Contenu connexe
Similaire à สมุดเล่มเล็ก (20)
สมุดเล่มเล็ก
- 2. คำนำ
สมุดเล่มเล็กเรื่อเทศกาลจีนและวัฒนธรรมจีน ผู้จัดทาได้ มีวัตถุประสงค์จัดทาขึ้นเพื่อเป็นความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ศึกษา ค้นคว้า เนื้อหาของสมุดเล่มเล็กประกอบด้วยเทศกาลจีนต่างๆ เช่น วันสารทจีน เป็นต้น และวัฒนธรรมจีน เช่น ขงจื๊อ ชาจีน เป็นต้น รวมถึงภาพประกอบการศึกษาค้นคว้า ทาให้เข้าใจและ เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมุดเล็กนี้จะเป็น ประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาค้นคว้าได้เป็นอย่างดี
ผู้จัดทา
กมลรัตน์
เหล่าจื๊อ จวงจื๊อ
ต่อมาจวงจื๊อได้สืบทอดและเผยแพร่หลักปรัชญาของเหล่า จื๊อ จวงจื๊อ庄子 ชื่อโจว周 เคยรับราชการในรัฐซ่ง ผลงานได้แก่ตำรา "จวงจื๊อ" ซึ่งได้สืบทอดและพัฒนาจากหลักแนวคิดในเรื่องของเหล่าจื๊อ คือเน้นในหลักสรรพสิ่งต่าง ๆ กับตัวตนของเราให้เกิดความสมดุลซึ่งกัน และกัน จวงจื๊อแสวงหาการหลุดพ้นและเป็นอิสระของจิตวิญญาณ เนื่องจากแนวคิดปรัชญาของเหล่าจื๊อและจวงจื๊อมีส่วนคล้ายกันมาก จึง ทำให้คนรุ่นหลังเรียกทั้งสองรวมกันว่า "เหล่าจวง老庄"
อ้างอิงจาก
· หนังสือ “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเทศจีน (中国文化常 识)”The Overseas Chinese Affairs Office of the State Council / The Office of Chinese Language Council International.สำนักพิมพ์ สุขภาพใจ
- 3. เหล่าจวงกับปรัชญาลัทธิเต๋า 老庄与道家思想
เหล่าจื๊อ และ จวงจื๊อ
เหล่าจื๊อ老子คือผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋าของจีนในช่วงปลายยุคชุน ชิว春秋未年 เหล่าจื๊อ แซ่หลี่李 ชื่อเอ่อร์耳 เคยรับราชการเป็นขุน นางดูแลหอสมุด藏书ของราชวงศ์โจว 周代ผลงานของเหล่าจื๊อ "เต้า เต๋อจิง道德经" ถึงแม้เนื้อหาจะมีเพียงแค่ห้าพันกว่าตัวอักษรแต่กลับ มีอิทธิพลต่อคนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง เหล่าจื๊อใช้หลัก "เต๋า 道" (คุณธรรม) ในการอธิบายการเกิดและการเปลี่ยนแปลงของทุก สรรพสิ่งในจักรวาล เขามักจะสั่งสอนผู้คนให้ยึดหลักและจุดเด่นของ "เต๋า" ในการคิดและประพฤติตน ในขณะเดียวกันก็ใช้หลักความ อ่อนแอสยบความแข็งแกร่งเนื่องจากบางสิ่งภายนอกดูอ่อนแอ บางครั้งกลับเข้มแข็งกว่า
สำรบัญ
เรื่อง หน้ำ
เทศกำลจีน
วันสารทจีน 4
เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง 6
เชงเม้ง 8
วัฒนธรรมจีน
孔子 ขงจื๊อ 10
กตัญํูต่อบิตามารดา 孝敬父母 12
汉字 : ตัวอักษรจีน 13
中国茶 ชาจีน 17
เหล่าจวงกับปรัชญาลัทธิเต๋า 20
- 4. 中国节日:เทศกาลจีน
วันสารทจีน (鬼节/中元节)
พี่จิ๋วเชื่อว่าน่าจะมีน้อง ๆ หลายคนสงสัยว่า "วันสารทจีน" ภาษาจีนกลางเรียกว่าอะไรกันแน่น่ะ แล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้พี่จิ๋วมี ข้อมูลให้น้อง ๆ ได้คลายข้อสงสัยกันค่ะ
ตามปฎิทินจีนโบราณ ทุกวันที่ 15 เดือน 7 เป็นวันหรือเทศกาล สำคัญที่ตกทอดกันมาชาวไทยอย่างเราจะรู้จักกันว่า "วันสารทจีน" ซึ่ง ชาวจีนลัทธิเต๋าเรียกกันว่า " 中元节 จงเอวียน เจี๋ย" หากเป็นชาวจีนที่ นับถือพุทธจะเรียกว่า “盂兰盆节 อวี๋หลัน เผินเจี๋ย" และชาวบ้านชาวจีน จะเรียกกันติดปากว่าวัน "鬼节 กุ่ย เจี๋ย (วันผี)"
วันนี้(15/08/2008)ด้วยความสงสัยว่าในปัจจุบันชาวจีนเรียกวัน "สารทจีน"กันติดปากว่าอะไรกันบ้างน่ะ จึงได้สอบถามเพื่อนชาวจีน จำนวน 10 คนว่าวันนี้ (วันสารทจีน)ชาวจีนเรียกว่าอะไร คำตอบที่พบทำ ให้ต้องตกใจหงายหลังเพราะดันมีคำตอบที่มากกว่าที่กล่าวไว้ในข้างต้น ค่ะ บางคนเค้าก็บอกกันว่าเป็นวัน "七月节 ชีเอวี้ย เจี๋ย " บางคนก็บอกว่า เป็นวัน "七姐诞 ชี เจี่ยต้าน" บ้างก็ว่า "七月半鬼节 ชี เอวี้ยป้านกุ่ยเจี๋ย" ใน ที่สุดจึงได้ข้อสรุปมาว่า ส่วนใหญ่ชาวจีนจะเรียกวันสารทจีนโดยรู้กันทั่ว ประเทศว่า "鬼节 กุ่ย เจี๋ย (วันผี)"
ใบชาที่พบเห็นกันทั่วไปในปัจจุบันได้แก่ ชาขาว ชาเขียว ชาอู่หลง และ ชาดำ
ชาขาว 白茶 ชาเขียว 绿茶
ชาอู่หลง 乌龙茶 ชาดา 黑差
- 5. ชาวจีนรู้จักการบริโภคชามาแล้วกว่าพันปี ต้นชามีต้นกำเนิดอยู่ที่ ประเทศจีน หลังจากคนจีนโบราณสมัยได้ค้นพบต้นชา ในระยะแรกสมัย ราชวงศ์ฮั่นใช้ใบชา ในการทำยา ต่อมาจึงใช้เป็นเครื่องดื่ม
ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ก็มีตำราชาจีนออกมาแล้วชื่อ "ฉาจิง茶 经" ลู่อวี๋陆羽เป็นผู้แต่ง มีเรื่องเล่าว่า
ยุคราชวงศ์ถัง นับว่าเป็นช่วงที่ประเทศจีน พัฒนามากในการ ผลิตใบชา การดื่มชาเป็นที่แพร่หลาย ชาเข้าไปในวิถีชีวิตครอบครัวของ ชาวจีนทั่วไป กลายเป็น สิ่งที่จะขาดไม่ได้ในชีวิต ประจำวัน ในช่วงเวลา นี้เองในประวัติศาสตร์จีนได้มีการ บันทึกถึง หนังสือที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ ใบชาชื่อว่า "ฉาจิง" "ฉาจิง"นับเป็นหนังสือเล่มแรกของโลกที่ บันทึกเกี่ยวกับการศึกษาการผลิตชาจีน หนังสือเล่มนี้รวบรวมประเภท ของชา การผลิตชาการดื่มชา ประสบการณ์การ วิจารณ์ชาไว้เป็นระบบ ผู้เขียนชื่อ "ลู่อวี๋" เป็นปัญญาชนที่ไม่ชอบรับราชการ เขาถูกคนรุ่นหลัง ยกย่องให้เป็นปราชญ์ทางชา
ลู่อวี๋ 陆羽 ฉาจิง茶经
การไหว้
การไหว้ในเทศกาลสารทจีนต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ ตรงที่แบ่งการไหว้ออกเป็น 3 ชุด
ชุดแรก สาหรับไหว้เจ้าที่
จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ก็ใช้ ถ้วยฟู กุ้ยไช่ ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้ ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมี ซึ่งเป็น ประเพณีของสารทจีน คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ นํ้า ชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงิน กระดาษทอง
ชุดที่สอง สาหรับไหว้บรรพบุรุษ
คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่ บรรพบุรุษชอบ ตาม ธรรมเนียมต้องมีนํ้าแกง หรือขนมนํ้าใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และนํ้าชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ ถ้าเป็นคนมีฐานะก็นิยมไหว้โหงวแซ คือ มี เป็ด ไก่ หมู ตับ ปลา พร้อมด้วยกับข้าวอีกหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะจัด ที่บรรพบุรุษชอบ หรือจะจัดแบบที่ลูกหลานคนที่ได้กินจริงชอบ
แต่ตามธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษ ต้องมีของนํ้าสำหรับซดให้ คล่องคอ จะเป็นนํ้าแกงก็ได้ หรือเป็นขนม นํ้าใส ๆ เช่น อี๊ (คือขนมบัว ลอย) ก็ได้ วางเคียงกับชามข้าวสวยและนํ้าชา ของหวานก็มี ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ขนม เข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง
ชุดที่สาม สาหรับไหว้วิญญาณพเนจร
ผีไม่มีญาติ ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ หรือ บางแห่งเรียกว่า ฮ้อเฮียตี๋
- 6. เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง(端午节 ตวนอู่เจี๋ย)
เทศกาล “บ๊ะจ่าง” (端午节 ตวนอู่เจี๋ยหรือ เทศกาลตวงโหงว)เป็น เทศกาลที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของประเทศจีน ซี่งปีนี้ตรงกับ วันที่ 28 พฤษภาคม 2552หลายคนอาจสงสัยว่าตำนานของเทศกาล “บ๊ะ จ่าง” มาจากไหน ใครเป็นคนกำหนด เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และ มี ความสำคัญอย่างไรกับประชาชนชาวจีน
เทศกาล “บ๊ะจ่าง ??” หรือ หรือเทศกาลไหว้ “ขนมจ้าง” เป็น เทศกาลของชาวจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามของปฏิทินจีน เรียกชื่อ ตามตำราว่า “โหงวเหว่ยโจ่ย“ บ๊ะจ่างนี้คนจีนจะเรียกว่า “จั่ง粽子 (จ้งจึ)” แม่บ้านที่มีฝีมือจะลงมือทำขนมจ้างเอง เรียกว่า “ปักจั่ง“
中国茶 ชาจีน
คนจีนชอบดื่มชา และมักใช้ชาสำหรับรับรองแขกหรือเพื่อนเป็น ส่วนใหญ่ ใบชาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของคนจีนเลยก็ว่า ได้
ย้อนไป 4700 ปีมาแล้ว ในรัชสมัยของจักรพรรดิเสินหนง 神农 วันหนึ่งจักรพรรดิ เสินเสด็จล่าสัตว์ ขณะทรงพักผ่อนใต้ร่มไม้ และทรง ต้มนํ้าดื่มหน้ากองไฟ มีกระแส ลมพัด พาเอาใบไม้หล่นลงในหม้อนํ้าที่ กำลังต้ม เมื่อจักรพรรดิทรงชิมนํ้าที่ต้ม พบว่ามีรสชาติดีและมีกลิ่นหอม จากใบไม้ชนิดนั้นคือใบชา และจากนั้นมา ชาก็กำเนิด ขึ้นเป็นที่รู้จัก และนิยมดื่มกันไปทั่วโลกตราบจนถึงปัจจุบัน
จักรพรรดิ์เสินหนง神农
- 7. เสี่ยวจว้น小篆 อักษรสมัยราชวงศ์จิ้น 隶书 อักษรมาตรฐานใน สมัยราชวงศ์ฮั่น
ไข่ซู楷书 อักษรมาตรฐานสมัยราชวงศ์ฮั่น
เทศกาล ของการไหว้บะจ่าง คนจีนจะไหว้ในตอนเช้า โดยไหว้ด้วย ธูป 3 ดอก หรือ 5 ดอก การไหว้ด้วยธูป 5 ดอก เพื่อระลึกถึงครูบา อาจารย์ พ่อแม่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเข้าหลัก 5 ธาตุ หรือ โหงวเฮ้ง ของ จีน ประกอบด้วย ธาตุดิน ทอง นํ้า ไม้ และไฟ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับวิถีชีวิต โดยตรง
ในเมืองจีนยังคงความขลังตามประเพณีดั้งเดิมอยู่ โดยเขาจะเอาของ ไปไหว้ที่ริมแม่นํ้าแล้วโยนขนมจ้างลงนํ้าไปด้วย แต่ถ้าเป็นการไหว้ใน ไทย ช่วงเช้าก็จะไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ แต่ที่พิเศษหน่อยก็ตรงที่มี “บ๊ะ จ่าง” เพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบ้านไหนจะทำเอง หรือซื้อหามาจาก ร้านค้า
ที่มา -- http://www.hilunch.com/%E0%B8%B4history-of-ba- jang
- 8. เชงเม้ง – ประเพณีที่ลูกหลานชาวจีนควรรู้
เทศกาลเช็งเม้ง
ประเพณีที่สำคัญมากที่สุดของของชาวจีน คือ ไหว้บรรพบุรุษ ที่ สุสาน (ฮวงซุ้ย หรือ ฮวงจุ้ย ) เทศกาล “ เชงเม้ง ” เป็นเทศกาล ประจำปีในการบูชาและแสดงความกตัญํูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ของชาวจีน ก่อนวันพิธีจะมีการทำความสะอาดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ หลังจากนั้นในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้อาหารหวานคาว ที่หลุมฝังศพ เพื่อ เป็นการ รำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ และเป็นการส่งอาหารให้ ทุกปี เพื่อมิให้อดอยาก เมื่อไปอยู่อีกภพหนึ่ง คนจีนส่วนใหญ่ จะหยุด
จินเหวิน金文 อักษรบนเครื่องทองเหลือง
- 9. อักษรบนกระดองเต่า เจี๋ยกู่เหวิน 甲骨文
รูปลักษณะของตัวอักษรจีนตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันนี้มีการ เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่เป็นตัวอักษรภาพได้กลายเป็นตัวอักษร สี่เหลี่ยมที่ใช้ขีด ประกอบกันขึ้น ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วจึงเรียกตัวอักษร จีนว่า "ฟางไคว้เหวินจื้อ方块字" (ตัวอักษรสี่เหลี่ยม) ซึ่งได้ วิวัฒนาการ มาจาก "เจี๋ยกู่เหวิน " "จินเหวิน金文อักษรที่ถูกค้นพบบนเครื่อง ทองเหลืองโบราณ ถูกค้นพบตอนปลายสมัยราชวงศ์ซาง" "เสี่ยวจว้น小 篆 เป็นอักษรมาตรฐานสมัยราชวงศ์จิ้น" "ลี่ซู隶书 อักษรมาตรฐานใน สมัยราชวงศ์ฮั่น" "ไข่ซู楷书 อักษรมาตรฐานสมัยราชวงศ์ฮั่นเช่นกัน" เป็นต้น
ฟางไคว้เหวินจื้อ方块字" (ตัวอักษรสี่เหลี่ยม)
ประโยชน์ของการไป ไหว้บรรพบุรุษ เทศกาลเชงเม้ง
1. เพื่อรำลึกถึงคุณความดี ที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำไว้ ได้ดูแลเรา ลำบากเพืื่ ่อเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต "เราสบาย เพราะพ่อแม่ บรรพบุรุษลำบาก"
2. เป็นศูนย์รวมตระกูล ผังตระกูล โดยทั่วไป การไหว้ที่ดีที่สุด ต้องนัดหมายไปไหว้พร้อมกัน ( วันและเวลา เดียวกัน ) ทำให้ลูกหลานที่อยู่กระจายกันไป ได้มาพบปะ สังสรรค์กันพร้อมหน้า เป็นการสร้างความสามัคคี สร้างจุดศูนย์รวม กล่าวได้ว่าเป็น วันรวมญาติ 3. เป็นกรอบถนนชีวิตของลูกหลานทุกคน "พ่อแม่ตายแล้ว ยังกำหนด ชะตาชีวิตลูกหลาน" เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เน้นความกตัญํูที่มีต่อบุพการีและ ลูกหลานควรปฏิบัติตาม
4. เป็นการเตือนสติตน ความตายต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นธรรมดา ของมนุษย์ปุถุชน
- 10. 中国文化วัฒนธรรมจีน
孔子 ขงจื๊อ
ขงจื๊อ (ก่อน ค.ศ.551-479) ชื่อชิว丘 สมญานาม จ้งหนี仲 尼 เป็นคนรัฐหลู่鲁国 อยู่ในยุคชุนชิว春秋 เป็นนักปรัชญา思想家 นัก การศึกษา教育家ที่ยิ่งใหญ่ของจีนและเป็นผู้ก่อตั้งสำนักปรัชญาขงจื๊อ (หยูเจีย)
บรรพบุรุษของขงจื๊อเป็นชนชั้นสูงศักดิ์ในรัฐซ่ง宋国 สือเชื้อ สายจากกษัตริย์สมัยราชวงศ์ซาง บิดาของขงจื๊อได้เสียชีวิตลง ขณะที่ เขายังเยาว์วัย ต่อมาฐานะทางครอบครัวเริ่มขัดสนลงเรื่อยมา ถึงแม้ว่า สมัยตอนเป็นหนุ่มขงจื๊อจะมีฐานะยากจน แต่ก็ได้ตั้งปณิธานที่จะรํ่าเรียน วิชาความรู้ให้สำเร็จ
เมื่ออายุได้ 15 ปี ฝักใฝ่การเล่าเรียน อายุ 19 ปี ได้แต่งงานกับ แม่นางหยวนกวน ในปีถัดมาได้ลูกชาย ให้ชื่อว่า คงลี้ 孔立
汉字 : ตัวอักษรจีน
ตัวอักษรจีนเป็นหนึ่งในตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังเป็น ตัวอักษรที่ คนใช้มากที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน จำนวนของตัวอักษรจีนมี มากกว่า 6 หมื่นตัว ในนี้มีตัวอักษรที่ใช้บ่อย 6000 ตัว ตัวอักษรจีนมี ประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีต้นกำเนิดมาจากการจดบันทึกรูปภาพ ตัวอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดที่ได้ขุดค้นพบ ในขณะนี้คือ "เจี๋ยกู่เหวิน甲骨 文" ซึ่งเป็นตัวอักษรที่มีอายุมากกว่า 3400 ปีมาแล้วและ ยังถือเป็น ตัวอักษรที่สมบูรณ์มาก
- 11. กตัญํูต่อบิตามารดา 孝敬父母
การปรนนิบัติเลี้ยงดูพ่อแม่หรือญาติอาวุโสสำหรับชาวจีนแล้วเป็น หน้าที่ที่จะละเลยมิได้ ชาวจีนเชื่อว่าผู้ที่ให้การดูแลเอาใจใส่บิดามารดา และคนในครอบครัวของตนจึงจะถือว่าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและรู้ บุญคุณกับผู้อื่นในสังคมจีนมีนิทานโบราณที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกตัญํู รู้คุณที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นจำนวนมาก เป็นต้นว่าเรื่อง “ชินฉางทาง เย่า亲尝汤药” (ชิมยาด้วยตนเอง)“ หวายจวี๋เว่ยชิน怀橘遗亲”(ช้อนส้อม ให้มารดา) ฯลฯ
ต่อมา ขงจื๊อก็ได้เริ่มรับนักเรียน และเริ่มถ่ายทอดความรู้ที่ตนมี จำนวน นักเรียนที่ขงจื๊อรับมาเป็นศิษย์มีทั้งหมดประมาณสามพันกว่าคน ใน จำนวนนี้ มีคนยากจนรวมอยู่ด้วย จุดนี้เองทำให้ระบบการศึกษาของจีน ในสมัยโบราณที่ว่าลูกหลานขุนนาง และชนชั้นสูงศักดิ์เท่านั้นที่จะได้ เรียนหนังสือเปลี่ยนไป ช่วงปลายชีวิตของขงจื๊อได้รวบรวมหนังสือ โบราณมากมาย ซึ่งมีการรักษาหนังสือเหล่านั้นให้สืบทอดมาจนถึง ปัจจุบัน เช่น หนังสือ"ซือจิง诗经" "ซ่างซู尚书" "โจวอี้周易" ฯลฯ ทุก เล่มล้วนผ่านการเรียบเรียงโดยขงจื๊อทั้งสิ้น
ปรัชญาแนวคิดหลายอย่างของขงจื๊อมีคุณค่าสำหรับคนในยุค ปัจจุบันเป็นอย่างมาก เช่น คำสอนของขงจื๊อจะต้องแทรกความรู้ในเรื่อง ของ "เหริน仁(หลักคุณธรรม)" อยู่ ขงจื๊อเห็นว่าการที่จะบรรลุให้ถึงหลัก คุณธรรมนั้น ต้องรู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น อะไรที่ตนไม่อยากทำก็ไม่ต้องผลัก ให้ผู้อื่นทำ
ขงจื้อยังเห็นว่า การจัดการกับความสัมพันธ์ของคนนั้น ควร ยอมรับในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ควรนำเอามาตรฐานอย่าง เดียวมาวัดทั้งสองฝ่าย เมื่อปฏิบัติดังนี้แล้ว จึงสามารถควบคุมสังคมให้ สงบสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการเรียนการสอนขงจื๊อจะเน้นใน เรื่องความคิดสร้างสรรค์ เน้นให้ลูกศิษย์มีความคิดเป็นของตนเอง ใน การศึกษาตำรานั้นนอกจากจะได้ความรู้จากตำราแล้วก็ต้องสร้างทัศนคติ ของตนเองด้วย
คำสอนของขงจื๊อได้ถูกรวบรวมโดยลูกศิษย์และเรียบเรียงเป็น หนังสือชื่อว่า "หลุนอวี่ 论语"แนวคิดของขงจื๊อ คนรุ่นหลังได้นำมา ศึกษาและเผยแพร่อย่างกว้างขวางกลายเป็นลัทธิที่ยิ่งใหญ่และมี อิทธิพลต่อคนส่วนมากของจีน
ขงจื๊อนับว่าเป็นปูชนียบุคคลของจีน ซึ่งคนจีนรู้จักแทบทุก ครัวเรือนและความคิดของคนจีนส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอน ของขงจื๊อไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ ขงจื๊อยังนับว่าเป็นปูชนียบุคคลคน สำคัญของโลก ดังที่องค์กรการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ หรือองค์กรยูเนสโก联合国教科文组织ได้ยกย่องให้ ขงจื๊อเป็นหนึ่งในสิบบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมของโลก