Contenu connexe Similaire à ทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติของวิทยาลัยสงฆเลย Similaire à ทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติของวิทยาลัยสงฆเลย (20) ทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติของวิทยาลัยสงฆเลย1. ก
ชื่อรายงานวิจัย: ทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะ
ภาคปฏิบัติของวิทยาลัยสงฆเลย
ผูวิจัย : พระมหาสุภวิชญ ปภสฺสโร/ วิราม
สวนงาน : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆเลย
ปงบประมาณ : ๒๕๕๕
ทุนอุดหนุนการวิจัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทคัดยอ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค ๔ ประการ คือ เพื่อศึกษาทัศนคติของพระนิสิตที่มีตอการ
เรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓, ๕, และ ๗ เพื่อศึกษาทัศนคติของพระนิสิตที่มีตอ
การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔
เพื่อศึกษาวิเคราะหขอมูลเปรียบเทียบเกี่ยวกับทัศนคติของพระนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
ในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ และเพื่อศึกษาปญหาอุปสรรคในการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะ
ภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔
ประชากรที่ใชในการวิจัยครั้งนี้เปนนิสิตภาคปกติและภาคพระสังฆาธิการที่ได
ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ธรรมภาคปฏิบัติ ๓,๕ และ ๗ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๕ กําลังศึกษาอยูที่
วิทยาลัยสงฆเลย จํานวนทั้งหมด ๑๕๐ รูป
ผลรายงานการวิจัย พบวา
๑. พระนิสิตวิทยาลัยสงฆเลยชั้นปที่ ๒,๓ และ๔ มีความเห็นทั้ง ๔ ดานโดยภาพรวม
อยูในระดับมาก (๓.๗๔) เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวา ทัศนคติดานการจัดการเรียนการสอนมี
คาเฉลี่ยสูงสุด (๓.๘๔ ) รองลงมาคือ ทัศนคติดานตอเนื้อหาสาระ (๓.๘๓) ทัศนคติดานแรงจูงใจ
(๓.๘๐) สวนดานที่มีคาเฉลี่ยต่ําที่สุด คือ ทัศนคติดานการปฏิบัติกรรมฐาน (๓.๗๔) ตามลําดับ
๒. พระนิสิตวิทยาลัยสงฆเลยชั้นปที่ ๒,๓ และ๔ มีความคิดเห็นตอเนื้อหาสาระ
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ๓,๕,๗ โดยภาพรวม อยูในระดับมาก (๓.๘๓) ) เมื่อพิจารณาเปนรายขอ
พบวา ขอที่มีคาเฉลี่ยสูงสุด คือ ขอ ๖ ประโยชนที่ไดรับจากการศึกษารายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ
(๔.๑๒) รองลงมาคือ ขอ ๓ เนื้อหาสอดคลองกับความเปนจริงของโลกปจจุบัน (๓.๙๕) สวนขอที่
มีคาเฉลี่ยต่ําที่สุด คือขอ ๕ เนื้อหาเคยไดศึกษามากอนแลว (๓.๕๘)
๓. พระนิสิตวิทยาลัยสงฆเลยชั้นปที่ ๒,๓และ๔ มีความคิดเห็นตอแรงจูงใจ
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓,๕,๗ โดยภาพรวม อยูในระดับมาก (๓.๘๐) เมื่อพิจารณาเปนรายขอ
2. ค
Research Title: An Attitude of Buddhist Students to Learning and Teaching
Buddhist Meditation at Loei Buddhist College
Researcher: Pramaha Supavit Phapatsaro/Wiram
Department: Mahachulalongkornrajadyalaya University,
Loei Buddhist College.
Fiscal Year: 2555
Research Scholarship Sponsor: Mahachulolongkornrajadyalaya University
Abstract
This researchwas aimed at 4 four reasons for; studying the attitude of the Buddhist
students towards teaching and learning in the Buddhist Meditation 3, 5, and 7, studying the
attitude of the 2nd
, 3rd
and 4th
year Buddhist students towardsteachingand learning in the Buddhist
Meditation 3, 5, and 7, analyzing the comparative data concerning the students' attitudes towards
teaching and learning in the Buddhist Meditation, and studying the problems and obstacles of
teaching and learning in the Buddhist Meditation 3,5, and 7 of the 2nd
, 3rd
and 4th
year Buddhist
students.
The population sampling used of this research were 150 Buddhist students who
registered the course of practical Dharma 3, 5, and 7 in the regular term and irregular term of the
first semester/2551 B.E. and they were studying at the Buddhist College of Loei.
The results showed that;
1. The2nd
, 3rd
and 4th
year Buddhist students’ opinions at all 4 aspects, in overall, were
at “High” level (3.74). In regard to considering at each aspect, it showed that the attitude in the
aspect of teaching had highest average score (3.84), followed by the attitude in the aspect of
contents (3.83), motivation (3.80), and the lowest average score was the aspect of meditation
practice (3.74), respectively.
3. ง
2. The 2nd
, 3rd
and 4th
year- Buddhist students’ opinions in overall at the aspect of
contents in the courses of practical Dharma 3, 5 and 7 were at “High” level (3.83). In regard to
considering at each aspect, it showed that the item 6: the gaining benefit resulted from studying
the course of Buddhist Meditation (4.12), followed by the item 3: the contents being consistent to
the reality of the today world (3.95), and the lowest average score was the item 5: the contents
have been studied ever before (3.58).
3. The 2nd
, 3rd
and 4th
year- Buddhist students’ opinions in overall at the aspect of
motivation in the course of Buddhist Meditation 3, 5 and 7 were at “High” level (3.80). In regard
to considering at each aspect, it showed that the item 4: each Dharma item in the course of
Buddhist Meditation was the motivating media being adapted for use in daily life (4.03),
followed by the item 6: the textbooks of Buddhist Meditation which were used for finding out
and studying in the library were the good motivating media to want to study the courses of
Buddhist Meditation (3.89), and the lowest average score item was the item 2: the classroom
environment condition had atmosphere to be wanted to study the courses of Buddhist Meditation
(3.53).
4. The 2nd
, 3rd
and 4th
year Buddhist students’ opinions in overall towards teaching and
learningin the coursesof Buddhist Meditation 3, 5 and7 were at “High” level (3.84). in regardto
considering at each aspect, it showed that item 5: the teacher openly let the students have chances
to ask for the resolutions, had the highest average score (4.09), followed by the item 2: the
teachers clearly described the contents and well understood (4.05), and the lowest average score
item was the item 1: the teachers cited the introduction of Dharma or the result of Dharma merit
prior to the lesson (3.70).
5. In regard to the comparison concerning the Buddhist students' attitude towards
teaching and learning in the course of Buddhist Meditation in overall, it found that it was not
different, statistically and significantly, at the 0.05 level. When considering at each aspect, it
found that it was not different in all aspects, statistically and significantly, at the 0.05 level.
6. Regarding the problems and obstacles in teaching and learning in the courses of
Buddhist Meditation 3,5, and 7 of the 2nd
, 3rd
and 4th
year Buddhist students, it found that there
were less textbooks of some courses, and there were not enough textbooks for helping the
students to find out and study. Accessing to the internet media was not enough for finding out and
studying. Arrangement of learning and teaching was still the obstacles due to the Buddhist
4. จ
students stayed away from the college in long distance and in this regard, it let them come to the
class late. As well as due to insufficiency of the buildings, there were not enough classrooms for
students.
In summary from the mentioned above, it indicated that the opinions towards the
teaching and learning in the courses of Buddhist Meditation 3, 5 and 7 of the 2nd
, 3rd
and 4th
year
Buddhist students were not different, statistically and significantly.
5. ฆ
สารบัญ
บทคัดยอภาษาไทย
บทคัดยอภาษาอังกฤษ
กิตติกรรมประกาศ
สารบัญ
สารบัญตาราง
ก
ข
ค
ง
จ
บทที่ ๑ บทนํา
๑.๑ ความสําคัญและที่มาของปญหาที่ทําการวิจัย ๑
๑.๒ วัตถุประสงคของโครงการวิจัย ๓
๑.๓ ขอบเขตของโครงการวิจัย ๓
๑.๔ กรอบแนวคิด ของโครงการวิจัย ๓
๑.๕ คํานิยามศัพทของโครงการวิจัย ๔
๑.๖ ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ และหนวยงานที่นําผลการวิจัยไปใชประโยชน ๕
บทที่ ๒ วรรณกรรม เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
๒.๑ แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับทัศนคติ ๖
๒.๑.๑ ความสําคัญของทัศนคติ ๘
๒.๑.๒ ทัศนคติกับพฤติกรรม ๘
๒.๑.๓ องคประกอบและหลักการวัดหรือการสํารวจทัศนคติ ๑๑
๒.๑.๔ ประเภทของ ทัศนคติ ๑๓
๒.๑.๕ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ๑๔
๒.๒ แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับแรงจูงใจ ๑๙
๒.๒.๑ ประเภทของแรงจูงใจ ๒๐
๒.๒.๒ องคประกอบที่ทําใหเกิดแรงจูงใจ ๒๑
๒.๒.๓ ลักษณะของแรงจูงใจ ๒๑
๒.๒.๔ ขบวนการของการเกิดแรงจูงใจ ๒๓
๒.๒.๕ เปาหมายของแรงจูงใจ ๒๕
๒.๒.๖ ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ ๒๖
๒.๒.๗ การสรางแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ ๒๗
6. ฆ
๒.๓ วิธีการจัดการเรียนการสอน ๒๘
๒.๓.๑ วิธีการเรียนการสอน ๓๑
๒.๓.๒ การวัดและประเมินผล ๓๔
๒.๔ ความเปนมาของธรรมะภาคปฏิบัติ ๓๗
๒.๕ วิธีการกําหนดปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ๔๔
๒.๖ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวของ ๕๖
๒.๗ กรอบแนวคิดของโครงการวิจัย ๕๘
บทที่ ๓ วิธีดําเดินการวิจัย ๕๙
๓.๑ ประชากรที่ใชในการวิจัย ๕๙
๓.๒ เครื่องมือและการพัฒนาเครื่องมือ ๕๙
๓.๓ การเก็บรวบรวมขอมูลการวิจัย ๖๐
๓.๔ การวิเคราะหขอมูล ๖๐
บทที่ ๔ ผลการวิเคราะหขอมูล ๖๑
๔.๑ ขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม จําแนกตามสถานภาพ อายุ วุฒิ
การศึกษา
๖๒
๔.๒ ผลการวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการ
สอนรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกตาม สถานภาพ
๖๘
๔.๓ ผลการวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการ
สอนรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกตาม อายุ วุฒิการศึกษาแผนกธรรม
วุฒิการศึกษาแผนกบาลี และวุฒิการศึกษาแผนกสามัญ
๗๓
บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย ๗๗
๕.๑ บทสรุป ๗๗
๕.๒ อภิปรายผล ๗๘
๕.๓ ขอเสนอแนะ ๗๙
บรรณานุกรม ๘๑
ภาคผนวก ก. แบบสอบถามการวิจัย ๘๖
ภาคผนวก ข. ประวัติผูวิจัย และคณะ ๙๔
8. ง
สารบัญตาราง
ตารางที่ ๑ จํานวนและรอยละของขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม จําแนก
ตามสถานภาพ
๖๒
ตารางที่ ๒ จํานวนและรอยละของขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม จําแนก
ตามอายุ
๖๒
ตารางที่ ๓ จํานวนและรอยละของขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม จําแนก
ตามวุฒิการศึกษาแผนกธรรม
๖๒
ตารางที่ ๔ จํานวนและรอยละของขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม จําแนก
ตามวุฒิการศึกษาแผนกบาลี
๖๓
ตารางที่ ๕ จํานวนและรอยละของขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับผูตอบแบบสอบถาม จําแนก
ตามวุฒิการศึกษาแผนกสามัญ
๖๓
ตารางที่ ๖ ตารางของการแสดงคาเฉลี่ย คาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับทัศคติ
ของนิสิตโดยจําแนกเปนรายดาน
๖๓
ตารางที่ ๗ ตารางของการแสดงคาเฉลี่ย คาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับทัศคติ
ดานเนื้อหาสาระ
๖๔
ตารางที่ ๘ จํานวนและรอยละของการแสดงคาเฉลี่ย คาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เกี่ยวกับทัศคติดานแรงจูงใจ
๖๕
ตารางที่ ๙ ตารางของการแสดงคาเฉลี่ย คาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับทัศคติ
ดานการจัดการเรียนการสอน
๖๖
ตารางที่ ๑๐ ตารางของการแสดงคาเฉลี่ย คาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับทัศคติ
ดานการปฏิบัติกรรมฐาน
๖๗
ตารางที่ ๑๑ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกเปนรายดาน สถานภาพ
๖๘
ตารางที่ ๑๒ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ทัศนคติดานเนื้อหาสาระ จําแนกเปนรายดาน
สถานภาพ
๖๘
9. ง
สารบัญ(ตารางตอ)
ตารางที่ ๑๓ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติทัศนคติดานแรงจูงใจ จําแนกเปนรายดาน
สถานภาพ
๖๙
ตารางที่ ๑๔ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ทัศนคติดานการจัดการเรียนการสอน จําแนก
เปนรายดาน สถานภาพ
๗๐
ตารางที่ ๑๕ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ทัศนคติดานการปฏิบัติกรรมฐาน จําแนกเปน
รายดาน สถานภาพ
๗๑
ตารางที่ ๑๖ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกเปนรายดาน อายุ
๗๓
ตารางที่ ๑๗ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกเปนรายดาน วุฒิการศึกษาแผนกธรรม
๗๔
ตารางที่ ๑๘ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกเปนรายดาน วุฒิการศึกษาแผนกบาลี
๗๕
ตารางที่ ๑๙ การวิเคราะหเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ จําแนกเปนรายดาน วุฒิการศึกษาแผนกสามัญ
๗๖
10. บทที่ ๑
บทนํา
๑. ความสําคัญและที่มาของปญหาที่ทําการวิจัย
วิชาธรรมะภาคปฏิบัติเปนรายวิชาหนึ่งในการวัดการเรียนการสอนของหลักสูตร
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเปนรายวิชาแกนที่สําคัญที่มุงใหเปนวิชาวาดวย
ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติโดยเฉพาะภาคปฏิบัติถือวาเปนวัตถุประสงคหลักที่ตองการใหนิสิตไดลง
มือปฏิบัติจริงและเปนจุดมุงหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา ตามที่พระธรรมปฎกไดกลาววา
“เนื่องดวยคําสอนในพระพุทธศาสนาเนนสิ่งที่ปฏิบัติไดจริงและการลงมือปฏิบัติใหรูเห็นประจักษ
บังเกิดผลเปนประโยชนแกชีวิต”๑
วิธีการที่จะนําไปสูเปาหมายหรือจุดมุงหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนานั้น
พระพุทธเจาไดตรัสแนะแกพระสาวกทั้งหลายถึงธุระในศาสนาใหรูและศึกษาเปนเบื้องตนกอนที่จะ
ลงมือปฏิบัติคือ
๑. คันถธุระ หมายถึง กิจที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะตองศึกษาเลาเรียนหลักพุทธ
วจนะของพระพุทธเจา จากพระไตรปฎก อรรถกถาและฎีกาตาง ๆ พระธรรมปฎก “คันถธุระ ธุระ
ฝายคัมภีรกิจดานการเลาเรียน”๒
และสอดคลองกับความหมายของพระธรรมบทฉบับภาษาบาลีวา
“ธุระนี้ คือ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี จบพุทธวจนะคือพระไตรปฎกก็ดี ตามสมควรแก
ปญญาของตนแลวทรงไว กลาวบอกพุทธวจนะนั้น ชื่อวา คันถธุระ สวนการเริ่มตั้งความสิ้นและ
ความเสื่อมไวในอัตภาพ ยังวิปสสนาใหเจริญ ดวยอํานาจแหงการติดตอแลว ถือเอาพระอรหัตของ
ภิกษุผูมีความประพฤติแคลวคลอง ยินดียิ่งแลวในเสนาสนะอันสงัด ชื่อวา วิปสสนาธุระ”๓
๒. วิปสสนาธุระ หมายถึง กิจที่พระภิกษุในพุทธศาสนานี้ตองปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐาน
และวิปสสนากรรม พระธรรมปฎกกลาววา “วิปสสนาธุระ เปนฝายเจริญวิปสสนา กิจดานการ
๑
พระธรรมปฎก (ป.อ. ประยุทธ ปยุตฺโต), พุทธธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๒๔๑.
๒
พระธรรมปฎก, (ป.อ. ประยุทธ ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม,
(กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๗๖.
๓
ธมฺมปทฏฐกถา (ภาค ๑ ฉบับบาลี), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหามกุฎราชวิทยาลัย ๒๕๔๑),
หนา ๗.
11. ๒
บําเพ็ญภาวนาหรือเจริญกรรมฐานซึ่งรวมทั้งสมถะดวย เรียกรวมเขาในวิปสสนาโดยฐานเปนสวน
คลุมยอด” ๑
ดังนั้นวิปสสนาธุระคืองานมุงอบรมปญญาใหเกิดโดยการปลอยวางภาระทั้งปวงทํา
กายใจใหเบายินดีในเสนาสนะที่เงียบสงบพิจารณาถึงความเสื่อมไปในสังขารรางกายจนเห็นสามัญ
ลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไดชัดเจน เจริญอบรมวิปสสนาตอเนื่องไปไมขาดสายจนถึง
หลักชัยคืออรหันตผลได จะเห็นวาธุระทั้งสองอยางนี้มีความสําคัญและเกี่ยวเนื่องกันจากคันถธุระ
ศึกษาพระพุทธพจนเขาใจแลวจึงนําไปสูแนวทางปฏิบัติใหบรรลุเปาหมายของการศึกษา การจะ
นําไปสูเปาหมายไดนั้นตองขึ้นอยูกับกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ดี มีสวนสําคัญและสงผล
ตอการเรียนรูของผูเรียนโดยตรง นอกจากหลักสูตรที่กําหนดขึ้น เพื่อใหผูเรียนไดศึกษาเลาเรียนจน
บรรลุถึงเปาหมายตามที่หลักสูตรกําหนดได แตสิ่งหนึ่งที่จะขาดไมไดคือวิธีการถายทอดของ
ครูผูสอนวาครูจะดําเนินการวิเคราะหปญหา กําหนดทางเลือกในการแกปญหา เลือกทางที่
เหมาะสมกับผูเรียนใหมากที่สุดเทาที่จะทําได เพื่อนําผูเรียนไปสูเปาหมายที่วางเอาไว พระราชวร
มุนีไดกลาวถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนไววา “การศึกษามีหนาที่ ๒ ประการ หนาที่ในการ
ถายทอดศิลปวิทยาหมายถึงการถายทอดรักษาสงเสริมเพิ่มพูนวิชาการและวิชาชีพและหนาที่ในการ
ชี้แนะใหรูจักการดําเนินชีวิตที่ดีงามถูกตองและการฝกฝนพัฒนาจนถึงความสมบูรณอันนี้เปนหนาที่
ซึ่งอาตมาภาพวาเปนเรื่องของการศึกษาแท ๆ เปนเนื้อหาแทของการศึกษา”๒
การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยไดจัด
หลักสูตรใหมีการเรียนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติตั้งแตธรรมะภาคปฏิบัติ ๑ ถึงธรรมะภาคปฏิบัติ
๗ ตลอดระยะเวลาที่นิสิตศึกษา ๔ ป ๘ ภาคการศึกษา โดยที่นิสิตจะตองเรียนใหไดครบทั้ง ๗
รายวิชา ใน ๗ รายวิชานั้น จะขาดรายวิชาใดวิชาหนึ่งไมได ถึงแมบางรายวิชาจะไมนับผลการเรียน
หรือไมนับหนวยกิจก็ตาม ใหถือวา ทุกรายวิชามีความสําคัญ บรรดา ๗ รายวิชานั้น รายวิชาธรรมะ
ภาคปฏิบัติ๒ เทานั้นที่นับผลการเรียนเปน๑ หนวยกิจตอ ๑ ชั่วโมง ธรรมะภาคปฏิบัติ๑,๓,๔,๕,๖
และ ๗ ไมนับผลการเรียน ในขณะการทําการเรียนนั้นจะเนนหนักภาคปฏิบัติใหนิสิตลงมือปฏิบัติ
ในหองหรือสถานที่เหมาะสมกับการปฏิบัติโดยเฉพาะวิทยาลัยสงฆเลย ไดสงนิสิตไปปฏิบัติธรรม
ตามสถานที่ปฏิบัติในชวงเดือน ธันวาคมของทุกป รวมระยะเวลา ๑๐ วัน
ผลสําเร็จจากการจัดการเรียนการสอนของรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ เทาที่ผานมาจะเห็น
วามีอุปสรรคปญหาของรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติซึ่งสะทอนจากการตอบคําถามในรายวิชาธรรมะ
ภาคปฏิบัติ ๑,๓,๔,๕,๖, และ ๗ จากพฤติกรรมที่แสดงออกตอรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติพอสมควร
๑
เรื่องเดียวกัน, หนา ๗๖.
๒
พระราชวรมุนี, (ประยุทธ ปยุตฺโต), การศึกษา เครื่องมือพัฒนาที่ยังตองพัฒนา. (กรุงเทพฯ :
อมรินทรพริ้นติ้ง กรป, ๒๕๓๐), หนา ๕๗-๕๘.
12. ๓
ดานตอบคําถามปราฏกวานิสิตตอบคําถามไมตรงประเด็นและบางขอคําถามก็ไมสามารถตอบได
และดานพฤติกรรมที่สะทอนตอรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๑,๓,๔,๕,๖, และ๗ ปรากฏวานิสิตให
ความสําคัญนอยมาก เมื่อเทียบกับรายวิชาอื่น ๆ จึงนําสูประเด็นคําถามวาทําไมนิสิตจึงตอบคําถาม
ปญหาต่ํากวาเกณฑวัดผลประเมินผลและทัศนคติที่นิสิตแสดงออกตอรายวิชา ๑,๓,๔,๕,๖,๗
ดังนั้นผูวิจัยจึงตองการจะทราบทัศนคติที่มีตอรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติทั้งดาน เนื้อหา
สาระ รายวิชา ดานการจัดการเรียนการสอนและดานภาคปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน
๒. วัตถุประสงคของโครงการวิจัย
๒.๑ เพื่อศึกษาทัศนคติของพระนิสิตที่มีตอการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะ
ภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔
๒.๒ เพื่อศึกษาทัศนคติของพระนิสิตที่มีตอการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะ
ภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔
๒.๓ เพื่อศึกษาวิเคราะหขอมูลเปรียบเทียบเกี่ยวกับทัศนคติของพระนิสิตที่มีตอการ
จัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ
๒.๔ เพื่อศึกษาปญหาอุปสรรคในการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓, ๕,
และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔
๒.๕ เพื่อนําผลการวิจัยไปปรับปรุงการสอนรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติตอไป
๓. ขอบเขตของโครงการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้ ผูวิจัยไดกระทําการศึกษาตามขอบเขตดังตอไปนี้
๓.๑ ขอบเขตดานประชากรและกลุมตัวอยาง
ประชากรและกลุมตัวอยาง ที่ใชในการวิจัยครั้งนี้เปนนิสิตภาคปกติและภาคพระสังฆาธิ
การที่ไดลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ธรรมภาคปฏิบัติ ๓,๕ และ ๗ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๕ และ
กําลังศึกษาอยูที่วิทยาลัยสงฆเลย จํานวน ๑๕๐ รูป
๓.๒ ขอบเขตดานเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้คณะผูวิจัยไดมุงศึกษาเนื้อหาแนวคิดและความหมายเกี่ยวกับทัศนคติ
แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับแรงจูงใจ การจัดการเรียนการสอน ความเปนมาของการปฏิบัติ
กรรมฐาน และหลักการและวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งเปนแนวคิดหลักที่เกี่ยวของการกับการวิจัย
โดยเฉพาะ
13. ๔
๓.๓ ขอบเขตดานตัวแปร
ตัวแปรอิสระ ไดแก
- สถานภาพ จําแนกออกเปน ๒ สถานภาพ คือ พระภิกษุ และสามเณร
- อายุ
- วุฒิการศึกษา
- แผนกธรรมจําแนกออกเปน ๒ แผนก คือ แผนกบาลี และแผนกสามัญ
ตัวแปรตาม ไดแก ทัศนคติที่มีตอการจัดการเรียนการสอนแยกเปน ๓ ดาน คือ ๑. ดาน
เนื้อหาสาระรายวิชา ๒. ดานการจัดการเรียนการสอน ๓. ปญหาอุปสรรคในการเรียนการสอน
๓.๔ ขอบเขตดานเวลา
ระยะเวลาในการทําวิจัยครั้งนี้ คือ ระหวางเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ๒๕๕๕
๔. คํานิยามศัพท ของโครงการวิจัย
๕.๑ ทัศนคติ หมายถึง ตอการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗
ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔
๕.๒ การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การจัดแผนการเรียน การจัดตารางสอน การ
จัดครูมือเขาสอน การจัดทําโครงการสอน การจัดทําบันทึกการสอนหรือแผนการสอนในรายวิชา
ธรรมะภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓, และ ๔ ประกอบดวย ๓ ดาน คือ ๑. ดาน
เนื้อหาสาระรายวิชา ๒. ดานการจัดการเรียนการสอน ๓. ปญหาอุปสรรคในการเรียนการสอน
๕.๓ การวัดและประเมินผล หมายถึง การนําสิ่งที่วัดไดไปประเมินผลวาผูเรียนควรจะ
ไดหรือตกและสามารถนําไปปรับปรุงแกไขการเรียนการสอนไดเปนอยางดี
๕.๔ ธรรมะภาคปฏิบัติ หมายถึง หลักการและวิธีการปฏิบัติกรรมฐานทั้งสมถะและ
วิปสสนา อารมณสมถกรรมฐาน ตามแนวสติปฏฐานสูตร ใหมีความรูความเขาใจในการปฏิบัติและ
การนําไปใชและประโยชนของกรรมฐาน
๕.๕ คันถะธุระ หมายถึง ธุระของพระภิกษุสงฆจะตองศึกษาพระไตรปฎก
๕.๖ วิปสสนาธุระ หมายถึง ธุระของพระภิกษุสงฆจะตองปฏิบัติตามพระธรรม พระ
วินัย
14. ๕
๕.๗ พระนิสิต หมายถึง ผูที่ไดขึ้นทะเบียนเปนนิสิตระดับปริญญาตรีเรียบรอยแลว๑
๕.๘ วิทยาลัยสงฆ หมายถึง สถานการศึกษาที่ขึ้นตรงวิทยาเขตขอนแกน ของ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๕.๙ แรงจูงใจ หมายถึง แรงผลักดัน แรงกระตุนที่เกิดจากความตองการที่จะไดรับการ
ตอบสนองตอสิ่งกระตุน
๕. ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ และหนวยงานที่นําผลการวิจัยไปใชประโยชน
๕.๑ ดานเนื้อหาสาระรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ที่พระนิสิตไดศึกษาแลว
ตอบสนองความตองการหรือไม ถาสวนที่พระนิสิตเห็นวา ยาก งาย ซ้ําซอน ควรจะนําไปปรับปรุง
แกไขอยางไร
๕.๒ ดานการจัดการเรียนการสอนรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติพระนิสิตไดรับความรูจาก
อาจารยที่สอน การจัดการเรียนการสอนสอดคลองกับเนื้อหาสาระมากนอยเพียงไร
๕.๓ ดานการเปรียบเทียบทัศนคติ สถานภาพ แรงจูงใจ และการจัดการเรียนการสอน
ในวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๓,๕, และ ๗ ของนิสิตชั้นปที่ ๒,๓ และ๔
๑
การประชุมสัมมนาระบบทะเบียนนิสิต, เอกสารประกอบการประชุมโครงการประชุมสัมมนา
ระบบทะเบียน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ต. ลําไทร อ. วังนอย จ. พระนครศรีอยุธยา, (๘-๑๐
กันยายน ๒๕๕๑), หนา ๑๐๘.
15. บทที่ ๒
วรรณกรรม เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
การวิจัยในครั้งนี้ คณะผูวิจัยไดกําหนดแนวทางการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวของกับเรื่องทัศนคติที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบัติของพระ
นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆเลย ในหัวขอตอไปนี้คือ
๒.๑ แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับทัศนคติ
๒.๒ แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับแรงจูงใจ
๒.๓ แนวคิดการจัดการเรียนการสอน
๒.๔ ความเปนมาของวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ
๒.๕ หลักการและวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน
๒.๖ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
๒.๗ กรอบแนวคิดของโครงการวิจัย
๒.๑ แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับทัศนคติ
๒.๑.๑ ความหมายของทัศนคติ
นักสังคมวิทยาและนักจิตวิทยาสังคมทั้งชาวตางประเทศและชาวไทยไดใหคํานิยามของ
ทัศนคติในลักษณะตาง ๆ กัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
โสภา ชูพิกุลชัย๑
ทัศนคติเปนการรวบรวมความรูสึกนึกคิด ความเชื่อ ความคิดเห็น
และความจริง รวมทั้งความรูสึกซึ่งเราเรียกเปนการประเมินคาทั้งในทางบวกและทางลบ ซึ่ง
ทั้งหมดจะเกี่ยวพันกัน และจะบรรยายใหทราบถึงจุดแกนกลางของวัตถุนั้น ๆ ความรูและ
ความรูสึกเหลานี้ มีแนวโนมที่จะกอใหเกิดพฤติกรรมชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้น
๑
โสภา ชูพิกูลชัย, ความเห็นของครูสังคมศึกษาเกี่ยวกับปญหาการเรียนการสอนวิชา
พระพุทธศาสนาในวิทยาลัยเทคนิค สังกัดกรมอาชีวศึกษาในคูมือพัฒนาจริยศึกษากรมศาสนา. (กรุงเทพฯ : โรง
พิมพการศาสนา, ๒๕๓๙), หนา ๒๔๐.
16. ๗
นิพนธ แจงเอี่ยม๑
ทัศนคติเปนสิ่งที่อยูในจิตใจของบุคคลที่จะตอบสนองตอสิ่งใดสิ่ง
หนึ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งเราไมสามารถสังเกตหรือวัดไดโดยตรง แตเราสามารถรูไดโดย
ดูจากพฤติกรรมของบุคคลวาจะตอบสนองตอสิ่งเราอยางไร
ออมเดือน สดมณี๒
ทัศนคติเปนความรูสึกทางดานบวกและลบของแตละบุคคลที่มีตอ
สิ่งแวดลอมทางสังคม ทําใหบุคคลพรอมที่จะโตตอบออกมาเปนพฤติกรรม
นักวิชาการไดใหความหมายของทัศนคติในลักษณะแตกตางกันไป สรุปไดวา ทัศนคติ
เปนความรูสึกที่แสดงออกของบุคคลตอปรากฏการณทางสังคม โดยความรูสึกดังกลาวมีทิศทางได
ทั่งทางบวกและลบ ซึ่งเกิดจากการเรียนรูและประสบการณของบุคคล และสงผลใหบุคคลนั้น
พรอมที่จะแสดงพฤติกรรม จิระวัตน วงศสวัสดิ์วัฒน ๓
ไดรวบรวมคุณลักษณะของทัศนคติบาง
ดานที่นักทฤษฎีทางทัศนคติจํานวนไมนอยมีความเห็นพองตองกันและเปนคุณลักษณะที่นาสนใจ
ศึกษา เนื่องจากมีสวนเกี่ยวพันกับพฤติกรรมตาง ๆ ของบุคคล ดังนี้
๑. ทัศนคติเปนสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู ฉะนั้น การศึกษาและทําความเขาใจทัศนคติ
จําเปนตองอาศัยทฤษฎีการเรียนรูมาอธิบาย
๒. ทัศนคติมีคุณลักษณะของการประเมิน ซึ่งคุณลักษณะขอนี้เปนคุณลักษณะที่สําคัญ
ที่สุดที่ทําใหทัศนคติแตกตางกันอยางแทจริงจากแรงผลักดันภายในอื่น ๆ
๓. ทัศนคติมีคุณภาพและความเขม คุณภาพของทัศนคติเปนสิ่งที่ไดจากการประเมิน
เมื่อบุคคลประเมินสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผลก็อาจมีทัศนคติทางบวก (ความรูสึกชอบ) หรือทัศนคติทางลบ
(ความรูสึกไมชอบ) สวนความเขมของทัศนคติจะบงบอกถึงความมากนอยของทัศนคติทางบวก
หรือลบนั้น ๆ
๔. ทัศนคติความคงทนไมเปลี่ยนงาย ดวยเหตุนี้เองการเผยแพรวิทยาการเกษตรแผน
ใหมจึงมักประสบปญหาเพราะการเปลี่ยนทัศนคติดังกลาวเปนสิ่งที่ทําไดไมงายนัก
๕. ทัศนคติตองมีสิ่งที่หมายถึง (attitude object) ที่แนนอน นั่นคือ ทัศนคติตออะไร
ตอบุคคล ตอสิ่งของหรือตอสถานการณจะไมมีทัศนคติลอย ๆ ที่ไมหมายถึงสิ่งใด
๖. ทัศนคติมีลักษณะความสัมพันธ เชน ระหวางบุคคลกับสิ่งของบุคคลอื่น ๆ หรือ
สถานการณ และความสัมพันธนี้เปนความรูสึกจูงใจ นอกจากความสัมพันธขางตน ยังมี
๑
นิพนธ แจงเอี่ยม, จิตวิทยาสังคม, (กรุงเทพฯ : เอกมัยการพิมพ, ๒๕๒๕), หนา ๒๓๐.
๒
ออมเดือน สดมณี, เอกสารประกอบการสอนวิชาจิตวิทยาสังคม, (สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, ๒๕๒๙), หนา ๒๑๓.
๓
จิระวัฒน วงศสวัสดิ์วัฒน, ทัศนคติความเชื่อและพฤติกรรม : การจัดการพยากรณและการ
เปลี่ยนแปลง, (กรุงเทพฯ : อัสสัมชัน, ๒๕๔๗), หนา ๓๕๐.
17. ๘
ความสัมพันธระหวางแตละทัศนคติ ขณะที่ Fran Baines๑
กลาววา ทัศนคติเปนภาวะทางจิต ซึ่ง
ทําใหบุคคลพรอมที่จะโตตอบตอสิ่งแวดลอมเสมอ ลักษณะนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ และเปน
ตัวกําหนดทิศทางที่แตละบุคคลจะตอบสนองตอสิ่งของและเหตุการณที่เกี่ยวของ Maslow,
Avraham Harold๒
ไดใหความเห็นวาทัศนคติเปนความคิดที่ประกอบไปดวยอารมณ ซึ่งความคิดที่
ประกอบไปดวยอารมณนี้จะมีแนวโนมใหแสดงออกตอสถานการณทางสังคม ขณะที่ Kretch and
Crutchfield๓
กลาววา ทัศนคติเปนผลรวมของกระบวนการที่กอใหเกิดพลังจูงใจ อารมณ การรับรู
และกระบวนการรูการเขาใจเกี่ยวกับประสบการณรอบตัวของบุคคล
๒.๑.๒ ความสําคัญของทัศนคติ
ความสําคัญของทัศนคติอาจสรุปไดดังนี้
๑) ทัศนคติเปนฐานของปฏิสัมพันธ ทัศนคติเปนฐานสําหรับปฏิสัมพันธระหวางบุคคล
ตอบุคคลและระหวางบุคคลตอสังคม เมื่อบุคคลมีความสัมพันธติดตอกับคนอื่น เขาจะเรียนรูไป
ดวยวาทัศนคติของผูที่ติดตออยูดวยนั้น เหมือนหรือตางไปจากทัศนคติของเขาเอง การประเมิน
ทัศนคติระหวางกันในลักษณะนี้ชวยกําหนดปฏิสัมพันธระหวางบุคคลกับสังคมดวย เชน ทัศนคติ
ที่บุคคลมีตอประเด็นตาง ๆ ในสังคม จะทําใหเขามีแนวโนมที่จะเลือกหรือไมเลือกผูสมัครรับ
เลือกตั้งที่มีนโยบายสนับสนุน
๒) ทัศนคติเปนเครื่องมือในการพยากรณ ทัศนคติยังอาจใชเปนเครื่องมือในการ
พยากรณสังคมไดดวย เชน ทัศนคติที่มีตอการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบหรือการศึกษาตาม
อัธยาศัย เพื่อสํารวจคนในสังคมมีทาทีตอการจักการศึกษาอยางไรที่จะเปนแนวทางเลือกศึกษาให
สอดคลองตามความตองการของตนเอง
๒.๑.๓ ทัศนคติกับพฤติกรรม
ความสัมพันธระหวางความรูเชิงประเมินคา ความรูสึกตอสิ่งนั้นและความพรอมที่จะมี
ความสัมพันธกันอยางสอดคลอง แตโดยทั่วไปแลวสิ่งที่เราสังเกตได หรือสามารถสะทอนให
๑
Fran Baines, Encyclopedia of Religion, (London : Dorling Kindersley Limited, Penguin
Group, 2004), pp. 224.
๒
Maslow, Avraham Harold, Motivation and Personality, (New York : Harper and
Row,1970), p. 117.
๓
Kretch and Crutchfield, The Achievement Motive, (New York : Appleton Century Crofts,
1973), p. 114.
18. ๙
ทราบถึงทัศนคติของบุคคลตอสิ่งตาง ๆ คือ การแสดงออกของบุคคลหรือพฤติกรรม พฤติกรรมนี้
เปนสวนที่ตอเนื่องจากความพรอมที่จะกระทํา และเชนเดียวกันเรามักจะคาดหมายกันวาพฤติกรรม
ของบุคคลนาจะสอดคลองกับทัศนคติ
วุฒิชัย จํานง๑
ใหความเห็นวา ความหมายของทัศนคตินั้นโดยสามัญสํานึกถือวา
ทัศนคติคือ ภาวะทางจิตหนวยหนึ่งซึ่งถือวาเปนพฤติกรรมประเภทหนึ่งและในกรณีที่ไมมีอิทธิพล
จากทัศนคติอื่น ๆ ประกอบกับบุคคลนั้นอยูในเหตุการณที่สอดคลองกับทัศนคตินั้นแลวก็จะ
สามารถคาดพฤติกรรมได เพราะวาพฤติกรรมเปนผลโดยตรงจากทัศนคตินั้น
พฤติกรรมที่แสดงออกของมนุษยได และผลกระทบที่ผูรับสารเชิงความรูในทฤษฎีการ
สื่อสาร นั้นอาจปรากฏไดจากสาเหตุ ๕ ประการคือ
๑. การตอบขอสงสัย (Ambiguity Resolution)
การสื่อสารมักจะสรางความ สับสนใหสมาชิกในสังคม ผูรับสาร จึงมักแสวงหา
สารสนเทศ โดยการอาศัยสื่อ ทั้งหลาย เพื่อตอบ ขอสงสัย และความสับสนของตน
๒. การสรางทัศนะ (Attitude Formation)
ผลกระทบเชิงความรูตอการปลูกฝงทัศนะนั้น สวนมากนิยมใชกับสารสนเทศที่เปน
นวัตกรรม เพื่อสราง ทัศนคติ ใหคนยอมรับ การแพร นวัตกรรมนั้น ๆ
๓. การกําหนดวาระ (Agenda Setting) เปนผลกระทบเชิงความรูที่สื่อกระจายออกไป
เพื่อใหประชาชนตระหนักและผูกพันกับประเด็นวาระที่สื่อกําหนดขึ้น หากตรงกับภูมิหลัง ของ
ปจเจกชน และคานิยมของสังคมแลว ผูรับสารก็จะเลือกสารสนเทศนั้น
๔. การพอกพูนระบบความเชื่อ (Expansion of Belief System)
การสื่อสารสังคมมักกระจายความเชื่อคานิยม และอุดมการณดานตาง ๆ ไปสูประชาชน
จึงทําให ผูรับสารรับทราบระบบความเชื่อถือ หลากหลาย และลึกซึ้งไวใน ความเชื่อของตนมากขึ้น
ไปเรื่อย ๆ
๕. การรูแจงตอคานิยม (ValueClarification)
ความขัดแยงในเรื่องคานิยมและอุดมการณเปนภาวะปกติของสังคม สื่อมวลชนที่
นําเสนอขอเท็จจริงในประเด็นเหลานี้ ยอมทําให ประชาชน ผูรับสารเขาใจถึงคานิยมเหลานั้นแจง
ชัดขึ้น คารเตอรวี กูด (Carter V.Good) กลาววา ความรูเปนขอเท็จจริง (facts) ความจริง (truth) เปน
ขอมูลที่มนุษยไดรับและเก็บรวบรวมจากประสบการณตาง ๆ การที่บุคคลยอมรับหรือปฏิเสธสิ่งใด
สิ่งหนึ่งไดอยางมีเหตุผล บุคคลควรจะตองรูเรื่องเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อประกอบ การตัดสินใจนั่นก็คือ
๑
วุฒิชัย จํานง, พฤติกรรมการตัดสินใจ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพโอเดียนสโตร, ๒๕๒๓), หนา
๒๒๑.
19. ๑๐
บุคคลจะตองมีขอเท็จจริง หรือขอมูล ตางๆ ที่สนับสนุนและใหคําตอบขอสงสัยที่บุคคลมีอยู ชี้แจง
ใหบุคคลเกิดความเขาใจและ ทัศนคติ ที่ดีตอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง รวมทั้งเกิดความตระหนัก ความเชื่อ
และคานิยมตาง ๆ ดวย ขณะที่ ประภาเพ็ญ สุวรรณ๑
กลาววา ความรู เปนพฤติกรรมขั้นตน ซึ่ง
ผูเรียนเพียงแตจําได อาจจะโดยการนึกไดหรือโดยการมองเห็นหรือไดยิน จําได ความรูขั้นนี้ ไดแก
ความรูเกี่ยวกับคําจํากัดความ ความหมาย ขอเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสราง และวิธีการแกปญหา
เหลานี้
เบนจามิน เอส บลูม๒
(Benjamin S.Bloom) ไดใหความหมายของความรูวา ความรู
เปนสิ่งที่ เกี่ยวของกับ การระลึกถึง เฉพาะเรื่อง หรือเรื่องทั่วๆไป ระลึกถึงวิธี กระบวนการหรือ
สถานการณตางๆโดยเนนความจํา
๑. ความรูทําใหทราบถึงความสามารถในการจําและการระลึกถึงเหตุการณหรือ
ประสบการณที่เคยพบมาแลว แบงออกเปน
๑) ความรูเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาโดยเฉพาะ
๒) ความรูเกี่ยวกับวิธีและการดําเนินการที่เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
๓) ความรูเกี่ยวกับการรวบรวมแนวความคิดและโครงสราง
๒. ความเขาใจ ทําใหทราบถึงความสามารถในการใชสติปญญาและทักษะเบื้องตนแบง
ออกเปน การแปลความ คือการแปลจากแบบหนึ่งไปสูอีกแบบหนึ่ง โดยรักษาความหมายไดถูกตอง
๓. การนําไปใช
๔. การวิเคราะห
๕. การสังเคราะห
๖. การประเมินคา
ปรมะ สตะเวทิน๓
ไดกลาวถึง การศึกษาหรือความรู (Knowledge) วาเปนลักษณะ อีก
ประการหนึ่ง ที่มีอิทธิพลตอผูรับสาร ดังนั้น คนที่ไดรับการศึกษาในระดับที่ตางกัน ในยุคสมัยที่
ตางกัน ในระบบการศึกษาที่ตางกันในสาขาวิชาที่ตางกัน จึงยอมมีความรูสึกนึกคิด อุดมการณ และ
ความตองการ ที่แตกตาง กันไป คนที่มี การศึกษาสูงหรือมีความรูดี จะไดเปรียบอยางมากในการที่
๑
ประภาเพ็ญ สุวรรณ, ทัศนคติ : การวัด การเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมอนามัย, (กรุงเทพ :
บริษัทสํานักพิมพวัฒนาพานิช จํากัด, ๒๕๒๐), หนา ๑๖.
๒
Bloom, Benjamin S., Human Characteristics and School Learning, (New York :
McGraw-Hill Book Company, 1976), p. 271.
๓
ปรมะ สตะเวทิน, หลักนิเทศศาสตร, (กรุงเทพฯ : รุงเรืองสาสนการพิมพ, ๒๕๔๐), หนา ๑๑๖-
๑๑๗.
20. ๑๑
จะเปนผูรับสารที่ดีเพราะคนเหลานี้ มีความรูกวางขวาง ในหลายเรื่อง มีความเขาใจ ศัพทมาก และมี
ความเขาใจสารไดดีแตคนเหลานี้ มักจะเปนคนที่ไมคอยเชื่ออะไรงายๆ การเกิดความรูไมวาระดับ
ใดก็ตาม ยอมมีความสัมพันธ กับ ความรูสึกนึกคิด ซึ่งเชื่อมโยงกับ การเปดรับขาวสาร ของบุคคล
นั้นเอง รวมไปถึงประสบการณและลักษณะทาง ประชากร (การศึกษา เพศ อายุ ฯลฯ) ของแตละคน
ที่เปนผูรับขาวสาร ถาประกอบกับการที่บุคคลมีความพรอมในดานตาง ๆ เชน มีการศึกษา มีการ
เปดรับขาวสาร เกี่ยวกับกฎจราจร ก็มีโอกาส ที่จะมี ความรูในเรื่องนี้ และสามารถเชื่อมโยงความรู
นั้นเขากับสภาพแวดลอมได สามารถระลึกได รวบรวมสาระสําคัญ เกี่ยวกับ กฎจราจร รวมทั้ง
สามารถวิเคราะห สังเคราะห รวมทั้งประเมินผลไดตอไป และเมื่อประชาชน เกิดความรูเกี่ยวกับ กฎ
จราจร ไมวาจะในระดับใดก็ตาม สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ ทัศนคติ ความคิดเห็นในลักษณะตาง ๆ
๒.๑.๔ องคประกอบและหลักการวัดหรือการสํารวจทัศนคติ
กรอบแนวความคิดในการวัดหรือการสํารวจทัศนคติมีหลายทฤษฎีที่เปนที่ยอมรับและ
นิยมใชกันอยางแพรหลายในปจจุบัน คือ
๑) ทัศนคติที่มีองคประกอบเดียว (Uni-component view of attitude) ไดแก การวัด
ความรูหรือการประเมินคา (Affection or evaluation) การวัดทัศนคติตามทฤษฎีนี้นิยมใชกัน
แพรหลายมากในอดีต นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงบางคน ถือวาการวัดความรูสึกหรือประเมินคาของ
บุคคลเพียงอยางเดียวที่ควรเรียกวาเปนทัศนคติของบุคคลนั้น
๒) ทัศนคติที่มีหลายองคประกอบ (Multi-component view of attitude) โดยที่การ
วัดทัศนคติที่มีองคประกอบเดียวมักจะไมไดผลในกรณีที่ทัศนคตินั้นมีกรอบแนวคิดที่คอนขางยุง
ยากและซับซอน ฉะนั้นการวัดทัศนคติในปจจุบันจึงนิยมใชการวัดทัศนคติที่มีหลายองคประกอบ
Rosenberg และคณะไดเสนอองคประกอบของทัศนคติไว ๓ องคประกอบ ไดแก ความรูสึก
(Affect) ความคิดเห็นหรือความเชื่อ(Cognition) และการแสดงออกเกี่ยวกับพฤติกรรม (Behavior)
ดังแสดงในแผนภูมิตอไปนี้
21. ๑๒
ภาพที่ ๑: แสดงองคประกอบของทัศนคติ
ขณะที่นักวิชาการบางทานไดเสนอทัศนคติที่มี ๓ องคประกอบคือ ความตระหนักรู
(Cognition) ความรูสึกผูกพันหรือการประเมินคา (Affection) เจตนาตาง ๆ ทั้งทางดาน
พฤติกรรมและการกระทํา (Conation) ซึ่งองคประกอบทั้งสามสวนนี้จะมีความสัมพันธกันเองและ
มีผลตอการแสดงออกของตัวบุคคล ดังแผนภูมิขางลางนี้
ทัศนคติ (Attitude)
ภาพที่ ๒ : แสดงสัมพันธภาพขององคประกอบของทัศนคติ
จากแผนภูมิจะเห็นไดวา Cognition จะมีอิทธิพลตอ Affection และ Affection ก็มี
อิทธิพลตอ Conation และ Conation จะเปนตัวกําหนดพฤติกรรม (Behavior) และการแสดงออก
ของบุคคล (Action) เวนแตจะมีสิ่งอื่นมาขัดขวาง ทั้งนี้อาจจะอธิบายในรูปของฟงกชั่นไดดังนี้
A = f (b)
I = f (A)
และ B = f (I)
ความรูสึกผูกพัน
(Affection)
ความคิดเห็นหรือ
ความเชื่อ
(Cognition)
ทัศนคติ
(Attitude)
สิ่งกระตุนหรือสิ่งเรา
(Stimuli)
การแสดงออกทาง
พฤติกรรม
(Behavior)
พฤติกรรม
(Behavior)
ความสัมพันธ
(Conation)
อารมณ
(Affection)
การรับรู
(Cognition)
22. ๑๓
เมื่อ b แทนความเชื่อหรือความคิดเห็น = belief
A แทนความรูสึกหรือการประเมินคา = Affection
I แทนเจตนา = Intention
B แทนพฤติกรรมหรือการกระทํา = Behavior
จากความหมายของ ทัศนคติ ดังกลาว สามารถแยกองคประกอบของ ทัศนคติ ได ๓
ประการคือ
๑. องคประกอบดานความรู ( The Cognitive Component) คือ สวนที่เปนความเชื่อของ
บุคคลที่เกี่ยวกับสิ่งตางๆ ทั่วไปทั้งที่ชอบ และไมชอบ หากบุคคลมีความรูหรือคิดวาสิ่งใดดีมักจะ
มี ทัศนคติ ที่ดีตอสิ่งนั้น แตหากมีความรูมากอนวา สิ่งใดไมดี ก็จะมี ทัศนคติ ที่ไมดีตอสิ่งนั้น
๒. องคประกอบดานความรูสึก ( The Affective Component) คือ สวนที่เกี่ยวของกับ
อารมณที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งตาง ๆ ซึ่งมีผลแตกตางกันไปตาม บุคลิกภาพ ของคนนั้น เปนลักษณะที่
เปนคานิยมของแตละบุคคล
๓. องคประกอบดานพฤติกรรม (The Behavioral Component) คือ การแสดงออกของ
บุคคลตอสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลหนึ่ง ซึ่งเปนผลมาจาก องคประกอบดานความรู ความคิด และ
ความรูสึกจะเห็นไดวา การที่บุคคลมี ทัศนคติ ตอสิ่งหนึ่งสิ่งใดตางกัน ก็เนื่องมาจาก บุคคลมีความ
เขาใจ มีความรูสึก หรือมี แนวความคิด แตกตางกันนั้นเอง
ดังนั้น สวนประกอบทาง ดานความคิด หรือความรู ความเขาใจ จึงนับไดวาเปน
สวนประกอบ ขั้นพื้นฐานของทัศนคติ และสวนประกอบนี้ จะเกี่ยวของ สัมพันธ กับ ความรูสึกของ
บุคคล อาจออกมาในรูปแบบแตกตางกัน ทั้งในทางบวก และทางลบ ซึ่งขึ้นอยูกับ ประสบการณ
และ การเรียนรู
๒.๑.๕ ประเภทของทัศนคติ
บุคคลสามารถแสดง ทัศนคติ ออกได ๓ ประเภทดวยกัน คือ
๑) ทัศนคติทางเชิงบวก เปน ทัศนคติ ที่ชักนําใหบุคคลแสดงออก มีความรูสึก หรือ
อารมณ จากสภาพจิตใจโตตอบ ในดานดีตอบุคคลอื่น หรือเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง รวมทั้ง
หนวยงาน องคกร สถาบัน และการดําเนินกิจการขององคการอื่น ๆ เชน กลุมชาวเกษตรกรยอมมี
ทัศนคติทางบวกหรือมีความรูสึกที่ดีตอสหกรณการเกษตร และใหความสนับสนุนรวมมือดวย การ
เขาเปนสมาชิก และรวมในกิจกรรมตาง ๆ อยูเสมอ เปนตน
๒) ทัศนคติทางลบ หรือไมดี คือ ทัศนคติ ที่สรางความรูสึกเปนไปในทางเสื่อมเสีย
ไมไดรับความเชื่อถือ หรือไววางใจ อาจมีความเคลือบแคลงระแวงสงสัย รวมทั้งเกลียดชังตอบุคคล
23. ๑๔
ใดบุคคลหนึ่ง เรื่องราว หรือปญหาใดปญหาหนึ่ง หรือหนวยงานองคการ สถาบัน และการดําเนิน
กิจการขององคการ และอื่น ๆ เชน พนักงาน เจาหนาที่บางคน อาจมีทัศนคติ เชิงลบตอบริษัท
กอใหเกิดอคติขึ้นในจิตใจของเขาจนพยายามประพฤติ และปฏิบัติตอตาน กฎระเบียบของบริษัท อยู
เสมอ
๓) ประเภทที่สามซึ่งเปนประเภทสุดทาย คือ ทัศนคติที่บุคคลไมแสดงความคิดเห็นใน
เรื่องราวหรือปญหาใดปญหาหนึ่ง หรือตอบุคคล หนวยงาน สถาบัน องคการ และอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง
เชน นักศึกษาบางคนอาจมีทัศนคตินิ่งเฉยอยาง ไมมีความคิดเห็นตอปญหาโตเถียงเรื่องกฎระเบียบ
วาดวยเครื่องแบบของนักศึกษา ทัศนคติ ทั้ง ๓ ประเภทนี้ บุคคลอาจจะมีเพียงประการเดียวหรือ
หลายประการก็ได ขึ้นอยูกับความมั่นคงในความรูสึกนึกคิด ความเชื่อ หรือคานิยมอื่น ๆ ที่มีตอ
บุคคล สิ่งของ การกระทํา หรือสถานการณ
ในขณะที่ Daniel Katz๑
ไดอธิบายถึง หนาที่หรือกลไกของ ทัศนคติ ที่สําคัญไว ๔
ประการ ดังนี้คือ
๑. เพื่อใชสําหรับการปรับตัว (Adjustment) หมายความวา ตัวบุคคลทุกคนจะอาศัย
ทัศนคติเปนเครื่องยึดถือสําหรับการปรับพฤติกรรมของตนใหเปนไปในทางที่จะกอใหเกิด
ประโยชนแกตนสูงที่สุด และใหมีผลเสียนอยที่สุด ดังนี้ ทัศนคติจึงสามารถเปนกลไกที่จะสะทอน
ใหเห็นถึงเปาหมายที่พึงประสงคและที่ไมพึงประสงคของเขา และดวยสิ่งเหลานี้เอง ที่จะทําให
แนวโนมของพฤติกรรมเปนไปในทางที่ตองการมากที่สุด
๒. เพื่อปองกันตัว (Ego – Defensive) โดยปกติในทุกขณะคนทั่วไปมักจะมีแนวโนมที่
จะไมยอมรับความจริงในสิ่งซึ่งเปนที่ขัดแยงกับความนึกคิดของตน (Self – Image) ดังนี้ ทัศนคติจึง
สามารถสะทอนออกมาเปนกลไกที่ปองกันตัว โดยการแสดงออกเปนความรูสึกดูถูกเหยียดหยาม
หรือติฉินนินทาคนอื่น และขณะเดียวกันก็จะยกตนเองใหสูงกวาดวยการมีทัศนคติ ที่ถือวาตนนั้น
เหนือกวาผูอื่นการกอตัวที่เกิดขึ้นมาของทัศนคติในลักษณะนี้ จะมีลักษณะแตกตางจากการมี
ทัศนคติเปนเครื่องมือในการปรับตัวดังที่กลาวมาแลวขางตน กลาวคือ ทัศนคติจะมิใชพัฒนาขึ้นมา
จากการมีประสบการณกับสิ่งนั้น ๆ โดยตรง หากแตเปนสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในตัวผูนั้นเอง และสิ่ง
ที่เปนเปาหมายของการแสดงออก มาซึ่งทัศนคตินั้นก็เปนเพียงสิ่งที่เขาผูนั้นหวังใชเพียงเพื่อการ
ระบายความรูสึก เทานั้น
๓. เพื่อการแสดงความหมายของคานิยม (Value Expressive) ทัศนคติ นั้นเปนสวนหนึ่ง
ของคานิยมตาง ๆ และดวยทัศนคตินี้เองที่จะใชสําหรับสะทอนใหเห็นถึงคานิยมตาง ๆ ใน
๑
Daniel Katz, Human Behavior at Work : Human Relations and Organizational Behavior,
(New York : McGraw-Hill Inc, 1972), p. 163-191.
24. ๑๕
ลักษณะที่จําเพาะเจาะจงยิ่งขึ้น ดังนั้นทัศนคติ จึงสามารถใชสําหรับ อรรถาธิบาย และบรรยายความ
เกี่ยวกับคานิยมตาง ๆ ได
๔. เพื่อเปนตัวจัดระเบียบเปนความรู (Knowledge) ทัศนคติจะเปนมาตรฐานที่ตัวบุคคล
จะสามารถใชประเมิน และทําความเขาใจกับสภาพแวดลอมที่มีอยูรอบตัวเขา ดวยกลไกดังกลาวนี้
เองที่ทําใหตัวบุคคลสามารถรู และเขาใจถึงระบบ และระเบียบของสิ่งตาง ๆ ที่อยูในรอบตัวเขาได
๒.๑.๖ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ (Attitude Change)
Kholberg Lawrence๑
ไดอธิบายถึง การเปลี่ยนแปลง ความคิดนี้และไดแบง
กระบวนการ เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ออกเปน ๓ ประการ คือ
๑) การยินยอม (Compliance)
การยินยอม จะเกิดไดเมื่อบุคคลยอมรับสิ่งที่มีอิทธิพลตอตัวเขา และมุงหวังจะไดรับ
ความพอใจ จากบุคคล หรือ กลุมบุคคลที่มีอิทธิพลนั้น การที่บุคคลยอมกระทําตามสิ่งที่อยากใหเขา
กระทํานั้นไมใชเพราะบุคคลเห็นดวยกับสิ่งนั้นแตเปนเพราะเขาคาดหวังวาจะไดรับรางวัล หรือการ
ยอมรับจากผูอื่นในการเห็นดวย และกระทําตาม ดังนั้นความพอใจที่ไดรับจาก การยอมกระทําตาม
นั้น เปนผลมาจากอิทธิพลทางสังคม หรืออิทธิพลของสิ่งที่กอใหเกิดการยอมรับนั้น กลาวไดวาการ
ยอมกระทําตามนี้เปนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติซึ่งจะมีพลังผลักดันใหบุคคลยอมกระทํา
ตามมากหรือนอยขึ้นอยูกับจํานวน หรือความรุนแรงของรางวัลและ การลงโทษ
๒) การเลียนแบบ (Identification)
การเลียนแบบ เกิดขึ้นเมื่อบุคคลยอมรับสิ่งเรา หรือสิ่งกระตุนซึ่งการยอมรับนี้เปนผลมา
จาก การที่บุคคลตองการจะสรางความสัมพันธที่ดี หรือที่พอใจระหวางตนเองกับผูอื่น หรือกลุม
บุคคลอื่น จากการเลียนแบบนี้ทัศนคติของบุคคลจะเปลี่ยนไปมากหรือนอยขึ้นอยูกับสิ่งเราใหเกิด
การเลียนแบบ กลาวไดวา การเลียนแบบ เปนกระบวน การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ซึ่งพลังผลักดันให
เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้จะมากหรือนอยขึ้นอยูกับความนาโนมนาวใจของสิ่งเราที่มีตอบุคคลนั้น การ
เลียนแบบจึงขึ้นอยูกับพลัง (Power) ของผูสงสารบุคคลจะรับเอาบทบาททั้งหมด ของคนอื่นมาเปน
ของตนเอง หรือแลกเปลี่ยนบทบาทซึ่งกันและกัน บุคคลจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเอง เลียนแบบ แตไม
รวมถึงเนื้อหาและรายละเอียดในการเลียนแบบทัศนคติของบุคคลจะเปลี่ยนไปมาก หรือนอยขึ้นอยู
กับสิ่งเราที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง
๑
Kholberb Lawrence, Moral Development and Behavior, (New York : Kolt Rinehart and
Winston Co; 1965), p. 469.
25. ๑๖
๓) ความตองการที่อยากจะเปลี่ยน (Internalization)
เปนกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลยอมรับสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกวาซึ่งตรงกับความ
ตองการภายในคานิยมของเขาพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในลักษณะนี้จะสอดคลองกับคานิยมที่บุคคลมี
อยูเดิม ความพึงพอใจที่ไดจะขึ้นอยูกับเนื้อหารายละเอียดของพฤติกรรมนั้น ๆ การเปลี่ยนแปลง
ดังกลาวถาความคิดความรูสึกและพฤติกรรมถูกกระทบไมวา จะในระดับใดก็ตามจะมีผลตอการ
เปลี่ยน ทัศนคติทั้งสิ้น นอกจากนี้องคประกอบ ตาง ๆ ในกระบวนการสื่อสาร เชน คุณสมบัติของผู
สงสารและผูรับสารลักษณะของขาวสารตลอดจนชองทางในการสื่อสารลวนแลวแตมีผลกระทบตอ
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติไดทั้งสิ้น นอกจากนี้ทัศนคติของบุคคล เมื่อเกิดขึ้นแลว แมจะคงทน แตก็
จะสามารถเปลี่ยนไดโดยตัวบุคคล สถานการณขาวสารการชวนเชื่อและสิ่งตาง ๆ ที่ทําใหเกิดการ
ยอมรับในสิ่งใหมแตจะตองมีความสัมพันธกับคานิยมของบุคคลนั้น นอกจากนี้อาจเกิดจากการ
ยอมรับโดยการบังคับ เชน กฎหมาย ขอบังคับ
แนวความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติโดยใชอิทธิพลทางสังคมเกิดจากความ
เชื่อที่วาบุคคลจะพัฒนาทัศนคติของตนเองในลักษณะใดนั้นขึ้นอยูกับขอมูลที่ไดรับจากผูอื่นใน
สังคม สิ่งที่มีอิทธิพลทางสังคม
กลุมบุคคลที่เราใชเปนมาตรฐานสําหรับประเมินทัศนคติความสามารถของเรา หรือ
สถานการณที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปบุคคลจะใชกลุมอางอิงเพื่อประเมินทัศนคติของตน และตัดสินใจวา
ทัศนคติ ของตนถูกตอง เพราะคิดวาคนสวนใหญในกลุมมีทัศนคติเชนเดียวกับตน ขณะที่ เชิดศักดิ์
โฆวาสินธุ๑
ไดกลาววา บุคคลที่เราใชเปนมาตรฐานเพื่อประเมิน ทัศนคติ ความสามารถของเรา
หรือสถานการณที่เกิดขึ้น อิทธิพลของผูอื่นที่มีตอทัศนคติของบุคคลตรงกับกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เรียกวา การเลียนแบบ (Identification) ซึ่งเปนกระบวนการที่บุคคลรับเอา
คุณสมบัติของผูอื่น เชน ความคิด ทัศนคติ พฤติกรรม เปนตนมาเปนของตนขอมูลขาวสารที่ไดรับ
จะทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงองคประกอบของ ทัศนคติ ในสวนของการรับรูเชิงแนวคิด (Cognitive
Component) และเมื่อองคประกอบสวนใดสวนหนึ่งเปลี่ยนแปลงองคประกอบสวนอื่นจะมี
แนวโนมที่จะเปลี่ยนแปลงดวยบุคลากรทางการแพทยซึ่งทําหนาที่เปนผูสงสารตองมีความเชี่ยวชาญ
(Expertness) และ ความนาไววางใจ (Trustworthiness) จะทําใหมีความนาเชื่อถือสูง สามารถชักจูง
ใจไดดีอีกทั้งมีบุคลิกภาพ (Personality) ดีก็จะมี ความสําคัญตอการยอมรับ นอกจากนี้หากขอมูล
ขาวสาร มีการเตรียมมาเปนอยางดีไมวาจะเปนเนื้อหา, การเรียงลําดับ, ความชัดเจนตลอดจนมีความ
๑
เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ, การวัดทัศนคติและบุคลิกภาพ, (กรุงเทพฯ : สํานักงานทดสอบทางการศึกษา
และจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, ๒๕๓๐), หนา ๘๐.