3. ได้แก่ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตพวกโปรโตซัว ,สาหร่าย ,พืช และ สัตว์ เซลล์เม็ดเลือดแดงเซลล์ไข่นกกระจอกเทศ ยูกลีนา เซลล์ประสาท พารามีเซียม เซลล์ว่านกาบหอย อะมีบา เซลล์เยื่อหอมแดง เซลล์ไข่มนุษย์

4. ผนังเซลล์ ( Cell wall )

5. * ผนังเซลล์ เป็นเยื่อหนาหุ้มอยู่ชั้นนอก เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

6. * พบใน โพรทัวซัว แบคทีเรีย เห็ดรา สาหร่าย และพืช

7. ไม่พบในเซลล์สัตว์

8. * ในพืช ผนังเซลล์ ประกอบด้วย เซลลูโลส และอาจมีสารอื่นมาสะสมบนส้นใยเซลลูโลส เช่น เฮมิเซลลูโลส เพกทิน ซูเบอริน คิวทิน ลิกนิน เป็นต้น

9. 4638675314325* ในแบคทีเรีย ผนังเซลล์มีโพลีแซกคาไรด์เป็นแกน และมีโปรตีน กับไขมันยึดเกาะ ชั้นที่ให้ความแข็งแรง และอยู่ชั้นในสุด เรียกว่า ชั้นมิวรีน หรือเปปติโดไกลแคน (murein หรือ peptidoglycan)

10. * เห็ดรา ผนังเซลล์เป็นพวกไคทิน ( chitin)

11. * สาหร่ายสีน้ำตาลแกมเหลือง เช่น ไดอะตอม นอกจากมีเซลลูโลสแล้วยังมี ซิลิกา เป็นส่วนประกอบ

12. ผนังเซลล์จะมีทางสำหรับให้ไซโทพลาสซึมจากเซลล์หนึ่งติดต่อกับไซโทพลาสซึมของเซลล์ข้างเคียง เรียกบริเวณนี้ว่า พลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata)

13. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane)

14. 3590290402590โครงสร้างแบบ Fluid Mosaic Model คือ โครงสร้างประกอบด้วยชั้นของไขมัน 2 ชั้น ไขมันเหล่านี้เป็น ฟอสโพลิพิด (Phospholipid), ไกลโคลิพิด (Glycolipid) และสเตอรอล (Sterol) ไขมันนี้จะมีส่วนที่เป็นไฮโดรโฟบิก (Hydrophobic) หันเข้าหากัน (ไม่ชอบน้ำ)และส่วนที่เป็นไฮโดรฟิลิก (Hydrophilic) อยู่ข้างนอก (ชอบน้ำ)

15. ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของสารละลาย

16. มีคุณสมบัติในการเลือกสารให้ผ่านเข้าออก (Selective permeability)

17. 5086350416560เยื่อหุ้มเซลล์และเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ประกอบด้วยส่วนของลิพิด ซึ่งเหลวจึงสามารถหลุดขาดออกจากกันและเชื่อมต่อกันได้ เช่น การเกิดเวสิเคิล ไลโซโซม การสร้างแวคิวโอล เป็นต้น

18. CELL JUNCTION

19. สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีการรวมกันของเซลล์กลายเป็นเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะโดยที่เยื่อหุ้มเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงโครง สร้างทำให้เซลล์ทั้งสองเกาะอยู่ติดกัน

20. เอนโดพลาสมิก เรติคูลัม (Endoplasmic Reticulum)

21. เป็นท่อเมมเบรน ซึ่งต่อกันตลอดทั้งไซโทพลาสต์ และต่อกับเยื่อหุ้มนิวเคลียสด้วย

22. เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัมของเซลล์ที่ติดกันจะต่อกันทางพลาสโมเดสมาตา

23. มีความสัมพันธ์กับ กอลจิ แอพพาราตัส ทำหน้าที่ เป็นท่อส่งสารต่างๆ และอาจจะสะสมสารบางอย่างได้ด้วย

24. เซลล์ที่มีกิจกรรมการสร้างโปรตีนสูงจะพบว่ามีเอนโดพลาสมิก เรติคิวลัมอยู่มาก

25. มี 2 ชนิด คือ

26. Rough Endoplasmic Recticulum หรือ RER

27. หน้าที่

28. สังเคราะห์โปรตีนร่วมกับไรโบโซม และส่งโปรตีนไปกอลจิคอมเพล็กซ์ เช่นสารพวกเอนไซม์ ฮอร์โมน และ สารแอนติบอดี ( ANTIBODY )เซลล์ที่มี RER มาก ได้แก่ เซลล์ที่ผลิตโปรตีนสำหรับใช้นอกเซลล์ เช่น เซลล์ตับอ่อนที่ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ย่อยสารอาหารต่างๆ

29. Smooth Endoplasmic Recticulum หรือ SER

30. สังเคราะห์สารสเตรอยด์ เช่น ฮอร์โมนเพศ ไตรกลีเซอไรด์ และสารประกอบคอเลสเทอรอล

31. ควบคุมการผ่านเข้าออกของแคลเซียมไอออนในเซลล์กล้ามเนื้อยึดกระดูกและกล้ามเนื้อหัวใจ

32. ทำหน้าที่สังเคราะห์และเก็บไกลโคเจนในเซลล์ตับ

33. กำจัดสารพิษ และพิษยาต่างๆ ที่เซลล์ตับ

34. เซลล์ที่มี SER มาก เช่น ตับ สมอง ต่อมหมวกไต อัณฑะ รังไข่

35. ไรโบโซม (Ribosome)

36. เป็นออร์แกเนลล์ขนาดเล็ก ไม่มีเยื่อหุ้ม พบในสิ่งมีชีวิตทั่วไป

37. - เป็นแหล่งสร้างโปรตีนของเซลล์ - ประกอบด้วยสารเคมี 2 ชนิด คือ โปรตีน และ RNA ชนิด rRNA (ribosomal RNA)

38. อยู่รวมกันเรียกว่า ไรโบนิวคลีโอโปรตีน (ribonucleoprotin)

39. ไรโบโซมประกอบด้วย หน่วยย่อยขนาดเล็กและหน่วยย่อยขนาดใหญ่ปกติแยกกันอยู่ และจะมาประกบติดกันเมื่อมีการสังเคราะห์โปรตีน

40. กอลจิ แอพพาราตัส (Golgi Apparatus)

41. ประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เรียกว่า กอลจิ บอดีส์ (Golgi bodies)

42. แต่ละหน่วยย่อยนี้เป็นถุงของเยื่อเมมเบรนแบนๆ เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นเรียกว่า ซีสเทอนี (Cisternae) แต่ละชั้นมีลักษณะคล้ายจาน และมีเวสซิเคิล (Vesicle)

43. หน้าที่

44. ทำงานร่วมกับ ER ในการสังเคราะห์สารประกอบ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ไกลโคโปรตีน ไกลโคลิพิด

45. ทำหน้าที่บรรจุผลิตภัณฑ์ โปรตีนขนออกนอกเซลล์

46. สร้างเยื่อหุ้ม Lysosome และ Peroxisome

47. สร้าง acrosome อยู่ที่หัวอสุจิ

48. อะโครโซม (acrosome) เป็นออร์แกเนลล์ที่อยู่บริเวณส่วนหัวของตัวอสุจิของสัตว์ส่วนใหญ่ มีรูปร่างคล้ายหมวก พัฒนามาจากกอลจิ แอพพาราตัส เอนไซม์ที่สำคัญในอะโครโซมคือ hyaluronidase และ acrosin ซึ่งจะทำลายเยื่อหุ้มของเซลล์ไข่ เรียกว่า zona pellucida เพื่อให้นิวเคลียสของอสุจิเข้าไปผสมกับนิวเคลียสของไข่ได้อสุจิของมนุษย์

49. ไลโซโซม (lysosome)

50. - ไลโซโซมเป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว เป็นเวสิเคิลที่สร้าง จากกอลจิ แอพพาราตัส

51. - ลักษณะเป็นถุง ภายในบรรจุเอนไซม์หลายชนิด มักอยู่ใกล้กับ Golgi Apparatus เป็นออร์แกเนลล์ที่พบเฉพาะในเซลล์สัตว์

52. จะไม่พบไลโซโซมในเซลล์ของพืช

53. หน้าที่ 1. ย่อยสลายสารโมเลกุลขนาดใหญ่ให้กลายเป็นโมเลกุลเล็ก 2. ย่อยสลายสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเซลล์ 3. ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ( Autolysis)

54. 4. ย่อยสลายโครงสร้างต่างๆ ของเซลล์ในระยะที่เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงและมีเมตามอร์ฟอซีส (metamorphosis) เช่น เซลล์ส่วนหางของลูกอ๊อด

55. พบมากในเซลล์เม็ดเลือดขาวของคน

56. ในไลโซโซมมีเอนไซม์ย่อยอาหาร ไลโซโซมจะรวมกับเวสิเคิลหรือแวคิวโอลที่มีอาหารอยู่ มีเอนไซม์ทำลายสิ่งแปลกปลอม และทำลายออร์แกเนลล์ที่เสื่อมสภาพ

57. แวคคิวโอล (Vacuole)

58. คือ ถุงบรรจุสาร เป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มชั้น ภายในมีสารต่าง ๆ บรรรจุอยู่ โดยทั่วไปจะพบในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ชั้นต่ำ ในสัตว์ชั้นสูงไม่ค่อยพบ

59. แวคิวโอลแแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

60. 1. คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล (contractile vacuole) ทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำ พบในเซลล์ อะมีบา พารามีเซียม 2. ฟูดแวคิวโอล (food vacuole) บรรจุอาหารที่รับมาจากนอกเซลล์เพื่อย่อยสลายต่อไป พบใน เซลล์เม็ดเลือดขาวและสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว

61. 3. แซบแวคิวโอล (sap vacuole) พบในเซลล์พืช ตอนอายุน้อย ๆ มีจำนวนมาก แต่เมื่ออายุมากเข้าจะรวมเป็นถุงเดียวขนาดใหญ่ มีหน้าที่สะสมสาร เช่น สารสี ไอออน น้ำตาล สารพิษ

62. ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria)

63. ไมโทคอนเดรียเป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ชั้นนอกผิวเรียบ ส่วนชั้นในพับเข้าไปด้านใน เรียกว่า คริสตี (cristae ภายในไมโทคอนเดรียมีของเหลวซึ่งประกอบด้วยสารหลายชนิด เรียกว่า เมทริกซ์ (matrix)

64. จำนวนของไมโทคอนเดรียในเซลล์แต่ละชนิดจะมีจำนวนไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับชนิดและกิจกรรมของเซลล์ เซลล์ที่มีเมแทบอลิซึมสูงจะมี ไมโทคอนเดรียมาก เช่น เซลล์ตับ ไต กล้ามเนื้อหัวใจ และ เซลล์ต่อมต่าง ๆ

65. ไมโทคอนเดรียมี DNA เป็นของตัวเอง ทำให้ไมโทคอนเดรียเพิ่มจำนวนได้ และมี ไรโบโซมสังเคราะห์โปรตีนที่จำเป็นต่อการทำงานของไมโทคอนเดรียได้

66. หน้าที่ของไมโทคอนเดรีย คือ เป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์ โดยการหายใจระดับเซลล์ในวัฏจักรเครบส์ที่เมทริกซ์ และการถ่ายทอดอิเล็กตรอนที่คริสตี

67. พลาสติด (Plastid)

68. คือ เม็ดสีในเซลล์ เป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น พบได้ในเซลล์พืช และสาหร่ายทั่วไป ในโพรโทซัว พบเฉพาะในพวกที่มีแส้ เช่น ยูกลีนา วอลวอกซ์

69. พลาสติด จำแนกได้ 3 ชนิด ได้แก่

70. 1. Leucoplast เป็นพลาสติดที่ไม่มีสีไม่มีรงควัตถุ มีหน้าที่สะสมแป้ง ภายในมีโครงสร้างคล้ายถุงแบน ๆ มีเยื่อหุ้ม เรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylakoid) และไทลาคอยด์จะเรียงซ้อนกันเป็นตั้งเรียกว่า กรานุม (granum) แต่ละกรานุมมีโครงสร้างเชื่อมต่อถึงกัน

71. บนไทลาคอยด์มีสารสีที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น คลอโรฟีลล์ แคโรทีนอยด์ และมีของเหลวที่เรียกว่า สโตรมา อยู่รอบไทลาคอยด์ ในสโตรมามีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง

72. 2. Chromoplast เป็นพลาสติดที่มีรงควัตถุพวกแคโรทีนอยด์ ทำให้พืชมีสีเหลือง สีส้ม เป็นพลาสติดที่มีสารที่ทำให้เกิดสีต่าง ๆ ยกเว้นสีเขียว ทำให้ดอกไม้ ใบไม้และผลไม้มีสีสันสวยงาม เช่น ผลสีแดงของพริก รากของแครอท มะละกอ มะเขือเทศ และใบไม้แก่ ๆ เนื่องจากมีสารแคโรทีนอยด์ ให้สีส้มและสีแดง สารแซนโทฟีลล์ ให้สีเหลืองและน้ำตาล

73. 3. Chloroplast เป็นพลาสติดที่มีรงควัตถุพวกคลอโรฟีลด์ ทำให้พืชมี

74. ลิวโคพลาสต์ (leucoplast)

75. เป็นพลาสติดที่ไม่มีสี มีหน้าที่สะสมเม็ดแป้งที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง พบในเซลล์ของรากและเซลล์ที่ทำหน้าที่สะสมอาหาร เช่น มันแกว มันเทศ เผือก พบในผลไม้ เช่น กล้วย และพบในเซลล์พืชบริเวณที่ไม่มีสี

76. เซนทริโอล (centriole)

77. 452374071120เป็นออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม

78. พบในเซลล์สัตว์และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ไม่พบในเซลล์พื และ เห็ด รา

79. เซนทริโอลประกอบด้วย หลอดเล็ก ๆ เรียกว่า ไมโครทิวบูล (microtubule) เรียงเป็นกลุ่มกลุ่มละ 3หลอด มีทั้งหมด 9 กลุ่ม เชื่อมต่อกัน เป็นทรงกระบอก บริเวณตรงกลางไม่มีไมโคทูบูลเรียกการเรียงตัวแบบนี้ว่า 9 + 0

81. 2) ทำหน้าที่เป็นเบซัลบอดี หรือส่วนที่เป็นฐาน ของซีเลียและแฟลกเจลลา (สูตรไมโครทิวบูล 9+2) ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ ซีเลียและแฟลกเจลลัม (สูตรไมโครทิวบูล 9+0)

82. 4229100-161925Cytoskeleton

83. เป็นเส้นใยโปรตีนที่เชื่อมโยงกันเป็นร่างแหเพื่อค้ำจุนรูปร่างของเซลล์และเป็นที่ยึดเกาะของออร์แกเนลล์ เช่น คลอโรพลาสต์ ไมโทคอนเดรีย เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม ให้อยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ เปรียบได้กับโครงกระดูกของเซลล์ อีกทั้งลำเลียงออร์แกเนลล์ให้เคลื่อนที่ภายในเซลล์

84. แบ่งได้ 3 ชนิด ตามชนิดของหน่วยย่อยที่เป็นองค์ประกอบได้แก่

85. 1. ไมโครฟิลาเมนท์ (microfilament) เป็นเส้นใยโปรตีนที่เกิดจากโปรตีนแอกทิน ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 นาโนเมตรต่อกันเป็นสาย สาย พันบิดกันเป็นเกลียว เส้นใยที่ประกอบด้วย contractile proteins ในเซลล์กล้ามเนื้อ ได้แก่ myosin และ actin filament

86. หน้าที่

87. ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเซลล์ เช่น อะมีบา เซลล์เม็ดเลือดขาว

88. ทำหน้าที่ค้ำจุน พบได้ในไมโครวิลไลของเยื่อบุผิวในลำไส้เล็ก

89. ช่วยในการแบ่งตัวของไซโทพลาซึมในกระบวนการแบ่งเซลล์

90. 2. ไมโครทิวบูล (microtubule) เป็นหลอดกลวง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 นาโนเมตร เกิดจากโปรตีนทูบูลิน เรียงต่อกันเป็นวงแหวนและเป็นสาย มีโครงสร้างที่มีรูปร่างคล้ายท่อบาง ๆ

91. หน้าที่ เป็นโครงสร้างของเส้นใยสปินเดิล ซิเลีย แฟลกเจลลัม และ ลำเลียง ออร์แกเนลล์ภายในเซลล์

92. 3. อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ (intermediate filaments) เป็นเส้นใยโปรตีนที่มีขนาดใหญ่กว่าไมโครฟิลาเมนต์ แต่เล็กกว่าไมโครทูบูลประกอบด้วยโปรตีนที่อยู่ในกลุ่มเคอราติน (keratin family) เป็นเส้นใยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-10 นาโนเมตร ประกอบด้วยหน่วยย่อย เรียงตัวเป็นสายยาว ๆ 4 สาย พัน บิดกันเป็นเกลียว มี 8 ชุด เรียงตัวเป็นร่างแหตามลักษณะรูปร่างของเซลล์ พบได้ที่โปรตีนเคอราทิน ที่ผิวหนัง ขนและเล็บของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

93. หน้าที่สำคัญของ cytoskeleton คือ เพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ทำให้เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้ ซึ่งสำคัญมากในเซลล์สัตว์ที่ไม่มี cell wall เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ของเซลล์

94. Cytosolเป็นส่วนของไซโทพลาซึม เป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว มีประมาณ 50 - 60 % ของปริมาตรเซลล์ทั้งหมด

95. บริเวณติดกับเยื่อหุ้มเซลล์ เรียกว่า เอ็กโทพลาซึม บริเวณด้านในเรียกว่า เอ็นโดพลาซึม เซลล์บางเซลล์ ไซโทพลาซึมจะไหลไปรอบ ๆ เซลล์ เรียกว่า ไซโคลซิส (cyclosis) ซึ่งเกิดจากการหดตัวและการคลายตัวของไมโครฟิลาเมนท์