธภัณฑ์
ได้อย่างเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น
สพร. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือที่อยู่ในมือท่านเล่มนี้จะยังประโยชน์ให้ผู้อ่าน
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยความตระหนักว่าพิพิธภัณฑ์จะทำ�หน้าที่ของตัวเองอย่าง
เต็มที่ และสามารถสร้างวัฒนธรรมการหาความรู้จากพิพิธภัณฑ์ขึ้นได้ในสังคมไทย
ก็ด้วยอาศัยความเข้าใจ ความสนับสนุน และการมีส่วนร่วมทั้งจากชุมชนพิพิธภัณฑ์
และสาธารณชนโดยรวม
ราเมศ พรหมเย็น
รองผู้อำ�นวยการสำ�นักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
และผู้อำ�นวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
- 8. ภัณฑารักษ์วิถี 103
ศุภมาศ พะหุโล ภัณฑารักษ์อิสระ
อดีตภัณฑารักษ์ประจำ�ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ
หัวหอมในหอศิลป์ 119
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ดวงดาวของชาวสวน 139
พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาวัดหนังราชวรวิหาร
เดินด้วยกัน พิพิธภัณฑ์มีชีวิต 163
พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง)
ที่แห่งนี้ไม่มีภัณฑารักษ์ 183
พิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเล่าเรื่อง ชุมชนเจริญไชย
- 11. ‘พิศ’ พิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์เป็นสถาบันที่ถือกำ�เนิดในสังคมไทยมาร่วมร้อยปีแล้ว จาก
จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยได้เห็นพิพิธภัณฑ์ในหลายรูปแบบ เป็นต้นว่า
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคล พิพิธภัณฑ์ในวัด พิพิธภัณฑ์ในโรงเรียน
เส้นทางของพิพิธภัณฑ์ไทยไม่ต่างจากพิพิธภัณฑ์ที่อื่นๆ ในโลก การอนุรักษ์วัตถุ การ
จัดแสดง การเล่าเรื่อง การสื่อสารกับผู้ชม การให้การศึกษา การให้บริการแก่ผู้ชม ฯลฯ
เป็นประเด็นเชิงปฏิบัติการที่นักพิพิธภัณฑ์ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นล้วนเผชิญ
ในฐานะส่วนหนึ่งของชุมชนพิพิธภัณฑ์ไทย ฝ่ายวิชาการ มิวเซียมสยามคิดว่าน่า
จะทำ�หนังสือที่ ‘แกะกล่อง ถอดรหัส’ ความคิดของคนทำ�งานพิพิธภัณฑ์ ตามประเด็น
พิพิธภัณฑ์ศึกษาที่ร่ำ�เรียนกันมา เช่น เรื่องการวางแผน การให้การศึกษา การทำ�
นิทรรศการ การดูแลคลังวัตถุ การตลาด กิจกรรม ชุมชน ฯลฯ โดยตั้งเป้าว่าหนังสือ
เล่มนี้จะเสนอทั้งวิธีคิดและวิธีการ เพื่อให้ผู้สนใจสามารถนำ�ไปทดลองและปรับใช้
เองได้ ทีมงานได้คัดเลือกประเด็นและคัดเลือกพิพิธภัณฑ์ที่เห็นว่าเด่นและน่าจะเป็น
ตัวแทนของประเด็นที่ตั้งใจไว้ แล้วสัมภาษณ์ บนเป้าหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์ เราพบว่าถึงแม้ว่าแต่ละพิพิธภัณฑ์จะมีข้อเด่น
แตกต่างกัน แต่เมื่อมองภาพกว้าง ก็พบว่ามีจุดร่วมกันไม่น้อย เป็นต้นว่าการสร้าง
ความรู้และปฏิบัติการในเงื่อนไขที่สังคมไทยเป็น ภายใต้ข้อจำ�กัดของงบประมาณ
ของความรู้ หรือผู้เชี่ยวชาญที่ไม่พอจะรองรับการเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดของพิพิธภัณฑ์
ในขณะเดียวกันก็มีโจทย์ร่วมกันที่การสื่อสารความรู้ ออกไปสู่สังคมวงกว้าง ที่ไม่ได้มี
วัฒนธรรมของการใช้พิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้ ทีมงานเห็นว่าประเด็นที่หยิบยกมา
ในที่นี้สะท้อนสภาวะของพิพิธภัณฑ์ในบริบทแบบ ‘ไทยๆ’ ได้อย่างน่าสังเกต กล่าวคือ
10
- 12. จากเบื้องหลังคนทำ�งาน
วัตถุ ความรู้และการปรับตัว
วัตถุเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด เป็นสิ่งที่สร้างภาพจำ�ให้กับพิพิธภัณฑ์ เป็นเกณฑ์
ในการบ่งชี้ว่าที่ใดใช่หรือไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ การดูแล อนุรักษ์วัตถุในพิพิธภัณฑ์เป็น
ศาสตร์เฉพาะทาง และแม้ว่าเราจะอยู่ในยุคพิพิธภัณฑ์เบ่งบาน แต่กลับมีพิพิธภัณฑ์
ไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่มีห้องปฏิบัติการด้านการอนุรักษ์ ห้องคลังเก็บวัตถุที่มี
มาตรฐานสากล พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็น
หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว พิพิธภัณฑ์นี้ให้ความสำ�คัญกับขั้นตอนของการหาข้อมูล
เกี่ยวกับวัตถุชิ้นหนึ่งๆ ให้ความสำ�คัญอย่างยิ่งยวดกับงานด้านการอนุรักษ์ จัดเก็บ
และการทำ�ทะเบียนเกี่ยวกับวัตถุแต่ละชิ้น นอกจากระบบทะเบียนแล้ว พิพิธภัณฑ์ผ้า
นำ�ระบบสืบค้นข้อมูลวัตถุด้วยคอมพิวเตอร์มาใช้ อย่างไรก็ดี ใช่ว่าพิพิธภัณฑ์แบบอื่นๆ
จะไม่มีระบบจัดเก็บและสืบค้นข้อมูล วัตถุชิ้นหนึ่งๆ มีประวัติศาสตร์ของมัน ทั้งระดับ
ท้องถิ่น ภูมิภาค ชุมชน และบุคคล ข้อมูลเหล่านี้มักถูกจัดเก็บไว้ในระบบทะเบียนที่
‘มีชีวิต’ คือคลังความทรงจำ�ของภัณฑารักษ์ ซึ่งจะสูญสิ้นไปพร้อมกับตัวบุคคล แต่
หากพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดเก็บและสืบค้นแบบดิจิทัลอย่างเป็นระบบ ก็จะทำ�ให้เกิดการ
สะสมความรู้ และเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุอย่างเป็นระบบ และสืบทอดต่อไปได้อย่างไม่
สิ้นสุด ไม่จบไปพร้อมกับภัณฑารักษ์ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์
ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งที่ได้จากการพูดคุยที่ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระ
นางเจ้าฯ คือการปรับตัว ปรับความรู้ให้เข้ากับพื้นถิ่น พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระ
นางเจ้าฯ มีที่ปรึกษาเป็นชาวต่างชาติ ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ส่วนหนึ่งได้รับมา
จาก ‘มาตรฐาน’ แบบตะวันตก หากในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีความรู้ใดที่สำ�เร็จรูป
ในการจัดเก็บพระภูษา พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พบว่าชั้นใต้ดินเป็นชั้น
ที่ไม่เหมาะกับการจัดเก็บวัตถุ เนื่องจากอากาศร้อนชื้นของเขตเส้นศูนย์สูตรก่อให้
เกิดความชื้นและรา
นอกจากนี้ยังมีแมลงประจำ�ถิ่นซึ่งแม้ว่าทางผู้เชี่ยวชาญตะวันตกจะได้ให้การ
อบรมเกี่ยวกับแมลงแล้ว แต่ในความเป็นจริง แมลงในเขตร้อนชื้นก็แตกต่างจากแมลง
ในอีกซีกโลกหนึ่ง จนถึงขั้นต้องออกแบบการสำ�รวจแมลงในพิพิธภัณฑ์เพื่อหาวิธีมา
จัดการกับแมลงเฉพาะทางเหล่านี้ ความรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติงานจริง จึงขยาย
ออกไปจากความรู้แบบที่ได้รับการฝึกฝนมา ซึ่งต่างจากโลกตะวันตก จะเห็นได้ว่า
ความรู้ที่ใช้ในพิพิธภัณฑ์มีพลวัตเสมอ แม้ในมิติที่เป็นเทคนิคซึ่งดูเหมือนจะสำ�เร็จรูป
11
- 13. ‘พิศ’ พิพิธภัณฑ์
ก็ตาม เมื่อนำ�ไปใช้ในท้องถิ่น ในสภาวะแวดล้อมหนึ่งๆ ย่อมถูกปรับแปลงให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมนั้นๆ
ความรู้และการเรียนรู้
สังคมไทยมีพิพิธภัณฑ์หลากหลายประเภท ความรู้จากพิพิธภัณฑ์ก็มีหลากหลาย
บ้างเป็นเรื่องโบราณวัตถุ บ้างเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ บ้างเป็นเรื่องข้าวของเครื่องใช้
ของบุคคลสำ�คัญ บ้างเป็นเรื่องเกี่ยวกับหน่วยงาน บ้างเป็นเรื่องเกี่ยวกับท้องถิ่น ฯลฯ
อย่างไรก็ดี หากเรามองเรื่องความรู้ให้พ้นไปจากการ ‘จัดแสดงเนื้อหา’ มาสู่ความคิด
เกี่ยวกับความรู้ และการเรียนรู้ น่าจะทำ�ให้เห็นที่มาที่ไปอันเป็นเบื้องใต้ของการจัด
แสดงความรู้ในพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งได้ดียิ่งขึ้น
หอศิลป์ บ้านจิม ทอมป์สัน เน้นว่าเรื่องราวที่จะนำ�มาจัดนิทรรศการนั้น จะต้อง
มีความเชื่อมโยงระหว่าง อดีตและปัจจุบัน เก่ากับใหม่ รวมถึงคิดเชื่อมปัจจุบันกับ
อนาคตโดยที่ยึดโยงกับอดีตด้วย ในกระบวนการหาความรู้ที่นี่เน้นการวิจัยด้วยตนเอง
ก่อนที่จะนำ�ความรู้นั้นมาตีความและจัดแสดง ด้วยวิธีเช่นนี้ทำ�ให้ หอศิลป์ บ้านจิม
ทอมป์สัน สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมเกี่ยวข้องกับนิทรรศการได้อย่างน่าสนใจ
ส่วนที่ พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร นั้น พระครูสังฆรักษ์ไพฑูรย์
สุภาทโร เห็นว่าเมื่อมาที่นี่ผู้ชมควรได้รู้จักตัวตน อัตลักษณ์ของท้องถิ่น เข้าใจความ
เป็นท้องถิ่นว่าแตกต่างกับถิ่นอื่นอย่างไร อย่างไรก็ตามท่านตั้งคำ�ถามให้คิดว่าอะไร
และอย่างไรคือการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ ในทัศนะของท่านจะคิดถึงการเรียนรู้แต่จากฝั่ง
ผู้ชมโดยไม่ได้คิดจากฝั่งคนทำ�พิพิธภัณฑ์ไม่ได้ ผู้ชมจะเรียนรู้ได้ ผู้ทำ�จะต้องเรียนรู้ก่อน
ผู้ทำ�ต้องค้นคว้า ต้องตอบคำ�ถาม ต้องรับฟังคำ�ถามของคนชมพิพิธภัณฑ์ ต้องปรับ
เนื้อหา วัตถุ การนำ�ชมตามคำ�ถามของคนดู คือปรับทั้งความรู้และวิธีสื่อสาร เพื่อให้
ผู้ชมเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด หากก็ต้องรักษาประเด็นของตัวเองให้ชัด ในแง่นี้หมายความว่า
เนื้อหาในพิพิธภัณฑ์นั้น แม้จะเป็นนิทรรศการถาวร แต่จะไม่ใช่ความถาวรแบบหยุดนิ่ง
ตายตัว หากมีพลวัตจากการสื่อสารสองทางกับผู้ชมเสมอ
ส่วนที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ นั้น ชัดเจนในพันธกิจว่า อพวช.
ไม่ได้ทำ�พิพิธภัณฑ์เพื่อช่วยเด็กทำ�การบ้านหรือเข้ามหาวิทยาลัย แต่เพื่อสร้างสังคม
แห่งการใช้เหตุผล หากพิพิธภัณฑ์จะเป็นที่ที่สร้างกระบวนการให้คนคิด พิพิธภัณฑ์
12
- 14. จากเบื้องหลังคนทำ�งาน
จะต้องให้มากกว่าข้อมูล ความรู้ แต่ต้องสร้างความเข้าใจและความตระหนัก ต้องเน้น
การสร้างกระบวนการคิดแบบเป็นวิทยาศาสตร์ คือตั้งข้อสังเกต พิสูจน์ หาคำ�ตอบ อัน
จะทำ�ให้เห็นว่าวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่นำ�มา
ใช้ทำ�ความเข้าใจทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อที่เป็นวิทยาศาสตร์มากๆ หรือหัวข้อ
ทางสังคม เช่น ภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น
แม้ว่าดูเผินๆ แล้ว ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง จะไม่ได้แตกต่างจาก
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทั่วไป คือจัดแสดงสิ่งของและเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิถีของชุมชน
อัตลักษณ์ผู้คนที่นั่น แต่เมื่อพูดถึงประเด็นการเรียนรู้แล้ว พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง
เห็นว่าพิพิธภัณฑ์จะต้องบูรณาการการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ให้เข้ากับสาระการเรียนรู้
ในหลักสูตรของนักเรียน มีการปรับหลักสูตรเพื่อให้พิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่ของการเรียนรู้
นอกระบบที่สามารถเชื่อมโยงกับการศึกษาในระบบได้ ที่น่าสนใจคือการใช้ข้าวของ
เครื่องใช้ในพิพิธภัณฑ์มาเป็นสื่อการเรียนรู้ ในแง่นี้ข้าวของเครื่องใช้จะมีหน้าที่อัน
สำ�คัญ ไม่ใช่เพียงของที่ตั้งโชว์ หรือของที่ต้องอนุรักษ์สงวนไว้ แต่เป็นของที่ถูกนำ�มา
เพื่อการเรียนรู้ ในมิติของการเรียนรู้แล้ว ข้าวของพวกนี้เชื่อมโยงอดีตให้เข้ากับปัจจุบัน
และเชื่อมโยงการศึกษานอกและในระบบเข้าด้วยกัน
จากประเด็นเรื่องการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ สะท้อนให้เห็นว่าพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่ง
พยายามอย่างมากที่จะก้าวข้ามข้อท้าทายเกี่ยวกับวิถีของการเรียนรู้ของผู้ชมในสังคม
ไทย อีกนัยหนึ่ง เราสามารถมองเห็นสังคมไทย การรับรู้ การเรียนรู้ของคนไทยปัจจุบัน
ได้จากความพยายามที่จะทำ�งานกับกลุ่มเป้าหมายของพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ เป็นต้นว่า
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ตั้งข้อสังเกตว่างานศิลปะแนว
avant-garde เป็นแนวที่ผู้ชมไม่สนใจดูเท่ากับงานแนวประเพณี ใช่หรือไม่ว่าคนไทย
ไม่ได้ถูกสอนให้คิดในเชิงมโนทัศน์ จึงไม่รู้สึกชื่นชมการแสดงของในงานศิลปะสกุลนี้
ส่วน อดีตภัณฑารักษ์จาก ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ กรุงเทพฯ (TCDC) คิดกับ
เรื่องการจัดแสดงและการดีไซน์ว่าจะดึงความสนใจคนอย่างไร ให้อยู่กับนิทรรศการ
ให้นานที่สุด งานดีไซน์จึงเน้นให้ประสบการณ์การดูนิทรรศการเป็นประสบการณ์ที่
สนุกสนาน พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร ใช้วิธีจำ�กัดคนดู พระเป็น
ผู้นำ�ชมเองเพื่อโฟกัสความสนใจ ให้มีปฏิสัมพันธ์ เป็นการดึงคนไม่ให้หลุดและไปสนใจ
แต่เรื่องการถ่ายรูปตัวเองกับวัตถุในพิพิธภัณฑ์ ที่ พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง)
ไม่ได้เน้นจับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบฉาบฉวย และเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีความ
สนใจในเนื้อหา พิพิธภัณฑ์ได้เตรียมสถานีความรู้ไว้ตามจุดต่างๆ ทั้งที่พิพิธภัณฑ์ ที่
13
- 15. ‘พิศ’ พิพิธภัณฑ์
โรงงานและในหมู่บ้าน โดยที่แต่ละจุดมีความเชื่อมต่อกัน กล่าวโดยย่อ โจทย์ของทุกคน
ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่อง ผู้ชม (audience) ว่าจะทำ�อย่างไรถึงจะดึงความสนใจของ
ผู้ชมที่แม้ว่าจะดั้นด้นมาจนถึงพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ยังไม่ใช้เวลาเต็มที่กับความรู้เบื้องหน้า
ผู้ชมและการ ‘หมั้นหมาย’
ในภาพจำ�ของคนทั่วไป พิพิธภัณฑ์เป็นที่ของข้าวของมีค่า เป็นที่ของเรื่องราวจาก
อดีต เป็นที่ของผู้ทรงภูมิที่มีความรู้ความเข้าใจเฉพาะทาง และทำ�หน้าที่ ‘ให้’ ความรู้
นั้นกับผู้ชม หากในมุมของคนทำ�งานพิพิธภัณฑ์แล้ว พิพิธภัณฑ์เป็นมากกว่านั้น คน
ทำ�พิพิธภัณฑ์ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ใหญ่หรือเล็ก ต้องคิดถึงผู้ชมเป็นสำ�คัญ
พิพิธภัณฑ์ในอังกฤษหรืออเมริกาต้องหันมาคำ�นึงถึงความต้องการของผู้ชม สิ่งที่ผู้ชม
สนใจ กิจกรรมที่รองรับผู้ชมที่มีความหลากหลายทั้งวัย การศึกษา ข้อจำ�กัดทางกาย
ความต่างทางวัฒนธรรม จนแทบกล่าวได้ว่าอนาคตของพิพิธภัณฑ์นั้นขึ้นอยู่กับผู้ชม
ในประเทศไทยก็เช่นกัน พิพิธภัณฑ์หลายแห่งไม่ได้มองตัวเองเป็นองค์กรที่แยกอยู่
อย่างโดดเดี่ยว หากให้ความสนใจกับผู้ชมและสัมพันธ์กับผู้ชมในหลายระดับ หลาย
มิติด้วยกัน
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) มีการกำ�หนดกลุ่มเป้าหมาย
ที่ไม่ได้ดูแค่อายุแต่ดูไลฟ์สไตล์ ดูพฤติกรรมการรับสื่อ ดูความสนใจ จนเห็นความ
หลากหลายของกลุ่มผู้ชม และนำ�มาคิดงานที่รองรับความสนใจของคนที่แตกต่างกัน
ความพยายามที่จะรองรับกลุ่มคนที่แตกต่าง ส่งผลกลับไปที่การนิยามความหมายของ
ศิลปะ ว่าจะต้อง engage กับผู้คน และในบางครั้งศิลปะก็เป็นสื่อที่อาจสร้างปฏิสัมพันธ์
ระหว่างกลุ่มผู้ชมที่แตกต่างกันได้ด้วย ด้วยการคำ�นึงถึงผู้ชม หอศิลปวัฒนธรรม
แห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ปรับตัว ปรับวิธีการทำ�งาน จากการที่ภัณฑารักษ์
หรือกรรมการบริหารหน่วยงานเป็นผู้กำ�หนด มาเป็นการให้ความสำ�คัญกับผู้ชมว่า
เขาเป็นใคร เขาอยากรู้อะไร เขาใช้เวลากับอะไร จะสร้างงานที่ engage กับผู้ชมได้
อย่างไร จะให้เด็กเข้าใจศิลปะที่มีตัวเองเป็นหลักได้อย่างไร
ในประเทศไทย มีพิพิธภัณฑ์จำ�นวนไม่น้อยที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากวัตถุสิ่งของ
เลอค่า ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากของสะสม หากสร้างขึ้นมาจากวิกฤติ หรือสร้างจากการ
ที่มีการเผชิญกับภาวะอันไม่พึงใจบางอย่าง เป็นต้นว่า พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1
14
- 16. จากเบื้องหลังคนทำ�งาน
(ฝาง) ที่เกิดขึ้นหลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ อาคารถูกกระแสน้ำ�ทำ�ลาย พิพิธภัณฑ์เกิดขึ้น
เพื่อชุบชีวิตให้โรงงาน และสร้างชีวิตใหม่ให้กับพื้นที่บ้านยางกลายเป็นแหล่งเรียนรู้
สำ�หรับทั้งคนในและคนนอกชุมชน เมื่อเวลาผ่านไป พิพิธภัณฑ์ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ในการพัฒนาชุมชน โดยในการพัฒนาระยะแรก พิพิธภัณฑ์เป็นผู้กำ�หนดและดำ�เนิน
โครงการ หากในภายหลังที่ชุมชนกับพิพิธภัณฑ์ทำ�งานร่วมกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น
จนถึงจุดที่ชุมชนมีข้อเสนอว่าชุมชนต้องการอะไร โครงการแบบไหนเหมาะสมที่
จะดำ�เนินการในพื้นที่ โครงการที่ชุมชนเสนอมักมาจากองค์ความรู้ของเขาที่มีต่อ
พื้นถิ่น เช่นเรื่องการทำ�ฝาย ชาวบ้านจะรู้มากกว่าว่าจะทำ�ฝายกั้นลำ�น้ำ�ไหน ส่วนใน
งานพิพิธภัณฑ์นั้น ชาวบ้านเสนอการทำ�หนังสือประวัติหมู่บ้าน ทำ�ห้องเรียนชุมชน
จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่า พิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นฝ่ายที่ถ่ายทอด เอื้อมมือไปหาชุมชน
ฝ่ายเดียว ชุมชนเองก็เห็นพิพิธภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของเขา เป็นหุ้นส่วนในการทำ�งาน
ของกันและกัน
องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ แม้จะเน้นว่ากลุ่มเป้าหมายคือนักเรียน
และเยาวชน แต่คนที่ อพวช. ให้ความสำ�คัญมากและพยายามจัดความสัมพันธ์ให้ดี
คือกลุ่มครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากครูเป็นผู้นำ�เด็กมาพิพิธภัณฑ์ ครูคือ
ผู้สอน ผู้ให้การศึกษา อพวช. จึงทำ�งานกับครูด้วยการให้ครูมาช่วยทำ�กิจกรรม ช่วยทำ�
นิทรรศการ มาให้ความเห็น ผลิตสื่อ ออกแบบเนื้อหา ให้ข้อเสนอแนะต่อพิพิธภัณฑ์
สิ่งที่ อพวช. พยายามจะสร้างให้เกิดขึ้นกับกลุ่มครูนั้น มากไปกว่า ‘การมีส่วนร่วม’ แต่
ขยายไปสู่การสร้าง ‘ความเป็นเจ้าของ’ ร่วม พิพิธภัณฑ์เป็นของครูไม่น้อยไปกว่าเป็น
ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการ ‘หมั้นหมาย’ ที่ทั้งสองฝ่าย
ในคู่ความสัมพันธ์ต่างยื่นมือให้กันและกันเพื่อสร้างพันธสัญญาบางอย่างร่วมกัน
ปฏิบัติการ engage กับผู้ชมของพิพิธภัณฑ์เบื้องต้น ทำ�ให้เห็นว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่
พื้นที่ที่สถิตความรู้ที่พิพิธภัณฑ์เป็นผู้ให้ฝ่ายเดียว ชุมชนหรือผู้ชมก็สามารถให้ความรู้
ให้การเรียนรู้กับพิพิธภัณฑ์ได้ พิพิธภัณฑ์ไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นขุมคลังความรู้
ที่แยกจากผู้ชม หรือเป็นผู้ผลิตและบริการความรู้แก่สังคมเท่านั้น แต่อนาคตของ
พิพิธภัณฑ์ ความยั่งยืนของพิพิธภัณฑ์นั้น อยู่ได้ด้วยการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคม
อย่างใกล้ชิด จนถึงระดับของความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ และด้วยการ
สร้างสำ�นึกเช่นนี้เท่านั้น จึงจะทำ�ให้พิพิธภัณฑ์มีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต
15
- 17. ‘พิศ’ พิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ชุมชน: คนนอกหรือคนใน
เมื่อพูดถึงพิพิธภัณฑ์ชุมชน หลายคนมีความเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์ชุมชนควรเป็น
สิ่งที่ชาวบ้านหรือคนในชุมชนทำ�เอง ทำ�เรื่องเกี่ยวกับชุมชน โดยชุมชน วัตถุประสงค์
คือเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับชุมชนของชุมชนเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบในความเป็นจริง
คือพิพิธภัณฑ์ชุมชนอาจไม่จำ�เป็นต้องทำ�โดยคนในชุมชนเสมอไป คนนอกชุมชนก็
สามารถทำ�พิพิธภณฑ์ชุมชนได้ หากเราจะนิยามพิพิธภัณฑ์ชุมชนจากกระบวนการ
ทำ�งานเป็นสำ�คัญ
ในหนังสือเล่มนี้ เราอาจแบ่งคนทำ�พิพิธภัณฑ์ชุมชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่
กลุ่มแรกคือกลุ่ม ‘คนใน’ คือคนในชุมชนเองที่ทำ�พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชุมชน กลุ่มนี้
ได้แก่ พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร และ พิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเล่าเรื่อง
ชุมชนเจริญไชย กลุ่มที่สองคือ ‘คนนอก’ หรือคนที่มาจากที่อื่น ไม่ใช่คนในชุมชน
เช่นที่ พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง แต่ไม่ว่า
จะเป็นคนนอกหรือคนใน คนทำ�พิพิธภัณฑ์ก็มีวิธีทำ�งานที่ไม่ต่างกันนักคือต้องอ่าน
ถาม ฟัง สร้างความสัมพันธ์ ทำ�ความเข้าใจ กับคนในพื้นที่ กรณี พิพิธภัณฑ์เพื่อการ
ศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร แม้ว่าพระครูสังฆรักษ์ไพฑูรย์ สุภาทโร จะเป็นคนในพื้นที่
เอง แต่ในกระบวนการทำ�พิพิธภัณฑ์ยังต้องหาวัตถุ หาข้อมูลเพิ่มจากคนเฒ่าคนแก่
ต้องเชิญคนจากชุมชนมาดูความถูกต้องของการจัดแสดง ต้องจัดหมุนเวียนวัตถุเพื่อ
ให้ญาติโยมสบายใจว่าข้าวของที่ตนเองบริจาคมาได้รับการจัดแสดง ที่ พิพิธภัณฑ์
บ้านเก่าเล่าเรื่อง ชุมชนเจริญไชย ก็เช่นกัน ผู้ทำ�พิพิธภัณฑ์ต้องค้นหาอัตลักษณ์ชุมชน
มีการทำ�ความเข้าใจกับชุมชนถึงบทบาทของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกระบวนการเชื่อมโยง
พิพิธภัณฑ์ให้เข้ากับพื้นที่นี้ไม่ต่างจากที่ พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) หรือ
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง ซึ่งคนทำ�งานมาจาก ‘ที่อื่น’ เลย นอกเหนือจาก
การทำ�ความเข้าใจพื้นที่แล้ว การสร้างความเข้าใจให้คนชุมชนตระหนักเกี่ยวกับ
พิพิธภัณฑ์ และทำ�ให้ชุมชนเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ก็เป็นกระบวนการ
ที่พิพิธภัณฑ์ต้องสร้างขึ้น เช่น การร่วมบริจาคข้าวของให้พิพิธภัณฑ์ การฝึกเด็กให้
สามารถนำ�ชมนิทรรศการ เช่นที่ ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง เช่นที่ พิพิธภัณฑ์
บ้านเก่าเล่าเรื่อง ชุมชนเจริญไชย ที่ต้องทำ�ความเข้าใจกับชุมชนนอกพิพิธภัณฑ์ เช่น
ที่ พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) ที่คนนอกชุมชนได้ก้าวข้ามความเป็นคนนอกไป
16
- 18. จากเบื้องหลังคนทำ�งาน
ระดับหนึ่ง ไปสู่การทำ�งานที่ participate เกินงานในขอบเขตของพิพิธภัณฑ์ ดังนั้น
สิ่งที่มีร่วมกันไม่ว่าจะคนนอกหรือคนในชุมชนทำ�คือการสัมพันธ์กับชุมชน คือการ
ตระหนักว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้อยู่โดดๆ เป็นอิสระ ดำ�เนินการได้ตามใจของคนทำ�
พิพิธภัณฑ์โดยไม่ต้องสนใจชุมชน แม้ว่าชุมชนเองเห็นด้วย เห็นชอบกับการมีอยู่ของ
พิพิธภัณฑ์ ความ ‘ใส่ใจ’ นี้ยังต้องขยายไปถึงขั้นการรักษาความสัมพันธ์ ด้วยสำ�นึก
เช่นนี้ทำ�ให้พิพิธภัณฑ์ต้องรักษาความสัมพันธ์กับชุมชนในหลายมิติ ซึ่งในอีกทางหนึ่ง
ส่งผลให้การดำ�รงอยู่ของพิพิธภัณฑ์มีความชอบธรรมมากขึ้นในสำ�นึกของชุมชน
น่าสังเกตว่า เมื่อพิพิธภัณฑ์เป็นเครื่องมือของอะไรบางอย่าง เช่น การพัฒนา
การยืนยันอัตลักษณ์ชุมชน การต่อสู้ คนทำ�พิพิธภัณฑ์มีบทบาทมากกว่าการอนุรักษ์
ข้าวของ การเล่าเรื่อง การจัดแสดง หากบทบาทของเขาขยายไปสู่การเป็นนักสื่อสารที่
ต้องสื่อสารกับชุมชน สื่อสารกับคนนอก และต้องเป็นนักพัฒนาไปโดยปริยาย เพราะ
ขอบเขตของงานเป้าหมายของงานไม่ใช่แค่พื้นที่ในพิพิธภัณฑ์แต่ขยายไปพ้นอาคารพ้น
รั้วพิพิธภัณฑ์ เวลาทำ�การของนักพิพิธภัณฑ์ประเภทนี้ไม่ได้จบลงแค่เวลาปิด 16.30 น.
แต่บางคราอาจจะเป็นเสาร์อาทิตย์ เป็นการไปร่วมงานบวช งานแต่งงาน การขุดฝาย
การไปต่อรองกับเจ้าของที่ การไปจัดกิจกรรมกับครู นักเรียน การทำ�ค่าย บทบาท
ทางสังคมเหล่านี้ทำ�ให้ความหมายของคำ�ว่าภัณฑารักษ์ขยายไปมากกว่าความเข้าใจ
ในคำ�แต่ดั้งเดิม
ชีวิตพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
วลีหนึ่งที่เรามักจะได้ยินเสมอในหมู่คนทำ�พิพิธภัณฑ์คือ ต้องทำ�ให้พิพิธภัณฑ์
‘มีชีวิต’ แต่หากจะถามว่าอะไรคือชีวิตของพิพิธภัณฑ์ อะไรทำ�ให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิต
คำ�ตอบของแต่ละคนก็อาจจะต่างกันไป หากจะตอบจากคนทำ�พิพิธภัณฑ์ทั้ง 9 แห่ง
ก็อาจตอบได้ว่าพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตคือพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ตาย ไม่นิ่งในหลายๆ ระดับ
ทั้งระดับของการวิจัย การหาเรื่องมาเล่า การจัดแสดง การหมุนเวียนข้าวของ การ
สัมพันธ์กับชุมชน การ engage กับคนดู ให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมและสำ�นึกถึงความ
เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ เหล่านี้คือชีวิตของพิพิธภัณฑ์ในความหมายที่แท้จริงของการ
เป็น ‘พื้นที่การเรียนรู้’
17
- 26. ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้างตั้งอยู่ในโรงเรียนอนุบาลด่านช้าง จังหวัด
สุพรรณบุรี โรงเรียนแห่งนี้มีประชากรตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ภายใน
พิพิธภัณฑ์แบ่งพื้นที่การจัดแสดงสิ่งของเป็น 3 ส่วน
อาคารแรก เป็นพื้นที่จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งประดิษฐ์ตั้งแต่อดีตถึง
ปัจจุบัน มีวัตถุจัดแสดงตั้งแต่เครื่องมือหินขัดที่พบในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีมาแล้ว
กระทั่งเครื่องใช้ร่วมสมัย เช่น นาฬิกาปลุก เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ โทรศัพท์มือ
ถือ วิทยุ กล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์ม พัดลม เครื่องพิมพ์ดีด จักรเย็บผ้า ฯลฯ
“ห้องนี้แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ของมนุษย์ในแถบนี้ค่ะ” นักเรียนหญิงชั้น
ป.5 ให้ข้อมูลด้วยเสน่ห์แบบสำ�เนียงสุพรรณฯ
อาคารที่ 2 จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชนพื้นเมืองในอำ�เภอด่านช้าง มีบ้านเรือน
จำ�ลองของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ละว้า และลาวครั่ง เครื่องแต่งกายที่สวมอยู่บน
หุ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสาม รวมถึงโครงกระดูกจำ�ลองซึ่งเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของ
นักเรียน
และอาคารที่ 3 จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำ�วัน และวิถีชีวิตของ
ชาวด่านช้าง
เมื่อพิจารณาอย่างผิวเผิน พิพิธภัณฑ์ด่านช้างไม่ได้ต่างอะไรจากพิพิธภัณฑ์ชุมชน
แห่งอื่น ที่จัดแสดงสิ่งของที่บอกเล่าความเป็นมา อัตลักษณ์ และวิถีชีวิตของชุมชน
แต่สิ่งที่ทำ�ให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชีวิตขึ้นมาจากสิ่งของในอดีต คือการใช้สอยพื้นที่และ
เรื่องราวในพิพิธภัณฑ์เป็นห้องเรียน
เด็กนักเรียนที่นี่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์
ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ผ่านสิ่งของและเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง 25
- 27. ยุคบุกเบิก
“ผอ.นพรัตน์ พิมพ์จุฬา ไปพบขวานหินที่ไร่มันสำ�ปะหลัง ท่านก็ให้กรมทรัพยากร
ธรณีพิสูจน์ ก็พบว่ามันมีอายุ 3,300 กว่าปี ตรงกับยุคหินใหม่” สิทถาพร ป้อมทอง
อดีตครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลด่านช้าง ผู้เป็นครูในยุคบุกเบิกการ
ทำ�พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เล่าให้ฟังถึงจุดตั้งต้นในสมัยที่ นพรัตน์ พิมพ์จุฬา ผู้อำ�นวยการ
คนเก่าได้ริเริ่มจัดทำ�พิพิธภัณฑ์ที่บ่งบอกตัวตนในอดีตของอำ�เภอด่านช้าง จังหวัด
สุพรรณบุรี เพื่อบูรณาการเข้ากับสาระการเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลด่านช้าง
นอกจากความสนใจโบราณวัตถุและเครื่องมือเครื่องใช้เก่าๆ ที่พบในเขตอำ�เภอ
ด่านช้างของผู้อำ�นวยการคนเก่าแล้ว สิทถาพรยังเล่าว่า ในช่วงเวลานั้นทางโรงเรียน
เพราะรัก...เพาะรู้26
- 28. พิพิธภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับหลักสูตร วิชาประวัติศาสตร์
นี่ก็ตรงกับสิ่งที่นำ�เสนอในพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว ภาษาไทยก็
ตรงกับพิพิธภัณฑ์...ไม่ยาก อังกฤษก็เล่นกับคำ�ศัพท์
ของชิ้นไหนที่เด็กชอบเด็กอยากรู้ว่าภาษาอังกฤษเรียกว่า
อะไร วิชาสุขศึกษาก็วางโครงกระดูกของชาติพันธุ์เป็น
อนาโตมี คณิตศาสตร์เราสอนเรื่องทิศ เอาโม่หินใน
พิพิธภัณฑ์มาวางไว้ 8 ทิศ
ได้รับนโยบายจากเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพฐ.) สุพรรณบุรี เขต 3 ให้มีการ
จัดกิจกรรมในวาระฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จึงได้เริ่มมีโครงการจัดนิทรรศการ
และศูนย์การเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมของอำ�เภอด่านช้าง
ขึ้นภายในโรงเรียนอนุบาลด่านช้าง
คณะครูรุ่นบุกเบิกอย่างอดีตผู้อำ�นวยการนพรัตน์และอดีตครูวิทยาศาสตร์อย่าง
สิทถาพร เริ่มสะสมข้าวของเครื่องใช้โบราณเข้ามายังโรงเรียนในปี 2550 พร้อมกับ
ประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ปกครองถึงจุดประสงค์ในการสร้างพิพิธภัณฑ์ของโรงเรียนเพื่อ
ร่วมบริจาค จนกระทั่งได้ของสะสมมากพอ พวกเขาทำ�การแยกหมวดหมู่สิ่งของ ซึ่ง
นำ�องค์ความรู้มาจากพิพิธภัณฑ์อู่ทอง เรียนรู้วิธีการจัดแยก วิธีการรักษาให้คงสภาพ
เดิม จนได้พื้นที่จัดแสดงในอาคารที่ 1
“ศูนย์แรกคือเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องปั้นดินเผาไล่เรียงตามการแบ่งยุคสมัย
ทางประวัติศาสตร์ เริ่มจากยุคหินใหม่ สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ โดยมีเอกสาร
ทางประวัติศาสตร์เป็นจุดอ้างอิง เพื่อให้เด็กสามารถเข้าใจได้ง่ายในการเข้าดู เครื่อง
มือเครื่องใช้บางอย่างที่เราไม่มีเราก็ทำ�เลียนแบบเพื่อให้เด็กเห็นภาพว่าเครื่องมือ
เครื่องไม้ชนิดนี้เคยมีบทบาทอย่างไรต่อชีวิตคนสมัยก่อนบ้าง” สิทถาพรเล่า
จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่พบในเขตอำ�เภอด่านช้าง
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง 27
- 30. ได้ โดยแบ่งเป็น 3 โซน เราไม่ได้เป็นนักวิชาการด้านโบราณคดีอะไร แต่เราอาศัยอิง
ตามช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แล้วให้เด็กเข้าไปเรียนรู้ แบ่งตามหนังสือที่เราค้นคว้า”
สิทถาพรเล่า
นอกจากการก่อรูปก่อร่างของศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้างแล้ว โรงเรียน
อนุบาลด่านช้างยังจัดทำ�หลักสูตรการเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยมีพิพิธภัณฑ์
เป็นสื่อการเรียนการสอน
“ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ จะมีการบูรณาการเข้ากับศูนย์การเรียนรู้
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่าง อย่างน้อยๆ เด็กที่อยู่
ในโรงเรียนนี้จะได้เรียนรู้กับพิพิธภัณฑ์นี้ เพราะจุดประสงค์ของพิพิธภัณฑ์คือเป็น
ห้องเรียนที่มีชีวิต”
ปัจจุบัน ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้างดูแลโดย ครูอุบล ทรัพย์อินทร์ ซึ่ง
เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นในการบูรณาการการเรียนการสอนในสาระการเรียนรู้กับศูนย์
การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์
ทั้งด้วยบุคลิกส่วนตัวของเธอ และความเอาจริงเอาจัง
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง 29
- 31. เพาะความรู้
“หลักสูตรต้องปรับ!” เสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำ� บ่งลักษณะอย่างน้อยสองประการ
ของ อุบล ทรัพย์อินทร์
หนึ่ง เธอเป็นครูภาษาไทย
สอง เธอเป็นมนุษย์นิยมความสมบูรณ์แบบ – เพอร์เฟ็คชั่นนิสต์
“หลักสูตรต้องปรับ เรากำ�ลังปรับหลักสูตร แต่เดิมนั้นหลักสูตรของเราคือการ
ให้เด็กทุกชั้น ทุกสาระการเรียนรู้ต้องเข้ามาที่ศูนย์ฯ ซึ่งมันเยอะไป ทำ�ให้เกิดขึ้น
จริงได้ยาก ก็เลยมีการปรับหลักสูตรเพื่อให้เด็กได้เข้ามาเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ แต่เราจะ
ให้สาระการเรียนรู้สาระฯ ใดสาระฯ หนึ่งเป็นเจ้าภาพ เช่น ป.1 ให้สาระภาษาไทย
เป็นเจ้าภาพ ป.2 คณิตศาสตร์ ป.3 อังกฤษ ป.4 สุขศึกษา ป.5 ภาษาไทยและสังคม
ป.6 ประวัติศาสตร์และเทคโนฯ การงาน ก็จะครบทุกสาระ เด็กได้เข้าทุกชั้นปีแน่ถ้า
เดินตามหลักสูตรนี้”
เพราะรัก...เพาะรู้30
- 32. สิ่งที่ครูอุบลกล่าว หมายความว่าในทุกสาระวิชาที่กล่าวมา จะต้องเชื่อมโยงกับ
เนื้อหาสาระที่ปรากฏในศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ถามว่า แล้ววิชาอย่างคณิตศาสตร์สามารถเชื่อมโยงกับความรู้ในพิพิธภัณฑ์
อย่างไร
“คณิตศาสตร์” แน่นอน ครูอุบลตอบด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นเดิม “เราจะพูดเรื่อง
ของทิศ เราจะเอาโม่หินที่เรามีอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ฯ มาวางไว้ เราต้องการให้เด็กรู้
ว่าทิศทั้ง 8 มีอะไรบ้างโดยผ่านสื่อการสอนอย่างโม่หิน ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาจะได้
เรียนรู้ว่าคนสมัยก่อนเขาใช้ทำ�อะไร”
สิ่งที่ครูอุบลพยายามทำ�ให้เกิดขึ้นอยู่นี้คือการประยุกต์เอาวัตถุสะสมที่มีอยู่ใน
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง ปรับให้สอดคล้องเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน
“ถูกค่ะ” ครูอุบลตอบทันที และเสียงดังชัดเจน
“ต้องสอดคล้องกับหลักสูตร ถ้าสิ่งของเหล่านี้ไม่เข้าไปในหลักสูตร...มันไม่ได้ ต้อง
เรียนเข้าไปในเนื้อหาหลักสูตร เช่น วิชาประวัติศาสตร์นี่ก็ตรงกับสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์
อยู่แล้ว...ไม่ยาก ภาษาไทยก็ตรงกับพิพิธภัณฑ์...ไม่ยาก อังกฤษก็เล่นกับคำ�ศัพท์ ของ
ชิ้นไหนที่เด็กชอบเด็กอยากรู้ว่าในภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร แล้วก็ทำ�เป็นสมุดศัพท์
อย่างวิชาสุขศึกษาเราก็วางโครงกระดูกของชาติพันธุ์เป็นอนาโตมี เพื่อเชื่อมโยงกับการ
เรียนรู้ความเป็นอยู่ของชนชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในชุมชน นี่คือตัวอย่างของการเชื่อมโยง
สาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับองค์ความรู้ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์” ครูอุบลอธิบาย
ฉะฉาน
ครูอุบลโมเดล
สำ�หรับครูอุบล การเรียนรู้ต้องให้ผู้เรียนรู้สามารถสัมผัสจับต้อง เพราะความรู้
ไม่ควรอยู่บนหิ้ง
“ถ้าศูนย์การเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์จัดโชว์ของไว้เฉยๆ เด็กรู้แค่นั้น ไม่เกิดประโยชน์
หลักการคือเราต้องเชื่อมโยงวัตถุให้สอดคล้องกับหลักสูตรการเรียน พิพิธภัณฑ์ต้อง
ทำ�หน้าที่ปลุกคนให้เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เด็กต้องรักและตระหนัก กล้าที่จะจับ หิน
ชิ้นนี้คือขวานหินมันเกิดจากกระบวนการอย่างไร เด็กต้องจับได้ ไห 4 หูเริ่มใช้กันมา
ตั้งแต่สมัยใด เด็กต้องได้จับต้องและรู้ว่าอยู่สมัยไหน ใช้ทำ�อะไร แล้วเราต้องปลูกฝัง
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง 31
- 33. เรื่องการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมด้วย”
จากการเฝ้าสังเกตนักเรียน ครูอุบลพบว่า ท่าทีการพูดคุยกันระหว่างครูกับ
นักเรียนย่อมมีช่องว่างมากกว่านักเรียนด้วยกันเอง เธอจึงเลือกใช้การสร้างเครือข่าย
ในหมู่นักเรียนเพื่อการส่งต่อและถ่ายทอดความรู้
“ภาษาที่เราถ่ายทอดจะเป็นภาษาผู้ใหญ่ ซึ่งมีกำ�แพงกั้นอยู่ แต่ถ้าเด็กเขาคุย
กันเอง เขาจะมีความลึกซึ้ง เวลาครูฟังพวกเขาคุยกันครูสังเกตว่า มันจะมีความ
ลึกซึ้งกว่ามาก ประกอบกับจำ�นวนเด็กมี 200 คน เด็กที่นี่มีเยอะ แต่ครูมีน้อย
ก็เป็นการยากที่จะไปลากไปดึงกันมา เราทำ�ให้เด็กเขารู้สึกว่าเขามีหน้าที่ แล้วทำ�ให้เขา
ตระหนักถึงหน้าที่ ให้เขาไปหาเครือข่ายในโรงเรียน 5 คน เพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้
ให้กันภายในเครือข่าย ครูไม่ได้คาดหวังว่าต้องสำ�เร็จภายในวันเดียวหรือภายในเดือน
เดียว ครูปล่อยให้ซึมซับทั้งปีนะ ให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ ปล่อยให้เด็กสอนกัน ดึงกันเข้าหา
ความรู้ แล้วปลายเทอมเราก็ให้คะแนน”
ถามครูอุบลว่าคำ�ว่าบูรณาการ และการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center)
จะเชื่อมโยงกับพิพิธภัณฑ์ได้อย่างไร คำ�ตอบที่เราได้รับเป็นคำ�ตอบที่เฉพาะตัวอย่าง
ยิ่ง สะท้อนความเป็นตัวตนของครูอุบลอย่างยิ่ง
และแน่นอน เสียงของครูอุบลชัดถ้อยชัดคำ�อย่างยิ่ง
“เอาคำ�ว่าบูรณาการก่อน ตามความเข้าใจของครูนะ หรือจะลองแลกเปลี่ยน
กันก็ได้ คำ�ว่าบูรณาการของครูก็คือการหลอมรวม ตัวกลางในการรวมหลอมในที่นี้
ก็คือพิพิธภัณฑ์ แล้วเราจะบูรณาการกับอะไร เราต้องรู้ เช่น เราจะบูรณาการกับทุก
สาระการเรียนรู้หรือทุกสายชั้น นี่คือการดึงเข้ามายังพิพิธภัณฑ์ โดยมีพิพิธภัณฑ์เป็น
ตัวหลัก ถามว่าเป็นตัวหลักยังไง เราก็ต้องรู้ว่าพิพิธภัณฑ์มีอะไรบ้าง มีความเป็นมา
ตรงไหน ตรงนี้คือเนื้อหาหลัก แต่เนื้อหารองที่ให้บูรณาการเสริม เช่น วิชาคณิตศาสตร์
รู้เรื่องทิศ สุขศึกษารู้เรื่องอนาโตมีของโครงกระดูกที่ค้นพบในด่านช้าง รู้เรื่องความเป็นอยู่
เพราะรัก...เพาะรู้32
ถ้าศูนย์การเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์จัดโชว์ของไว้เฉยๆ เด็กรู้แค่นั้น มัน
ไม่เกิดประโยชน์ หลักการคือเราต้องเชื่อมโยงวัตถุให้สอดคล้องกับ
หลักสูตรการเรียน พิพิธภัณฑ์ต้องทำ�หน้าที่ปลุกคนให้เฝ้าระวังทาง
วัฒนธรรม เด็กต้องรัก ตระหนัก และกล้าที่จะจับ
- 36. ของคนในอดีต วิชาภาษาไทยเรียนรู้เกี่ยวกับการขับเสภาเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์
ส่วนวิชาประวัติศาสตร์นี่ตรงอยู่แล้ว เราต้องรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สังคมวิถีพุทธ
ดึงเข้ามา อย่างนี้จึงเรียกว่าบูรณาการ”
สำ�หรับการเน้นเด็กเป็นศูนย์กลางในทัศนะของครูอุบลนั้น ยิ่งน่ารับฟัง
“ถ้าพูดว่าศูนย์กลาง Child Center มาจากอังกฤษ แต่ขอโทษเถอะค่ะ ตอนนี้เขา
เลิกแล้วนะ จริงๆ แล้วหัวใจของการเรียนรู้ให้ประสบความสำ�เร็จ ครูจะต้องเป็นตัวเอก!
แต่จะเป็นอย่างไร เป็นแบบผู้กำ�กับให้เขาทำ�กิจกรรมด้วยตัวเอง ตามความเข้าใจ
ของครูน่ะนะ การเน้นเด็กเป็นศูนย์กลางคือให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่างทฤษฎี
‘CIPPA Model’ ที่ครูเอานำ�ร่องในวิชาภาษาไทย ขั้นแรกเด็กต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน
เขาจึงจะอยากศึกษา ได้จับได้ต้องได้สัมผัส ชิ้นนั้นชิ้นนี้ เราต้องกล้าปล่อยให้เขาจับเลย
“แต่ถ้าเรื่องไหนที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้เราต้องสร้างเป็นหนังสือ แล้ว
หนังสือธรรมดาเด็กไม่สนใจ เราก็เล่นหนังสือป๊อปอัพ สร้างเครื่องมือเป็นสื่อการสอน
ที่นี่เล่นสื่อป๊อปอัพ แต่ถ้าเรามีอยู่แล้ว เช่น ขวานหิน มีหม้อ มีไห ให้เด็กได้เรียนรู้ด้วย
ตัวเอง พอเด็กได้เรียนได้รู้ได้จับต้องด้วยตัวเอง เราต้องมีสื่อเป็นหนังสือเป็นเอกสาร
ประกอบสอนเขา หรือครูเป็นผู้ถ่ายทอด นี่คือการเรียนรู้ด้วยตัวเองในทฤษฎีซิปป้า
โมเดล มันก็คือการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนี่เอง”
นอกจากนี้ ครูอุบลยังเน้นย้ำ�ว่า ผลลัพธ์ปลายทางของการเรียนรู้ต้องเกิดให้เห็น
ได้อย่างเป็นรูปธรรม
“เด็กจะผ่านกระบวนการเรียนรู้ได้ เด็กก็ต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เขาต้องพูดคุย
กันเองแลกเปลี่ยนกันเอง ซึ่งความรู้ที่เขาแลกเปลี่ยนต้องเป็นความรู้ที่มีคุณภาพ
นะคะ ซึ่งเกิดจากการจัดให้โดยครู ให้เด็กได้เรียน แล้วเราก็จับหลอมกันเลย เอาสอง
กิจกรรมมารวมกัน ให้เด็กแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถ้าให้เด็กนั่งนิ่งๆ เด็กก็จะเบื่อใช่มั้ย
เราต้องปล่อยให้เด็กได้เคลื่อนที่ไปจุดนั้นจุดนี้ เราเอาเกมเข้ามา เอามาหลอมรวม
ซิปป้า โมเดลเชื่อว่า เด็กจะเรียนรู้ได้ดีต้องผ่านกระบวนการที่หลากหลาย กระบวนการ
แก้ปัญหา ครูต้องตั้งโจทย์ขึ้นมา เพื่อให้เด็กแก้ปัญหา
“เช่นครูบอกว่า เธอเรียนรู้เรื่องตำ�นานด่านช้างแล้ว เธอรู้ทฤษฎีของกลอนแปด
แล้ว ลองเล่าเรื่องราวตำ�นานด่านช้างโดยหาวิธีนำ�เสนอหน้าห้องสิ เธอจะนำ�เสนอยังไง
ให้เขาจับคู่กันคิดเพื่อนำ�เสนอผลงานเป็นคู่ ทฤษฎีนี้คือการแก้ปัญหา และสุดท้ายต้อง
ประยุกต์ เราจะรู้ได้ไงว่าเด็กประสบผลสำ�เร็จหรือไม่ประสบผลสำ�เร็จ ก็ต้องให้เด็กสร้าง
ชิ้นงานเขาจะสร้างเป็นหนังสือเล่มเล็กสร้างเป็นสื่อป๊อปอัพหรือสร้างใบความรู้แต่เด็ก
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง 35
- 38. เพราะความรัก
ครูอุบลเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำ�เนิด เธอจบเอกวิชาภาษาไทย จบโทวิชา
นาฏศิลป์ และพ่วงด้วย คศ.3 จึงทำ�ให้ครูอุบลสามารถสร้างสื่อการสอนอย่างหนังสือ
ป๊อปอัพ ที่ดึงดูดนักเรียนให้เข้าถึงเนื้อหาด้วยงานศิลปะ นอกจากนี้ครูอุบลยังสนใจ
ประวัติศาสตร์ ทำ�ให้เธอสวมบทบาทนักประวัติศาสตร์ เป็นนักรื้อค้นข้อมูลถึงขนาด
เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนของอำ�เภอด่านช้าง และด้วยความสามารถด้าน
นาฏศิลป์ ครูอุบลจึงอาสาทำ�ละครให้ทางโรงเรียนและทางอำ�เภอ
ก่อนที่ครูอุบลจะมาดูแลศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง เธอเป็นครูสอน
วิชาภาษาไทย ดูแลนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และดูแลการแสดงละครเวทีของ
นักเรียน เธอมองเห็นว่าศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เริ่มหยุดนิ่ง และดูคล้ายว่า
จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีชีวิต ครูอุบลจึงขออาสาผู้อำ�นวยการโรงเรียน เข้ามาดูแลศูนย์
การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง
“ก่อนหน้านี้ พิพิธภัณฑ์ก็ดูเหมือนเงียบไปเลย ครูจึงขอเข้ามาดูแล ขอ
ผู้อำ�นวยการด้วยตัวเองเลย ตอนแรกครูดูแลเรื่องการแสดงของโรงเรียน แต่ไม่จับการ
แสดงแล้วเพราะมีครูรุ่นน้องที่ทำ�ได้ สำ�หรับงานพิพิธภัณฑ์ถ้าไม่รักครูไม่ทำ� เพราะเรา
ทำ�งานท่ามกลางความขาดแคลน ดูสิว่าตัวอาคารกว่าเราจะขอได้ หลังคาก็รั่ว แล้วก็
ร้อนกว่าทุกตึก แต่เราอดทน พออยู่ๆ ไปเด็กที่เข้ามาเรียนเขาเห็นสื่อการสอนเขาก็
ตื่นเต้น ครูก็เลยยึดเอาพิพิธภัณฑ์เป็นที่สอน
“แล้วครูปวารณาตนเข้ามาด้วยเหตุผลอะไร ครูชอบทำ�ด้านนี้ ครูชอบสืบค้น
เรื่องภูมิปัญญา ครูเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านกะเหรี่ยง หมู่บ้านละว้า ครูเป็นคนชอบ
เข้าไปสืบค้นเพื่อหาคำ�ตอบ เช่น ครูอยากรู้ว่าตอนนี้ลาวครั่งอยู่ที่ไหนบ้างในด่านช้าง
ละว้าอยู่ที่ไหน กะเหรี่ยงอยู่ที่ไหน ครูเข้าไปในพื้นที่แล้วกลับมาแต่งหนังสือทีละเล่ม
สองเล่ม จนกระทั่งเขตการศึกษารู้ ก็ดึงครูเข้าไปทำ�หนังสือท่องแดนด่านช้าง เกี่ยวกับ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นของอำ�เภอด่านช้าง แล้วครูก็ได้ไอเดียว่าจะทำ�ยังไงให้เด็กสามารถ
จับต้องความรู้ได้ ครูก็เอา ซิปป้า โมเดล มาใช้อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้วเสียยืดยาว
สิ่งที่ทำ�มานี้ครูอยากจะบอกเพื่อนครูด้วยกันว่ามันสามารถทำ�ให้เป็นจริงได้ พิพิธภัณฑ์
จะไม่ตาย ความรู้จะไหลเวียน และเด็กจะมีทักษะในการสื่อสาร”
ถามว่าพิพิธภัณฑ์ที่ดีในทัศนะของครูอุบลเป็นอย่างไร
ศูนย์การเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ด่านช้าง 37