SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  39
Télécharger pour lire hors ligne
หล ักการหรือคาสอนแห่งพระพุทธศาสนา
สารบ ัญ – ห ัวข้อ
พระพุทธศาสนา คืออะไร
ื่
ื่
ชาวพุทธควรเชออย่างไร และเชออะไร
หล ักการหรือคาสอนแห่งพระพุทธศาสนา
ล ักษณะธรรมในพระพุทธศาสนา
ค ัมภีรของพระพุทธศาสนา
์
จุดหมายปลายทางสูงสุดของพระพุทธศาสนา
โครงสร้างของพุทธศาสนา
หล ักคาสอนทีสาค ัญของพุทธศาสนา
่
ั
อริยสจ ๔
ไตรล ักษณ์
เบญจข ันธ์
ปฏิจจสมุปบาท
ี
เบญจศลเบญจธรรม (หล ักทาคนให้เปนคน)
็
ั
สปปุรสธรรม (หล ักการของคนดีแท้)คนดีแท้หรือมนุษย์ท แท้
ิ
ี่
ทิศ ๖ หน้าทีเพืออยูรวมก ันด้วยดี
่ ่
่ ่
อริยมรรคมีองค์ ๘
ี ิ
ฆราวาสธรรม หรือ ธรรมสาหร ับชวตครองเรือน ๔ ประการ
โพธิปกขิยธรรม 7 หมวด 37 ประการ
ั
พระพุทธศาสนา คืออะไร
พระพุทธศาสนาอาจมีคาจากัดความและคาอธิบายจากประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ั่
๑.พระพุทธศาสนา คือ คาสงสอนของพระพุทธเจ ้า (พระพุทธเจ ้า คือ ท่านผู ้ตรัสรู ้ หรือผู ้รู ้อย่างแจ่ม
ึ่
ี
แจ ้ง) ซงแนะนาให ้ยกฐานะของมนุษยชาติขนสูความบริสทธิ์ สะอาด (ด ้วยศล) ความสงบระงับ (ด ้วย
ึ้ ่
ุ
สมาธิ) และความเข ้าใจแจ่มแจ ้ง (ด ้วยปั ญญา)
๒.พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาทีพระพุทธเจ ้าทรงก่อตังขึนเพือประโยชน์ของคนหมูมาก เพือความสงบ
่
้ ้
่
่
่
สุขของคนหมูมาก เพือความสุขของคนหมูมาก และเพืออนุเคราะห์โลก บุคคลจากทุกสาขาความ
่
่
่
่
เป็ นอยู่ อาจนาคาสอนไปประพฤติปฏิบัตได ้ตามความสามารถ และความพอใจของตน
ิ
๓.พระพุทธศาสนา เป็ นศาสนาแห่งการพิจารณาเหตุผลและการปฏิบัตเพือชวยตนเอง พึงตนเอง และ
ิ ่ ่
่
่
่ ่
่
ขยายความชวยเหลือไปสูผู ้อืนด ้วยความปรารถนาดี (เมตตา) และความคิดชวยให ้พ ้นทุกข์ (กรุณา)
๔. พระพุทธศาสนา เป็ นทังปรัชญาและการปฏิบัต ิ แม ้จะยอมรับความมีอยูของเทพ แต่ก็มได ้สอนให ้
้
่
ิ
ื่
่
่
เชอในเทพผู ้ยิงใหญ่วาเป็ นสวนสาคัญของศาสนา แต่กลับสอนผู ้นั บถือให ้มีคณธรรม เชน ความละอาย
่
่
ุ
ั่
ั่
ใจทีจะทาความชว (หิร) และความเกรงกลัวทีจะทาความชว (โอตตัปปะ) อันเป็ นคุณธรรมทีทาให ้คน
่
ิ
่
่
ื่ ่ ู
ี
เป็ นเทพแทน พระพุทธศาสนาสอนให ้พุทธศาสนิกชนมีคณสมบัต ิ คือ ศรัทธา ความเชอทีถก ศล ความ
ุ
ประพฤติดงาม สุตตะ การหาความรู ้ จาคะ การเอือเฟื้ อให ้ปั น และปั ญญา ความรู ้แจ ้งเห็นจริง (โปรด
ี
้
ั
สงเกตว่า ทุกแห่งทีสอนให ้มีศรัทธา จะสอนปั ญญาไว ้กากับเป็ นข ้อสุดท ้ายเสมอ) คุณธรรมเหล่านีทา
่
้
ี ิ
ี
ให ้คนเป็ นเทพในชวตนี้ (โดยไม่ต ้องรอให ้ตายเสยก่อน) พระพุทธศาสนาสอนว่า เทพโดยความบริสทธิ์
ุ
เป็ นอิสระจากกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง นับว่าเป็ นผู ้ประเสริฐ
๕. พระพุทธศาสนาอาจกล่าวโดยสรุปเพือความเข ้าใจอย่างกว ้าง ๆ ดังต่อไปนี้
่
ประเทศทีเกิด อินเดีย
่
กาลเวลาทีเกิด ศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตศก
่
ิ
ผู ้ก่อตัง พระพุทธเจ ้า (ท่านผู ้ตรัสรู ้) ผู ้เป็ นเจ ้าชายสทธัตถะมาก่อน ผู ้มีพระนามทางพระโคตรว่า "โคต
้
มะ" แห่งศากยวงศ ์
ั่ ้
หลักคาสอน เว ้นความชวทังปวง ทาความดี และชาระจิตใจให ้สะอาด
่
ประเภทของศาสนา เป็ นศาสนาสากล คือ แพร่ออกไปสูหลายประเทศ เป็ นศาสนาอเทวนิยม คือ มิได ้
ถือว่ามีเทพเจ ้าเป็ นศูนย์กลางของคาสอน นิกายทีสาคัญ
่
้คาสอนดังเดิมเป็ นหลัก ไม่เปลียนแปลงหลักคาสอน)
- เถรวาท (ใช
้
่
- มหายาน (เพิมเติมและเปลียนแปลงหลักบางประการไปจากเดิม)
่
่
ื่
ื่
ชาวพุทธควรเชออย่างไร และเชออะไร
ั
พระพุทธเจ ้า คือท่านผู ้ตรัสรู ้สจธรรม พระองค์ทรงค ้นพบความจริงอันสูงสุด และมิได ้ทรงบังคับผู ้ใดให ้
ื่
เชออย่างงมงายในคาสอนของพระองค์ ความมีเหตุผลของพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ ้า อยูทการ
่ ี่
่การตรัสรู ้ เพือทีจะเข ้าใจสภาพ
เปิ ดโอกาสให ้มีการสอบสวนอย่างถีถ ้วนในทุกขันตอนแห่งวิถทางไปสู
่
้
ี
่ ่
แห่งปรากฏการณ์ทังปวง จาเป็ นจะต ้องอาศัยปั ญญาญาณกากับตลอดสาย
้
ั่
ั
สมัยหนึงพระพุทธเจ ้าได ้ทรงสงสอนชาวกาลามะ ผู ้อาศยอยูในเกสปุตตนิคม ในราชา
่
่
ื่
อาณาจักร หรือแคว ้นโกศล ถึงท่าทีอันเหมาะสมเกียวกับความเชอทางศาสนา พระองค์ตรัสว่า "อย่า
่
ือหรือถือเอาสงใด ๆ เพียงการฟั งตามๆ กันมา ,อย่าเชอเพียงทีถอสอกันมา, อย่าเชอเพียงข่าวลือ,
่
ิ่
ื่
ื่
เช
่ ื ื
ื่
ื่
ื่
ื่
อย่าเชอโดยอ ้างตารา, อย่าเชอโดยนึกเดาเอา, อย่าเชอโดยการคาดคะเน, อย่าเชอเพียงตรึกคิดไป
ื่
ื่
ื่
ื่
ตามอาการ , อย่าเชอเพียงเพราะน่าเชอถือ, อย่าเชอเพียงเพราะว่าสมณะผู ้นีเป็ นครูของเรา ,อย่าเชอ
้
เพียงเพราะความคิดเห็นของตน" และแล ้ว พระพุทธเจ ้าก็ทรงสอนชาวกาลามะต่อไป ให ้พิจารณาทุก
ิ่
สงด ้วยตนเองอย่างถีถ ้วน
่
ิ่
"เมือใด ท่านรู ้ด ้วยตนเองว่า สงเหล่านีไม่ด ี นั กปราชญ์ตเตียน เมือรับไว ้และปฏิบัตแล ้ว จะ
่
้
ิ
่
ิ
่
ิ่
นาไปสูภัยอันตราย ก็จงสละละทิงเสย ในทางตรงกันข ้าม เมือท่านทราบด ้วยตนเองว่า สงเหล่านีไม่ถก
้ ี
่
้
ู
่
ติเตียน นักปราชญ์สรรเสริญ เมือรับไว ้และปฏิบัตแล ้ว จะนาไปสูประโยชน์และความสุข ก็จงรับไว ้
่
ิ
ปฏิบัต".
ิ

หล ักการหรือคาสอนแห่งพระพุทธศาสนา

ั่
ธรรมะคาสงสอนของพระพุทธเจ ้ามีมากมายทีได ้ทรงตรัสรู ้ไว ้ ถ ้านับเป็ นธรรมขันธ์ (หัวข ้อ)แล ้วมีจานวน
่
ั
ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทังนีเพือให ้เหมาะสมแก่อปนิสยใจคอ จริต ฐานะ หรือ ระดับสติปัญญา
้ ้ ่
ุ
ของผู ้ฟั ง ของผู ้ประพฤติในรายละเอียดอาจมีตางๆกันไป แต่ในหลักการใหญ่หัวข ้อธรรมเหล่านัน
่
้
ทังหมดแม ้จะมีมากมายเท่าไหร่ก็พอรวมลงได ้ในหลักทั่วๆไป ๓ ประการ คือ
้
่ั
๑. ละเว้นความชว อะไรก็ตามทีทาไปทางกาย พูดทางวาจา หรือคิดทางใจแล ้วจะยังผล
่
(๑) ทาให ้ตนเองเดือดร ้อน
(๒) ทาให ้คนอืนเดือดร ้อน
่
(๓) ทาให ้ทังตนเองและผู ้อืนเดือดร ้อน
้
่
(๔) ไม่เป็ นประโยชน์แก่ตนเองและคนอืน
่
ิ่
ั่
สงเหล่านั นจัดว่าเป็ นความชว จะต ้องงด ลด ละ สละ เว ้น หลีกเลียง ห่างไกลให ้ได ้
้
่
๒. หล ักประพฤติความดี อะไรก็ตามทีทาไปทางกาย พูดทางวาจา หรือคิดทางใจแล ้วจะยังผลดี
่
(๑) ไม่ทาให ้ตนเองเดือดร ้อน
(๒) ไม่ทาให ้ผู ้อืนเดือดร ้อน
่
(๓) ไม่ทาให ้ตนเองและทังผู ้อืนเดือดร ้อน
้
่
(๔) เป็ นประโยชน์แก่ตนเองและผู ้อืน
่
ิ่
สงเหล่านั นจัดว่า เป็ นความดี ใครประพฤติปฏิบัตเข ้าก็เรียกว่า ประพฤติด ี ทุกคนควรประพฤติแต่ความดี
้
ิ
ิ่ ่
๓. หล ักชาระใจให้สะอาด อะไรก็ตามทีทาให ้สงทีทา คาทีพด อารมณ์ทคด แล ้วทาให ้จิตใจสะอาด
่
่ ู
ี่ ิ
่
่
ั
ึ่
ประณีตสูงสง ด ้วยคุณธรรม มโนธรรม เชน ทาน สนโดษ เมตตากรุณา ปั ญญา ซงเป็ นเครืองขจัดความ
่
ิ้
โลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็ นเครืองเศร ้าหมองใจให ้บรรเทาเบาบาง จางหาย สูญสนไปจาก
่
่
ี
จิตใจ วิธการมีหลายวิธ ี เชน ด ้วยการรักษาศล เจริญเมตตาภาวนา ฝึ กสมาธิ และวิปัสสนาภาวนา เป็ น
ี
ิ่ ่
ต ้น อย่าลืมว่า จิตใจเป็ นใหญ่เป็ นสาคัญกว่าสงอืนใดทังสน หลักการชาระจิตใจให ้สะอาดประณีตจึง
้ ิ้
ิ
เป็ นหลักการทีสาคัญทีสด เจ ้าชายสทธัตถะได ้ตรัสรู ้เป็ นพระพุทธเจ ้า ก็เพราะสามารถชาระจิตใจให ้
่
่ ุ
สะอาดประณีตถึงขันสูงสุด คือ หมดจดจากกิเลสเครืองเศร ้าหมองทังมวล เป็ นผู ้มีภาวะจิตบริสทธิโดย
้
่
้
ุ ์
แท ้ เรียกว่า พระวิสทธิคณ แม ้คนธรรมดาสามัญจะได ้นามว่าเป็ นพระอริยะสงฆ์ จบกิจพระศาสนาก็
ุ
ุ
เพราะเข ้าถึงหลักทั่วไปที่ ๓ คือ สามารถทาตนให ้บรรลุภาวะจิตบริสทธินเอง
ุ ์ ี้
หลักทั่วไปทัง ๓ ดังกล่าว เป็ นหลักคาสอนของพระพุทธเจ ้าทังหลาย ดังพระบาลีทวา
้
้
ี่ ่
สพฺพปาปสฺส อกรณ กุสลสฺสปสมฺปทาสจิตฺตปริโยทปน เอต
ู

ั่ ้
การไม่ทาความชวทังปวงการชาระจิตใจของตนให ้ผ่อง
Never do any evil. Purify your minds.
กุสลสฺสปสมฺปทาส พุทฺธาน ศาสนฯ
ู

การบาเพ็ญความดีให ้เกิดขึนนีเป็ นหลักคาสอนของพระพุทธเจ ้าทังหลาย
้ ้
้
Always do good. These are the Buddhas’s instructions.

ล ักษณะธรรมในพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ได ้ทรงแสดงลักษณะธรรมไว ้ ๘ อย่าง ดังนี้ คือ
๑.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือกาหนัดย ้อมใจ
้
่
๒.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือประกอบทุกข์
้
่
๓.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือพอกพูนกิเลส
้
่
๔.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือปรารถนาใหญ่
้
่
ั
๕.ธรรมนั นต ้องไม่เป็ นไปเพือความไม่สนโดษ(คือมีแล ้วอย่างนี้ อยากได ้อย่างนัน)
้
่
้
๖.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือความเกียจคร ้าน
้
่
๗.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือความคลุกคลีด ้วยหมูคณะ
้
่
่
๘.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือความเลียงยาก
้
่
้
ค ัมภีรของพระพุทธศาสนา
์
คัมภีรของพระพุทธศาสนา คือ คัมภีรพระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎก แปลว่า "ปิ ฎกสาม" ปิ ฎก แปลตาม
์
์
่
่
ศัพท์พน ๆ ว่ากระจาดหรือตะกร ้า อันเป็ นภาชนะสาหรับใสรวมของต่าง ๆ เข ้าไว ้นามาใชในความหมาย
ื้
ว่าเป็ นทีรวบรวมคาสอนในพระพุทธศาสนาทีจัดเป็ นหมวดหมูแล ้วโดยในนีไตรปิ ฎกจึงแปลว่าคัมภีรท ี่
่
่
่
้
์
บรรจุพทธพจน์ ๓ ชุดหรือประมวลแห่งคัมภีรทรวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด กล่าวคือ พระวินัยปิ ฎก
ุ
์ ี่
พระสุตตันตปิ ฎกและพระอภิธรรมปิ ฎก
พระไตรปิ ฎก
ึ่
ั่
เป็ นคัมภีรหรือตาราทางพระพุทธศาสนา ซงรวบรวมคาสงสอนของ พระพุทธเจ ้า ไว ้เป็ นหมวดหมู่ แบ่ง
์
ออกเป็ น ๓ ปิ ฎก ด ้วยกันคือ
ี
๑. พระวินัยปิ ฎก ว่าด ้วยวินัยหรือศลของ ภิกษุ และภิกษุ ณี
๒. พระสุตตันตปิ ฎก ว่าด ้วยพระธรรมเทศนาโดยทั่วไป มีประวัตและท ้องเรืองประกอบ
ิ
่
๓. พระอภิธรรมปิ ฎก ว่าด ้วยธรรมะล ้วน ไม่มประวัต ิ และท ้องเรืองประกอบ
ี
่

แผนผ ังพระไตรปิ ฎก
พระวิน ัยปิ ฎก มีอยู่ ๕ หมวดด ้วยกันคือ
ี
๑. มหาวิภังค์ ว่าด ้วยข ้อห ้าม หรือวินัยทีเป็ นหลักใหญ่ ๆ ของพระภิกษุ เป็ นศลของภิกษุ ทมาใน
่
ี่
ปาติโมกข์
๒. ภิกษุ ณีวภังค์ ว่าด ้วยข ้อห ้าม หรือวินัย ของพระภิกษุ ณี
ิ
๓. มหาวัคค์ ว่าด ้วยพุทธประวัตตอนแรก และพิธกรรมทางพระวินัย แบ่งออกเป็ นขันธกะ๑๐
ิ
ี
หมวด
๔. จุลลวัคค์ ว่าด ้วยพิธกรรมทางพระวินัย ความเป็ นมาของพระภิกษุ ณีและประวัตการทา
ี
ิ
ั
สงคายนา แบ่งออกเป็ นขันธกะ ๑๒ หมวด
๕. บริวาร ว่าด ้วยข ้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย เป็ นการย่อหัวข ้อสรุปเนือความ วินจฉั ยปั ญหาใน ๔
้
ิ
เรืองข ้างต ้น
่
พระสุตต ันตปิ ฎก มีอยู่ ๕ หมวดด ้วยกันคือ
๑. ทีฆนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดยาว มี ๓๔ สูตร
ั้
๒. มัชฌิมนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดกลาง ไม่ยาวและไม่สนเกินไป
มี ๑๕๒ สูตร
ั
๓. สงยุตตนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนา ทีประมวลธรรมะไว ้เป็ นพวก ๆ เรียกว่า
่
ั
่
ั
ั
ั
สงยุต เชนกัสสปสงยุต ว่าด ้วยเรืองของพระมหากัสสป โกศลสงยุต ว่าด ้วยเรืองในแคว ้นโกศล มัคคสง
่
่
ยุต ว่าด ้วยเรืองมรรคคือข ้อปฎิบัต ิ เป็ นต ้น มี ๗,๗๖๒ สูตร
่
่
๔. อังคุตตรนิกาย ว่าพระพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเป็ นข ้อ ๆ ตามลาดับจานวน เชน ธรรมะ
หมวด ๑ ธรรมะหมวด ๒ ธรรมะหมวด ๑๐ แต่ละข ้อก็มจานวนธรรมะ ๑, ๒, ๑๐ ตามหมวดนัน มี
ี
้
๙,๕๕๗ สูตร
๕. ขุททกนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ด รวมทังภาษิตของพระสาวก
้
ประวัตตาง ๆ และชาดก รวบรวมหัวข ้อธรรมทีไม่จัดเข ้าใน ๔ หมวดข ้างต ้น แบ่งเป็ นหัวข ้อใหญ่ม ี ๑๕
ิ ่
่
เรือง
่
พระอภิธรรมปิ ฎก แบ่งออกเป็ น ๗ เรืองด ้วยกันคือ
่
ั
๑. ธัมมสงคณี ว่าด ้วยธรรมะ รวมเป็ นหมวดเป็ นกลุม
่
๒. วิภังค์ ว่าด ้วยธรรมะแยกเป็ นข ้อ ๆ
๓. ธาตุกถา ว่าด ้วยธรรมะจัดระเบียบความสาคัญโดยถือธาตุเป็ นหลัก
๔. ปุคคลบัญญัต ิ ว่าด ้วยบัญญัต ิ ๖ ชนิด และแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัตอันเกียวกับ
ิ
่
บุคคล
๕. กถาวัตถุ ว่าด ้วยคาถามคาตอบในหลักธรรม จานวนหนึงประมาณ ๒๑๙ หัวข ้อเพือถือ
่
่
ิ
เป็ นหลักในการตัดสนพระธรรม
๖. ยมก ว่าด ้วยธรรมะทีรวมเป็ นคู่ ๆ
่
ิ่ ่ ้
๗. ปั ฏฐาน ว่าด ้วยปั จจัย คือสงทีเกือกูลสนั บสนุน ๒๔ อย่าง
ความเปนมาของพระไตรปิ ฎก
็
๑. พระพุทธเจ ้าทรงแนะนาให ้ร ้อยกรองพระธรรมวินัย สมัยเมือ
่
นิครนถ์ นาฎบุตร เจ ้าลัทธิสาคัญคนหนึงสนชพ พวกสาวกเกิดแตกกัน
่ ิ้ ี
่ ้
พระจุนทเถระเกรงจะเกิดเหตุการณ์เชนนัน ในพระพุทธศาสนา จึง
พร ้อมกับพระอานนท์ไปเฝ้ าพระพุทธเจ ้า พระองค์ได ้ทรงตรัสบอกพระ
ั
จุนทะ ให ้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทาสงคายนา คือจัดระเบียบทังโดยอรรถและพยัญชนะ
้
เพือให ้พรหมจรรย์ตงมั่นต่อไป
่
ั้
๒. พระสารีบตรแนะนาให ้ร ้อยกรองพระธรรมวินัย ในห ้วงเวลาเดียวกันนัน คาวันหนึง เมือพระผู ้มี
ุ
้
่
่
่
พระภาคแสดงธรรมจบแล ้ว ได ้มอบหมายให ้พระสารีบตรแสดงธรรมต่อ พระสารีบตรได ้แนะนาให ้
ุ
ุ
รวบรวม ร ้อยกรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมูธรรมะเป็ นข ้อ ๆ ตังแต่ข ้อ ๑ ถึงข ้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะใดบ ้างอยู่
่
้
ในหมวดนัน ๆ พระผู ้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็ นเรืองทีถกต ้อง เห็นว่าบรรดาพระภิกษุ ทังหลายยังใคร่
้
่
่ ู
้
จะฟั งธรรมต่อไปอีก พระองค์จงได ้มอบหมายให ้พระสารีบตร แสดงธรรมแทน พระสารีบตรได ้ แนะนา
ึ
ุ
ุ
ให ้รวบรวมร ้อยกรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมวดหมูธรรมะเป็ นข ้อ ๆ ตังแต่ข ้อ ๑ ถึงข ้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะ
่
้
ึ่
ใดบ ้างอยูหมวด ๑ หมวด ๒ จนถึงหมวด ๑๐ ซงพระผู ้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็ นเรืองทีถกต ้อง
่
่
่ ู
ั
๓. พระมหากัสสป เป็ นผู ้ริเริมให ้มีการสงคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให ้เป็ นหมวดหมู่
่
๔. พระอานนท์ เป็ นผู ้ทีทรงจาพระพุทธวรนะไว ้ได ้มาก เป็ นพุทธอุปฐาก ได ้ขอพร หรือขอรับ
่
่
่
เงือนไขจาก พระพุทธเจ ้า ๘ ประการ ในเงือนไขประการที่ ๗ และประการที่ ๘ มีสวนชวยในการ
่
่
ั
ั
สงคายนาพระธรรมวินัยมาก กล่าวคือ ประการที่ ๗ ถ ้าความสงสยของข ้าพระองค์เกิดขึนเมือใด ขอให ้
้
่
ได ้เข ้าเฝ้ าทูลถามเมือนัน ประการที่ ๘ ถ ้าพระองค์แสดงข ้อความอันใด ในทีลับหลังข ้าพระองค์ ครัน
่ ้
่
้
เสด็จมาแล ้ว จักตรัสบอกข ้อความอันนัน แก่ข ้าพระองค์ ทังนีโดยเฉพาะประการที่ ๘ อันเป็ นข ้อสุดท ้าย
้
้ ้
มีเหตุผลว่า ถ ้ามีใครถามท่านในทีลับหลัง พระพุทธเจ ้าว่า คาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี้ พระผู ้มีพระภาคแสดง
่
ทีไหน ถ ้าพระอานนท์ตอบไม่ได ้ ก็จะมีผู ้กล่าวว่า พระอานนท์ตามเสด็จพระศาสดาไปดุจเงาตามตัว แม ้
่
เพียงเรืองเท่านีก็ไม่รู ้ดังนัน เมือพระพุทธเจ ้าปรินพพานแล ้ว พระอานนท์จงได ้รับหน ้าทีตอบคาถาม
่
้
้
่
ิ
ึ
่
ั
เกียวกับพระธรรม ในคราวสงคายนาครังแรก หลังพุทธปรินพพาน ๓ เดือนในสมัยทียังไม่มการจดจารึก
่
้
ิ
่
ี
่
เรืองราวไว ้ เป็ นตัวอักษรอย่างกว ้างขวางเชนในปั จจุบัน มนุษย์จงต ้องอาศัยความจาเป็ นเครืองสาคัญ
่
ึ
่
ในการบันทึกเรืองราวนัน ๆ ไว ้ แล ้วบอกเล่าต่อ ๆ กันมา การทรงจาและบอกต่อ ๆ กันมาด ้วยปากนี้
่
้
เรียกว่า มุขปาฐะ
ี่
๕. พระอุบาลี เป็ นผู ้ทีสนใจและจดจาพระธรรมพระวินัยได ้เป็ นพิเศษ มีความเชยวชาญใน พระ
่
ั
วินัย ในการทาสงคายนาครังแรก พระอุบาลีได ้รับมอบหมายให ้เป็ นผู ้ตอบคาถามเกียวกับ พระวินัยปิ ฎก
้
่
่
๖. พระโสณกุฎกัณณะ เป็ นผู ้ทีทรงจาได ้ดีมาก เคยท่องจาบางสวนของ พระสุตตันตปิ ฎก เฉพาะ
ิ
่
พระพักตร์ของพระพุทธเจ ้า ได ้รับสรรเสริญว่าทรงจาได ้ดีมากรวมทังท่วงทานองในการกล่าว ว่าไพเราะ
้
สละสลวย แสดงให ้เห็นถึง การท่องจาพระธรรมวินัย ได ้มีมา
ตังแต่ครังพระพุทธเจ ้า
้
้
นอกจากนียังมียังมีตาราพุทธศาสนาทีแสดงคาสอนเป็ นลาดับ ได ้แก่
้
่
ึ่
๑.อรรถกถา เป็ นตาราอธิบายพระไตรปิ ฎกซงแต่งโดยอาจารย์ ในกาลต่อมา ทีเรียกว่า พระอรรถ
่
ั้
กถาจารย์ เป็ นเนือความสอนชนที่ ๒ รองจากพระไตรปิ ฎก
้
ึ่
๒.ฎีกา เป็ นตาราอธิบายขยายความอรรถกถา ซงแต่งโดยอาจารย์ทเรียกว่า พระฎีกาจารย์ ถือเป็ น
ี่
ั้
ตาราชนที่ ๓
ึ่
๓.อนุฎกา เป็ นตาราอธิบายขยายความดีกา หรือเรืองเกร็ดย่อยเบ็ดเตล็ด ซงเขียนโดยอาจารย์ท ี่
ี
่
ั้
เรียกว่า พระอนุฎกาจารย์ เป็ นตาราชนที่ ๔
ี
นอกจากนันยังมีเพิมเข ้าอีก 5 คัมภีร ์ คือ
้
่
๑. มธุ ได ้แก่ คัมภีรปรับปรุงใหม่ให ้มีรสหวานปานนาผึง
์
้
ึ่
๒. กนิษฐคันถะ ได ้แก่ คัมภีรนวก ้อย ซงเป็ นฎีกาอรรถกถานิวก ้อย
์ ิ้
้
๓. คัณฐิ ได ้แก่ คัมภีรชเงือนหรือปมสาคัญ
์ ี้ ่
๔. คันถันตระ ได ้แก่ คัมภีรนอกสายพระไตรปิ ฎก
์
๕. โยชนา ได ้แก่ คัมภีรแสสสดงการสร ้างประโยคและแปลความหมายของภาษาบาลี
์

จุดหมายปลายทางสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ี ิ
ศาสนาพุทธมีจดหมายปลายทางสูงสุดของชวตอันเป็ นความสงบสุขอย่างนิรันดรและอย่างแท ้จริง
ุ
ึ่
ึ่
คือ พระนิพพาน ซงได ้แก่ ความดับอย่างสนิทซงความทุกข์ ความเดือดร ้อนโดยดับกิเลส อันเป็ น
ี ิ
ต ้นเหตุแห่งความทุกข์ความเดือดร ้อน วิธทจะบรรลุจดหมายสูงสุดของชวตได ้นั น ชาวพุทธจะต ้อง
ี ี่
ุ
้
ปฏิบัตตามอริยมรรค มีองค์ ๘ โดยเคร่งครัดและถูกต ้อง
ิ
โครงสร้างของพุทธศาสนา

ศาสนาพุทธประกอบด ้วยโครงสร ้างสาคัญ 3 ประการทีเรียกว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม
่
พระสงฆ์
ิ่
ั่
พระพุทธ คือ พระพุทธเจ ้า หมายถึง ผู ้ทีได ้ตรัสรู ้ความจริงของสรรพสงด ้วยพระองค์เองและได ้ทรงสง
่
สอนชาวโลกให ้รู ้แจ ้งตามทีพระองค์ทรงตรัสรู ้มา
่
ึ่
ั
พระธรรม คือ คาสอนของพระพุทธเจ ้า ซงถือว่าเป็ นสจธรรมอานวยผลประโยชน์แก่ผู ้ปฏิบัตตามอย่าง
ิ
แท ้จริง
ั่
พระสงฆ์ คือ พระสาวกผู ้ประพฤติปฏิบัตตามพระธรรมคาสงสอนของพระพุทธเจ ้า จนได ้รับผลแห่งการ
ิ
ื
ปฏิบัต ิ แล ้วนาคาสอนของพระพุทธเจ ้ามาเผยแพร่ยังพุทธศาสนิกชน ถือเป็ นผู ้สบทอดพระศาสนา

หล ักคาสอนทีสาค ัญของพุทธศาสนา
่

่
ึ
หลักคาสอนในพระพุทธศาสนามีมากมาย เชน หลักทั่วไป หลักเกียวกับการพึงตนเอง หลักการศกษา
่
่
ั
ั
หลักการปกครอง หลักสงคมสงเคราะห์ หลักเรืองมนุษย์สมพันธ์ หลักจริยศาสตร์ หลักแห่งกรรม หลัก
่
ั
ั
อริยสจ 4 และหลักอุดมคติสงสุด เพือให ้เหมาะสมกับระยะเวลา มีหลักสาคัญอยู่ 3 เรือง คือ อริยสจ 4
ู
่
่
และขันธ์ 4 ไตรลักษณ์
ั
อริยสจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงของท่านประเสริฐ หรือจะ แปลว่าความ
จริงทีทาให ้บุคคลประเสริฐได ้
่
ั
อริยสจ 4 หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ
ทุกข์ คือ ความจริงทีวาด ้วยความทุกข์ ทังกายและใจ
่ ่
้
ึ่
สมุท ัย หมายถึง เหตุแห่งการเกิดทุกข์ ซงได ้แก่ ตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา
วิภวัฒหา
นิโรธ หมายถึง การดับทุกข์ คือ การดับตัณหาทัง 3 ประการ อันเป็ นเหตุแห่งทุกข์
้
ี
ิ
มรรค มีองค์ 8 นี้ จัดได ้เป็ น 3 หมวด คือ ศล สมาธิ และปั ญญา เรียกว่า ไตรสกขา ดังนี้ คือ
ี
ี
-หมวดศล คือ การเจรจาชอบ การประพฤติชอบ การเลียงชพชอบ
้
-หมวดสมาธิ คือ ความเพียรชอบ การมีสติชอบ การตังใจชอบ
้
-หมวดปั ญญา คือ ความเห็นชอบ ความดาริชอบ
ไตรล ักษณ์ แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึง กฎแห่งธรรมชาติทตายตัว แน่นอนหรือ
ี่
ิ่ ้
เรียกอีกอย่างหนึงว่า สามัญลักษณะ แปลว่า ลักษณะสามัญทั่วไปของสงทังหลายทังปวงทีมปัจจัยปรุง
่
้
่ ี
แต่งหรือขึนอยูกับเหตุปัจจัย ย่อมตกอยูภายใต ้กฎธรรมชาติสาคัญ 3 ประการ คือ
้
่
่
ิ่ ้
1. อนิจตา คือ ความไม่เทียงของสงทังปวง ไม่วาจะเป็ นร่างกาย จิตใจ วัตถุหรือบุคคลทั่วไป ล ้วนเป็ น
่
่
ิ่ ่
สงทีไม่เทียงในคัมภีรของพุทธศาสนาได ้กล่าวไว ้มีใจความเกียวกับความ
่
์
่
ไม่เทียง คือ ลักษณะสาคัญอย่างหนึงของโลกทังหลายทังปวง รวมทังเทวโลกด ้วย ล ้วนไม่เทียง
่
่
้
้
้
่
ึ่
2. ทุกขตา คือ ความเป็ นทุกข์ ซงความทุกข์ในไตรลักษณ์ หมายรวมถึง ความทุกข์ทกรูปแบบทัง
ุ
้
ั
ทุกขเวทนาในขันธ์ 5 ทุกข์ในอริยสจ 4
ิ่ ้
3. อนัตตา คือ ความไม่มตัวตน หมายถึง สงทังหลาย ทังรูปธรรมและนามธรรม ล ้วนไม่มตัวตน
ี
้
ี
ข ันธ์ 5 มาจากคาว่า ปั ญจขันธ์ หรือเบญจขันธ์ หมายถึง กายกับใจ แบ่งออกเป็ น 5 กอง คือ
1. รูปขันธ์ คือ ร่างกาย ประกอบด ้วย ดิน น้ า ลม ไฟ ดิน คือกระดูก น้ า คือเลือด น้ าเหลือง ลม คือลม
หายใจ ไฟ คือความร ้อนในร่างกาย
ึ ่
ั
ั
ี
ั
2. เวทนาขันธ์ คือ ความรู ้สกทีเกิดจากประสาทสมผัสทัง 5 สมผัสกับรูป รส กลิน เสยง และสมผัส
้
่
ั
3. สญญาขันธ์ คือ ความจาได ้หมายรู ้
ั
ิ่
ั่
4. สงขารขันธ์ คือ ความคิด เป็ นสงปรุงแต่งจิตใจ ผลักดันให ้มนุษย์ คิดดี - คิดชว
ั
5. วิญญาณขันธ์ คือ ความรู ้อารมณ์ คือ การรับรู ้ผ่าน ประสาทสมผัส คือ ตา หู จมูก ลิน กาย และใจ
้
ั
คือ การเห็นการ การได ้ยิน การได ้กลิน การรู ้รส การสมผัสทางกายและการคิด
่
่
สวนหล ักคาสอนทวไป คือ :่ั
ี
เบญจศลเบญจธรรม (หลักทาคนเต็มคน)
ั
สปปุรสธรรม (หลักการของคนดีแท ้)
ิ
ทิศ ๖ หน ้าทีเพืออยูรวมกันด ้วยดี
่ ่
่ ่
อริยมรรคมีองค์ ๘
ั
อริยสจ ๔
ั
อริยสจ ๔ ประการ ได ้แก่
๑. ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ทีชอว่าทุกข์เพราะทนได ้ยาก
่ ื่
๒. สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ได ้แก่ตัณหา คือความทะยานอยาก
ิ้
ิ
๓. นิโรธ ความดับทุกข์ ได ้แก่ดับตัณหาให ้สนเชง
๔. มรรค ข ้อปฏิบัตให ้ถึงความดับทุกข์ ได ้แก่อริยมรรค ๘ ประการ
ิ
ั
ึ่
ั
อริยสจ ๔ ประการนี้ เป็ นหลักคาสอนทีสาคัญของพระพุทธเจ ้า ซงพระองค์ทรงแสดงไว ้อย่างชดแจ ้งใน
่
ิ
ธรรมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดปั ญจักวัคคียทัง ๕ ณ ป่ าอิสปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณส ี ปั จจุบัน
์ ้
นีเรียกว่า "สารนาถ" ในวันขึน ๑๕ คา เดือน ๘ ทีเราเรียกวันนีวา "อาสาฬหบูชา"พระธรรมเทศนากัณฑ์
้
้
่
่
้ ่
นีมชอเรียกอีกอย่างหนึงว่า "ปฐมเทศนา" คือ การเทศกัณฑ์แรกของพระพุทธเจ ้าหลังจากตรัสรู ้แล ้ว
้ ี ื่
่
ั
ปฐมเทศนามีหลักฐานอยูในพระไตรปิ ฎกอย่างสมบูรณ์ คาว่า "สจจะ" แปลว่า ความจริง มี ๔ ประการ
่
คือ
๑. สมมุตสจ ความจริงโดยการสมมุต ิ คือความจริทไม่เป็ นจริง เพียงแต่เราสมมุตขนเท่านัน
ิ ั
ี่
ิ ึ้
้
ั
ึ่
๒. สภาวสจ ความจริงโดยสภาวะ คือความจริงทีเป็ นจริง ซงได ้มาจากการค ้นคว ้าวิจัย ทดลอง
่
้
จนสามรถนามาใชประโยชน์ได ้ เป็ นต ้น
ั
๓. อันติมสจ ความจริงขันสุดท ้าย หมายถึงความจริงทีได ้วิเคราะห์จนถึงทีสดแล ้วไม่มอะไรจริง
้
่
่ ุ
ี
ยิงไปกว่านัน
่
้
ั
๔. อริยสจ ความจริงอันประเสริฐทาให ้ผู ้ปฏิบัตหลุดพ ้นจากกองกิเลสทังหลายกลายเป็ นหระ
ิ
้
อริยเจ ้า
ั
อริยสจข้อที่ ๑ ทุกข์
ี
คาว่า "ทุกข์" นี้ ตามความหมายทั่วไป ก็หมายถึงความทุกข์มาน ความเจ็บปวดความโศกเสร ้า เสยใจ
แต่คาว่าทุกข์ใน
ั
ี ิ
อริยสจข ้อที่ ๑ นี้ เป็ นความทุกข์ทแฝงทัศนะทางพุทศาสนาเกียวกับชวตและโลกเอาไว ้ ย่อมมี
ี่
่
ั
ความหมายทางปรัชญาทีลกซงกว่า เป็ นทียอมรับกันว่า คาว่า ทุกข์ ในอริยสจ ข ้อที่ ๑ นัน รวมถึง
่ ึ ึ้
่
้
่
ความหมายของทุกข์ตามปรกติธรรมดา เชน ทุกข์ทรมาน ความเจ็บ ปวด เข ้าไว ้ด ้วย และรวมถึง
่
ความคิดทีลกซงเข ้าไปด ้วยกันด ้วย เชน ความไม่แน่นอน ความว่างเปล่า ความไม่สมหวัง ความไม่ม ี
่ ึ ึ้
ั
แก่นสาร เป็ นต ้น พระพุทธเจ ้าทรงตรัสทุกข์ไว ้ในธรรมจักกัปปวัตนสูตร ตอนทีวาด ้วยอริยสจได ้แบ่ง
่ ่
ทุกข์ออกเป็ น ๒ ประการคือ
๑. สภาวทุกข์ ทุกประจา ได ้แก่ ความเกิด ความแก่ และความตาย เป็ นทุกข์
ี
๒. ปกิณณกทุกข์ ทุกข์จร ได ้แก่ ความเศร ้าโศก เสยใจ ร่าไห ้ ราพัน ความผิดหวัง เป็ นทุกข์
ั
อริยสจข้อที่ ๒ สมุท ัย
สมุทัย คือ เหตุเกิดทุกข์ อันเกิดจากตัณหาคือ ความอยากทีมอยูในจิตใจของแต่ละคนทาให ้คนเกิด
่ ุ ่
ทุกข์ในขณะทีลทธิตาง ๆสอนว่า ความทุกข์นันเกิดจากพระผู ้เป็ นเจ ้าผู ้เป็ นใหญ่บนสวรรค์ บันดาลให ้
่ ี
่
้
ี้
มนุษย์เป็ นไปต่าง ๆ กัน แต่พระพุทธเจ ้าทรงชไปทีตัณหา คือความอยากเท่านันว่าทาให ้คนเกิดทุกข์
่
้
ตัณหา ๓ ได ้แก่
ี
ก. กามตัณหา อยากได ้กามคุณ ได ้แก่ รูป เสยง กลิน รส โผฏฐัพพะ จัดเป็ นกามตัณหา
่
ข. ภวตัณหา อยากได ้ในภาวะของตัวตนทีจะได ้จะเป็ นอย่างใดอย่างหนึง
่
่
่
ค. วิภวตัณหา อยากไม่ให ้มี อยากไม่ให ้เป็ น เชนอยากหนีภาวะทีคับแค ้น
่
ั
อริยสจข้อที่ ๓ นิโรธ
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ การสละ การสลัดออก ความดับทุกข์ ได ้แก่ นิพพานนั่นเอง คานิยามของ
นิพพาน หมายถึง การดับด ้วยการสารอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหา ความว่า ความปล่อยวาง ความไม่
ั
อาลัย "ธรรมเป็ นทีระงับสงขารทังปวง ธรรมเป็ นทีสละคืออุปธิทังปวง ธรรมเป็ นทีสนตัณหาธรรมเป็ นที่
่
้
่
้
่ ิ้
สารอก ธรรมเป็ นทีดับ คือ นิพพาน"
่
ั
อริยสจข้อที่ ๔ มรรค
มรรค แปลว่า หนทาง หมายถึงข ้อปฏิบัตให ้ถึงความดับทุกข์ มรรคนีเป็ นทางสายกลางทีเรียกว่า
ิ
้
่
มัชฌิมาปฏิปทา เพราะมีทางปฏิบัตทแตกต่างกันออกไปคือ
ิ ี่
๑.ประเภททีหย่อนเกินไป ร่างกายและจิตใจหมกมุนมัวเมาอยูในกามารมณ์ เรียนว่า กามสุขลลิกานุโยค
่
่
่
ั
๒. ประเภททีตงเกินไป มีการทรมานตนให ้ได ้รับความลาบาก ทุกข์ทรมานอย่างหนักเรียกว่า อัตตกิลม
่ ึ
ถานุโยค
การบาเพ็ญทังสองวิธนี้ พระพุทธเจ ้าได ้ทรงทดลองมาแล ้วตอนบาเพ็ญทุกรกิรยาก่อนตรัสรู ้ เมีอ
้
ี
ิ
่
ึ่
ทดลองจนถึงทีสดแล ้ว ก็ไม่พ ้นทุกข์จงได ้ค ้นพบวิธปฏิบัตใหม่ ซงเป็ นวิธทไม่หย่อนเกินไป และไม่ตง
่ ุ
ึ
ี
ิ
ี ี่
ึ
ึ่
เกินไป เป็ นการปฏิบัตอยูในสายกลาง ทางสายกลางนีเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ซงประกอบด ้วยองค์ ๘
ิ ่
้
ประการ คือ
๑. ความเห็นชอบ
๒. ความดาริชอบ
๓. การเจรจาชอบ
๔. การงานชอบ
ี
๕. เลียงชพชอบ
้
๖. พยายามชอบ
๗. ระลึกชอบ
๘. ตังใจชอบ
้
ั ้
อริยสจทัง ๔ ประการนี้ ถือว่าเป็ นหลักคาสอนทีคลุมธรรมทังหมด โดยเฉพาะทางสายกลางทังหมดนี้
่
้
้
เป็ นคาสอนของพระพุทธเจ ้า พระองค์ทรงแสดงสายกลางนีตลอดมาเป็ นระยะเวลานาน แก่บคคลหลาย
้
ุ
ประเภททีแตกต่างกัน ตามกาลังสติปัญญาและความสามารถของแต่ลบุคคลทีจะเข ้าใจและปฏิบัตตาม
่
่
ิ
พระองค์ได ้การปฏิบัตตามมรรค ๘ ประการ หรือทางสายกลางนีต ้องทาให ้เกียวเนืองกันครบทุกข ้อ แต่
ิ
้
่
่
ละข ้อเป็ นทางปฏิบัตทสมพันธ์กัน มรรคทัง ๘ ประการนีมจดมุงหมายอยูทการอบรมฝึ กฝนตนตาม
ิ ี่ ั
้
้ ี ุ ่
่ ี่
ึ่
หลักสูตรของพระพุทธศาสนาซงมีสาระอยู่ ๓ ประการ คือ
ี
ก. การประพฤติตามหลักจรรยา (ศล)
ข. การฝึ กฝนอบรมทางใจ (สมาธิ)
ค. การให ้เกิดความรู ้อย่างแท ้จริง (ปั ญญา)
ั
หล ักการรูอริยสจ ๔
้
ั ้
ั ่ ื
การรู ้อริยสจนั น จะต ้องมีหลักเกณฑ์ในการรู ้ทีแน่นอนตายตัว การรู ้อริยสจทีถอว่าจบเกณฑ์นัน จะต ้องรู ้
่
้
ั
๓ รอบ รู ้ในญาณทัง ๓ คือ สจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ เรียกว่า ปริวต ิ ครังละ ๔ รวมเป็ น ๑๒
้
ั
้
ครังดังนี้
้
ั
รอบที่ ๑ สจจญาณ คือรู ้ว่า
ี ิ
๑. ทุกข์มจริง ชวตคลุกเคล ้าด ้วยควมทุกข์จริง
ี
๒. สมุทัย เป็ นเหตุเกิดทุกข์จริง
๓. นิโรธ ความดับทุกข์มจริง
ี
้
๔. มรรค เป็ นทางไปสูความดับทุกข์จริง
รอบที่ ๒ กิจจญาณ คือรู ้ว่า
ิ่ ่
๑. ทุกข์ เป็ นสงทีควรกาหนดรู ้
ิ่ ่
๒. สมุทัย เป็ นสงทีควรละ
๓. นิโรธ ความดับทุกข์ควรทาให ้แจ ้งขึนในใจ
้
๔. มรรค ควรบาเพ็ญให ้เกิดขึน
้
รอบที่ ๓ กตญาณ คือรู ้ว่า
๑. ทุกข์ เราได ้กาหนดรู ้แล ้ว
๒. สมุทัย เราได ้ละแล ้ว
๓. นิโรธ เราได ้ทาให ้แจ ้งแล ้ว
๔. มรรค เราได ้บาเพ็ญให ้เกิดมีครบถ ้วนแล ้ว

ไตรล ักษณ์
ึ่
ไตรลักษณ์ เป็ นกฎสาคัญแห่งธรรมชาติ ซงมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ
๑. อนิจจัง ความไม่เทียง
่
๒. ทุกขัง ความทนอยูไม่ได ้
่
่
๓. อนั ตตา ความไม่ใชตัวตน
่
ตามหลักพุทธธรรมเบืองต ้นทีวา สงทังหลายเกิดจากสวนประกอบต่าง ๆ มาประชุมกันเข ้า หรือมีอยูใน
้
่ ่ ิ่ ้
่
่
่
่
รูปของการรวมตัวเข ้าด ้วยกันของสวนประกอบต่าง ๆ นัน มิใชหมายความว่าเป็ นการนาเอาสวนประกอบ
้
ิ้
ทีเป็ นชน ๆ อัน ๆ อยูแล ้วมาประกอบเข ้าด ้วยกัน และเมือประกอบเข ้าด ้วยกันแล ้วก็เกิดเป็ นรูปเป็ นร่าง
่
่
่
ิ่ ้
คุมกันอยูเหมือนเมือเอาวัตถุตาง ๆ มาราวมกันเป็ นเครืองอุปกรณ์ตาง ๆ ความจริงทีกล่าวว่าสงทังหลาย
่
่
่
่
่
่
่
เกิดจากการประชุมกันของสวนประกอบต่าง ๆ นั น เป็ นเพียงคากล่าวเพือเข ้าใจง่าย ๆ ในเบืองต ้น
้
่
้
ิ่ ้
่
เท่านัน แท ้จริงแล ้วสงทังหลายมีอยูในรูปของกระแส สวนประกอบแต่ละอย่าง ๆ ล ้วนประกอบขึนจาก
้
่
้
่
สวนประกอบอืน ๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มตัวตนของมันอิสระ ล ้วนเกิดดับต่อกันไปเรือง ไม่เทียงไม่
่
ี
่
่
คงทีกระแสนีไหลเวียนหรือดาเนินต่อไปอย่างทีดคล ้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว ้ได ้อย่าง
่
้
่ ู
ค่อยเป็ นไป
่
ั
ึ่
ื
ก็เพราะสวนประกอบทังหลายมีความสมพันธ์เนืองอาศัยซงกันและกันเป็ นเหตุปัจจัยสบต่อแก่กันอย่าง
้
่
่
หนึง และเพราะสวนประกอบเหล่านันแต่ละอย่างล ้วนไม่มตัวตนของมันเอง และไม่เทียงแท ้คงทีอย่าง
่
้
ี
่
่
ั
หนึงความเป็ นไปต่างๆทังหมดนีเป็ นไปตามธรรมชาติอาศัยความสมพันธ์และความเป็ นปั จจัยเนือง
่
้
้
่
ิ่ ้
อาศัยกันของสงทังหลายเอง ไม่มตัวการอย่างอืนทีนอกเหนือออกไปในฐานะผู ้สร ้างหรือผู ้บันดาล จึง
ี
่ ่
เรียกเพือเข ้าใจง่าย ๆ ว่าเป็ นกฎธรรมชาติมหลักธรรมใหญ่อยู่ ๒ หมวดทีถอได ้ว่าพระพุทธเจ ้าทรง
่
ี
่ ื
แสดงในรูปของกฎธรรมชาติ คือ ไตรลักษณ์แลปฏิจจสมุปบาท ความจริงธรรมทัง ๒ หมวดนีถอได ้ว่า
้
้ ื
เป็ นกฎเดียวกัน แต่แสดงในคนละแง่หรือคนละแนว เพือมองเห็นความจริงอย่างเดียวกัน คือ ไตร
่
ิ่ ้
ึ่
ลักษณ์ มุงแสดงลักษณืของสงทังหลายซงปรากฏให ้เห็นว่าเป็ นอย่างนั น ในเมือสงเหล่านั นเป็ นไป่ โดย
่
้
่ ิ่
้
ื
่
อาการทีสมพันธ์เนืองอาศัยเป็ นเหตุปัจจัยสบต่อแก่กันตามหลักปฏิจจสมุปบาท สวนหลักปฏิจจสมุป
่ ั
่
ั
ื
บาทก็มงแสดงถึงอาการทีสงทังหลายมีความสมพันธ์เนืองอาศัยเป็ นเหตุปัจจัยสบต่อแก่กันเป็ นกระแส
ุ่
่ ิ่ ้
่
จนมองเห็นลักษณ์ได ้ว่าเป็ นไตรลักษณ์

กฎธรรมชาตินี้ เป็ น ธรรมธาตุ คือภาวะทีทรงตัวอยูโดยธรรมดา เป็ น ธรรมฐิต ิ คือภาวะทีตงอยู่ หรือยืน
่
่
่ ั้
ตัวเป็ นหลักแน่นอนอยูโดยธรรมดา เป็ น ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติ หรือกาหนดแห่งธรรมดาไม่
่
เกียวกับผู ้สร ้างผู ้บันดาล หรือการเกิดขึนของศาสนาหรือศาสดาใด ๆ กฎธรรมชาตินัแสดงฐานะของ
่
้
้
ี้
ศาสดาในความหมายของพุทธธรรมด ้วยว่าเป็ นผู ้ค ้นพบกฎเหล่านั แล ้วนามาเปิ ดเผยชแจงแก่ชาวโลก
้
ไตรลักษณ์นัน มีพทธพจน์แสดงหลักไว ้ในรูปของกฎธรรมชาติวาดังนี้"ตถาคต ทังหลายจะอุบัตหรือไม่
้
ุ
่
้
ิ
ก็ตาม ธาตุ นันก็ยังคงมีอยู่ เป็ นธรรมฐิต ิ เป็ นธรรมนิยามว่า
้
ั
๑. สงขารทังปวง ไม่เทียง.............
้
่
ั
๒. สงขารทังปวง เป็ นทุกข์..............
้
๓. ธรรมทังปวง เป็ นอนัตตา................
้
ตถาคตตรัสรู ้เข ้าถึงหลักนันแล ้ว จึงบอก แสดง วางเป็ นแบบ ตังเป็ นหลัก เปิ ดเผยแจกแจง ทาให ้เข ้าใจ
้
้
ั
ั
ง่ายว่า " สงขารทังปวงไม่เทียง......สงขารทังปวง เป็ นทุกข์.............ธรรมทังปวง เป็ นอนัตตา.......
้
่
้
้
ิ่ ้
ไตรลักษณ์นเรียกอีกอย่างหนึงว่า สามัญลักษณ์ แปลว่าลักษณะทีทั่วไป หรือเสมอเหมือนกันแก่สงทัง
ี้
่
่
ึ่
ปวงซงได ้ความหมายเท่ากัน
คาอธิบายไตรล ักษณ์ตามหล ักวิชาในค ัมภีร ์
ถ ้ายกเอาหลักธรรมนิยามทีแสดงไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณธ ๓ อย่าง มาตังเป็ นหัวข ้ออีกครังหนึง
่
้
้
่
ึ้ ่ ้
เพืออธิบายให ้ลึกซงยิงขึนไป ตามแนวหลักวิชาทีมหลักฐานอยูในคัมภีรตาง ๆ ดังนี้
่
่ ี
่
์ ่
ั
ก. สงขารทังหลายทังปวง ไม่เทียง
้
้
่
ั
ข. สงขารทังหลายทังปวง เป็ นทุกข์
้
้
ค. ธรรมทังหลายทังปวง เป็ นอนัตตา
้
้
ั
้
สงขารทังปวงไม่เทียง เรียกตามคาบาลีวา เป็ น อนิจจ์ หรือ อนิจจะ แต่ในภาษาไทยนิยมใชคาว่า
้
่
่
ิ่
อนิจจังความไม่เทียง ความเป็ นสงไม่เทียง หรือภาวะทีเป็ นอนิจจ์รหืออนิจจัง นัน เรียกเป็ นคาศัพท์ตาม
่
่
่
้
บาลีวา อนิจจตา ลักษณะทีแสดงถึงความไม่เทียงเรียกเป็ นศัพท์วา อนิจจลักษณะ
่
่
่
่
ั
สงขารทังหลายเป็ นทุกข์ ในภาษาไทย บางทีใชอย่างภาษาพูดว่า ทุกขัง ความเป็ นทุกข์ ความเป็ น
้
่ ้
ของคงทนอยูมได ้ ความเป็ นสภาวะมีความบีบคันขัดแย ้ง หรือภาวะทีเป็ นทุกข์นัน เรียกเป็ นคาศัพท์ตาม
่ ิ
้
่
้
บาลีวา ทุกขตา ลักษณะทีแสดงถึงความเป็ นทุกข์เรียกเป็ นศัพท์วา ทุกขลักษณะธรรมทังปวงเป็ น
่
่
่
้
่
อนัตตา ความเป็ นอนั ตตา ความเป็ นของมิใชตัวตน หรือภาวะทีเป็ นอนั ตตานั นเรียกเป็ นคาศักพท์ตาม
่
้
บาลีวา อนัตตตา ลักษณะทีแสดงถึงความเป็ นอนั ตตา เรียกเป็ นคาศัพท์วา อนัตตลักษณะ
่
่
่

ั
สงขารทงปวงก ับธรรมทงปวง
ั้
ั้
ิ่
"ธรรม" เป็ นคาทีมควมหมายกว ้างทีสด กินความครอบคลุมทุกสงทุกอย่างบรรดามี ทังทีมได ้และได ้มี
่ ี
่ ุ
้ ่ ี
ิ่
ตลอดกระทั่งความไม่มทเป็ นคูกับความมีนัน ทุกสงทุกอย่างทีใครก็ตามกล่าวถึง คิดถึง หรือรู ้ถึงทัง
ี ี่
่
้
่
้
ั
ั
เรืองทางวัตถุและทางจิตใจ ทังทีดและทีชว ทังทีเป็ นสามัญวิสยและเหนือสามัญวิสย รวมอยูในคาว่า
่
้ ่ ี
่ ั่
้ ่
่
ธรรมทังสน ถ ้าจะให ้มีความหมายแคบเข ้า หรือจาแนกแยกธรรมนันแบ่งประเภทออกไป แล ้วเลือกเขา
้ ิ้
้
่
้
สวนหรือแง่ด ้านแห่งความหมายทีต ้องการ หรือมิฉะนั นก็ใชคาว่าธรรมคาเดียวเดียวโดดเต็มรูปของมัน
่
้
่
้
ตามเดิม แต่ตกลงหรือหมายรู ้ร่วมกันไว ้ว่า เมือใชในลักษณะนัน ๆ ในกรณีนันหรือในความแวดล ้อม
่
้
้
่
อย่างนัน ๆ จะให ้มีความหมายเฉพาะในแนวความ หรือในขอบเขตว่าอย่างนั น ๆ เชน เมือมาคูกับอธรรม
้
้
่
่
้ ่
หรือใชเกียวกับความประพฤติทด ี ทีชวของบุคคล หมายถึง บุญ หรือคุณธรรมคือความดี เมือมากับคา
ี่
่ ั่
่
้
ว่า อัตถะ หรืออรรถ หมายถึงตัวหลัก หลักการ หรือเหตุ เมือใชสาหรับการเล่าเรียน หมายถึงปริยัต ิ
่
ั่
พุทธพจน์ หรือคาสงสอน เป็ นต ้น ธรรม ทีกล่าวถึงในหลักอนัตตา แห่งไตรลักษณ์นี้ หมายถึง สภาวะ
่
่ ้
ั
หรือสภาพทุกอย่าง ไม่มขดจากัด ธรรม ในความหมายเชนนีจะเข ้าใจชดเจนยิงขึน เมือแยกแยะแจก
ี ี
่ ้
่
แจงแบ่งประเภทออกไป เชน จาแนกเป็ นรูปธรรม และนามธรรมบ ้าง โลกียธรรม และโลกุตตรธรรมบ ้าง
ั
ั
สงขตธรรมและอสงขตธรรม บ ้าง กุศลธรรมและอกุศลธรรม และอัพยากฤตธรรมบ ้าง ธรรมทีจาแนก
่
ิ้ ้ ้
เป็ นชุดเหล่านี้ แต่ละชุดครอบคลุมความหมายของธรรมได ้หมดสนทังนั น แต่ชดทีตรงกับแง่ทควร
ุ ่
ี่
ึ
ั
ั
ศกษาในทีนคอ ชุดสงขตธรรม และอสงขตธรรม
่ ี้ ื
ธรรมทังหลายทังปวงแยกประเภทได ้เป็ น ๒ อย่างคือ
้
้
ั
๑. สงขตธรรม คือ ธรรมทีถกปรุงแต่ง ได ้แก่ ธรรมทีมปัจจัย สภาวะทีเกิดจากปั จจัยปรุงแต่งขึน สภาวะ
่ ู
่ ี
่
้
ิ่ ่
ทีปัจจัยทังปลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขนสงทีปัจจัยประกอบเข ้าหรือสงทีปรากฏและเป็ นไปตามเงือนไข
่
้
ึ้ ิ่ ่
่
ั
ึ่
ของปั จจัย เรียกอีกอย่างหนึงว่า สงขารซงมีรากศัพท์และคาแปลเหมือนกันหมายถึงสภาวะทุกอย่างทัง
่
้
ทางวัตถุและทางจิตใจ ทังรูปธรรมและนามธรรม ทังทีเป็ นโลกียะและโลกุตตระ ทังทีดทชวและทีเป็ น
้
้ ่
้ ่ ี ี่ ั่
่
กลาง ๆ ทังหมด เว ้นแต่นพพาน
้
ิ
ั
๒. อสงขตธรรม คือ ธรรมทีไม่ถกปรุงแต่ง ได ้แก่ ธรรมทีไม่มปัจจัย หรือสภาวะทีไม่เกิดจากปั จจัยปรุง
่
ู
่
ี
่
ั
ึ่
ั
แต่งไม่เป็ นไปตามเงือนไขของปั จจัย เรียกอีกอย่างหนึงว่า วิสงขาร ซงแปลว่า สภาวะปลอดสงขาร
่
่
หรือสภาวะทีไม่มปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน
่
ี
ั
ั
สงขารในขันธ์ ๕ กับสงขารในไตรลักษณ์
ั
ั
ั
๑. สงขารในขันธ์ ๕ ได ้แก่ รูป เวทนา สญญา สงขาร วิญญาณ
ั
ั
ั
๒. สงขารในไตรลักษณ์ ได ้แก่ สงขารทังปวงไม่เทียง สงขารทังปวงเป็ นทุกข์ ธรรมทังปวงเป็ น
้
่
้
้
อนัตตา
เปรียบเทียบความหมายทัง ๒ นัยดังนี้
้
ั
ึ่
ั่
ก. สงขาร ซงเป็ นข ้อที่ ๔ ในขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวะทีปรุงแต่งจิต ให ้ดี ให ้ชว ให ้เป็ นกลาง
่
ได ้แก่ คุณสมบัตตางๆของจิตมีเจตนาเป็ นตัวนาทีปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจและการแสดงออกทาง
ิ ่
่
่
กายวาจาให ้เป็ นไปต่าง ๆ เป็ นตัวการของการทากรรม เรียกง่าย ๆ ว่า เครืองปรุงของจิต เชน ศรัทธา
่
สติ หิร ิ เป็ นต ้น
ั
ข. สงขาร ทีกล่าวถึงในปตรลักษณ์ หมายถึง สภาวะทีถกปรุงแต่ง คือ สภาวะทีเกิดจากเหตุ
่
่ ู
่
ปั จจัย ปรุงแต่งขึนทุกอย่าง ประดามี ไม่วาจะเป็ นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม เป็ นด ้านร่างกายหรือ
้
่
ี ิ
ี ิ
ั
จิตใจก็ตาม มีชวตหรือไร ้ชวตก็ตาม อยูในจิตใจหรือวัตถุภายนอกก็ตาม เรียกอีกอย่างหนึงว่า สงขต
่
่
ิ่
ั
ั
ธรรม คือทุกสงทุกอย่าง เว ้นนิพพานจะเห็นว่า สงขาร ในขันธ์ ๕ มีความหมายแคบกว่า สงขาร ในไตร
่
ั
ั ้
ลักษณ์ หรือเป็ นสวนหนึงของสงขารในไตรลักษณ์นั่นเอง ความต่างกันและแคบกว่ากันนี้ เห็นได ้ชดทัง
่
โดยความหมายของศัพท์และโดยองค์ธรรม
ิ่ ่
ิ่ ้
สงทีปิดบังไตรลักษณ์ทังทีความเป็ นอนิจจัง ทุกข์ และอนั ตตา นี้ เป็ นลักษณะสามัญของสงทังหลาย
้ ่
เป็ นความจริงทีแสดงตัวของมันเองอยูตามธรรมดาตลอดทุกเวลา แต่คนทั่วไปก็มองไม่เห็น ทังนีเพราะ
่
่
้ ้
ิ่
่
เป็ นเหมือนมีสงปิ ดบังคอยซอนคลุมนี้ คือ
ั
๑. สนตติ บังอนิจจลักษณะ
๒. อิรยาบถ บังทุกขลักษณะ
ิ
๓. ฆนะ บังอนัตตลักษณะ
ิ
ื่
ิ้
ข ้อที่ ๑ ท่านกล่าวว่า เพราะมิได ้มนสการความเกิดและความดับหรือความเกิดขึนและความเสอมสนไป
้
ั
ื
ก็ถก สนตติ คือ ความสบต่อหรือความเป็ นไปอย่างต่อเนือง ปิ ดบังไว ้ อนิจจลักษณะจึงไม่ปรากฏ
ู
่
ิ
ข ้อที่ ๒ ท่านกล่าวว่า เพราะมิได ้มนสการความบีบคันกดดันทีมอยูตลอดเวลา ก็ถก อิรยาบถ คือ ความ
้
่ ี ่
ู
ิ
ยักย ้ายเคลือนไหว ปิ ดบังไว ้ ทุกขลักษณะจึงไม่ปรากฏ
่
ิ
ข ้อที่ ๓ ท่านกล่าวว่า เพราะมิได ้มนสการความแยกย่อยออกเป็ นธาตุตาง ๆ ก็ถก ฆนะ คือความเป็ น
่
ู
ิ้
แท่งเป็ นก ้อนเป็ นชนเป็ นอันเป็ นมวลหรือเป็ นหน่วยรวม ปิ ดบังไว ้ อนัตตลักษณจึงไม่ปรากฏ

ประโยชน์ของการเรียนรูเรืองไตรล ักษณ์
้ ่
ิ่ ้
๑. ประโยชน์ของการเรียนรู ้เรืองอนิจจัง เมือได ้เรียนรู ้ความไม่เทียงของสงทังปวงแล ้ว จะได ้
่
่
่
ประโยชน์หลายประการ ดังนี้
ก. ความไม่ประมาท ทาให ้คนไม่ประมาทมัวเมาในวัยว่ายังหนุ่มสาว ในความไม่มโรคและใน
ี
ี ิ
ิ
ชวต เพราะความตายอาจมาถึงเมือไรก็ได ้ไม่แน่นอน ทาให ้ไม่ประมาทในทรัพย์สน เพราะคนมีทรัพย์
่
อาจกลับเป็ นคนจนได ้
ทาให ้ไม่ดหมินผู ้อืน เพราะผู ้ทีไร ้ทรัพย์ ไร ้ยศ ตาต ้อย กว่าภายหน ้าอาจมีทรัพย์ มียศ และเจริญรุงเรือง
ู ่
่
่
่
่
กว่าก็ได ้เมือคิดได ้ดังนีจะทาให ้สารวมตน อ่อนน ้อม ถ่อมตน ไม่ยโสโอหัง วางท่าใหญ่ ยกตนข่มท่าน
้
ข. ทาให ้เกิดความพยายาม เพือทีจะก ้าวไปข ้างหน ้า เพราะรู ้ว่าถ ้าเราพยายามก ้าวไปข ้างหน ้า
่ ่
ี ิ
แล ้วชวตย่อมเปลียนแปลงไปในทางทีด ี
่
่
ี ิ
ิ่
ิ้
ค. ความไม่เทียงแท ้ ทาให ้รู ้สภาพการเปลียนแปลงของชวต เมือประสบกัยสงไม่พอใจ ก็ไม่สน
่
่
่
ิ่ ่
หวังและเป็ นทุกข์ ไม่ปล่อยตนไปตามเหตุการณ์นัน ๆ จนเกินไป พยายามหาทางหลีกเลียงสงทีไม่ด ี
้
่
๒. ประโยชน์ของการเรียนรู ้เรืองทุกขัง เมือผู ้ใดได ้เรียนรู ้เรืองความทุกแล ้ว จะรู ้ว่า ความทุกข์
่
่
่
เป็ นของธรรมดาประจาโลก อย่างหนึงซงใคร ๆ จะหลีกเลียงได ้ยาก ต่างกันก็แต่เพียงรูปแบบของทุกข์
่ ึ่
่
ี ิ
ั
นัน เมือความทุกข์เกิดขึนแก่ชวต ผู ้มีปัญญาตรองเห็นความจริงว่าความทุกข์เป็ นสจจธรรมอย่างหนึง
้
่
้
่
ี ิ
ี ิ
ของชวต ชวตย่อมระคนด ้วยทุกข์เป็ นธรรมดา เมือเห็นเป็ นธรรมดา ความยึดมั่นก็มน ้อย ความทุกข์
่
ี
สามารถลดลงได ้หรืออาจหายไปเพราะไม่มความยึดมั่น ความสุขทีเกิดจากการ
ี
่
ปล่อยวางย่อมเป็ นสุขอันบริสทธิ์
ุ
๓. ประโยชน์ของการเรียนรู ้เรืองอนัตตา
่
ิ่ ้
การเรียนรู ้เรืองอนัตตา ทาให ้เรารู ้คามจริงของสงทังปวง ไม่ต ้องถูกหลอกลวง จะทาให ้คลาย
่
ั
ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ทาให ้ไม่ยดมั่น เบากาย เบาใจ เพราะเรืองอนัตตาสอนให ้เรารู ้ว่า สงขารทังปวง
ึ
่
้
เป็ นไปเพืออาพาธ ฝื นความปรารถนา บังคับบัญชาไม่ได ้อย่างน ้อยทีสดเราจะต ้องยอมรับความจริง
่
่ ุ
อย่างหนึงว่า ตัวเราเองจะต ้องพบกับ
่
ิ่
ธรรมชาติแห่งความเจ็บปวด ความแก่ชรา และความตายจากครอบครัวและญาติพน ้องตลอดจนทุกสง
ี่
ทุกอย่าง

เบญจข ันธ์
ิ่ ้
่
ิ่
พุทธธรรมมองเห็นสงทังหลายในรูปของสวนประกอบต่าง ๆที่ มาประชุมกันเข ้า ตัวตนแท ้ ๆ ของสง
่
ิ่ ้
ทังหลายไม่ม ี เมือแยกสวนต่าง ๆ ทีมาประกอบกันเข ้านั นออกไปให ้หมดก็จะไม่พบตัวตนของสงนั น
้
่
่
้
่
เหลืออยู่ ตัวอย่างง่าย ๆ ทียกขึนอ ้างกันบ่อย ๆ คือ "รถ" เมือนาสวนประกอบต่าง ๆ มาประกอบเข ้า
่
้
่
่
ด ้วยกันตามแบบทีกาหนด ก็บัญญัตเรียกว่า "รถ" แต่ถ ้าแยกสวนประกอบทังหมดออกจากกัน ก็จะหา
่
ิ
้
่
ึ่
ื่
ตัวตนของรถไม่ได ้ มีแต่สวนประกอบทังหลายซงมีชอเรียกต่าง ๆ กันจาเพาะแต่ละอย่างอยูแล ้ว คือ
้
่
่
ตัวตนของรถมิได ้มีอยูตางหากจากสวนปะกอบเหล่านัน มีแต่เพียงคาบัญญัตวา "รถ" สาหรับสภาพทีมา
่ ่
้
ิ ่
่
่
่
รวมตัวกันเข ้าของสวนประกอบเหล่านัน แม ้สวนประกอบแต่ละอย่าง ๆ นันเองก็ปรากฏขึนโดยการ
้
้
้
่
่
ิ่
รวมกันเข ้าของสวนประกอบย่อย ๆ ต่อ ๆ ไปอีก และหาตัวตนทีแท ้ไม่พบเชนเดียวกัน เมือจะพูดว่า สง
่
่
่
ทังหลายมีอยู่ ก็ต ้องเข ้าใจในความหมายว่า มีอยูในฐานะมีสวนประกอบต่าง ๆ มาประชุมเข ้าด ้วยกันเมือ
้
่
่
ิ่ ้
่
มองเห็นสภาพของสงทังหลายในรูปของกรประชุมสวนประกอบนี้ พุทธธรรมจึงต ้องแสดงต่อไปว่า
่
สวนประกอบต่าง ๆ เหล่านันเป็ นอย่างไร มีอะไรบ ้าง อย่างน ้อยก็พอเป็ นตัวอย่าง และโดยทีพทธธรรมมี
้
่ ุ
ี ิ
่
ความเกียวข ้องเป็ นพิเศษกับเรืองชวต โดยเฉพาะในด ้านจิตใจ การแสดงสวนประกอบต่าง ๆ จึงต ้อง
่
่
ครอบคลุมทังวัตถุและจิตใจ หรือทังรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกแยะเป็ นพิเศษในด ้านจิตใจการ
้
้
่
แสดงสวนประกอบต่าง ๆ นัน ย่อมทาได ้หลายแบบ สุดแต่วตถุประสงค์จาเพาะของการแสดงแบบนัน ๆ
้
ั
้
ึ่
แต่ในทีนี้ จะแสดงแบบขันธ์ ๕ ซงเป็ นแบบทีนยมในพระสูตรโดยวิธแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรม
่
่ ิ
ิ
ี ิ
ั
่
แยกแยะชวตพร ้อมทังองคาพยพทังหมดทีบัญญัตเรียกว่า สตว์ บุคคล ฯลฯ ออกเป็ นสวนประกอบต่าง
้
้
่
ิ
ๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ
่
๑. รูป ได ้แก่สวนประกอบฝ่ ายรูปธรรมทังหมด ร่างกายและพฤติกรรมทังหมดของร่างกาย หรือสสาร
้
้
และพลังงานเหล่านัน
้
ึ
ึ่
๒. เวทนา ได ้แก่ความรู ้สกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ ซงเกิดจากผัสสะทางประสาททัง ๕ และทางใจ
้
ั
๓. สญญา ได ้แก่ความกาหนดได ้ หรือหมายรู ้ คือ กาหนดรู ้อาการเครืองหมายลักษระต่าง ๆ อันเป็ น
่
เกตุให ้จาอารมณ์นัน ๆ ได ้
้
ังขาร ได ้แก่องค์ประกอบหรือคุณสมบัตตาง ๆ ของจิดมีเจตนาเป็ นตัวนา ซงแต่งจิตให ้ดีหรือชว
ึ่
ั่
๔. ส
ิ ่
หรือเป็ นกลาง ๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกายวาจา ให ้เป็ นไปต่าง ๆ เป็ น
่
ทีมาของกรรม เชน ศรัทธา สติ หิร ิ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทตา อุเบกขา เป็ นต ้น เรียกรวมอย่าง
่
ิ
ง่าย ๆ ว่าเครืองปรุงของความคิดหรือเครืองปรุงของกรรม
่
่
๕. วิญญาณ ได ้แก่ความรู ้แจ ้งอารมณ์ทางประสาททัง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได ้ยิน การได ้
้
ั
ึ่
กลินการรู ้รส การรู ้สมผัสทางกาย และการรู ้อารมณ์ทางใจขันธ์ ๔ ข ้อหลัง ซงเป็ นพวกนามขันธ์ มีข ้อ
่
ั
ั
ควรทาความเข ้าใจเพิมเติม เพือเห็นความหมายชดเจนยิงขึนและเพือป้ องกันความสบสน ดังนี้
่
่
่ ้
่

ั
สญญา
่
เป็ นความรู ้จาพวกหนึง หมายถึง การหมายรู ้ หรือกาหนดรู ้อาการของอารมณ์ เชน ลักษณะ ทรวดทรง
่
ั
ื่
ส ี สณฐาน ฯลฯ ตลอดจนชอเรียก และสมมติบัญญัตตาง ๆ ว่า เขียว ขาว ดา แดง ดัง เบา เป็ นต ้นการ
ิ ่
ิ
หมายรู ้หรือกาหนดนั ้ อาศัยการจับเผชญ หรือ การเทียบเคียงระหว่างประสบการณ์หรือความรู ้เก่ากับ
่
ิ่
ประสบการหรือความรู ้ใหม่ ถ ้าประสบการใหม่ตรงกับประสบการณ์เก่า เชนพบเห็นคนหรือสงของทีเคย
่
ี
รู ้จักแล ้ว ได ้ยินเสยงทีเคยได ้ยินแล ้วถ ้าประสบการใหม่ไม่ตรงกับประสบการณ์เก่า เราย่อมนาเอา
่
่
ประสบการณ์หรือความรูเก่าทีมอยูแล ้วนั นเองมาเทียบเคียงว่าเหมือนกันและไม่เหมือนกันในสวนไหน
่ ี ่
้
ิ่ ้
่
่
อย่างไร แล ้วหมายรู ้สงนันตามคาบอกเล่าหรือตามทีตนกาหนดเอาว่าเป็ นนั่ น เป็ นนี่ ไม่ใชนั่น ไม่ใชนี่
่
ึ
ั
อย่างนีเรียกว่า กาหนดหมายหรือหมายรู ้เพือประโยชน์แก่การศกษาต่อไป ขอแยกสญญาออกอย่าง
้
่
คร่าว ๆ เป็ น ๒ ระดับ คือ
ั
ึ่
๑. สญญาระดับสามัญ ซงกาหนดหมายอาการของอารมณ์ทเกิดขึนหรือเป็ นไปอยูตามปกติธรรมดาของ
ี่
้
่
มันอย่างหนึง
่
ั
ื
ั
ั ้
้
๒. สญญาสบทอด หรือสญญาอย่างซบซอน ทีบางคราวก็ใชคาเรียกให ้ต่างออกไป เฉพาะอย่างยิง
่
่
ั
ั
ั ้
ปปั ญจสญญา อันหมายถึงสญญาเนืองด ้วยอารมณ์ทคดปรุงแต่งขึนให ้ซบซอนพิสดารด ้วยแรงผลักดัน
่
ี่ ิ
้
ึ่
ั
ั้
่ ้
่
ของตัณหามานะและทิฏฐิซงเป็ นสงขารชนนาในฝ่ ายร ้ายอีกอย่างหนึงการแยกเชนนั จะชวยให ้มองเห็น
่
ความหมาย
ั
ั
ั
ของสญญาทีกาลังแสดงบทบาทอยู่ พร ้อมทังความสมพันธ์ระหว่างสญญากับขันธ์อนภายในกระบวน
่
้
ื่
ั
ธรรมได ้ชดเจนยิงขึน
่ ้

วิญญาณ
แปลตามแบบว่า ความรู ้แจ ้ง คือ รู ้แจ ้งอารมณ์ หมายถึง ความรู ้ประเภทยืนพืนหรือความรู ้ทีเป็ นตัวยืน
้
่
เป็ นฐานและเป็ นทางเดินให ้แก่นามขันธ์อน ๆ เกียวข ้องกับนามขันธ์อนทังหมด เป็ นทังความรู ้ต ้น และ
ื่
่
ื่ ้
้
ความรู ้ตาม ทีวาเป็ นความรู ้ต ้น คือเป็ นความรู ้เริมแรก เมือเห็น ได ้ยิน เป็ นต ้น(เกิดวิญญาณขึน) จึงจะ
่ ่
่
่
้
ึ ื่
ั
รู ้สกชนใจ หรือบีบคันใจ(เวทนา) จึงจะกาหนดได ้ว่าเป็ นนั่นเป็ นนี่(สญญา)จึงจะจานงตอบและคิดปรุง
้
ั
่
ึ
ื่
แต่งไปต่าง ๆ (สงขาร)เชน เห็นท ้องฟ้ า(วิญญาณ) รู ้สกสบายตาชนใจ(เวทนา) หมายรู ้ว่า ท ้องฟ้ า ส ี
ั
คราม สดใส ฟ้ าสาย ฟ้ าบ่าย ฟ้ าสวย(สญญา)
เวทนา
ึ
ิ่ ่ ู
ึ่
แปลกันว่า การเสวยอารมณ์ หรือการเสพรสของอารมณ์ คือ ความรู ้สกต่อสงทีถกรับรู ้ ซงจะเกิดขึนทุก
้
ึ
ื่
ครังทีมการรับรู ้ เป็ นความรู ้สกสุข สบาย ถูกใจ ชนใจ หรือทุกข์ บีบคัน เจ็บปวด หรือไม่ก็เฉย ๆ อย่าง
้ ่ ี
้
ั
ั
ใดอย่างหนึงข ้อทีควรทาความเข ้าใจอย่างหนึงเกียวกัยเวทนา เพือป้ องกันความสบสนกับสงขาร คือ
่
่
่ ่
่
่ ั้ ่
เวทนาเป็ นกิจกรรมของจิตในขันรับ กล่าวคือเกียวข ้องกับผลทีอารมณ์มตอจิตเท่านัน ยังไม่ใชขนทีเป็ น
้
่
่
ี ่
้
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา

Contenu connexe

Tendances

วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญาวิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญาPadvee Academy
 
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์pentanino
 
ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...
ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...
ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...Anchalee BuddhaBucha
 
โครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อ
โครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อโครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อ
โครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อAnchalee BuddhaBucha
 
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญาการบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญาพัน พัน
 
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาprimpatcha
 
ธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐาน
ธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐานธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐาน
ธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐานPadvee Academy
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปีPa'rig Prig
 
สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์
สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์
สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์Rath Saadying
 
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญาปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญาpentanino
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปีPa'rig Prig
 
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานแนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานPadvee Academy
 
การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3
การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3
การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3ฟองเพียร ใจติ๊บ
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปีPa'rig Prig
 
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารวิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารPadvee Academy
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปีPa'rig Prig
 

Tendances (20)

วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญาวิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
 
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
 
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
 
ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...
ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...
ศึกษาความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของผู้ป...
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
 
โครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อ
โครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อโครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อ
โครงร่างวิทยานิพนธ์ ใช้การการสอบขออนุมัติหัวข้อ
 
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญาการบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
 
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
 
ธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐาน
ธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐานธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐาน
ธรรมะภาคปฏิบัติ : ประวัติและวิวัฒนาการของการปฏิบัติกรรมฐาน
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่555 3-ปี
 
สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์
สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์
สมาธิกับหลักวิทยาศาสตร์
 
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญาปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่333 3-ปี
 
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายานแนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
แนวคิดและอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน
 
การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3
การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3
การนำเสนอคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้นำ3
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่666 3-ปี
 
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารวิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
 

Similaire à หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา

1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
หน้าที่ของชาวพุทธ
หน้าที่ของชาวพุทธหน้าที่ของชาวพุทธ
หน้าที่ของชาวพุทธprimpatcha
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมniralai
 
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธีPanuwat Beforetwo
 
Paper of triple gem full (final)
Paper of triple gem full (final)Paper of triple gem full (final)
Paper of triple gem full (final)Sarawut Sangnarin
 
Blc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อย
Blc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อยBlc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อย
Blc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อยblcdhamma
 
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrareciteTongsamut vorasan
 
074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาniralai
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน Tongsamut vorasan
 
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพโพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพTongsamut vorasan
 
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพTongsamut vorasan
 
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555Carzanova
 
พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) niralai
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55Kwandjit Boonmak
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55Kwandjit Boonmak
 

Similaire à หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา (20)

1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)
 
งาน
งานงาน
งาน
 
หน้าที่ของชาวพุทธ
หน้าที่ของชาวพุทธหน้าที่ของชาวพุทธ
หน้าที่ของชาวพุทธ
 
9 mantra
9 mantra9 mantra
9 mantra
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
 
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
 
Paper of triple gem full (final)
Paper of triple gem full (final)Paper of triple gem full (final)
Paper of triple gem full (final)
 
Blc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อย
Blc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อยBlc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อย
Blc 40หัวข้อเรื่องธรรมะบทเทศน์สอนใช้บ่อย
 
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
10 สาธยายธรรม ( บทสวดมนต์แนวพุทธ )sutrarecite
 
074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
074หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน สุภีร์ ทุมทอง   สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
สุภีร์ ทุมทอง สติปัฏฐาน ๔ เสันทางตรงสู่พระนิพพาน
 
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพโพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
 
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
 
บทที่ ๓ ใหม่
บทที่ ๓ ใหม่บทที่ ๓ ใหม่
บทที่ ๓ ใหม่
 
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
เชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎก วัดมเหยงคณ์ วันที่ 5 เดือน 5 2555
 
พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55
 

Plus de New Nan

ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1
ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1
ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1New Nan
 
ภูมิศาสตร์ประเทศไทย
ภูมิศาสตร์ประเทศไทยภูมิศาสตร์ประเทศไทย
ภูมิศาสตร์ประเทศไทยNew Nan
 
Korea+final
Korea+finalKorea+final
Korea+finalNew Nan
 
ขุนนางอยุธยา
ขุนนางอยุธยาขุนนางอยุธยา
ขุนนางอยุธยาNew Nan
 
ญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคต
ญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคตญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคต
ญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคตNew Nan
 
ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่
ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่
ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่New Nan
 
โครงสร้างสังคมญี่ปุ่น
โครงสร้างสังคมญี่ปุ่นโครงสร้างสังคมญี่ปุ่น
โครงสร้างสังคมญี่ปุ่นNew Nan
 
ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน
ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน
ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน New Nan
 
7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์
7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์
7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์New Nan
 
200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7
200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7
200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7New Nan
 
ประเภทเถา
ประเภทเถาประเภทเถา
ประเภทเถาNew Nan
 
ประเภทต้น
ประเภทต้นประเภทต้น
ประเภทต้นNew Nan
 
ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)
ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)
ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)New Nan
 
10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ
10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ 10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ
10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ New Nan
 
คู่มือล้างพิษตับและลำไส้
คู่มือล้างพิษตับและลำไส้ คู่มือล้างพิษตับและลำไส้
คู่มือล้างพิษตับและลำไส้ New Nan
 
20 คำที่ทำไม่ได้ +
20 คำที่ทำไม่ได้ +20 คำที่ทำไม่ได้ +
20 คำที่ทำไม่ได้ +New Nan
 
9 อาหารกินแล้วฉลาด !
9 อาหารกินแล้วฉลาด !9 อาหารกินแล้วฉลาด !
9 อาหารกินแล้วฉลาด !New Nan
 
เปิดพื้นที่จริง
เปิดพื้นที่จริงเปิดพื้นที่จริง
เปิดพื้นที่จริงNew Nan
 
กบฏนักมวย
กบฏนักมวยกบฏนักมวย
กบฏนักมวยNew Nan
 
นครปอมเปอี
นครปอมเปอีนครปอมเปอี
นครปอมเปอีNew Nan
 

Plus de New Nan (20)

ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1
ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1
ภูมิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1
 
ภูมิศาสตร์ประเทศไทย
ภูมิศาสตร์ประเทศไทยภูมิศาสตร์ประเทศไทย
ภูมิศาสตร์ประเทศไทย
 
Korea+final
Korea+finalKorea+final
Korea+final
 
ขุนนางอยุธยา
ขุนนางอยุธยาขุนนางอยุธยา
ขุนนางอยุธยา
 
ญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคต
ญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคตญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคต
ญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตสู่อนาคต
 
ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่
ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่
ญี่ปุ่น การก่อตัวเป็นชาติใหม่
 
โครงสร้างสังคมญี่ปุ่น
โครงสร้างสังคมญี่ปุ่นโครงสร้างสังคมญี่ปุ่น
โครงสร้างสังคมญี่ปุ่น
 
ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน
ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน
ไม่เป็นไร ใครๆ เขาก็ทำกัน
 
7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์
7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์
7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์
 
200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7
200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7
200 ทิปลับวินโดวส์ windows 7
 
ประเภทเถา
ประเภทเถาประเภทเถา
ประเภทเถา
 
ประเภทต้น
ประเภทต้นประเภทต้น
ประเภทต้น
 
ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)
ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)
ท่าเด็ด 11 ลีลา (เหมาะสำหรับคู่รักมือใหม่จนถึงคู่รักระดับชิงแชมป์)
 
10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ
10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ 10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ
10 เรื่องบนเตียงที่ผู้ชายทำพลาดประจำ
 
คู่มือล้างพิษตับและลำไส้
คู่มือล้างพิษตับและลำไส้ คู่มือล้างพิษตับและลำไส้
คู่มือล้างพิษตับและลำไส้
 
20 คำที่ทำไม่ได้ +
20 คำที่ทำไม่ได้ +20 คำที่ทำไม่ได้ +
20 คำที่ทำไม่ได้ +
 
9 อาหารกินแล้วฉลาด !
9 อาหารกินแล้วฉลาด !9 อาหารกินแล้วฉลาด !
9 อาหารกินแล้วฉลาด !
 
เปิดพื้นที่จริง
เปิดพื้นที่จริงเปิดพื้นที่จริง
เปิดพื้นที่จริง
 
กบฏนักมวย
กบฏนักมวยกบฏนักมวย
กบฏนักมวย
 
นครปอมเปอี
นครปอมเปอีนครปอมเปอี
นครปอมเปอี
 

หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา

  • 1. หล ักการหรือคาสอนแห่งพระพุทธศาสนา สารบ ัญ – ห ัวข้อ พระพุทธศาสนา คืออะไร ื่ ื่ ชาวพุทธควรเชออย่างไร และเชออะไร หล ักการหรือคาสอนแห่งพระพุทธศาสนา ล ักษณะธรรมในพระพุทธศาสนา ค ัมภีรของพระพุทธศาสนา ์ จุดหมายปลายทางสูงสุดของพระพุทธศาสนา โครงสร้างของพุทธศาสนา หล ักคาสอนทีสาค ัญของพุทธศาสนา ่ ั อริยสจ ๔ ไตรล ักษณ์ เบญจข ันธ์ ปฏิจจสมุปบาท ี เบญจศลเบญจธรรม (หล ักทาคนให้เปนคน) ็ ั สปปุรสธรรม (หล ักการของคนดีแท้)คนดีแท้หรือมนุษย์ท แท้ ิ ี่ ทิศ ๖ หน้าทีเพืออยูรวมก ันด้วยดี ่ ่ ่ ่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ี ิ ฆราวาสธรรม หรือ ธรรมสาหร ับชวตครองเรือน ๔ ประการ โพธิปกขิยธรรม 7 หมวด 37 ประการ ั
  • 2. พระพุทธศาสนา คืออะไร พระพุทธศาสนาอาจมีคาจากัดความและคาอธิบายจากประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ั่ ๑.พระพุทธศาสนา คือ คาสงสอนของพระพุทธเจ ้า (พระพุทธเจ ้า คือ ท่านผู ้ตรัสรู ้ หรือผู ้รู ้อย่างแจ่ม ึ่ ี แจ ้ง) ซงแนะนาให ้ยกฐานะของมนุษยชาติขนสูความบริสทธิ์ สะอาด (ด ้วยศล) ความสงบระงับ (ด ้วย ึ้ ่ ุ สมาธิ) และความเข ้าใจแจ่มแจ ้ง (ด ้วยปั ญญา) ๒.พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาทีพระพุทธเจ ้าทรงก่อตังขึนเพือประโยชน์ของคนหมูมาก เพือความสงบ ่ ้ ้ ่ ่ ่ สุขของคนหมูมาก เพือความสุขของคนหมูมาก และเพืออนุเคราะห์โลก บุคคลจากทุกสาขาความ ่ ่ ่ ่ เป็ นอยู่ อาจนาคาสอนไปประพฤติปฏิบัตได ้ตามความสามารถ และความพอใจของตน ิ ๓.พระพุทธศาสนา เป็ นศาสนาแห่งการพิจารณาเหตุผลและการปฏิบัตเพือชวยตนเอง พึงตนเอง และ ิ ่ ่ ่ ่ ่ ่ ่ ขยายความชวยเหลือไปสูผู ้อืนด ้วยความปรารถนาดี (เมตตา) และความคิดชวยให ้พ ้นทุกข์ (กรุณา) ๔. พระพุทธศาสนา เป็ นทังปรัชญาและการปฏิบัต ิ แม ้จะยอมรับความมีอยูของเทพ แต่ก็มได ้สอนให ้ ้ ่ ิ ื่ ่ ่ เชอในเทพผู ้ยิงใหญ่วาเป็ นสวนสาคัญของศาสนา แต่กลับสอนผู ้นั บถือให ้มีคณธรรม เชน ความละอาย ่ ่ ุ ั่ ั่ ใจทีจะทาความชว (หิร) และความเกรงกลัวทีจะทาความชว (โอตตัปปะ) อันเป็ นคุณธรรมทีทาให ้คน ่ ิ ่ ่ ื่ ่ ู ี เป็ นเทพแทน พระพุทธศาสนาสอนให ้พุทธศาสนิกชนมีคณสมบัต ิ คือ ศรัทธา ความเชอทีถก ศล ความ ุ ประพฤติดงาม สุตตะ การหาความรู ้ จาคะ การเอือเฟื้ อให ้ปั น และปั ญญา ความรู ้แจ ้งเห็นจริง (โปรด ี ้ ั สงเกตว่า ทุกแห่งทีสอนให ้มีศรัทธา จะสอนปั ญญาไว ้กากับเป็ นข ้อสุดท ้ายเสมอ) คุณธรรมเหล่านีทา ่ ้ ี ิ ี ให ้คนเป็ นเทพในชวตนี้ (โดยไม่ต ้องรอให ้ตายเสยก่อน) พระพุทธศาสนาสอนว่า เทพโดยความบริสทธิ์ ุ เป็ นอิสระจากกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง นับว่าเป็ นผู ้ประเสริฐ ๕. พระพุทธศาสนาอาจกล่าวโดยสรุปเพือความเข ้าใจอย่างกว ้าง ๆ ดังต่อไปนี้ ่ ประเทศทีเกิด อินเดีย ่ กาลเวลาทีเกิด ศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตศก ่ ิ ผู ้ก่อตัง พระพุทธเจ ้า (ท่านผู ้ตรัสรู ้) ผู ้เป็ นเจ ้าชายสทธัตถะมาก่อน ผู ้มีพระนามทางพระโคตรว่า "โคต ้ มะ" แห่งศากยวงศ ์ ั่ ้ หลักคาสอน เว ้นความชวทังปวง ทาความดี และชาระจิตใจให ้สะอาด ่ ประเภทของศาสนา เป็ นศาสนาสากล คือ แพร่ออกไปสูหลายประเทศ เป็ นศาสนาอเทวนิยม คือ มิได ้ ถือว่ามีเทพเจ ้าเป็ นศูนย์กลางของคาสอน นิกายทีสาคัญ ่ ้คาสอนดังเดิมเป็ นหลัก ไม่เปลียนแปลงหลักคาสอน) - เถรวาท (ใช ้ ่ - มหายาน (เพิมเติมและเปลียนแปลงหลักบางประการไปจากเดิม) ่ ่
  • 3. ื่ ื่ ชาวพุทธควรเชออย่างไร และเชออะไร ั พระพุทธเจ ้า คือท่านผู ้ตรัสรู ้สจธรรม พระองค์ทรงค ้นพบความจริงอันสูงสุด และมิได ้ทรงบังคับผู ้ใดให ้ ื่ เชออย่างงมงายในคาสอนของพระองค์ ความมีเหตุผลของพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ ้า อยูทการ ่ ี่ ่การตรัสรู ้ เพือทีจะเข ้าใจสภาพ เปิ ดโอกาสให ้มีการสอบสวนอย่างถีถ ้วนในทุกขันตอนแห่งวิถทางไปสู ่ ้ ี ่ ่ แห่งปรากฏการณ์ทังปวง จาเป็ นจะต ้องอาศัยปั ญญาญาณกากับตลอดสาย ้ ั่ ั สมัยหนึงพระพุทธเจ ้าได ้ทรงสงสอนชาวกาลามะ ผู ้อาศยอยูในเกสปุตตนิคม ในราชา ่ ่ ื่ อาณาจักร หรือแคว ้นโกศล ถึงท่าทีอันเหมาะสมเกียวกับความเชอทางศาสนา พระองค์ตรัสว่า "อย่า ่ ือหรือถือเอาสงใด ๆ เพียงการฟั งตามๆ กันมา ,อย่าเชอเพียงทีถอสอกันมา, อย่าเชอเพียงข่าวลือ, ่ ิ่ ื่ ื่ เช ่ ื ื ื่ ื่ ื่ ื่ อย่าเชอโดยอ ้างตารา, อย่าเชอโดยนึกเดาเอา, อย่าเชอโดยการคาดคะเน, อย่าเชอเพียงตรึกคิดไป ื่ ื่ ื่ ื่ ตามอาการ , อย่าเชอเพียงเพราะน่าเชอถือ, อย่าเชอเพียงเพราะว่าสมณะผู ้นีเป็ นครูของเรา ,อย่าเชอ ้ เพียงเพราะความคิดเห็นของตน" และแล ้ว พระพุทธเจ ้าก็ทรงสอนชาวกาลามะต่อไป ให ้พิจารณาทุก ิ่ สงด ้วยตนเองอย่างถีถ ้วน ่ ิ่ "เมือใด ท่านรู ้ด ้วยตนเองว่า สงเหล่านีไม่ด ี นั กปราชญ์ตเตียน เมือรับไว ้และปฏิบัตแล ้ว จะ ่ ้ ิ ่ ิ ่ ิ่ นาไปสูภัยอันตราย ก็จงสละละทิงเสย ในทางตรงกันข ้าม เมือท่านทราบด ้วยตนเองว่า สงเหล่านีไม่ถก ้ ี ่ ้ ู ่ ติเตียน นักปราชญ์สรรเสริญ เมือรับไว ้และปฏิบัตแล ้ว จะนาไปสูประโยชน์และความสุข ก็จงรับไว ้ ่ ิ ปฏิบัต". ิ หล ักการหรือคาสอนแห่งพระพุทธศาสนา ั่ ธรรมะคาสงสอนของพระพุทธเจ ้ามีมากมายทีได ้ทรงตรัสรู ้ไว ้ ถ ้านับเป็ นธรรมขันธ์ (หัวข ้อ)แล ้วมีจานวน ่ ั ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทังนีเพือให ้เหมาะสมแก่อปนิสยใจคอ จริต ฐานะ หรือ ระดับสติปัญญา ้ ้ ่ ุ ของผู ้ฟั ง ของผู ้ประพฤติในรายละเอียดอาจมีตางๆกันไป แต่ในหลักการใหญ่หัวข ้อธรรมเหล่านัน ่ ้ ทังหมดแม ้จะมีมากมายเท่าไหร่ก็พอรวมลงได ้ในหลักทั่วๆไป ๓ ประการ คือ ้ ่ั ๑. ละเว้นความชว อะไรก็ตามทีทาไปทางกาย พูดทางวาจา หรือคิดทางใจแล ้วจะยังผล ่ (๑) ทาให ้ตนเองเดือดร ้อน (๒) ทาให ้คนอืนเดือดร ้อน ่ (๓) ทาให ้ทังตนเองและผู ้อืนเดือดร ้อน ้ ่ (๔) ไม่เป็ นประโยชน์แก่ตนเองและคนอืน ่ ิ่ ั่ สงเหล่านั นจัดว่าเป็ นความชว จะต ้องงด ลด ละ สละ เว ้น หลีกเลียง ห่างไกลให ้ได ้ ้ ่ ๒. หล ักประพฤติความดี อะไรก็ตามทีทาไปทางกาย พูดทางวาจา หรือคิดทางใจแล ้วจะยังผลดี ่ (๑) ไม่ทาให ้ตนเองเดือดร ้อน (๒) ไม่ทาให ้ผู ้อืนเดือดร ้อน ่ (๓) ไม่ทาให ้ตนเองและทังผู ้อืนเดือดร ้อน ้ ่ (๔) เป็ นประโยชน์แก่ตนเองและผู ้อืน ่ ิ่ สงเหล่านั นจัดว่า เป็ นความดี ใครประพฤติปฏิบัตเข ้าก็เรียกว่า ประพฤติด ี ทุกคนควรประพฤติแต่ความดี ้ ิ
  • 4. ิ่ ่ ๓. หล ักชาระใจให้สะอาด อะไรก็ตามทีทาให ้สงทีทา คาทีพด อารมณ์ทคด แล ้วทาให ้จิตใจสะอาด ่ ่ ู ี่ ิ ่ ่ ั ึ่ ประณีตสูงสง ด ้วยคุณธรรม มโนธรรม เชน ทาน สนโดษ เมตตากรุณา ปั ญญา ซงเป็ นเครืองขจัดความ ่ ิ้ โลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็ นเครืองเศร ้าหมองใจให ้บรรเทาเบาบาง จางหาย สูญสนไปจาก ่ ่ ี จิตใจ วิธการมีหลายวิธ ี เชน ด ้วยการรักษาศล เจริญเมตตาภาวนา ฝึ กสมาธิ และวิปัสสนาภาวนา เป็ น ี ิ่ ่ ต ้น อย่าลืมว่า จิตใจเป็ นใหญ่เป็ นสาคัญกว่าสงอืนใดทังสน หลักการชาระจิตใจให ้สะอาดประณีตจึง ้ ิ้ ิ เป็ นหลักการทีสาคัญทีสด เจ ้าชายสทธัตถะได ้ตรัสรู ้เป็ นพระพุทธเจ ้า ก็เพราะสามารถชาระจิตใจให ้ ่ ่ ุ สะอาดประณีตถึงขันสูงสุด คือ หมดจดจากกิเลสเครืองเศร ้าหมองทังมวล เป็ นผู ้มีภาวะจิตบริสทธิโดย ้ ่ ้ ุ ์ แท ้ เรียกว่า พระวิสทธิคณ แม ้คนธรรมดาสามัญจะได ้นามว่าเป็ นพระอริยะสงฆ์ จบกิจพระศาสนาก็ ุ ุ เพราะเข ้าถึงหลักทั่วไปที่ ๓ คือ สามารถทาตนให ้บรรลุภาวะจิตบริสทธินเอง ุ ์ ี้ หลักทั่วไปทัง ๓ ดังกล่าว เป็ นหลักคาสอนของพระพุทธเจ ้าทังหลาย ดังพระบาลีทวา ้ ้ ี่ ่ สพฺพปาปสฺส อกรณ กุสลสฺสปสมฺปทาสจิตฺตปริโยทปน เอต ู ั่ ้ การไม่ทาความชวทังปวงการชาระจิตใจของตนให ้ผ่อง Never do any evil. Purify your minds. กุสลสฺสปสมฺปทาส พุทฺธาน ศาสนฯ ู การบาเพ็ญความดีให ้เกิดขึนนีเป็ นหลักคาสอนของพระพุทธเจ ้าทังหลาย ้ ้ ้ Always do good. These are the Buddhas’s instructions. ล ักษณะธรรมในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได ้ทรงแสดงลักษณะธรรมไว ้ ๘ อย่าง ดังนี้ คือ ๑.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือกาหนัดย ้อมใจ ้ ่ ๒.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือประกอบทุกข์ ้ ่ ๓.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือพอกพูนกิเลส ้ ่ ๔.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือปรารถนาใหญ่ ้ ่ ั ๕.ธรรมนั นต ้องไม่เป็ นไปเพือความไม่สนโดษ(คือมีแล ้วอย่างนี้ อยากได ้อย่างนัน) ้ ่ ้ ๖.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือความเกียจคร ้าน ้ ่ ๗.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือความคลุกคลีด ้วยหมูคณะ ้ ่ ่ ๘.ธรรมนันต ้องไม่เป็ นไปเพือความเลียงยาก ้ ่ ้
  • 5. ค ัมภีรของพระพุทธศาสนา ์ คัมภีรของพระพุทธศาสนา คือ คัมภีรพระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎก แปลว่า "ปิ ฎกสาม" ปิ ฎก แปลตาม ์ ์ ่ ่ ศัพท์พน ๆ ว่ากระจาดหรือตะกร ้า อันเป็ นภาชนะสาหรับใสรวมของต่าง ๆ เข ้าไว ้นามาใชในความหมาย ื้ ว่าเป็ นทีรวบรวมคาสอนในพระพุทธศาสนาทีจัดเป็ นหมวดหมูแล ้วโดยในนีไตรปิ ฎกจึงแปลว่าคัมภีรท ี่ ่ ่ ่ ้ ์ บรรจุพทธพจน์ ๓ ชุดหรือประมวลแห่งคัมภีรทรวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด กล่าวคือ พระวินัยปิ ฎก ุ ์ ี่ พระสุตตันตปิ ฎกและพระอภิธรรมปิ ฎก พระไตรปิ ฎก ึ่ ั่ เป็ นคัมภีรหรือตาราทางพระพุทธศาสนา ซงรวบรวมคาสงสอนของ พระพุทธเจ ้า ไว ้เป็ นหมวดหมู่ แบ่ง ์ ออกเป็ น ๓ ปิ ฎก ด ้วยกันคือ ี ๑. พระวินัยปิ ฎก ว่าด ้วยวินัยหรือศลของ ภิกษุ และภิกษุ ณี ๒. พระสุตตันตปิ ฎก ว่าด ้วยพระธรรมเทศนาโดยทั่วไป มีประวัตและท ้องเรืองประกอบ ิ ่ ๓. พระอภิธรรมปิ ฎก ว่าด ้วยธรรมะล ้วน ไม่มประวัต ิ และท ้องเรืองประกอบ ี ่ แผนผ ังพระไตรปิ ฎก พระวิน ัยปิ ฎก มีอยู่ ๕ หมวดด ้วยกันคือ ี ๑. มหาวิภังค์ ว่าด ้วยข ้อห ้าม หรือวินัยทีเป็ นหลักใหญ่ ๆ ของพระภิกษุ เป็ นศลของภิกษุ ทมาใน ่ ี่ ปาติโมกข์ ๒. ภิกษุ ณีวภังค์ ว่าด ้วยข ้อห ้าม หรือวินัย ของพระภิกษุ ณี ิ ๓. มหาวัคค์ ว่าด ้วยพุทธประวัตตอนแรก และพิธกรรมทางพระวินัย แบ่งออกเป็ นขันธกะ๑๐ ิ ี หมวด ๔. จุลลวัคค์ ว่าด ้วยพิธกรรมทางพระวินัย ความเป็ นมาของพระภิกษุ ณีและประวัตการทา ี ิ ั สงคายนา แบ่งออกเป็ นขันธกะ ๑๒ หมวด ๕. บริวาร ว่าด ้วยข ้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย เป็ นการย่อหัวข ้อสรุปเนือความ วินจฉั ยปั ญหาใน ๔ ้ ิ เรืองข ้างต ้น ่ พระสุตต ันตปิ ฎก มีอยู่ ๕ หมวดด ้วยกันคือ ๑. ทีฆนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดยาว มี ๓๔ สูตร ั้ ๒. มัชฌิมนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดกลาง ไม่ยาวและไม่สนเกินไป มี ๑๕๒ สูตร ั ๓. สงยุตตนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนา ทีประมวลธรรมะไว ้เป็ นพวก ๆ เรียกว่า ่ ั ่ ั ั ั สงยุต เชนกัสสปสงยุต ว่าด ้วยเรืองของพระมหากัสสป โกศลสงยุต ว่าด ้วยเรืองในแคว ้นโกศล มัคคสง ่ ่ ยุต ว่าด ้วยเรืองมรรคคือข ้อปฎิบัต ิ เป็ นต ้น มี ๗,๗๖๒ สูตร ่ ่ ๔. อังคุตตรนิกาย ว่าพระพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเป็ นข ้อ ๆ ตามลาดับจานวน เชน ธรรมะ หมวด ๑ ธรรมะหมวด ๒ ธรรมะหมวด ๑๐ แต่ละข ้อก็มจานวนธรรมะ ๑, ๒, ๑๐ ตามหมวดนัน มี ี ้ ๙,๕๕๗ สูตร ๕. ขุททกนิกาย ว่าด ้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ด รวมทังภาษิตของพระสาวก ้ ประวัตตาง ๆ และชาดก รวบรวมหัวข ้อธรรมทีไม่จัดเข ้าใน ๔ หมวดข ้างต ้น แบ่งเป็ นหัวข ้อใหญ่ม ี ๑๕ ิ ่ ่ เรือง ่
  • 6. พระอภิธรรมปิ ฎก แบ่งออกเป็ น ๗ เรืองด ้วยกันคือ ่ ั ๑. ธัมมสงคณี ว่าด ้วยธรรมะ รวมเป็ นหมวดเป็ นกลุม ่ ๒. วิภังค์ ว่าด ้วยธรรมะแยกเป็ นข ้อ ๆ ๓. ธาตุกถา ว่าด ้วยธรรมะจัดระเบียบความสาคัญโดยถือธาตุเป็ นหลัก ๔. ปุคคลบัญญัต ิ ว่าด ้วยบัญญัต ิ ๖ ชนิด และแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัตอันเกียวกับ ิ ่ บุคคล ๕. กถาวัตถุ ว่าด ้วยคาถามคาตอบในหลักธรรม จานวนหนึงประมาณ ๒๑๙ หัวข ้อเพือถือ ่ ่ ิ เป็ นหลักในการตัดสนพระธรรม ๖. ยมก ว่าด ้วยธรรมะทีรวมเป็ นคู่ ๆ ่ ิ่ ่ ้ ๗. ปั ฏฐาน ว่าด ้วยปั จจัย คือสงทีเกือกูลสนั บสนุน ๒๔ อย่าง ความเปนมาของพระไตรปิ ฎก ็ ๑. พระพุทธเจ ้าทรงแนะนาให ้ร ้อยกรองพระธรรมวินัย สมัยเมือ ่ นิครนถ์ นาฎบุตร เจ ้าลัทธิสาคัญคนหนึงสนชพ พวกสาวกเกิดแตกกัน ่ ิ้ ี ่ ้ พระจุนทเถระเกรงจะเกิดเหตุการณ์เชนนัน ในพระพุทธศาสนา จึง พร ้อมกับพระอานนท์ไปเฝ้ าพระพุทธเจ ้า พระองค์ได ้ทรงตรัสบอกพระ ั จุนทะ ให ้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทาสงคายนา คือจัดระเบียบทังโดยอรรถและพยัญชนะ ้ เพือให ้พรหมจรรย์ตงมั่นต่อไป ่ ั้ ๒. พระสารีบตรแนะนาให ้ร ้อยกรองพระธรรมวินัย ในห ้วงเวลาเดียวกันนัน คาวันหนึง เมือพระผู ้มี ุ ้ ่ ่ ่ พระภาคแสดงธรรมจบแล ้ว ได ้มอบหมายให ้พระสารีบตรแสดงธรรมต่อ พระสารีบตรได ้แนะนาให ้ ุ ุ รวบรวม ร ้อยกรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมูธรรมะเป็ นข ้อ ๆ ตังแต่ข ้อ ๑ ถึงข ้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะใดบ ้างอยู่ ่ ้ ในหมวดนัน ๆ พระผู ้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็ นเรืองทีถกต ้อง เห็นว่าบรรดาพระภิกษุ ทังหลายยังใคร่ ้ ่ ่ ู ้ จะฟั งธรรมต่อไปอีก พระองค์จงได ้มอบหมายให ้พระสารีบตร แสดงธรรมแทน พระสารีบตรได ้ แนะนา ึ ุ ุ ให ้รวบรวมร ้อยกรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมวดหมูธรรมะเป็ นข ้อ ๆ ตังแต่ข ้อ ๑ ถึงข ้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะ ่ ้ ึ่ ใดบ ้างอยูหมวด ๑ หมวด ๒ จนถึงหมวด ๑๐ ซงพระผู ้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็ นเรืองทีถกต ้อง ่ ่ ่ ู ั ๓. พระมหากัสสป เป็ นผู ้ริเริมให ้มีการสงคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให ้เป็ นหมวดหมู่ ่ ๔. พระอานนท์ เป็ นผู ้ทีทรงจาพระพุทธวรนะไว ้ได ้มาก เป็ นพุทธอุปฐาก ได ้ขอพร หรือขอรับ ่ ่ ่ เงือนไขจาก พระพุทธเจ ้า ๘ ประการ ในเงือนไขประการที่ ๗ และประการที่ ๘ มีสวนชวยในการ ่ ่ ั ั สงคายนาพระธรรมวินัยมาก กล่าวคือ ประการที่ ๗ ถ ้าความสงสยของข ้าพระองค์เกิดขึนเมือใด ขอให ้ ้ ่ ได ้เข ้าเฝ้ าทูลถามเมือนัน ประการที่ ๘ ถ ้าพระองค์แสดงข ้อความอันใด ในทีลับหลังข ้าพระองค์ ครัน ่ ้ ่ ้ เสด็จมาแล ้ว จักตรัสบอกข ้อความอันนัน แก่ข ้าพระองค์ ทังนีโดยเฉพาะประการที่ ๘ อันเป็ นข ้อสุดท ้าย ้ ้ ้ มีเหตุผลว่า ถ ้ามีใครถามท่านในทีลับหลัง พระพุทธเจ ้าว่า คาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี้ พระผู ้มีพระภาคแสดง ่ ทีไหน ถ ้าพระอานนท์ตอบไม่ได ้ ก็จะมีผู ้กล่าวว่า พระอานนท์ตามเสด็จพระศาสดาไปดุจเงาตามตัว แม ้ ่ เพียงเรืองเท่านีก็ไม่รู ้ดังนัน เมือพระพุทธเจ ้าปรินพพานแล ้ว พระอานนท์จงได ้รับหน ้าทีตอบคาถาม ่ ้ ้ ่ ิ ึ ่ ั เกียวกับพระธรรม ในคราวสงคายนาครังแรก หลังพุทธปรินพพาน ๓ เดือนในสมัยทียังไม่มการจดจารึก ่ ้ ิ ่ ี ่ เรืองราวไว ้ เป็ นตัวอักษรอย่างกว ้างขวางเชนในปั จจุบัน มนุษย์จงต ้องอาศัยความจาเป็ นเครืองสาคัญ ่ ึ ่ ในการบันทึกเรืองราวนัน ๆ ไว ้ แล ้วบอกเล่าต่อ ๆ กันมา การทรงจาและบอกต่อ ๆ กันมาด ้วยปากนี้ ่ ้ เรียกว่า มุขปาฐะ ี่ ๕. พระอุบาลี เป็ นผู ้ทีสนใจและจดจาพระธรรมพระวินัยได ้เป็ นพิเศษ มีความเชยวชาญใน พระ ่ ั วินัย ในการทาสงคายนาครังแรก พระอุบาลีได ้รับมอบหมายให ้เป็ นผู ้ตอบคาถามเกียวกับ พระวินัยปิ ฎก ้ ่ ่ ๖. พระโสณกุฎกัณณะ เป็ นผู ้ทีทรงจาได ้ดีมาก เคยท่องจาบางสวนของ พระสุตตันตปิ ฎก เฉพาะ ิ ่ พระพักตร์ของพระพุทธเจ ้า ได ้รับสรรเสริญว่าทรงจาได ้ดีมากรวมทังท่วงทานองในการกล่าว ว่าไพเราะ ้ สละสลวย แสดงให ้เห็นถึง การท่องจาพระธรรมวินัย ได ้มีมา ตังแต่ครังพระพุทธเจ ้า ้ ้
  • 7. นอกจากนียังมียังมีตาราพุทธศาสนาทีแสดงคาสอนเป็ นลาดับ ได ้แก่ ้ ่ ึ่ ๑.อรรถกถา เป็ นตาราอธิบายพระไตรปิ ฎกซงแต่งโดยอาจารย์ ในกาลต่อมา ทีเรียกว่า พระอรรถ ่ ั้ กถาจารย์ เป็ นเนือความสอนชนที่ ๒ รองจากพระไตรปิ ฎก ้ ึ่ ๒.ฎีกา เป็ นตาราอธิบายขยายความอรรถกถา ซงแต่งโดยอาจารย์ทเรียกว่า พระฎีกาจารย์ ถือเป็ น ี่ ั้ ตาราชนที่ ๓ ึ่ ๓.อนุฎกา เป็ นตาราอธิบายขยายความดีกา หรือเรืองเกร็ดย่อยเบ็ดเตล็ด ซงเขียนโดยอาจารย์ท ี่ ี ่ ั้ เรียกว่า พระอนุฎกาจารย์ เป็ นตาราชนที่ ๔ ี นอกจากนันยังมีเพิมเข ้าอีก 5 คัมภีร ์ คือ ้ ่ ๑. มธุ ได ้แก่ คัมภีรปรับปรุงใหม่ให ้มีรสหวานปานนาผึง ์ ้ ึ่ ๒. กนิษฐคันถะ ได ้แก่ คัมภีรนวก ้อย ซงเป็ นฎีกาอรรถกถานิวก ้อย ์ ิ้ ้ ๓. คัณฐิ ได ้แก่ คัมภีรชเงือนหรือปมสาคัญ ์ ี้ ่ ๔. คันถันตระ ได ้แก่ คัมภีรนอกสายพระไตรปิ ฎก ์ ๕. โยชนา ได ้แก่ คัมภีรแสสสดงการสร ้างประโยคและแปลความหมายของภาษาบาลี ์ จุดหมายปลายทางสูงสุดของพระพุทธศาสนา ี ิ ศาสนาพุทธมีจดหมายปลายทางสูงสุดของชวตอันเป็ นความสงบสุขอย่างนิรันดรและอย่างแท ้จริง ุ ึ่ ึ่ คือ พระนิพพาน ซงได ้แก่ ความดับอย่างสนิทซงความทุกข์ ความเดือดร ้อนโดยดับกิเลส อันเป็ น ี ิ ต ้นเหตุแห่งความทุกข์ความเดือดร ้อน วิธทจะบรรลุจดหมายสูงสุดของชวตได ้นั น ชาวพุทธจะต ้อง ี ี่ ุ ้ ปฏิบัตตามอริยมรรค มีองค์ ๘ โดยเคร่งครัดและถูกต ้อง ิ
  • 8. โครงสร้างของพุทธศาสนา ศาสนาพุทธประกอบด ้วยโครงสร ้างสาคัญ 3 ประการทีเรียกว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม ่ พระสงฆ์ ิ่ ั่ พระพุทธ คือ พระพุทธเจ ้า หมายถึง ผู ้ทีได ้ตรัสรู ้ความจริงของสรรพสงด ้วยพระองค์เองและได ้ทรงสง ่ สอนชาวโลกให ้รู ้แจ ้งตามทีพระองค์ทรงตรัสรู ้มา ่ ึ่ ั พระธรรม คือ คาสอนของพระพุทธเจ ้า ซงถือว่าเป็ นสจธรรมอานวยผลประโยชน์แก่ผู ้ปฏิบัตตามอย่าง ิ แท ้จริง ั่ พระสงฆ์ คือ พระสาวกผู ้ประพฤติปฏิบัตตามพระธรรมคาสงสอนของพระพุทธเจ ้า จนได ้รับผลแห่งการ ิ ื ปฏิบัต ิ แล ้วนาคาสอนของพระพุทธเจ ้ามาเผยแพร่ยังพุทธศาสนิกชน ถือเป็ นผู ้สบทอดพระศาสนา หล ักคาสอนทีสาค ัญของพุทธศาสนา ่ ่ ึ หลักคาสอนในพระพุทธศาสนามีมากมาย เชน หลักทั่วไป หลักเกียวกับการพึงตนเอง หลักการศกษา ่ ่ ั ั หลักการปกครอง หลักสงคมสงเคราะห์ หลักเรืองมนุษย์สมพันธ์ หลักจริยศาสตร์ หลักแห่งกรรม หลัก ่ ั ั อริยสจ 4 และหลักอุดมคติสงสุด เพือให ้เหมาะสมกับระยะเวลา มีหลักสาคัญอยู่ 3 เรือง คือ อริยสจ 4 ู ่ ่ และขันธ์ 4 ไตรลักษณ์ ั อริยสจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงของท่านประเสริฐ หรือจะ แปลว่าความ จริงทีทาให ้บุคคลประเสริฐได ้ ่ ั อริยสจ 4 หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ ทุกข์ คือ ความจริงทีวาด ้วยความทุกข์ ทังกายและใจ ่ ่ ้ ึ่ สมุท ัย หมายถึง เหตุแห่งการเกิดทุกข์ ซงได ้แก่ ตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวัฒหา นิโรธ หมายถึง การดับทุกข์ คือ การดับตัณหาทัง 3 ประการ อันเป็ นเหตุแห่งทุกข์ ้ ี ิ มรรค มีองค์ 8 นี้ จัดได ้เป็ น 3 หมวด คือ ศล สมาธิ และปั ญญา เรียกว่า ไตรสกขา ดังนี้ คือ ี ี -หมวดศล คือ การเจรจาชอบ การประพฤติชอบ การเลียงชพชอบ ้ -หมวดสมาธิ คือ ความเพียรชอบ การมีสติชอบ การตังใจชอบ ้ -หมวดปั ญญา คือ ความเห็นชอบ ความดาริชอบ
  • 9. ไตรล ักษณ์ แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึง กฎแห่งธรรมชาติทตายตัว แน่นอนหรือ ี่ ิ่ ้ เรียกอีกอย่างหนึงว่า สามัญลักษณะ แปลว่า ลักษณะสามัญทั่วไปของสงทังหลายทังปวงทีมปัจจัยปรุง ่ ้ ่ ี แต่งหรือขึนอยูกับเหตุปัจจัย ย่อมตกอยูภายใต ้กฎธรรมชาติสาคัญ 3 ประการ คือ ้ ่ ่ ิ่ ้ 1. อนิจตา คือ ความไม่เทียงของสงทังปวง ไม่วาจะเป็ นร่างกาย จิตใจ วัตถุหรือบุคคลทั่วไป ล ้วนเป็ น ่ ่ ิ่ ่ สงทีไม่เทียงในคัมภีรของพุทธศาสนาได ้กล่าวไว ้มีใจความเกียวกับความ ่ ์ ่ ไม่เทียง คือ ลักษณะสาคัญอย่างหนึงของโลกทังหลายทังปวง รวมทังเทวโลกด ้วย ล ้วนไม่เทียง ่ ่ ้ ้ ้ ่ ึ่ 2. ทุกขตา คือ ความเป็ นทุกข์ ซงความทุกข์ในไตรลักษณ์ หมายรวมถึง ความทุกข์ทกรูปแบบทัง ุ ้ ั ทุกขเวทนาในขันธ์ 5 ทุกข์ในอริยสจ 4 ิ่ ้ 3. อนัตตา คือ ความไม่มตัวตน หมายถึง สงทังหลาย ทังรูปธรรมและนามธรรม ล ้วนไม่มตัวตน ี ้ ี ข ันธ์ 5 มาจากคาว่า ปั ญจขันธ์ หรือเบญจขันธ์ หมายถึง กายกับใจ แบ่งออกเป็ น 5 กอง คือ 1. รูปขันธ์ คือ ร่างกาย ประกอบด ้วย ดิน น้ า ลม ไฟ ดิน คือกระดูก น้ า คือเลือด น้ าเหลือง ลม คือลม หายใจ ไฟ คือความร ้อนในร่างกาย ึ ่ ั ั ี ั 2. เวทนาขันธ์ คือ ความรู ้สกทีเกิดจากประสาทสมผัสทัง 5 สมผัสกับรูป รส กลิน เสยง และสมผัส ้ ่ ั 3. สญญาขันธ์ คือ ความจาได ้หมายรู ้ ั ิ่ ั่ 4. สงขารขันธ์ คือ ความคิด เป็ นสงปรุงแต่งจิตใจ ผลักดันให ้มนุษย์ คิดดี - คิดชว ั 5. วิญญาณขันธ์ คือ ความรู ้อารมณ์ คือ การรับรู ้ผ่าน ประสาทสมผัส คือ ตา หู จมูก ลิน กาย และใจ ้ ั คือ การเห็นการ การได ้ยิน การได ้กลิน การรู ้รส การสมผัสทางกายและการคิด ่ ่ สวนหล ักคาสอนทวไป คือ :่ั ี เบญจศลเบญจธรรม (หลักทาคนเต็มคน) ั สปปุรสธรรม (หลักการของคนดีแท ้) ิ ทิศ ๖ หน ้าทีเพืออยูรวมกันด ้วยดี ่ ่ ่ ่ อริยมรรคมีองค์ ๘
  • 10. ั อริยสจ ๔ ั อริยสจ ๔ ประการ ได ้แก่ ๑. ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ทีชอว่าทุกข์เพราะทนได ้ยาก ่ ื่ ๒. สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ได ้แก่ตัณหา คือความทะยานอยาก ิ้ ิ ๓. นิโรธ ความดับทุกข์ ได ้แก่ดับตัณหาให ้สนเชง ๔. มรรค ข ้อปฏิบัตให ้ถึงความดับทุกข์ ได ้แก่อริยมรรค ๘ ประการ ิ ั ึ่ ั อริยสจ ๔ ประการนี้ เป็ นหลักคาสอนทีสาคัญของพระพุทธเจ ้า ซงพระองค์ทรงแสดงไว ้อย่างชดแจ ้งใน ่ ิ ธรรมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดปั ญจักวัคคียทัง ๕ ณ ป่ าอิสปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณส ี ปั จจุบัน ์ ้ นีเรียกว่า "สารนาถ" ในวันขึน ๑๕ คา เดือน ๘ ทีเราเรียกวันนีวา "อาสาฬหบูชา"พระธรรมเทศนากัณฑ์ ้ ้ ่ ่ ้ ่ นีมชอเรียกอีกอย่างหนึงว่า "ปฐมเทศนา" คือ การเทศกัณฑ์แรกของพระพุทธเจ ้าหลังจากตรัสรู ้แล ้ว ้ ี ื่ ่ ั ปฐมเทศนามีหลักฐานอยูในพระไตรปิ ฎกอย่างสมบูรณ์ คาว่า "สจจะ" แปลว่า ความจริง มี ๔ ประการ ่ คือ ๑. สมมุตสจ ความจริงโดยการสมมุต ิ คือความจริทไม่เป็ นจริง เพียงแต่เราสมมุตขนเท่านัน ิ ั ี่ ิ ึ้ ้ ั ึ่ ๒. สภาวสจ ความจริงโดยสภาวะ คือความจริงทีเป็ นจริง ซงได ้มาจากการค ้นคว ้าวิจัย ทดลอง ่ ้ จนสามรถนามาใชประโยชน์ได ้ เป็ นต ้น ั ๓. อันติมสจ ความจริงขันสุดท ้าย หมายถึงความจริงทีได ้วิเคราะห์จนถึงทีสดแล ้วไม่มอะไรจริง ้ ่ ่ ุ ี ยิงไปกว่านัน ่ ้ ั ๔. อริยสจ ความจริงอันประเสริฐทาให ้ผู ้ปฏิบัตหลุดพ ้นจากกองกิเลสทังหลายกลายเป็ นหระ ิ ้ อริยเจ ้า ั อริยสจข้อที่ ๑ ทุกข์ ี คาว่า "ทุกข์" นี้ ตามความหมายทั่วไป ก็หมายถึงความทุกข์มาน ความเจ็บปวดความโศกเสร ้า เสยใจ แต่คาว่าทุกข์ใน ั ี ิ อริยสจข ้อที่ ๑ นี้ เป็ นความทุกข์ทแฝงทัศนะทางพุทศาสนาเกียวกับชวตและโลกเอาไว ้ ย่อมมี ี่ ่ ั ความหมายทางปรัชญาทีลกซงกว่า เป็ นทียอมรับกันว่า คาว่า ทุกข์ ในอริยสจ ข ้อที่ ๑ นัน รวมถึง ่ ึ ึ้ ่ ้ ่ ความหมายของทุกข์ตามปรกติธรรมดา เชน ทุกข์ทรมาน ความเจ็บ ปวด เข ้าไว ้ด ้วย และรวมถึง ่ ความคิดทีลกซงเข ้าไปด ้วยกันด ้วย เชน ความไม่แน่นอน ความว่างเปล่า ความไม่สมหวัง ความไม่ม ี ่ ึ ึ้ ั แก่นสาร เป็ นต ้น พระพุทธเจ ้าทรงตรัสทุกข์ไว ้ในธรรมจักกัปปวัตนสูตร ตอนทีวาด ้วยอริยสจได ้แบ่ง ่ ่ ทุกข์ออกเป็ น ๒ ประการคือ ๑. สภาวทุกข์ ทุกประจา ได ้แก่ ความเกิด ความแก่ และความตาย เป็ นทุกข์ ี ๒. ปกิณณกทุกข์ ทุกข์จร ได ้แก่ ความเศร ้าโศก เสยใจ ร่าไห ้ ราพัน ความผิดหวัง เป็ นทุกข์ ั อริยสจข้อที่ ๒ สมุท ัย สมุทัย คือ เหตุเกิดทุกข์ อันเกิดจากตัณหาคือ ความอยากทีมอยูในจิตใจของแต่ละคนทาให ้คนเกิด ่ ุ ่ ทุกข์ในขณะทีลทธิตาง ๆสอนว่า ความทุกข์นันเกิดจากพระผู ้เป็ นเจ ้าผู ้เป็ นใหญ่บนสวรรค์ บันดาลให ้ ่ ี ่ ้ ี้ มนุษย์เป็ นไปต่าง ๆ กัน แต่พระพุทธเจ ้าทรงชไปทีตัณหา คือความอยากเท่านันว่าทาให ้คนเกิดทุกข์ ่ ้ ตัณหา ๓ ได ้แก่ ี ก. กามตัณหา อยากได ้กามคุณ ได ้แก่ รูป เสยง กลิน รส โผฏฐัพพะ จัดเป็ นกามตัณหา ่ ข. ภวตัณหา อยากได ้ในภาวะของตัวตนทีจะได ้จะเป็ นอย่างใดอย่างหนึง ่ ่ ่ ค. วิภวตัณหา อยากไม่ให ้มี อยากไม่ให ้เป็ น เชนอยากหนีภาวะทีคับแค ้น ่
  • 11. ั อริยสจข้อที่ ๓ นิโรธ นิโรธ คือ ความดับทุกข์ การสละ การสลัดออก ความดับทุกข์ ได ้แก่ นิพพานนั่นเอง คานิยามของ นิพพาน หมายถึง การดับด ้วยการสารอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหา ความว่า ความปล่อยวาง ความไม่ ั อาลัย "ธรรมเป็ นทีระงับสงขารทังปวง ธรรมเป็ นทีสละคืออุปธิทังปวง ธรรมเป็ นทีสนตัณหาธรรมเป็ นที่ ่ ้ ่ ้ ่ ิ้ สารอก ธรรมเป็ นทีดับ คือ นิพพาน" ่ ั อริยสจข้อที่ ๔ มรรค มรรค แปลว่า หนทาง หมายถึงข ้อปฏิบัตให ้ถึงความดับทุกข์ มรรคนีเป็ นทางสายกลางทีเรียกว่า ิ ้ ่ มัชฌิมาปฏิปทา เพราะมีทางปฏิบัตทแตกต่างกันออกไปคือ ิ ี่ ๑.ประเภททีหย่อนเกินไป ร่างกายและจิตใจหมกมุนมัวเมาอยูในกามารมณ์ เรียนว่า กามสุขลลิกานุโยค ่ ่ ่ ั ๒. ประเภททีตงเกินไป มีการทรมานตนให ้ได ้รับความลาบาก ทุกข์ทรมานอย่างหนักเรียกว่า อัตตกิลม ่ ึ ถานุโยค การบาเพ็ญทังสองวิธนี้ พระพุทธเจ ้าได ้ทรงทดลองมาแล ้วตอนบาเพ็ญทุกรกิรยาก่อนตรัสรู ้ เมีอ ้ ี ิ ่ ึ่ ทดลองจนถึงทีสดแล ้ว ก็ไม่พ ้นทุกข์จงได ้ค ้นพบวิธปฏิบัตใหม่ ซงเป็ นวิธทไม่หย่อนเกินไป และไม่ตง ่ ุ ึ ี ิ ี ี่ ึ ึ่ เกินไป เป็ นการปฏิบัตอยูในสายกลาง ทางสายกลางนีเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ซงประกอบด ้วยองค์ ๘ ิ ่ ้ ประการ คือ ๑. ความเห็นชอบ ๒. ความดาริชอบ ๓. การเจรจาชอบ ๔. การงานชอบ ี ๕. เลียงชพชอบ ้ ๖. พยายามชอบ ๗. ระลึกชอบ ๘. ตังใจชอบ ้ ั ้ อริยสจทัง ๔ ประการนี้ ถือว่าเป็ นหลักคาสอนทีคลุมธรรมทังหมด โดยเฉพาะทางสายกลางทังหมดนี้ ่ ้ ้ เป็ นคาสอนของพระพุทธเจ ้า พระองค์ทรงแสดงสายกลางนีตลอดมาเป็ นระยะเวลานาน แก่บคคลหลาย ้ ุ ประเภททีแตกต่างกัน ตามกาลังสติปัญญาและความสามารถของแต่ลบุคคลทีจะเข ้าใจและปฏิบัตตาม ่ ่ ิ พระองค์ได ้การปฏิบัตตามมรรค ๘ ประการ หรือทางสายกลางนีต ้องทาให ้เกียวเนืองกันครบทุกข ้อ แต่ ิ ้ ่ ่ ละข ้อเป็ นทางปฏิบัตทสมพันธ์กัน มรรคทัง ๘ ประการนีมจดมุงหมายอยูทการอบรมฝึ กฝนตนตาม ิ ี่ ั ้ ้ ี ุ ่ ่ ี่ ึ่ หลักสูตรของพระพุทธศาสนาซงมีสาระอยู่ ๓ ประการ คือ ี ก. การประพฤติตามหลักจรรยา (ศล) ข. การฝึ กฝนอบรมทางใจ (สมาธิ) ค. การให ้เกิดความรู ้อย่างแท ้จริง (ปั ญญา)
  • 12. ั หล ักการรูอริยสจ ๔ ้ ั ้ ั ่ ื การรู ้อริยสจนั น จะต ้องมีหลักเกณฑ์ในการรู ้ทีแน่นอนตายตัว การรู ้อริยสจทีถอว่าจบเกณฑ์นัน จะต ้องรู ้ ่ ้ ั ๓ รอบ รู ้ในญาณทัง ๓ คือ สจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ เรียกว่า ปริวต ิ ครังละ ๔ รวมเป็ น ๑๒ ้ ั ้ ครังดังนี้ ้ ั รอบที่ ๑ สจจญาณ คือรู ้ว่า ี ิ ๑. ทุกข์มจริง ชวตคลุกเคล ้าด ้วยควมทุกข์จริง ี ๒. สมุทัย เป็ นเหตุเกิดทุกข์จริง ๓. นิโรธ ความดับทุกข์มจริง ี ้ ๔. มรรค เป็ นทางไปสูความดับทุกข์จริง รอบที่ ๒ กิจจญาณ คือรู ้ว่า ิ่ ่ ๑. ทุกข์ เป็ นสงทีควรกาหนดรู ้ ิ่ ่ ๒. สมุทัย เป็ นสงทีควรละ ๓. นิโรธ ความดับทุกข์ควรทาให ้แจ ้งขึนในใจ ้ ๔. มรรค ควรบาเพ็ญให ้เกิดขึน ้ รอบที่ ๓ กตญาณ คือรู ้ว่า ๑. ทุกข์ เราได ้กาหนดรู ้แล ้ว ๒. สมุทัย เราได ้ละแล ้ว ๓. นิโรธ เราได ้ทาให ้แจ ้งแล ้ว ๔. มรรค เราได ้บาเพ็ญให ้เกิดมีครบถ ้วนแล ้ว ไตรล ักษณ์ ึ่ ไตรลักษณ์ เป็ นกฎสาคัญแห่งธรรมชาติ ซงมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ ๑. อนิจจัง ความไม่เทียง ่ ๒. ทุกขัง ความทนอยูไม่ได ้ ่ ่ ๓. อนั ตตา ความไม่ใชตัวตน ่ ตามหลักพุทธธรรมเบืองต ้นทีวา สงทังหลายเกิดจากสวนประกอบต่าง ๆ มาประชุมกันเข ้า หรือมีอยูใน ้ ่ ่ ิ่ ้ ่ ่ ่ ่ รูปของการรวมตัวเข ้าด ้วยกันของสวนประกอบต่าง ๆ นัน มิใชหมายความว่าเป็ นการนาเอาสวนประกอบ ้ ิ้ ทีเป็ นชน ๆ อัน ๆ อยูแล ้วมาประกอบเข ้าด ้วยกัน และเมือประกอบเข ้าด ้วยกันแล ้วก็เกิดเป็ นรูปเป็ นร่าง ่ ่ ่
  • 13. ิ่ ้ คุมกันอยูเหมือนเมือเอาวัตถุตาง ๆ มาราวมกันเป็ นเครืองอุปกรณ์ตาง ๆ ความจริงทีกล่าวว่าสงทังหลาย ่ ่ ่ ่ ่ ่ ่ เกิดจากการประชุมกันของสวนประกอบต่าง ๆ นั น เป็ นเพียงคากล่าวเพือเข ้าใจง่าย ๆ ในเบืองต ้น ้ ่ ้ ิ่ ้ ่ เท่านัน แท ้จริงแล ้วสงทังหลายมีอยูในรูปของกระแส สวนประกอบแต่ละอย่าง ๆ ล ้วนประกอบขึนจาก ้ ่ ้ ่ สวนประกอบอืน ๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มตัวตนของมันอิสระ ล ้วนเกิดดับต่อกันไปเรือง ไม่เทียงไม่ ่ ี ่ ่ คงทีกระแสนีไหลเวียนหรือดาเนินต่อไปอย่างทีดคล ้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว ้ได ้อย่าง ่ ้ ่ ู ค่อยเป็ นไป ่ ั ึ่ ื ก็เพราะสวนประกอบทังหลายมีความสมพันธ์เนืองอาศัยซงกันและกันเป็ นเหตุปัจจัยสบต่อแก่กันอย่าง ้ ่ ่ หนึง และเพราะสวนประกอบเหล่านันแต่ละอย่างล ้วนไม่มตัวตนของมันเอง และไม่เทียงแท ้คงทีอย่าง ่ ้ ี ่ ่ ั หนึงความเป็ นไปต่างๆทังหมดนีเป็ นไปตามธรรมชาติอาศัยความสมพันธ์และความเป็ นปั จจัยเนือง ่ ้ ้ ่ ิ่ ้ อาศัยกันของสงทังหลายเอง ไม่มตัวการอย่างอืนทีนอกเหนือออกไปในฐานะผู ้สร ้างหรือผู ้บันดาล จึง ี ่ ่ เรียกเพือเข ้าใจง่าย ๆ ว่าเป็ นกฎธรรมชาติมหลักธรรมใหญ่อยู่ ๒ หมวดทีถอได ้ว่าพระพุทธเจ ้าทรง ่ ี ่ ื แสดงในรูปของกฎธรรมชาติ คือ ไตรลักษณ์แลปฏิจจสมุปบาท ความจริงธรรมทัง ๒ หมวดนีถอได ้ว่า ้ ้ ื เป็ นกฎเดียวกัน แต่แสดงในคนละแง่หรือคนละแนว เพือมองเห็นความจริงอย่างเดียวกัน คือ ไตร ่ ิ่ ้ ึ่ ลักษณ์ มุงแสดงลักษณืของสงทังหลายซงปรากฏให ้เห็นว่าเป็ นอย่างนั น ในเมือสงเหล่านั นเป็ นไป่ โดย ่ ้ ่ ิ่ ้ ื ่ อาการทีสมพันธ์เนืองอาศัยเป็ นเหตุปัจจัยสบต่อแก่กันตามหลักปฏิจจสมุปบาท สวนหลักปฏิจจสมุป ่ ั ่ ั ื บาทก็มงแสดงถึงอาการทีสงทังหลายมีความสมพันธ์เนืองอาศัยเป็ นเหตุปัจจัยสบต่อแก่กันเป็ นกระแส ุ่ ่ ิ่ ้ ่ จนมองเห็นลักษณ์ได ้ว่าเป็ นไตรลักษณ์ กฎธรรมชาตินี้ เป็ น ธรรมธาตุ คือภาวะทีทรงตัวอยูโดยธรรมดา เป็ น ธรรมฐิต ิ คือภาวะทีตงอยู่ หรือยืน ่ ่ ่ ั้ ตัวเป็ นหลักแน่นอนอยูโดยธรรมดา เป็ น ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติ หรือกาหนดแห่งธรรมดาไม่ ่ เกียวกับผู ้สร ้างผู ้บันดาล หรือการเกิดขึนของศาสนาหรือศาสดาใด ๆ กฎธรรมชาตินัแสดงฐานะของ ่ ้ ้ ี้ ศาสดาในความหมายของพุทธธรรมด ้วยว่าเป็ นผู ้ค ้นพบกฎเหล่านั แล ้วนามาเปิ ดเผยชแจงแก่ชาวโลก ้ ไตรลักษณ์นัน มีพทธพจน์แสดงหลักไว ้ในรูปของกฎธรรมชาติวาดังนี้"ตถาคต ทังหลายจะอุบัตหรือไม่ ้ ุ ่ ้ ิ ก็ตาม ธาตุ นันก็ยังคงมีอยู่ เป็ นธรรมฐิต ิ เป็ นธรรมนิยามว่า ้ ั ๑. สงขารทังปวง ไม่เทียง............. ้ ่ ั ๒. สงขารทังปวง เป็ นทุกข์.............. ้ ๓. ธรรมทังปวง เป็ นอนัตตา................ ้ ตถาคตตรัสรู ้เข ้าถึงหลักนันแล ้ว จึงบอก แสดง วางเป็ นแบบ ตังเป็ นหลัก เปิ ดเผยแจกแจง ทาให ้เข ้าใจ ้ ้ ั ั ง่ายว่า " สงขารทังปวงไม่เทียง......สงขารทังปวง เป็ นทุกข์.............ธรรมทังปวง เป็ นอนัตตา....... ้ ่ ้ ้ ิ่ ้ ไตรลักษณ์นเรียกอีกอย่างหนึงว่า สามัญลักษณ์ แปลว่าลักษณะทีทั่วไป หรือเสมอเหมือนกันแก่สงทัง ี้ ่ ่ ึ่ ปวงซงได ้ความหมายเท่ากัน
  • 14. คาอธิบายไตรล ักษณ์ตามหล ักวิชาในค ัมภีร ์ ถ ้ายกเอาหลักธรรมนิยามทีแสดงไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณธ ๓ อย่าง มาตังเป็ นหัวข ้ออีกครังหนึง ่ ้ ้ ่ ึ้ ่ ้ เพืออธิบายให ้ลึกซงยิงขึนไป ตามแนวหลักวิชาทีมหลักฐานอยูในคัมภีรตาง ๆ ดังนี้ ่ ่ ี ่ ์ ่ ั ก. สงขารทังหลายทังปวง ไม่เทียง ้ ้ ่ ั ข. สงขารทังหลายทังปวง เป็ นทุกข์ ้ ้ ค. ธรรมทังหลายทังปวง เป็ นอนัตตา ้ ้ ั ้ สงขารทังปวงไม่เทียง เรียกตามคาบาลีวา เป็ น อนิจจ์ หรือ อนิจจะ แต่ในภาษาไทยนิยมใชคาว่า ้ ่ ่ ิ่ อนิจจังความไม่เทียง ความเป็ นสงไม่เทียง หรือภาวะทีเป็ นอนิจจ์รหืออนิจจัง นัน เรียกเป็ นคาศัพท์ตาม ่ ่ ่ ้ บาลีวา อนิจจตา ลักษณะทีแสดงถึงความไม่เทียงเรียกเป็ นศัพท์วา อนิจจลักษณะ ่ ่ ่ ่ ั สงขารทังหลายเป็ นทุกข์ ในภาษาไทย บางทีใชอย่างภาษาพูดว่า ทุกขัง ความเป็ นทุกข์ ความเป็ น ้ ่ ้ ของคงทนอยูมได ้ ความเป็ นสภาวะมีความบีบคันขัดแย ้ง หรือภาวะทีเป็ นทุกข์นัน เรียกเป็ นคาศัพท์ตาม ่ ิ ้ ่ ้ บาลีวา ทุกขตา ลักษณะทีแสดงถึงความเป็ นทุกข์เรียกเป็ นศัพท์วา ทุกขลักษณะธรรมทังปวงเป็ น ่ ่ ่ ้ ่ อนัตตา ความเป็ นอนั ตตา ความเป็ นของมิใชตัวตน หรือภาวะทีเป็ นอนั ตตานั นเรียกเป็ นคาศักพท์ตาม ่ ้ บาลีวา อนัตตตา ลักษณะทีแสดงถึงความเป็ นอนั ตตา เรียกเป็ นคาศัพท์วา อนัตตลักษณะ ่ ่ ่ ั สงขารทงปวงก ับธรรมทงปวง ั้ ั้ ิ่ "ธรรม" เป็ นคาทีมควมหมายกว ้างทีสด กินความครอบคลุมทุกสงทุกอย่างบรรดามี ทังทีมได ้และได ้มี ่ ี ่ ุ ้ ่ ี ิ่ ตลอดกระทั่งความไม่มทเป็ นคูกับความมีนัน ทุกสงทุกอย่างทีใครก็ตามกล่าวถึง คิดถึง หรือรู ้ถึงทัง ี ี่ ่ ้ ่ ้ ั ั เรืองทางวัตถุและทางจิตใจ ทังทีดและทีชว ทังทีเป็ นสามัญวิสยและเหนือสามัญวิสย รวมอยูในคาว่า ่ ้ ่ ี ่ ั่ ้ ่ ่ ธรรมทังสน ถ ้าจะให ้มีความหมายแคบเข ้า หรือจาแนกแยกธรรมนันแบ่งประเภทออกไป แล ้วเลือกเขา ้ ิ้ ้ ่ ้ สวนหรือแง่ด ้านแห่งความหมายทีต ้องการ หรือมิฉะนั นก็ใชคาว่าธรรมคาเดียวเดียวโดดเต็มรูปของมัน ่ ้ ่ ้ ตามเดิม แต่ตกลงหรือหมายรู ้ร่วมกันไว ้ว่า เมือใชในลักษณะนัน ๆ ในกรณีนันหรือในความแวดล ้อม ่ ้ ้ ่ อย่างนัน ๆ จะให ้มีความหมายเฉพาะในแนวความ หรือในขอบเขตว่าอย่างนั น ๆ เชน เมือมาคูกับอธรรม ้ ้ ่ ่ ้ ่ หรือใชเกียวกับความประพฤติทด ี ทีชวของบุคคล หมายถึง บุญ หรือคุณธรรมคือความดี เมือมากับคา ี่ ่ ั่ ่ ้ ว่า อัตถะ หรืออรรถ หมายถึงตัวหลัก หลักการ หรือเหตุ เมือใชสาหรับการเล่าเรียน หมายถึงปริยัต ิ ่ ั่ พุทธพจน์ หรือคาสงสอน เป็ นต ้น ธรรม ทีกล่าวถึงในหลักอนัตตา แห่งไตรลักษณ์นี้ หมายถึง สภาวะ ่ ่ ้ ั หรือสภาพทุกอย่าง ไม่มขดจากัด ธรรม ในความหมายเชนนีจะเข ้าใจชดเจนยิงขึน เมือแยกแยะแจก ี ี ่ ้ ่ แจงแบ่งประเภทออกไป เชน จาแนกเป็ นรูปธรรม และนามธรรมบ ้าง โลกียธรรม และโลกุตตรธรรมบ ้าง ั ั สงขตธรรมและอสงขตธรรม บ ้าง กุศลธรรมและอกุศลธรรม และอัพยากฤตธรรมบ ้าง ธรรมทีจาแนก ่ ิ้ ้ ้ เป็ นชุดเหล่านี้ แต่ละชุดครอบคลุมความหมายของธรรมได ้หมดสนทังนั น แต่ชดทีตรงกับแง่ทควร ุ ่ ี่ ึ ั ั ศกษาในทีนคอ ชุดสงขตธรรม และอสงขตธรรม ่ ี้ ื
  • 15. ธรรมทังหลายทังปวงแยกประเภทได ้เป็ น ๒ อย่างคือ ้ ้ ั ๑. สงขตธรรม คือ ธรรมทีถกปรุงแต่ง ได ้แก่ ธรรมทีมปัจจัย สภาวะทีเกิดจากปั จจัยปรุงแต่งขึน สภาวะ ่ ู ่ ี ่ ้ ิ่ ่ ทีปัจจัยทังปลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขนสงทีปัจจัยประกอบเข ้าหรือสงทีปรากฏและเป็ นไปตามเงือนไข ่ ้ ึ้ ิ่ ่ ่ ั ึ่ ของปั จจัย เรียกอีกอย่างหนึงว่า สงขารซงมีรากศัพท์และคาแปลเหมือนกันหมายถึงสภาวะทุกอย่างทัง ่ ้ ทางวัตถุและทางจิตใจ ทังรูปธรรมและนามธรรม ทังทีเป็ นโลกียะและโลกุตตระ ทังทีดทชวและทีเป็ น ้ ้ ่ ้ ่ ี ี่ ั่ ่ กลาง ๆ ทังหมด เว ้นแต่นพพาน ้ ิ ั ๒. อสงขตธรรม คือ ธรรมทีไม่ถกปรุงแต่ง ได ้แก่ ธรรมทีไม่มปัจจัย หรือสภาวะทีไม่เกิดจากปั จจัยปรุง ่ ู ่ ี ่ ั ึ่ ั แต่งไม่เป็ นไปตามเงือนไขของปั จจัย เรียกอีกอย่างหนึงว่า วิสงขาร ซงแปลว่า สภาวะปลอดสงขาร ่ ่ หรือสภาวะทีไม่มปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน ่ ี ั ั สงขารในขันธ์ ๕ กับสงขารในไตรลักษณ์ ั ั ั ๑. สงขารในขันธ์ ๕ ได ้แก่ รูป เวทนา สญญา สงขาร วิญญาณ ั ั ั ๒. สงขารในไตรลักษณ์ ได ้แก่ สงขารทังปวงไม่เทียง สงขารทังปวงเป็ นทุกข์ ธรรมทังปวงเป็ น ้ ่ ้ ้ อนัตตา เปรียบเทียบความหมายทัง ๒ นัยดังนี้ ้ ั ึ่ ั่ ก. สงขาร ซงเป็ นข ้อที่ ๔ ในขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวะทีปรุงแต่งจิต ให ้ดี ให ้ชว ให ้เป็ นกลาง ่ ได ้แก่ คุณสมบัตตางๆของจิตมีเจตนาเป็ นตัวนาทีปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจและการแสดงออกทาง ิ ่ ่ ่ กายวาจาให ้เป็ นไปต่าง ๆ เป็ นตัวการของการทากรรม เรียกง่าย ๆ ว่า เครืองปรุงของจิต เชน ศรัทธา ่ สติ หิร ิ เป็ นต ้น ั ข. สงขาร ทีกล่าวถึงในปตรลักษณ์ หมายถึง สภาวะทีถกปรุงแต่ง คือ สภาวะทีเกิดจากเหตุ ่ ่ ู ่ ปั จจัย ปรุงแต่งขึนทุกอย่าง ประดามี ไม่วาจะเป็ นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม เป็ นด ้านร่างกายหรือ ้ ่ ี ิ ี ิ ั จิตใจก็ตาม มีชวตหรือไร ้ชวตก็ตาม อยูในจิตใจหรือวัตถุภายนอกก็ตาม เรียกอีกอย่างหนึงว่า สงขต ่ ่ ิ่ ั ั ธรรม คือทุกสงทุกอย่าง เว ้นนิพพานจะเห็นว่า สงขาร ในขันธ์ ๕ มีความหมายแคบกว่า สงขาร ในไตร ่ ั ั ้ ลักษณ์ หรือเป็ นสวนหนึงของสงขารในไตรลักษณ์นั่นเอง ความต่างกันและแคบกว่ากันนี้ เห็นได ้ชดทัง ่ โดยความหมายของศัพท์และโดยองค์ธรรม
  • 16. ิ่ ่ ิ่ ้ สงทีปิดบังไตรลักษณ์ทังทีความเป็ นอนิจจัง ทุกข์ และอนั ตตา นี้ เป็ นลักษณะสามัญของสงทังหลาย ้ ่ เป็ นความจริงทีแสดงตัวของมันเองอยูตามธรรมดาตลอดทุกเวลา แต่คนทั่วไปก็มองไม่เห็น ทังนีเพราะ ่ ่ ้ ้ ิ่ ่ เป็ นเหมือนมีสงปิ ดบังคอยซอนคลุมนี้ คือ ั ๑. สนตติ บังอนิจจลักษณะ ๒. อิรยาบถ บังทุกขลักษณะ ิ ๓. ฆนะ บังอนัตตลักษณะ ิ ื่ ิ้ ข ้อที่ ๑ ท่านกล่าวว่า เพราะมิได ้มนสการความเกิดและความดับหรือความเกิดขึนและความเสอมสนไป ้ ั ื ก็ถก สนตติ คือ ความสบต่อหรือความเป็ นไปอย่างต่อเนือง ปิ ดบังไว ้ อนิจจลักษณะจึงไม่ปรากฏ ู ่ ิ ข ้อที่ ๒ ท่านกล่าวว่า เพราะมิได ้มนสการความบีบคันกดดันทีมอยูตลอดเวลา ก็ถก อิรยาบถ คือ ความ ้ ่ ี ่ ู ิ ยักย ้ายเคลือนไหว ปิ ดบังไว ้ ทุกขลักษณะจึงไม่ปรากฏ ่ ิ ข ้อที่ ๓ ท่านกล่าวว่า เพราะมิได ้มนสการความแยกย่อยออกเป็ นธาตุตาง ๆ ก็ถก ฆนะ คือความเป็ น ่ ู ิ้ แท่งเป็ นก ้อนเป็ นชนเป็ นอันเป็ นมวลหรือเป็ นหน่วยรวม ปิ ดบังไว ้ อนัตตลักษณจึงไม่ปรากฏ ประโยชน์ของการเรียนรูเรืองไตรล ักษณ์ ้ ่ ิ่ ้ ๑. ประโยชน์ของการเรียนรู ้เรืองอนิจจัง เมือได ้เรียนรู ้ความไม่เทียงของสงทังปวงแล ้ว จะได ้ ่ ่ ่ ประโยชน์หลายประการ ดังนี้ ก. ความไม่ประมาท ทาให ้คนไม่ประมาทมัวเมาในวัยว่ายังหนุ่มสาว ในความไม่มโรคและใน ี ี ิ ิ ชวต เพราะความตายอาจมาถึงเมือไรก็ได ้ไม่แน่นอน ทาให ้ไม่ประมาทในทรัพย์สน เพราะคนมีทรัพย์ ่ อาจกลับเป็ นคนจนได ้ ทาให ้ไม่ดหมินผู ้อืน เพราะผู ้ทีไร ้ทรัพย์ ไร ้ยศ ตาต ้อย กว่าภายหน ้าอาจมีทรัพย์ มียศ และเจริญรุงเรือง ู ่ ่ ่ ่ ่ กว่าก็ได ้เมือคิดได ้ดังนีจะทาให ้สารวมตน อ่อนน ้อม ถ่อมตน ไม่ยโสโอหัง วางท่าใหญ่ ยกตนข่มท่าน ้ ข. ทาให ้เกิดความพยายาม เพือทีจะก ้าวไปข ้างหน ้า เพราะรู ้ว่าถ ้าเราพยายามก ้าวไปข ้างหน ้า ่ ่ ี ิ แล ้วชวตย่อมเปลียนแปลงไปในทางทีด ี ่ ่
  • 17. ี ิ ิ่ ิ้ ค. ความไม่เทียงแท ้ ทาให ้รู ้สภาพการเปลียนแปลงของชวต เมือประสบกัยสงไม่พอใจ ก็ไม่สน ่ ่ ่ ิ่ ่ หวังและเป็ นทุกข์ ไม่ปล่อยตนไปตามเหตุการณ์นัน ๆ จนเกินไป พยายามหาทางหลีกเลียงสงทีไม่ด ี ้ ่ ๒. ประโยชน์ของการเรียนรู ้เรืองทุกขัง เมือผู ้ใดได ้เรียนรู ้เรืองความทุกแล ้ว จะรู ้ว่า ความทุกข์ ่ ่ ่ เป็ นของธรรมดาประจาโลก อย่างหนึงซงใคร ๆ จะหลีกเลียงได ้ยาก ต่างกันก็แต่เพียงรูปแบบของทุกข์ ่ ึ่ ่ ี ิ ั นัน เมือความทุกข์เกิดขึนแก่ชวต ผู ้มีปัญญาตรองเห็นความจริงว่าความทุกข์เป็ นสจจธรรมอย่างหนึง ้ ่ ้ ่ ี ิ ี ิ ของชวต ชวตย่อมระคนด ้วยทุกข์เป็ นธรรมดา เมือเห็นเป็ นธรรมดา ความยึดมั่นก็มน ้อย ความทุกข์ ่ ี สามารถลดลงได ้หรืออาจหายไปเพราะไม่มความยึดมั่น ความสุขทีเกิดจากการ ี ่ ปล่อยวางย่อมเป็ นสุขอันบริสทธิ์ ุ ๓. ประโยชน์ของการเรียนรู ้เรืองอนัตตา ่ ิ่ ้ การเรียนรู ้เรืองอนัตตา ทาให ้เรารู ้คามจริงของสงทังปวง ไม่ต ้องถูกหลอกลวง จะทาให ้คลาย ่ ั ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ทาให ้ไม่ยดมั่น เบากาย เบาใจ เพราะเรืองอนัตตาสอนให ้เรารู ้ว่า สงขารทังปวง ึ ่ ้ เป็ นไปเพืออาพาธ ฝื นความปรารถนา บังคับบัญชาไม่ได ้อย่างน ้อยทีสดเราจะต ้องยอมรับความจริง ่ ่ ุ อย่างหนึงว่า ตัวเราเองจะต ้องพบกับ ่ ิ่ ธรรมชาติแห่งความเจ็บปวด ความแก่ชรา และความตายจากครอบครัวและญาติพน ้องตลอดจนทุกสง ี่ ทุกอย่าง เบญจข ันธ์ ิ่ ้ ่ ิ่ พุทธธรรมมองเห็นสงทังหลายในรูปของสวนประกอบต่าง ๆที่ มาประชุมกันเข ้า ตัวตนแท ้ ๆ ของสง ่ ิ่ ้ ทังหลายไม่ม ี เมือแยกสวนต่าง ๆ ทีมาประกอบกันเข ้านั นออกไปให ้หมดก็จะไม่พบตัวตนของสงนั น ้ ่ ่ ้ ่ เหลืออยู่ ตัวอย่างง่าย ๆ ทียกขึนอ ้างกันบ่อย ๆ คือ "รถ" เมือนาสวนประกอบต่าง ๆ มาประกอบเข ้า ่ ้ ่ ่ ด ้วยกันตามแบบทีกาหนด ก็บัญญัตเรียกว่า "รถ" แต่ถ ้าแยกสวนประกอบทังหมดออกจากกัน ก็จะหา ่ ิ ้ ่ ึ่ ื่ ตัวตนของรถไม่ได ้ มีแต่สวนประกอบทังหลายซงมีชอเรียกต่าง ๆ กันจาเพาะแต่ละอย่างอยูแล ้ว คือ ้ ่ ่ ตัวตนของรถมิได ้มีอยูตางหากจากสวนปะกอบเหล่านัน มีแต่เพียงคาบัญญัตวา "รถ" สาหรับสภาพทีมา ่ ่ ้ ิ ่ ่
  • 18. ่ ่ รวมตัวกันเข ้าของสวนประกอบเหล่านัน แม ้สวนประกอบแต่ละอย่าง ๆ นันเองก็ปรากฏขึนโดยการ ้ ้ ้ ่ ่ ิ่ รวมกันเข ้าของสวนประกอบย่อย ๆ ต่อ ๆ ไปอีก และหาตัวตนทีแท ้ไม่พบเชนเดียวกัน เมือจะพูดว่า สง ่ ่ ่ ทังหลายมีอยู่ ก็ต ้องเข ้าใจในความหมายว่า มีอยูในฐานะมีสวนประกอบต่าง ๆ มาประชุมเข ้าด ้วยกันเมือ ้ ่ ่ ิ่ ้ ่ มองเห็นสภาพของสงทังหลายในรูปของกรประชุมสวนประกอบนี้ พุทธธรรมจึงต ้องแสดงต่อไปว่า ่ สวนประกอบต่าง ๆ เหล่านันเป็ นอย่างไร มีอะไรบ ้าง อย่างน ้อยก็พอเป็ นตัวอย่าง และโดยทีพทธธรรมมี ้ ่ ุ ี ิ ่ ความเกียวข ้องเป็ นพิเศษกับเรืองชวต โดยเฉพาะในด ้านจิตใจ การแสดงสวนประกอบต่าง ๆ จึงต ้อง ่ ่ ครอบคลุมทังวัตถุและจิตใจ หรือทังรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกแยะเป็ นพิเศษในด ้านจิตใจการ ้ ้ ่ แสดงสวนประกอบต่าง ๆ นัน ย่อมทาได ้หลายแบบ สุดแต่วตถุประสงค์จาเพาะของการแสดงแบบนัน ๆ ้ ั ้ ึ่ แต่ในทีนี้ จะแสดงแบบขันธ์ ๕ ซงเป็ นแบบทีนยมในพระสูตรโดยวิธแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรม ่ ่ ิ ิ ี ิ ั ่ แยกแยะชวตพร ้อมทังองคาพยพทังหมดทีบัญญัตเรียกว่า สตว์ บุคคล ฯลฯ ออกเป็ นสวนประกอบต่าง ้ ้ ่ ิ ๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ ่ ๑. รูป ได ้แก่สวนประกอบฝ่ ายรูปธรรมทังหมด ร่างกายและพฤติกรรมทังหมดของร่างกาย หรือสสาร ้ ้ และพลังงานเหล่านัน ้ ึ ึ่ ๒. เวทนา ได ้แก่ความรู ้สกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ ซงเกิดจากผัสสะทางประสาททัง ๕ และทางใจ ้ ั ๓. สญญา ได ้แก่ความกาหนดได ้ หรือหมายรู ้ คือ กาหนดรู ้อาการเครืองหมายลักษระต่าง ๆ อันเป็ น ่ เกตุให ้จาอารมณ์นัน ๆ ได ้ ้ ังขาร ได ้แก่องค์ประกอบหรือคุณสมบัตตาง ๆ ของจิดมีเจตนาเป็ นตัวนา ซงแต่งจิตให ้ดีหรือชว ึ่ ั่ ๔. ส ิ ่ หรือเป็ นกลาง ๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกายวาจา ให ้เป็ นไปต่าง ๆ เป็ น ่ ทีมาของกรรม เชน ศรัทธา สติ หิร ิ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทตา อุเบกขา เป็ นต ้น เรียกรวมอย่าง ่ ิ ง่าย ๆ ว่าเครืองปรุงของความคิดหรือเครืองปรุงของกรรม ่ ่ ๕. วิญญาณ ได ้แก่ความรู ้แจ ้งอารมณ์ทางประสาททัง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได ้ยิน การได ้ ้ ั ึ่ กลินการรู ้รส การรู ้สมผัสทางกาย และการรู ้อารมณ์ทางใจขันธ์ ๔ ข ้อหลัง ซงเป็ นพวกนามขันธ์ มีข ้อ ่ ั ั ควรทาความเข ้าใจเพิมเติม เพือเห็นความหมายชดเจนยิงขึนและเพือป้ องกันความสบสน ดังนี้ ่ ่ ่ ้ ่ ั สญญา ่ เป็ นความรู ้จาพวกหนึง หมายถึง การหมายรู ้ หรือกาหนดรู ้อาการของอารมณ์ เชน ลักษณะ ทรวดทรง ่ ั ื่ ส ี สณฐาน ฯลฯ ตลอดจนชอเรียก และสมมติบัญญัตตาง ๆ ว่า เขียว ขาว ดา แดง ดัง เบา เป็ นต ้นการ ิ ่ ิ หมายรู ้หรือกาหนดนั ้ อาศัยการจับเผชญ หรือ การเทียบเคียงระหว่างประสบการณ์หรือความรู ้เก่ากับ ่ ิ่ ประสบการหรือความรู ้ใหม่ ถ ้าประสบการใหม่ตรงกับประสบการณ์เก่า เชนพบเห็นคนหรือสงของทีเคย ่ ี รู ้จักแล ้ว ได ้ยินเสยงทีเคยได ้ยินแล ้วถ ้าประสบการใหม่ไม่ตรงกับประสบการณ์เก่า เราย่อมนาเอา ่ ่ ประสบการณ์หรือความรูเก่าทีมอยูแล ้วนั นเองมาเทียบเคียงว่าเหมือนกันและไม่เหมือนกันในสวนไหน ่ ี ่ ้
  • 19. ิ่ ้ ่ ่ อย่างไร แล ้วหมายรู ้สงนันตามคาบอกเล่าหรือตามทีตนกาหนดเอาว่าเป็ นนั่ น เป็ นนี่ ไม่ใชนั่น ไม่ใชนี่ ่ ึ ั อย่างนีเรียกว่า กาหนดหมายหรือหมายรู ้เพือประโยชน์แก่การศกษาต่อไป ขอแยกสญญาออกอย่าง ้ ่ คร่าว ๆ เป็ น ๒ ระดับ คือ ั ึ่ ๑. สญญาระดับสามัญ ซงกาหนดหมายอาการของอารมณ์ทเกิดขึนหรือเป็ นไปอยูตามปกติธรรมดาของ ี่ ้ ่ มันอย่างหนึง ่ ั ื ั ั ้ ้ ๒. สญญาสบทอด หรือสญญาอย่างซบซอน ทีบางคราวก็ใชคาเรียกให ้ต่างออกไป เฉพาะอย่างยิง ่ ่ ั ั ั ้ ปปั ญจสญญา อันหมายถึงสญญาเนืองด ้วยอารมณ์ทคดปรุงแต่งขึนให ้ซบซอนพิสดารด ้วยแรงผลักดัน ่ ี่ ิ ้ ึ่ ั ั้ ่ ้ ่ ของตัณหามานะและทิฏฐิซงเป็ นสงขารชนนาในฝ่ ายร ้ายอีกอย่างหนึงการแยกเชนนั จะชวยให ้มองเห็น ่ ความหมาย ั ั ั ของสญญาทีกาลังแสดงบทบาทอยู่ พร ้อมทังความสมพันธ์ระหว่างสญญากับขันธ์อนภายในกระบวน ่ ้ ื่ ั ธรรมได ้ชดเจนยิงขึน ่ ้ วิญญาณ แปลตามแบบว่า ความรู ้แจ ้ง คือ รู ้แจ ้งอารมณ์ หมายถึง ความรู ้ประเภทยืนพืนหรือความรู ้ทีเป็ นตัวยืน ้ ่ เป็ นฐานและเป็ นทางเดินให ้แก่นามขันธ์อน ๆ เกียวข ้องกับนามขันธ์อนทังหมด เป็ นทังความรู ้ต ้น และ ื่ ่ ื่ ้ ้ ความรู ้ตาม ทีวาเป็ นความรู ้ต ้น คือเป็ นความรู ้เริมแรก เมือเห็น ได ้ยิน เป็ นต ้น(เกิดวิญญาณขึน) จึงจะ ่ ่ ่ ่ ้ ึ ื่ ั รู ้สกชนใจ หรือบีบคันใจ(เวทนา) จึงจะกาหนดได ้ว่าเป็ นนั่นเป็ นนี่(สญญา)จึงจะจานงตอบและคิดปรุง ้ ั ่ ึ ื่ แต่งไปต่าง ๆ (สงขาร)เชน เห็นท ้องฟ้ า(วิญญาณ) รู ้สกสบายตาชนใจ(เวทนา) หมายรู ้ว่า ท ้องฟ้ า ส ี ั คราม สดใส ฟ้ าสาย ฟ้ าบ่าย ฟ้ าสวย(สญญา) เวทนา ึ ิ่ ่ ู ึ่ แปลกันว่า การเสวยอารมณ์ หรือการเสพรสของอารมณ์ คือ ความรู ้สกต่อสงทีถกรับรู ้ ซงจะเกิดขึนทุก ้ ึ ื่ ครังทีมการรับรู ้ เป็ นความรู ้สกสุข สบาย ถูกใจ ชนใจ หรือทุกข์ บีบคัน เจ็บปวด หรือไม่ก็เฉย ๆ อย่าง ้ ่ ี ้ ั ั ใดอย่างหนึงข ้อทีควรทาความเข ้าใจอย่างหนึงเกียวกัยเวทนา เพือป้ องกันความสบสนกับสงขาร คือ ่ ่ ่ ่ ่ ่ ั้ ่ เวทนาเป็ นกิจกรรมของจิตในขันรับ กล่าวคือเกียวข ้องกับผลทีอารมณ์มตอจิตเท่านัน ยังไม่ใชขนทีเป็ น ้ ่ ่ ี ่ ้