SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  19
เฟี ย เจต์
ทฤษฎี เ กี ่ ย ว กั บ พั ฒ นาการ
เชาวน์ ป ั ญ ญาที ่ ผ ู ้ เ ขี ย นเห็ น ว่ า มี
ประโยชน์            สำ า หรั บ ครู คื อ
ทฤษฎี ข องนั ก จิ ต วิ ท ยาชาว สวิ ส
ชื ่ อ เพี ย เจต์ ( P iaget) ที ่ จ ริ ง
แล้ ว เพี ย เจต์ ไ ด้ ร ั บ ปริ ญ ญาเอก
ทางวิ ท ยาศาสตร์ สาขาสั ต วิ ท ยา
ที ่ ม หาวิ ท ยาลั ย Neuc hatel
ประเทศสวิ ส เซอร์ แ ลนด์
              หลั ง จากได้ ร ั บ ปริ ญ ญา
เฟียเจต์พบคำำตอบของเด็กน่ำสนใจมำก โดย
เฉพำะคำำตอบของเด็กที่เยำว์วัยเพรำะมักจะตอบ
ผิด แต่เมื่อเพียเจต์ได้วิเครำะห์คำำตอบที่ผดเหล่ำ
                                          ิ
นั้นก็พบว่ำคำำตอบของเด็กเล็กที่ต่ำงไปจำกคำำ
ตอบของเด็กโตเพรำะมีควำมคิดที่ต่ำงกัน
คุณภำพของคำำตอบของเด็กที่วัยต่ำงกัน มักจะ
แตกต่ำงกัน แต่ไม่ควรที่จะบอกว่ำเด็กโตฉลำด
กว่ำเด็กเล็ก หรือคำำตอบของเด็กเล็กผิด กำร
ทำำงำนกับนำยแพทย์บีเนต์ระหว่ำงปีค.ศ.1919
ถึง ค.ศ.1921 เป็นจุดเริ่มต้นของควำมสนใจเพีย
เพี ย เจต์ (Piaget) ได้ ศ ึ ก ษำ
เกี ่ ย วกั บ พั ฒ นำกำรทำงด้ ำ น
ควำมคิ ด ของเด็ ก ว่ ำ มี ข ั ้ น
ตอนหรื อ กระบวนกำร
อย่ ำ งไร ทฤษฎี ข องเพี ย เจต์
ตั ้ ง อยู ่ บ นรำกฐำนของทั ้ ง
องค์ ป ระกอบที ่ เ ป็ น
พั น ธุ ก รรม และสิ ่ ง แวดล้ อ ม
เฟียเจท์อธิบำยว่ำ กำรเรียนรู้ของ
เด็กเป็นไปตำมพัฒนำกำรทำงสติปญญำ    ั
ซึ่งจะมีพัฒนำกำรไปตำมวัยต่ำง ๆ เป็น
ลำำดับขั้น พัฒนำกำรเป็นสิ่งที่เป็นไปตำม
ธรรมชำติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ำมจำก
พัฒนำกำรจำกขั้นหนึ่งไปสูอีกขั้นหนึ่ง
                           ่
เพรำะจะทำำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่กำร
จัดประสบกำรณ์ส่งเสริมพัฒนำกำรของ
เด็กในช่วงที่เด็กกำำลังจะพัฒนำไปสู่ ขั้นที่
สูงกว่ำ สำมำรถช่วยให้เด็กพัฒนำไป
อย่ำงไรก็ตำม เพียเจต์เน้นควำม
สำำคัญของกำรเข้ำใจธรรมชำติและ
พัฒนำกำรของเด็กมำกกว่ำกำร
กระตุนเด็กให้มีพฒนำกำรเร็วขึ้น
      ้           ั
เพียเจต์สรุปว่ำ พัฒนำกำรของเด็ก
สำมำรถอธิบำยได้โดยลำำดับระยะ
พัฒนำทำงชีววิทยำทีคงที่ แสดงให้
                    ่
ปรำกฏโดยปฏิสมพันธ์ของเด็กกับสิ่ง
                ั
แวดล้อม
เพียเจต์กล่ำวว่ำ ระหว่ำงระยะเวลำ
ตั้งแต่ทำรกจนถึงวัยรุ่น คนเรำจะค่อยๆ
สำมำรถปรับตัวเข้ำกับสิงแวดล้อมได้มำก
                         ่
ขึ้นตำมลำำดับขั้น โดยเพียเจต์ได้แบ่งลำำดับ
ขั้นของพัฒนำกำรเชำวน์ปญญำของมนุษย์
                           ั
ไว้ 4 ขัน ซึ่งเป็นขั้นพัฒนำกำรเชำวน์
        ้
ปัญญำ ดังนี้
•ขั ้ น ที ่ 1 ขั ้ น ประสาทรั บ รู ้ แ ละการ
เคลื ่ อ นไหว (Sensorimotor)
          แรกเกิ ด - 2 ขวบ
       ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรม
ของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับกำรเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
ในวัยนี้เด็กแสดงออกทำงด้ำนร่ำงกำยให้เห็นว่ำมีสติ
ปัญญำด้วยกำรกระทำำ เด็กสำมำรถแก้ปัญหำได้
แม้ว่ำจะไม่สำมำรถอธิบำยได้ด้วยคำำพูด เด็กจะต้องมี
โอกำสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
•ขั ้ น ที ่ 2 ขั ้ น ก่ อ นปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด
(Preoperational) อำยุ 1 8 เดื อ น - 7 ปี
    เด็กก่อนเข้ำโรงเรียนและวัยอนุบำล มีระดับเชำวน์
ปัญญำอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนีมีโครงสร้ำงของสติ
                                     ้
ปัญญำ(Structure) ที่จะใช้สญลักษณ์แทนวัตถุสงของ
                                        ั            ิ่
ที่อยู่รอบๆตัว ได้ หรือ มีพัฒนำกำรทำงด้ำนภำษำ เด็ก
วัยนี้จะเริ่มด้วยกำรพูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำำต่ำงๆ
เพิ่มขึ้น เด็กจะได้รู้จักคิด ขั้นนี้ แบ่งออกเป็นขั้นย่อย
อีก 2 ขั้น คือ
1.ขั ้ น ก่ อ นเกิ ด สั ง กั ป (Preconceptual
Thought)

     เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็กอำยุ 2-4 ปี เป็น
ช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบืองต้น สำมำรถจะโยง
                           ้
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกำรณ์ 2 เหตุกำรณ์
หรือมำกกว่ำมำเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและ
กัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำำกัด
อยู่ เพรำะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลำง คือ
ถือควำมคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็น
เหตุผลของผูอื่น ควำมคิดและเหตุผลของเด็ก
                ้
วัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตำมควำมเป็นจริงนัก แต่
2. ขั ้ น การคิ ด แบบญาณหยั ่ ง รู ้ นึ ก ออกเองโดย
ไม่ ใ ช้ เ หตุ ผ ล ( Intuitive Thought)

   เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็ก อำยุ 4-7 ปี ขั้นนี้
เด็กจะเกิดควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่ำงๆ รวม
ตัวดีขึ้น เริ่มมีพัฒนำกำรเกี่ยวกับกำรอนุรักษ์ แต่
ไม่แจ่มชัดนัก สำมำรถแก้ปญหำเฉพำะหน้ำได้
                             ั
โดยไม่คดเตรียมล่วงหน้ำไว้ก่อน รู้จักนำำควำมรู้
          ิ
ในสิงหนึ่งไปอธิบำยหรือแก้ปญหำอื่นและ
     ่                         ั
สำมำรถนำำเหตุผลทั่วๆ ไปมำสรุปแก้ปญหำ โดย
                                     ั
ไม่วิเครำะห์อย่ำงถี่ถ้วนเสียก่อน กำรคิดหำเหตุ
•ขั ้ น ที ่ 3 ขั ้ น ปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด ด้ ำ นรู ป ธรรม
(Concrete Operations)(อำยุ 7 - 11 ปี )
   พัฒนำกำรทำงด้ำนสติปัญญำและควำมคิดของเด็กวัยนี้
แตกต่ำงกันกับเด็กในขั้น Preperational มำก เด็กวัยนี้จะ
สำมำรถสร้ำงกฎเกณฑ์ และตั้งกฎเกณฑ์ ในกำร แบ่งสิ่ง
แวดล้อมออกเป็นหมวดหมูได้ คือ เด็กจะสำมำรถทีจะอ้ำงอิง
                         ่                       ่
ด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับกำรรับรู้จำกรูปร่ำงเท่ำนั้น เด็กวัยนี้
สำมำรถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลำยๆอย่ำง และคิดย้อนกลับ
(Reversibility) ได้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกิจกรรมและควำม
สัมพันธ์ของตัวเลขก็เพิ่มมำกขึ้น
•ขั ้ น ที ่ 4 ขั้นปฏิบัติกำรคิดด้วยนำมธรรม (Formal
Operations)อำยุ 12 ปี ข ึ ้ น ไป
    ในขั้นนีพัฒนำกำรเชำวน์ปัญญำและควำมคิดเห็น
            ้
ของเด็กเป็นขั้นสุดยอด คือ เด็กในวัยนีจะเริ่มคิดเป็น
                                      ้
ผู้ใหญ่ ควำมคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสำมำรถทีจะคิด
                                               ่
หำเหตุผลนอกเหนือไปจำกข้อมูลที่มอยู่ สำมำรถทีจะคิด
                                    ี            ่
เป็นนักวิทยำศำสตร์ สำมำรถที่จะตั้งสมมุติฐำนและ
ทฤษฎีและเห็นว่ำควำมจริงทีเห็นด้วยกับกำรรับรู้ไม่
                              ่
สำำคัญเท่ำกับกำรคิดถึงสิ่งทีอำจเป็นไปได้(Possibility
                            ่
พัฒนำกำรทำงกำรรู้คดของเด็กในช่วงอำยุ 6
                     ิ
ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษำไว้เป็น
ประสบกำรณ์ สำำคัญที่เด็กควรได้รับกำรส่ง
เสริม มี 6 ขั้น ได้แก่

5.ขั้นควำมรู้แตกต่ำง (Absolute
Differences)
6.ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้ำม (Opposition)
7.ขั้นรู้หลำยระดับ (Discrete Degree)
8.ขั้นควำมเปลี่ยนแปลงต่อเนือง (Variation)
                             ่
9.ขั้นรู้ผลของกำรกระทำำ (Function)
6. ขั้นกำรทดแทนอย่ำงลงตัว (Exact
กระบวนกำรทำงสติ ป ั ญ ญำมี ล ั ก ษณะดั ง นี ้

3)กำรซึมซับหรือกำรดูดซึม (assimilation)
   เป็นกระบวนกำรทำงสมองในกำรรับประสบกำรณ์ เรื่องรำว
และข้อมูลต่ำง ๆ เข้ำมำสะสมเก็บไว้เพือใช้ประโยชน์ต่อไป
                                    ่

2. กำรปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนกำร
ทำงสมองในกำรปรับ
                ประสบกำรณ์เดิมและประสบกำรณ์ใหม่ให้เข้ำ
กันเป็นระบบ

3. กำรเกิดควำมสมดุล (equilibration)
    เป็นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นจำกขั้นของกำรปรับ หำกกำรปรับ
เป็นไปอย่ำงผสมผสำนกลมกลืนก็จะมีควำมสมดุลขึ้น หำกไม่
สำมำรถปรับประสบกำรณ์ใหม่และประสบกำรณ์เดิมให้เข้ำกันได้
กำรนำ ำ ไปใช้ ใ นกำรจั ด กำรศึ ก ษำ / กำรสอน

1.เมือทำำงำนกับนักเรียน ผู้สอนควรคำำนึงถึงพัฒนำกำรทำงสติ
     ่
ปํญญำของนักเรียนดังต่อไปนี้

  1.1)นักเรียนทีมอำยุเท่ำกันอำจมีขั้นพัฒนำกำรทำงสติ
                ่ ี
  ปัญญำทีแตกต่ำงกัน
          ่

  1.2)นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบกำรณ์ 2 แบบคือ
     1.2.1>ประสบกำรณ์ทำงกำยภำพ (physical
     experiences)
             จะเกิดขึ้นเมือนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับ
                          ่
     วัตถุต่ำง ในสภำพแวดล้อม         โดยตรง
     1.2.2>ประสบกำรณ์ทำงตรรกศำสตร์
     (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้น เมือ     ่
2.หลักสูตรที่สร้ำงขึ้นบนพื้นฐำนทฤษฎีพัฒนำกำรทำง
สติปญญำของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
    ั
  1.เน้นพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนโดยต้อง
  เน้นให้นักเรียนใช้ศักยภำพของตนเองให้มำกที่สุด
  2.เสนอกำรเรียนกำรเสนอที่ให้ผเรียนพบกับควำม
                                 ู้
  แปลกใหม่
  3.เน้นกำรเรียนรู้ต้องอำศัยกิจกรรมกำรค้นพบ
  4.เน้นกิจกรรมกำรสำำรวจและกำรเพิ่มขยำยควำม
  คิดในระหว่ำงกำรเรียนกำรสอน
  5.ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict
  activities) โดยกำรรับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่นนอก
  เหนือจำกควำมคิดเห็นของตนเอง
3.กำรสอนทีส่งเสริมพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนควร
           ่
ดำำเนินกำรดังต่อไปนี้

  1) ถำมคำำถำมมำกกว่ำกำรให้คำำตอบ
  2) ครูผู้สอนควรจะพูดให้นอยลง และฟังให้มำกขึ้น
                            ้
  3) ควรให้เสรีภำพแก่นกเรียนทีจะเลือกเรียนกิจกรรมต่ำง ๆ
                         ั      ่
  4) เมือนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถำมคำำถำมหรือจัด
        ่
  ประสบกำรณ์ให้นกเรียนใหม่
                    ั
  5) ชี้ระดับพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของนักเรียนจำกงำน
  พัฒนำกำรทำงสติปัญญำขั้นนำมธรรมเพื่อดูว่ำนักเรียนคิด
  อย่ำงไร
  6) ยอมรับควำมจริงทีว่ำ นักเรียนแต่ละคนมีอัตรำพัฒนำกำร
                       ่
  ทำงสติปัญญำทีแตกต่ำงกัน
                  ่
  7) ผู้สอนต้องเข้ำใจว่ำนักเรียนมีควำมสำมำรถเพิ่มขึ้นใน
4.ในขั้นประเมินผล ควรดำำเนิน
กำรสอนต่อไปนี้

  1) มีกำรทดสอบแบบกำรให้
  เหตุผลของนักเรียน
  2) พยำยำมให้นักเรียนแสดง
  เหตุผลในกำรตอนคำำถำมนั้น ๆ
  3) ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมี
  พัฒนำกำรทำงสติปญญำตำ่ำ
                     ั
  กว่ำเพื่อร่วมชั้น

Contenu connexe

Similaire à เฟียเจท์

เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1suweeda
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Sareenakache
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1maina052
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1sitipatimoh050
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1azmah055
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1ai-sohyanya
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1oppalove
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Ameena021
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1yasaka.747
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Nadeeyah.Musor
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1waenalai002
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1suweeda
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1rohanee
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Surianee.011
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1oppalove
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Ameena021
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Saneetalateh
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1pattamasatun
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1yasaka.747
 

Similaire à เฟียเจท์ (20)

เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 

เฟียเจท์

  • 2. ทฤษฎี เ กี ่ ย ว กั บ พั ฒ นาการ เชาวน์ ป ั ญ ญาที ่ ผ ู ้ เ ขี ย นเห็ น ว่ า มี ประโยชน์ สำ า หรั บ ครู คื อ ทฤษฎี ข องนั ก จิ ต วิ ท ยาชาว สวิ ส ชื ่ อ เพี ย เจต์ ( P iaget) ที ่ จ ริ ง แล้ ว เพี ย เจต์ ไ ด้ ร ั บ ปริ ญ ญาเอก ทางวิ ท ยาศาสตร์ สาขาสั ต วิ ท ยา ที ่ ม หาวิ ท ยาลั ย Neuc hatel ประเทศสวิ ส เซอร์ แ ลนด์ หลั ง จากได้ ร ั บ ปริ ญ ญา
  • 3. เฟียเจต์พบคำำตอบของเด็กน่ำสนใจมำก โดย เฉพำะคำำตอบของเด็กที่เยำว์วัยเพรำะมักจะตอบ ผิด แต่เมื่อเพียเจต์ได้วิเครำะห์คำำตอบที่ผดเหล่ำ ิ นั้นก็พบว่ำคำำตอบของเด็กเล็กที่ต่ำงไปจำกคำำ ตอบของเด็กโตเพรำะมีควำมคิดที่ต่ำงกัน คุณภำพของคำำตอบของเด็กที่วัยต่ำงกัน มักจะ แตกต่ำงกัน แต่ไม่ควรที่จะบอกว่ำเด็กโตฉลำด กว่ำเด็กเล็ก หรือคำำตอบของเด็กเล็กผิด กำร ทำำงำนกับนำยแพทย์บีเนต์ระหว่ำงปีค.ศ.1919 ถึง ค.ศ.1921 เป็นจุดเริ่มต้นของควำมสนใจเพีย
  • 4. เพี ย เจต์ (Piaget) ได้ ศ ึ ก ษำ เกี ่ ย วกั บ พั ฒ นำกำรทำงด้ ำ น ควำมคิ ด ของเด็ ก ว่ ำ มี ข ั ้ น ตอนหรื อ กระบวนกำร อย่ ำ งไร ทฤษฎี ข องเพี ย เจต์ ตั ้ ง อยู ่ บ นรำกฐำนของทั ้ ง องค์ ป ระกอบที ่ เ ป็ น พั น ธุ ก รรม และสิ ่ ง แวดล้ อ ม
  • 5. เฟียเจท์อธิบำยว่ำ กำรเรียนรู้ของ เด็กเป็นไปตำมพัฒนำกำรทำงสติปญญำ ั ซึ่งจะมีพัฒนำกำรไปตำมวัยต่ำง ๆ เป็น ลำำดับขั้น พัฒนำกำรเป็นสิ่งที่เป็นไปตำม ธรรมชำติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ำมจำก พัฒนำกำรจำกขั้นหนึ่งไปสูอีกขั้นหนึ่ง ่ เพรำะจะทำำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่กำร จัดประสบกำรณ์ส่งเสริมพัฒนำกำรของ เด็กในช่วงที่เด็กกำำลังจะพัฒนำไปสู่ ขั้นที่ สูงกว่ำ สำมำรถช่วยให้เด็กพัฒนำไป
  • 6. อย่ำงไรก็ตำม เพียเจต์เน้นควำม สำำคัญของกำรเข้ำใจธรรมชำติและ พัฒนำกำรของเด็กมำกกว่ำกำร กระตุนเด็กให้มีพฒนำกำรเร็วขึ้น ้ ั เพียเจต์สรุปว่ำ พัฒนำกำรของเด็ก สำมำรถอธิบำยได้โดยลำำดับระยะ พัฒนำทำงชีววิทยำทีคงที่ แสดงให้ ่ ปรำกฏโดยปฏิสมพันธ์ของเด็กกับสิ่ง ั แวดล้อม
  • 7. เพียเจต์กล่ำวว่ำ ระหว่ำงระยะเวลำ ตั้งแต่ทำรกจนถึงวัยรุ่น คนเรำจะค่อยๆ สำมำรถปรับตัวเข้ำกับสิงแวดล้อมได้มำก ่ ขึ้นตำมลำำดับขั้น โดยเพียเจต์ได้แบ่งลำำดับ ขั้นของพัฒนำกำรเชำวน์ปญญำของมนุษย์ ั ไว้ 4 ขัน ซึ่งเป็นขั้นพัฒนำกำรเชำวน์ ้ ปัญญำ ดังนี้
  • 8. •ขั ้ น ที ่ 1 ขั ้ น ประสาทรั บ รู ้ แ ละการ เคลื ่ อ นไหว (Sensorimotor) แรกเกิ ด - 2 ขวบ ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรม ของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับกำรเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ ในวัยนี้เด็กแสดงออกทำงด้ำนร่ำงกำยให้เห็นว่ำมีสติ ปัญญำด้วยกำรกระทำำ เด็กสำมำรถแก้ปัญหำได้ แม้ว่ำจะไม่สำมำรถอธิบำยได้ด้วยคำำพูด เด็กจะต้องมี โอกำสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
  • 9. •ขั ้ น ที ่ 2 ขั ้ น ก่ อ นปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด (Preoperational) อำยุ 1 8 เดื อ น - 7 ปี เด็กก่อนเข้ำโรงเรียนและวัยอนุบำล มีระดับเชำวน์ ปัญญำอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนีมีโครงสร้ำงของสติ ้ ปัญญำ(Structure) ที่จะใช้สญลักษณ์แทนวัตถุสงของ ั ิ่ ที่อยู่รอบๆตัว ได้ หรือ มีพัฒนำกำรทำงด้ำนภำษำ เด็ก วัยนี้จะเริ่มด้วยกำรพูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำำต่ำงๆ เพิ่มขึ้น เด็กจะได้รู้จักคิด ขั้นนี้ แบ่งออกเป็นขั้นย่อย อีก 2 ขั้น คือ
  • 10. 1.ขั ้ น ก่ อ นเกิ ด สั ง กั ป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็กอำยุ 2-4 ปี เป็น ช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบืองต้น สำมำรถจะโยง ้ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกำรณ์ 2 เหตุกำรณ์ หรือมำกกว่ำมำเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและ กัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำำกัด อยู่ เพรำะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลำง คือ ถือควำมคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็น เหตุผลของผูอื่น ควำมคิดและเหตุผลของเด็ก ้ วัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตำมควำมเป็นจริงนัก แต่
  • 11. 2. ขั ้ น การคิ ด แบบญาณหยั ่ ง รู ้ นึ ก ออกเองโดย ไม่ ใ ช้ เ หตุ ผ ล ( Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็ก อำยุ 4-7 ปี ขั้นนี้ เด็กจะเกิดควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่ำงๆ รวม ตัวดีขึ้น เริ่มมีพัฒนำกำรเกี่ยวกับกำรอนุรักษ์ แต่ ไม่แจ่มชัดนัก สำมำรถแก้ปญหำเฉพำะหน้ำได้ ั โดยไม่คดเตรียมล่วงหน้ำไว้ก่อน รู้จักนำำควำมรู้ ิ ในสิงหนึ่งไปอธิบำยหรือแก้ปญหำอื่นและ ่ ั สำมำรถนำำเหตุผลทั่วๆ ไปมำสรุปแก้ปญหำ โดย ั ไม่วิเครำะห์อย่ำงถี่ถ้วนเสียก่อน กำรคิดหำเหตุ
  • 12. •ขั ้ น ที ่ 3 ขั ้ น ปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด ด้ ำ นรู ป ธรรม (Concrete Operations)(อำยุ 7 - 11 ปี ) พัฒนำกำรทำงด้ำนสติปัญญำและควำมคิดของเด็กวัยนี้ แตกต่ำงกันกับเด็กในขั้น Preperational มำก เด็กวัยนี้จะ สำมำรถสร้ำงกฎเกณฑ์ และตั้งกฎเกณฑ์ ในกำร แบ่งสิ่ง แวดล้อมออกเป็นหมวดหมูได้ คือ เด็กจะสำมำรถทีจะอ้ำงอิง ่ ่ ด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับกำรรับรู้จำกรูปร่ำงเท่ำนั้น เด็กวัยนี้ สำมำรถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลำยๆอย่ำง และคิดย้อนกลับ (Reversibility) ได้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกิจกรรมและควำม สัมพันธ์ของตัวเลขก็เพิ่มมำกขึ้น
  • 13. •ขั ้ น ที ่ 4 ขั้นปฏิบัติกำรคิดด้วยนำมธรรม (Formal Operations)อำยุ 12 ปี ข ึ ้ น ไป ในขั้นนีพัฒนำกำรเชำวน์ปัญญำและควำมคิดเห็น ้ ของเด็กเป็นขั้นสุดยอด คือ เด็กในวัยนีจะเริ่มคิดเป็น ้ ผู้ใหญ่ ควำมคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสำมำรถทีจะคิด ่ หำเหตุผลนอกเหนือไปจำกข้อมูลที่มอยู่ สำมำรถทีจะคิด ี ่ เป็นนักวิทยำศำสตร์ สำมำรถที่จะตั้งสมมุติฐำนและ ทฤษฎีและเห็นว่ำควำมจริงทีเห็นด้วยกับกำรรับรู้ไม่ ่ สำำคัญเท่ำกับกำรคิดถึงสิ่งทีอำจเป็นไปได้(Possibility ่
  • 14. พัฒนำกำรทำงกำรรู้คดของเด็กในช่วงอำยุ 6 ิ ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษำไว้เป็น ประสบกำรณ์ สำำคัญที่เด็กควรได้รับกำรส่ง เสริม มี 6 ขั้น ได้แก่ 5.ขั้นควำมรู้แตกต่ำง (Absolute Differences) 6.ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้ำม (Opposition) 7.ขั้นรู้หลำยระดับ (Discrete Degree) 8.ขั้นควำมเปลี่ยนแปลงต่อเนือง (Variation) ่ 9.ขั้นรู้ผลของกำรกระทำำ (Function) 6. ขั้นกำรทดแทนอย่ำงลงตัว (Exact
  • 15. กระบวนกำรทำงสติ ป ั ญ ญำมี ล ั ก ษณะดั ง นี ้ 3)กำรซึมซับหรือกำรดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนกำรทำงสมองในกำรรับประสบกำรณ์ เรื่องรำว และข้อมูลต่ำง ๆ เข้ำมำสะสมเก็บไว้เพือใช้ประโยชน์ต่อไป ่ 2. กำรปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนกำร ทำงสมองในกำรปรับ ประสบกำรณ์เดิมและประสบกำรณ์ใหม่ให้เข้ำ กันเป็นระบบ 3. กำรเกิดควำมสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นจำกขั้นของกำรปรับ หำกกำรปรับ เป็นไปอย่ำงผสมผสำนกลมกลืนก็จะมีควำมสมดุลขึ้น หำกไม่ สำมำรถปรับประสบกำรณ์ใหม่และประสบกำรณ์เดิมให้เข้ำกันได้
  • 16. กำรนำ ำ ไปใช้ ใ นกำรจั ด กำรศึ ก ษำ / กำรสอน 1.เมือทำำงำนกับนักเรียน ผู้สอนควรคำำนึงถึงพัฒนำกำรทำงสติ ่ ปํญญำของนักเรียนดังต่อไปนี้ 1.1)นักเรียนทีมอำยุเท่ำกันอำจมีขั้นพัฒนำกำรทำงสติ ่ ี ปัญญำทีแตกต่ำงกัน ่ 1.2)นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบกำรณ์ 2 แบบคือ 1.2.1>ประสบกำรณ์ทำงกำยภำพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมือนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับ ่ วัตถุต่ำง ในสภำพแวดล้อม โดยตรง 1.2.2>ประสบกำรณ์ทำงตรรกศำสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้น เมือ ่
  • 17. 2.หลักสูตรที่สร้ำงขึ้นบนพื้นฐำนทฤษฎีพัฒนำกำรทำง สติปญญำของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ ั 1.เน้นพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนโดยต้อง เน้นให้นักเรียนใช้ศักยภำพของตนเองให้มำกที่สุด 2.เสนอกำรเรียนกำรเสนอที่ให้ผเรียนพบกับควำม ู้ แปลกใหม่ 3.เน้นกำรเรียนรู้ต้องอำศัยกิจกรรมกำรค้นพบ 4.เน้นกิจกรรมกำรสำำรวจและกำรเพิ่มขยำยควำม คิดในระหว่ำงกำรเรียนกำรสอน 5.ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยกำรรับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่นนอก เหนือจำกควำมคิดเห็นของตนเอง
  • 18. 3.กำรสอนทีส่งเสริมพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนควร ่ ดำำเนินกำรดังต่อไปนี้ 1) ถำมคำำถำมมำกกว่ำกำรให้คำำตอบ 2) ครูผู้สอนควรจะพูดให้นอยลง และฟังให้มำกขึ้น ้ 3) ควรให้เสรีภำพแก่นกเรียนทีจะเลือกเรียนกิจกรรมต่ำง ๆ ั ่ 4) เมือนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถำมคำำถำมหรือจัด ่ ประสบกำรณ์ให้นกเรียนใหม่ ั 5) ชี้ระดับพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของนักเรียนจำกงำน พัฒนำกำรทำงสติปัญญำขั้นนำมธรรมเพื่อดูว่ำนักเรียนคิด อย่ำงไร 6) ยอมรับควำมจริงทีว่ำ นักเรียนแต่ละคนมีอัตรำพัฒนำกำร ่ ทำงสติปัญญำทีแตกต่ำงกัน ่ 7) ผู้สอนต้องเข้ำใจว่ำนักเรียนมีควำมสำมำรถเพิ่มขึ้นใน
  • 19. 4.ในขั้นประเมินผล ควรดำำเนิน กำรสอนต่อไปนี้ 1) มีกำรทดสอบแบบกำรให้ เหตุผลของนักเรียน 2) พยำยำมให้นักเรียนแสดง เหตุผลในกำรตอนคำำถำมนั้น ๆ 3) ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมี พัฒนำกำรทำงสติปญญำตำ่ำ ั กว่ำเพื่อร่วมชั้น