Contenu connexe
Similaire à ไอน์สไตน์ถามพระพุทธเจ้าตอบ
Similaire à ไอน์สไตน์ถามพระพุทธเจ้าตอบ (20)
ไอน์สไตน์ถามพระพุทธเจ้าตอบ
- 1. ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
โดย
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ กรีน
เนื้อหาของหนังสือเลมนี้เปนความพยายามของผูเขียนที่จะเชื่อมโยงความรูทาง
วิทยาศาสตรของไอนสไตนกับภูมิปญญาทางธรรมอันเปนผลจากการตรัสรูของพระพุทธเจา
ผูเขียนมีเหตุผลที่จะเชื่อวา ไมวาจะเปนคําถามเรื่องจุดคงที่ของจักรวาล (The absolute
ruling point in nature) ที่อัลเบริต ไอนสไตนไดถามเปนทานแรกและตองการคนใหพบอัน
เปนตนเหตุที่นําไปสูบทสรุปของทฤษฎีสัมพัทธภาพ (The Theory of Relativity) หรือ
ทฤษฎีสรรพสิ่ง (The Theory of Everything) ที่ไอนสไตนไดทุมเทชีวิตในชวง ๓๐ ป
สุดทายเพื่อหาคําตอบ, คําถามที่ครอบจักรวาลของไอนสไตนเหลานี้ลวนชี้ไปสูความหมาย
เดียวกันคือ ไอนสไตนตองการคนหาสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดที่มีอยูในธรรมชาตินั่นเอง ซึ่ง
คําตอบที่เปนอมตะนี้ พระพุทธเจาไดทรงคนพบแลวเมื่อ ๒๕๙๔ ปกอน ซึ่งทานใชคําวา
พระนิพพาน หรือ การหมดทุกขอยางสิ้นเชิง
จุดเดนและจุดสําคัญยิ่งของหนังสือเลมนี้อยูที่ตัวผูเขียนที่กลายืนยันวา “สัจธรรมอัน
สูงสุดในธรรมชาติมีอยู” รวมทั้งกลาประกาศใหผูอานรูวา เธอรูแนชัดแลววาสัจธรรมอัน
สูงสุดหรือสภาวะพระนิพพานคืออะไร เปนอยางไร จึงทําใหเธอสามารถตั้งศัพทใหมเพื่อให
เหมาะสมกับยุคสมัยและเพื่อคนยุคใหมสามารถเขาถึงสัจธรรมไดงายขึ้น อันคือ ผัสสะ
บริสุทธิ์ และ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ การประกาศตนเปนผูรูสภาวะสัจธรรมของผูเขียนนี้เอง ตัวตอตัว
สุดทายที่ยังขาดอยูหรือเปน missing link ก็สามารถถูกวางลง กอใหเกิดภาพชัดเจนของ
ชีวิตที่เชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งหมดได และกอใหเกิดการประสานเชื่อมตอระหวางภูมิปญญา
ทางโลก โดยเฉพาะวิทยาศาสตรกับภูมิปญญาทางศาสนาที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวของชีวิต
การเกิดแกเจ็บตาย (บทที่ ๑) เนื้อหาของหนังสือเลมนี้จึงตั้งอยูบนรากฐานที่ผูเขียนอางวา
เธอรูสัจธรรมอันสูงสุด ซึ่งเธอไดอธิบายสภาวะสัจธรรมในฐานะที่เปน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” (บทที่
๖) โดยใชขอเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่วิ่งพรอมกัน
เนื้อหาในบทที่ ๒, ๓, ๔ ของหนังสือเลมนี้คือ การวิเคราะหหัวขอและคําถามที่มัก
ถามกันบอยอันเกี่ยวของกับเรื่องชีวิต และ จักรวาล เชน ตัวจริงของเราคืออะไร อยูที่ไหน
จิตใจที่เปนปกติคืออะไร และ พรมแดนสุดทายของจักรวาลอยูที่ไหน ซึ่งผูเขียนไดพยายาม
ประสานและขมวดหัวขอที่ดูเหมือนแตกตางกันมากเหลานี้เขาสูเรื่องสัจธรรมอันสูงสุด หรือ
พระนิพพาน ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับจุดคงที่ของจักรวาล อันเปนเนื้อหาสวนที่จะชวยใหผูอาน
สามารถมองพระพุทธศาสนาวาเปนเรื่องใกลตัวเองมากกวาเปนเรื่องไกลสุดกู และมองใหม
วา พระนิพพานไมใชเปนทางเลือก แตเปนเรื่องที่ทุกคนตองไปใหถึง เพราะ การไมรูจักพระ
นิพพานก็คือการไมรูจักตัวเอง คือการไมรูจักความปกติที่แทจริงของจิตใจตัวเอง และคือ
การไมรูวาที่จริงแลว มนุษยทุกคนลวนเปนศูนยกลางของจักรวาลของตนเอง
จุดเดนอีกขอหนึ่งของหนังสือเลมนี้คือ ผูเขียนไดพยายามชวยเหลือปญญาชนที่บูชา
การใชความคิดใหรูจักจุดยืนของตนเองที่เนื่องกับจักรวาล โดยแยกแยะใหเห็นอยางชัดเจน
- 3. 1
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
บทนํา
ผูรูจริงยอมพูดเรื่องเดียวเทานั้น คือ เรื่องการพาคนไปใหถึงพระนิพพาน และผูรู
จริงเทานั้นจึงรูวา ความรูทางโลก เชน ความรูทางวิทยาศาสตรที่แมชาวโลกเห็นพอง
ตองกันวามีความสําคัญอยางยิ่งยวดตอการดํารงอยูของชีวิตนั้น ก็ยังไมมีความสําคัญมาก
เทากับความรูเรื่องการดับทุกขหรือการเขาถึงพระนิพพาน ฉะนั้น แมอัลเบิรต ไอนสไตน ได
ทิ้งมรดกทางปญญาใหชาวโลกไวอยางมากมายมหาศาลเพียงใด ดิฉันก็ไมไดมอง
ไอนสไตนในฐานะผูรูจริง เพราะไอนสไตนยังไมไดเปนผูรูจริง เขาเปนเพียงนักฟสิกสที่
ไดรับรางวัลโนเบล ความรูดานฟสิกสของไอนสไตนไดไขความลึกลับของธรรมชาติอัน
เนื่องกับสสารและพลังงานอันคือเนื้อหาของทฤษฎีสัมพัทธภาพ และกลศาสตรควอนตัม อัน
เปนความรูทางฟสิกสพื้นฐานที่ไดรับการตอยอดและพัฒนามาสูเทคโนโลยี่ในปจจุบันนี้
เทานั้น ซึ่งความรูเหลานี้ของไอนสไตนไมไดมีสวนเกี่ยวของกับการพาคนไปนิพพานเพื่อ
การหลุดพนจากความทุกขแตอยางใด
ดิฉันไดพูดถึงเรื่องการตอตัวตอในหนังสือเรื่องใบไมกํามือเดียว หากจะ
เปรียบเทียบกับเรื่องตัวตอของภาพชีวิตที่สมบูรณอันมีตัวเราเปนสวนหนึ่งที่กระจิดริดมาก
ของจักรวาลทั้งหมดแลว ไอนสไตนก็คือบุคคลหนึ่งที่สามารถตอตัวตอกระจุกเล็ก ๆ มุมหนึ่ง
อันเปนงานที่เขาสานตอจากนักวิทยาศาสตรที่มีชีวิตกอนหนาเขา เชน ไอแซก นิวตัน ไม
เคิล ฟาราเดย อังตวน ลาวาซิเอ เอิรนท มาค เปนตน ซึ่งไอนสไตนอาจจะตอตัวตอของภาพ
ชีวิตที่เนื่องกับจักรวาลในกระจุกใหญเพียงพอที่ทําใหภาพของมุมนั้น ๆ ชัดเจนมากขึ้น คือ
สามารถไขกุญแจเขาไปสูความลึกลับของปรากฏการณธรรมชาติของเอกภพโดยเฉพาะเรื่อง
แสง การเคลื่อนของแสง ของอวกาศและเวลาไดมากขึ้นจนกอใหเกิดสูตรทางคณิตศาสตร
e=mc2 ที่ดูเรียบงายแตซับซอน รวมทั้งเปดเผยคุณภาพทั้งฝายดําสนิท (การผลิตระเบิดป
รมณู) และฝายขาวอยางขุนมัว (เทคโนโลยี่ทางวัตถุ)ของธรรมชาติ ซึ่งความรูเหลานี้ของ
ไอนสไตนไดเปดโอกาสใหนักฟสิกสรุนหลังตอยอดความรูของเขาไดอยางไมหยุดยั้งจน
กลายเปนความรูพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี่ของทุกวันนี้
แตแมไอนสไตนจะรูอะไรไดมากมาย อัจฉริยะบุคคลทานนี้ก็ยังไมสามารถตอ
ภาพทั้งหมดของชีวิตที่สัมพันกับจักรวาลไดหมด เพราะเขายังไมพบ “ตัวตอตัวสุดทาย The
missing link” ที่สามารถทําใหภาพทั้งหมดของชีวิตชัดเจนและสมบูรณได ความสามารถใน
การเห็นภาพรวมของชีวิตเพราะสามารถวางตัวตอตัวสุดทายลงไดเปนความสามารถของผูรู
จริงเทานั้นอันมีพระพุทธเจาเปนบุคคลทานแรกของโลกที่ตอภาพทั้งหมดของชีวิตที่
ประสานกับจักรวาลไดสําเร็จ
ฉะนั้น สิ่งที่ชาวโลกโดยเฉพาะผูคลั่งไคลบูชาความสําเร็จและความมหัศจรรย
ของวิทยาศาสตรตองตระหนักใหชัดเจนคือ ไอนสไตนก็ยังเปนมนุษยคนหนึ่งที่อยูในขั้นตอน
ของการแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนมนุษยคนอื่น ๆ อีกมากมาย สัจธรรมอันสูงสุดนี้
ดิฉันไดพูดแลววาเปนสภาวะเดียวกับพระนิพพาน พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต หรือ ที่นี่
- 4. 2
เดี๋ยวนี้ ดิฉันไดตั้งศัพทใหมที่รัดกุม และเหมาะกับยุคสมัยที่คนรุนใหมสามารถเขาใจได
งายขึ้นคือ สภาวะ “ผัสสะบริสุทธิ์ The innocent perception” นั่นเอง
ในป ค.ศ. 1954/๒๔๙๗ ไอนสไตนไดเขียนไวในหนังสือเรื่อง The Human
Side ยอมรับเองวา คําตอบที่เขาตองการนั้นอาจจะอยูในพุทธศาสนาแลวก็เปนได เขาพูดวา
ศาสนาในอนาคตจะเปนศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล ควรอยูเหนือพระเจาสวนตัว
หลีกเลี่ยงลัทธิกฏเกณฑที่ไรขอพิสูจน ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควร
ตั้งอยูบนรากฐานของศาสนาที่เกิดจากประสบการณของทุกสิ่งที่สรางเอกภาพอันมี
ความหมาย ซึ่งพระพุทธศาสนาดูเหมือนจะมีสิ่งเหลานี้อยู ศาสนาพุทธนาจะเปนศาสนาที่
สามารถแกไขปญหาตาง ๆ ของยุคสมัยได
การคาดการณของไอนสไตนถูกตองทีเดียว นี่จึงเปนคําพูดของไอนสไตนที่ดิฉัน
พยายามจะชวยตอยอดประสานใหพบกับความรูของพระพุทธเจาใหจงได จุดคงที่ของ
จักรวาลที่ไอนสไตนตองการหากอนทฤษฎีสัมพัทธภาพรวมทั้งทฤษฎีเอกภาพที่เขาแสวงหา
อยูในชวง ๓๐ ปสุดทายของชีวิตนั้น ไมใชอะไรอื่น มันคือสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระ
นิพพานนั่นเอง ไอนสไตนหาไมพบ เพราะขาดปจจัยสําคัญ คือ ไมไดพบผูรูจริง
ผูอานอาจจะสงสัยวา ดิฉันไมไดเปนนักฟสิกส แลวดิฉันจะเอาความรูทางฟสิกส
ที่ไหนมาตอยอดความรูของไอนสไตนได คําตอบคือ ดิฉันไมไดตองการหยิบยื่นความรูเรื่อง
ฟสิกสใหแกคุณ จึงไมจําเปนตองรูรายละเอียดของฟสิกสที่ซับซอนเขาใจยาก การเห็น
ภาพทั้งหมดของชีวิต หรือ การรูสภาวะพระนิพพานคือ การรูทิศทางของชีวิตที่จะทําใหคน
หมดทุกข รูวาความรูไหนกําลังชวยใหคนเดินทางไปถูกทิศหรือผิดทิศ เขาใกลหรือหางไกล
จากพระนิพพานมากแคไหน ฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันจะพูดอันเนื่องกับความคิดของไอนสไตนใน
หนังสือเลมนี้จึงไมใชเรื่องฟสิกสที่จะนํามาตอยอดใชพัฒนาเทคโนโลยี่ได แตเปนเรื่องการ
ปรับเข็มทิศชีวิตเทานั้น เปนเรื่องการเบนเข็มทิศชีวิตเพื่อชวยใหผูสนใจงานของไอนสไตน
มาสนใจเรื่องราวของการหมดทุกขหรือไปใหถึงพระนิพพานเทานั้น
ฉะนั้น ดิฉันจะพูดพาดพิงเพียงความคิดหลักอันเปนสวนของโครงสรางใหญ
เทานั้น ซึ่งถึงแมดิฉันจะเขาใจคลาดเคลื่อนไปบางนิดหนอย ก็ยังไมเปนไร ไมใชเรื่องคอ
ขาดบาดตาย เพราะสิ่งที่ดิฉันตองการใหคุณมองออกคือ วิธีการเดินสายความคิดของ
ไอนสไตนรวมทั้งปญญาชนโดยทั่วไปนั้น ลวนเปนเรื่องการเดินเขาไปในทอของความคิดอัน
เปนปญญาฝายโลก ที่ดิฉันเรียกวา ทอแหงความรูทางโลก The tube of intellect
ในสวนความคิดหลักอันเปนโครงสรางใหญของไอนสไตนนั้น ถาพูดอยางสรุปก็มี
เพียงนิดเดียวเทานั้น ซึ่งความรูสวนนี้ดิฉันก็ไดรับจากคุณครูที่สอนวิทยาศาสตรในสมัยเรียน
ชั้นมัธยมซึ่งสอนอยางสรุปยอ ๆ เทานั้นและยังมีหลงเหลืออยูบางในความทรงจําของดิฉัน
โดยเฉพาะเรื่องรถไฟสองขบวนวิ่งดวยความเร็วพรอมกัน นอกจากนั้น ดิฉันมักจะดึงความคิด
หลัก ๆ ออกมาจากหนังสือบรรณานุกรมของเยาวชน ซึ่งผูเขียนมักพูดสรุปความคิดในสวนที่
เปนโครงสรางอยางยอ ๆ ดวยภาษาที่เขาใจไดงาย ๆ ประโยคที่ดิฉันไดพบและนําออกมาใช
อยูหลายปแลวนั้นคือ อะไรคือจุดนิ่งที่สมบูรณและเปนอนันตกาลของจักรวาล What is the
absolute ruling point in nature? ซึ่งดิฉันเห็นวาเปนประโยคที่ชวยใหเขาใจความคิดหลัก
- 5. 3
ของไอนสไตนไดงาย ๆ เมื่ออานพบก็รูทันทีวา นี่เปนประโยคที่ดิฉันสามารถใชเชื่อมตอกับ
ความรูเรื่องนิพพานของพระพุทธเจาไดดวย จึงใชมาตลอด
นอกจากนั้น ดิฉันยังใหความสนใจดูสารคดีทางวิทยาศาสตรตาง ๆ โดยเฉพาะใน
ปนี้ โทรทัศนของอังกฤษไดรวมฉลองการครบรอบรอยปของผลงานอันยิ่งใหญของ
ไอนสไตน เปนปแหงฟสิกสโลก (World Year of Physics) จึงมีสารคดีตาง ๆ ที่เกี่ยวของ
กับผลงานทางดานฟสิกสของอัจฉริยะบุคคลทานนี้มาก ซึ่งเอื้ออํานวยใหดิฉันเขาใจงานของ
ไอนสไตนมากขึ้นอีกนิดหนอย จึงพยายามจับจุดสําคัญที่ชวยใหดิฉันสามารถเชื่อมโยง
ความคิดของนักฟสิกสผูโดงดังทานนี้กับความคิดของพระพุทธเจา นี่คือเปาหมายหลักที่
ดิฉันจะพยายามทําใหดีที่สุด นั่นคือ หยิบยื่นสัจธรรมใหคุณดวยการเขาถึงอยางเปนกลาง ๆ
ที่สุด หางจากกรอบประเพณีของศาสนาที่มักมีความขัดแยงซึ่งกันและกัน
การที่จะเขาใจหนังสือเลมนี้ไดอยางถองแทและถึงแกนของมันนั้น ผูอานควร
ตองเขาใจใหชัดเจนวา เนื้อหาของหนังสือเลมนี้เปนความรูที่ตอเนื่องจากหนังสือเลมกอน ๆ
ของดิฉัน คือ ใบไมกํามือเดียว คูมือชีวิตทั้งสองภาค และ อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน
หนังสือทั้ง ๔ เลมรวมทั้งเลมนี้ลวนเปนผลผลิตจากการปฏิบัติธรรมของดิฉัน จนถึงจุดที่ดิฉัน
แนใจแลววา ประสบการณที่ดิฉันเรียกวา ผัสสะบริสุทธิ์ เปนสภาวะเดียวกับ พระนิพพาน
หรือ สัจธรรมอันสูงสุด
ฉะนั้น วิธีการนําเสนอเรื่องตาง ๆ ของทุกบทในหนังสือเลมนี้อาจจะเปนวิธีการ
ใหมสําหรับปญญาชนที่ยังไมชินกับงานเขียนของดิฉัน นั่นคือ ดิฉันเขียนจาก “ผลมาสูเหตุ”
ไมใชเขียนจาก “เหตุไปสูผล” ซึ่งเปนวิธีการทางวิทยาศาสตรที่ปญญาชนเคยชินมากกวา
การเขียนจาก “ผลมาสูเหตุ” นี้ ยังไมมีอยูในสารบบใด ๆ ของความรูทางโลก นี่เปนวิธีการ
เขียนและการสอนของผูรูสัจธรรมอันสูงสุดเทานั้น
ดิฉันไดอธิบายไวแลวในบทที่สองของหนังสือใบไมกํามือเดียววา การตรัสรูของ
พระพุทธเจาหมายความวา ทานไดพบสภาวะหนึ่งที่คนอื่นยังไมรูจัก นั่นคือ สภาวะพระ
นิพพาน และ ทานก็ทรงทราบอยางแนชัดวา สภาวะนี้คือ เปาหมายปลายทางของทุกชีวิต
เปนที่สุดของทุกอยาง เปนสภาวะที่ทุกคนตองไปใหถึง ฉะนั้น สภาวะพระนิพพานคือ ผล
(นิโรธ) ซึ่งดิฉันเปรียบเหมือนการพบสระน้ําอมฤตที่อยูในปา เมื่อใครไดดื่มแลว จะมีชีวิต
อมตะ เมื่อพระพุทธเจาพบสระน้ําอมฤต ทานจึงออกจากปาเพื่อมาบอกทางใหคนทั่วไปไดรู
ทางไปถึงสระน้ําอมฤตนั้น การบอกทางนี้จึงเปนเหตุ (มรรค) ที่สาวขึ้นไปสูผล แตเปนผลที่
พระพุทธเจารูกอนแลว ฉะนั้น การวางขั้นตอนของอริยสัจสี่นั้น ทานจึงทรงวาง นิโรธ มากอน
องคมรรค หรือ “ผลมาสูเหตุ” ดวยเหตุผลเชนนี้
ถาจะเปรียบเทียบกับการตอตัวตอที่พูดเมื่อสักครูนี้ก็หมายความวา พระพุทธเจา
เห็นภาพทั้งหมดของรูปสําเร็จแลว จึงสามารถสอนใหคนตอตัวตอที่ยังกระจัดกระจายอยูดวย
วิธีการที่เร็วที่สุด เพราะรูวาชิ้นไหนตองวางตรงไหน จึงเปนการสอนการตอตัวตอแบบ “ผล
มาสูเหตุ” เชนกัน วิธีการสอนเชนนี้จึงเปนเรื่องใหมสําหรับปญญาชน เปนเรื่องที่ปญญาชน
ตองระวังมาก ไมควรรีบสรุปหรือตัดสินหนังสือเลมนี้อยางงาย ๆ และรวดเร็วเกินไป เพียง
เพราะสิ่งที่อานอาจจะดูขัดกับความรูสึกและความเขาใจของตนเอง
ในหนังสือเรื่อง “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” นั้น ดิฉันจําเปนตองใชหนังสือทั้ง
เลมนี้อธิบายใหผูอานยอมรับเพียงเรื่องเดียวเทานั้นคือ ใหยอมรับวาดิฉันรูจักสภาวะพระ
นิพพาน เพราะดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานนี่เอง ดิฉันจึงสามารถตั้งชื่อพระนิพพานใหม
เพื่อใหเหมาะกับยุคสมัยคือ ผัสสะบริสุทธิ์ หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตรงนี้แหละ คือ จุดเริ่มตนของ
ความรูทั้งหลายที่ทําใหดิฉันสามารถเขียนหนังสือเลมนี้ไดดวยวิธีการสอนแบบ “ผลมาสู
เหตุ” และพระนิพพานอีกเปนจุดที่ทุกเรื่องตองมาจบที่ตรงนี้เชนกัน
- 6. 4
พระนิพพานหรือผัสสะบริสุทธิ์คือ “ผล” ที่ดิฉันไดเห็นแลว รูแลว แนใจแลววา
“ใชแน” จึงนําประเด็นหัวขอที่ทาทายของบทตาง ๆ ขึ้นมาพูด ประสาน และเทียบเคียง ซึ่ง
ประเด็นเหลานี้เปนเรื่องที่ดิฉันไดเขียนเปนภาษาอังกฤษไวกอนแลวในหนังสือเรื่อง Do You
Know What A Normal Mind Is? ซึ่งลวนเปนประเด็นที่เปนจุดออนของชาวตะวันตก เชน
การถามคําถามเรื่องการแสวงหาตัวจริงของเราซึ่งดิฉันเอาออกมาจากรายการสนทนาใน
โทรทัศน การตั้งคําถามเรื่อง “จิตใจที่ปกติ” เปนอยางไรเพราะไดนั่งรถไปกับลูกศิษยที่เปน
โรคจิต ตั้งคําถามวา “พรมแดนสุดทายของจักรวาล” อยูที่ไหนเพราะนี่เปนอิทธิพลของหนัง
โทรทัศนเรื่อง Star Trek ที่คนติดตามมารวม ๓๐ ป เปนวลีที่ชาวตะวันตกรูจักกันดี
ดิฉันจึงนําคําถามเหลานี้มาเชื่อมประสานกับเรื่องการแสวงหา “จุดคงที่ของ
จักรวาล” ซึ่งเปนเรื่องที่อยูตรงขามกับความคิดเรื่องสัมพัทธภาพของไอนสไตน ความคิด
เรื่องสัมพัทธภาพของไอนสไตนเปนการเดินสายความคิดที่ใกลเคียงกับการถามเรื่องพระ
นิพพานของพระพุทธเจามากที่สุด เพราะถามวาจุดนิ่งของจักรวาลที่จะเอามาใชเปน
มาตรฐานการวัดของทุกสิ่งอยูที่ไหน ซึ่งไอนสไตนเห็นวาไมมี เพราะจักรวาลเคลื่อน
ตลอดเวลา จึงกอใหเกิดผลคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกับการยอมรับสภาวะ
อนิจจังของทุกสิ่ง เปนสภาวะที่ไอนสไตนไดเดินมาถึงสุดสายปานของ “การใชความคิด”
แลว ไปตอไมไดแลว
ดิฉันจึงชวยประสานโดยการชวยขีดเสนใตคําถามที่อาจจะยังไมชัดเจนใหเขา
เพราะเขายังคนไมพบ นั่นคือ จุดคงที่ของจักรวาลคืออะไร อยูที่ไหน What is the
absolute ruling point in nature? ถึงแมไอนสไตนไมไดใช คําพูดเชนนี้ ไมไดถามเชนนี้
คนรุนหลังสรุปใหเขาดังที่ดิฉันเอาออกมาจากหนังสือสารานุกรมภาษาอังกฤษ แตนี่เปน
คําถามที่จะพาผูถามไปสูเรื่องพระนิพพานซึ่งเปนนิจจัง เปนเรื่องคงที่ อันเปนสภาวะที่
ตรงกันขามกับอนิจจังหรือสัมพัทธภาพ
ฉะนั้น ประเด็นเหลานี้จึงเปนเรื่องที่ดิฉันตองการชวยผูอานชาวตะวันตกใหเขาใจ
เปาหมายปลายทางของชีวิตไดชัดเจนขึ้น คือ แทนที่จะพูดวา นิพพานเปนเปาหมาย
ปลายทางของชีวิต ดิฉันพูดใหมวา เปาหมายชีวิตอยูที่การหาตัวจริงของเราใหพบ หรือ
เปาหมายชีวิตอยูที่การสามารถเขาถึงจิตใจที่เปนปกติ หรือ เปาหมายชีวิตอยูที่การสามารถ
เขาถึงจุดปกติหรือจุดคงที่หรือไปถึงพรมแดนสุดทายของจักรวาล ซึ่งดิฉันเห็นวาการพูด
เชนนี้ อธิบายเชนนี้ จะชวยปญญาชนของยุคนี้เขาใจไดดีกวาการพูดวา “เปาหมายชีวิตอยูที่
การไปใหถึงพระนิพพาน” เพราะคําวา พระนิพพาน ไดถูกวัฒนธรรมทางศาสนาปกคลุม
บิดเบือนจนคนเขาใจผิดไปมากแลว มักคิดวาเปนเรื่องไกลเกินตัว เปนเรื่องของพระอริยะที่
ไมเกี่ยวของกับตนเองเลย หรือไมก็เปนเรื่องของคนตายแลว ไมเกี่ยวกับชีวิตของคน
ธรรมดาทั่วไปอยางเราทานทั้งหลายที่กําลังดิ้นรนทํามาหากินอยู ซึ่งเปนเรื่องเขาใจผิดหมด
นี่เปนสาเหตุใหญที่ดิฉันจําเปนตองสรางและจับประเด็นเหลานี้มาชนกัน ประสานกัน เพื่อ
ชวยใหผูอานเริ่มคิดในรองทางที่ถูกตองโดยใชภาษาของคนรวมสมัย และเพื่อพาพวกเขา
ไปพระนิพพาน เพราะพระนิพพานเปนจุดอันติมะที่ “ทุกเรื่อง” อันเกี่ยวของกับชีวิต โลก
และ จักรวาล จะตองไปลงที่จุดนั้นหมด
ปญหาจึงอยูตรงที่วา หากผูอานไมยอมรับวา ดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานอยาง
แทจริงแลวไซร ยอมตองมองประเด็นเหลานั้น เปนเพียงสมมุติฐานที่ดิฉันตั้งขึ้นมาและพูด
เหมาเอาเอง สรุปเองโดยไมมีหลักฐาน ขอมูลมาสนับสนุนอยางเพียงพอ เหมือนจับแพะชน
แกะ จะทําใหคุณสับสนและไมไดรับประโยชนจากการอานหนังสือเลมนี้อยางเต็มที่ เพราะ
สิ่งที่คุณเห็นวาเปน “สมมุติฐาน hypothesis ” ของดิฉันนั้น สําหรับดิฉันแลวมันเปน
“ขอเท็จจริง fact” ที่ดิฉันไดรูแลว เห็นแลว ไมใชเรื่องการคิด จินตนาการอยางเพอฝนเลื่อน
ลอยแตอยางใด
- 7. 5
เพราะดิฉันรูวาพระนิพพานคืออะไร ดิฉันจึงสามารถพูดไดวา ตัวจริง ๆ ของเราคือ
อะไร อยูที่ไหน รูวาจิตใจที่ปกติเปนอยางไร พรมแดนสุดทายของจักรวาลอยูที่ไหน จุดคงที่
หรือจุดปกติของจักรวาลอยูที่ไหนและเปนอยางไร และปญญาชนกําลังติดอยูใน “กลอง
ความคิด” หรือ “กลองความรูทางโลก” อยางไร เพราะคําถามเหลานี้เปนคําถามเดียวกับ
คําถามวา พระนิพพานคืออะไร อยูที่ไหนนั่นเอง ซึ่งดิฉันอธิบายคําตอบเรื่องพระนิพพานดวย
คําใหมคือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ใครรูจักและสามารถเขาถึง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไดละก็ คนนั้นก็เขาถึง พระ
นิพพานแลว เพราะเปนสภาวะเดียวกัน ซึ่งคําวา ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์ เปนคําวลีที่
เขาใจและเขาถึงไดงายกวาพระนิพพานมากทีเดียว
เพราะดิฉันรูแลววาพระนิพพานคืออะไร ดิฉันจึงสามารถนําคําเหลานี้มา
เทียบเคียงกับคําวา พระเจา เตา ตนไมแหงชีวิต เพื่อชวยเหลือศาสนิกอื่นใหเขาใจ
เปาหมายของชีวิตและชวยใหเขาเดินทางไปหาพระเจาของเขาไดดวยวิธีการของ
พระพุทธเจาคือ การปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ซึ่งเปนเรื่องสากลที่มนุษยทุกคนทําได ดิฉันจึง
สามารถกระจายความรูออกมาไดเชนนี้
จุดออนของหนังสือเลมนี้คือ ความรูทางฟสิกสที่ดิฉันไมสามารถเขาใจไดหมด
และถองแท แตถึงแมความรูทางฟสิกสของหนังสือเลมนี้จะผิดหมด ก็ยังไมเปนไร ไมนาหวง
มากเทาการสรุปสภาวะพระนิพพานอยางผิด ๆ เพราะความรูทางโลกทุกอยางลวนเปน
ความรูที่เกิดใน “ทอความคิด” แมจะถูกตองอยางไรในสายตาของปญญาชน สําหรับคนที่รู
วาสัจธรรมคืออะไรแลว มันก็ยัง “คด” อยูนั่นเอง แมไอนสไตนมานั่งเบื้องหนาดิฉันและ
อธิบายใหดิฉันเขาใจความรูของเขาทั้งหมดจนดิฉันเขาใจแจมแจงก็ตาม ดิฉันก็ยังจะพูด
เหมือนเดิมวา ไอนสไตนยังไมใชผูรูเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลอยางแทจริง เพราะ
ผูรูสัจธรรมจริงจะพูดเพียงเรื่องเดียวเทานั้น คือ พูดชักชวนคนไปนิพพาน
นี่เปนประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งมาก ที่คุณอาจตองใชเวลาทั้งชีวิตปฏิบัติ
วิปสสนา จึงสามารถเขาใจความหมายของมันได หากคุณอานเฉย ๆ โดยไมปฏิบัติวิปสสนา
แลว คุณจะไมเขาใจวาทําไมดิฉันจึงกลา “อวดอุตริ” ทาทายอัจฉริยบุคคลอยางไอนสไตน
และกลาพูดวา เขายังไมใชผูรูจริง ฉะนั้น กอนที่ปญญาชนโดยเฉพาะผูเชี่ยวชาญดานฟสิกส
จะรวมตัวกัน “เหยียบ” ดิฉันเพราะเห็นจุดออนของหนังสือเลมนี้แลวละก็ อยางนอยที่สุด
คุณตองเขาใจความหมายของคําวา “ผัสสะบริสุทธิ์” หรือ ไมก็ “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ในลักษณะของ
“ประสบการณ experience” หรือ “สภาวะที่แทจริง” ที่เกิดในตัวคุณเสียกอน คุณจึงสามารถ
วิจารณหนังสือเลมนี้ไดอยางถูกตอง ถาคุณไมมีสภาวะนั้นแลว และไมเห็นดวยกับสิ่งที่ดิฉัน
เขียน ดิฉันก็ไมเห็นหนทางที่คุณจะวิจารณหนังสือเลมนี้ไดอยางไร เพราะจะตกอยูใน
รูปลักษณะ “พูดกันคนละเรื่อง” คือ คุณพูดในขณะที่อยูในกลองความคิดหรือทอความรูทาง
โลกอันมืดมิด (บทที่ ๕) ในขณะที่ดิฉันกําลังพูดจากจุด ก อันเปนจุดคงที่หรือพรมแดน
สุดทายของจักรวาล (บทที่ ๔)
การใชคําศัพททางธรรมในหนังสือเลมนี้ก็เชนกัน คนที่ศึกษาพระอภิธรรมคง
อยากตําหนิดิฉันเชนกันวาใชคําวา “จิตใจ” อยางผิด ๆ คําวา จิต ในหนังสือเลมนี้นาจะใชคํา
วา เจตสิก จึงจะถูกตอง เพราะดิฉันรูแนชัดวาพระนิพพานคืออะไรนี่เอง ดิฉันจึงกลาใชคําวา
จิตใจ ในความหมายที่แตกตางจากพุทธพจน ซึ่งดิฉันก็ตระหนักชัดแลว แตไมเห็นวาเปน
ความเสียหายแตอยางใดเชนกัน เพราะดิฉันมีเจตนาเพื่อชวยเหลือผูอานใหเขาใจเรื่องการ
ทํางานของจิตใจตนเองชัดขึ้น จึงใชคําที่ดิฉันเห็นวาคนอานจะเขาใจไดงายกวาคําศัพทที่
ยาก ๆ เชน เจตสิก ซึ่งคนสวนมากไมชินเทาคําวา จิตใจ การใชคําวา จิตใจ และแทนมัน
ดวยคําวา ทอมกับเจอรี่ เปนวิธีการใหมที่ดิฉันไดสรางขึ้นมาเพื่อชวยเหลือคนที่ไมถนัด
คําศัพทยาก ๆ ทางอภิธรรม และดิฉันก็ไดใชมาอยางตอเนื่องตั้งแตหนังสือเลมกอน ๆ ของ
ดิฉันแลว จึงจะใชตอไป
- 8. 6
ขอใหเขาใจวา หากพระนิพพานเปนเปาหมายปลายทางที่ดิฉันพยายามจะชวย
ใหผูอานไปถึงแลวละก็ การเดินเรื่องตั้งแตการตั้งประเด็นจนถึงบทสรุปในแตละบทของ
หนังสือเลมนี้ เปรียบเทียบไดเหมือนวา ดิฉันกําลังวาดแผนที่หยาบ ๆ ใหผูอาน เหมือนดิฉัน
ควากระดาษมาแผนหนึ่งแลวก็ลากเสนแบบหยาบ ๆ พอใหคนอานแผนที่รูทางไปนิพพาน
หรือไป “ภูกระดึงทางธรรม”
แนนอน แผนที่หยาบ ๆ ที่ดิฉันลากนี้ยอมไมเหมือนแผนที่ฉบับดั้งเดิมของ
พระพุทธเจาหรือพระไตรปฎก แตตราบใดที่คนอานแผนที่หยาบ ๆ ของดิฉันสามารถเดิน
ตามการบอกทางของดิฉันและสามารถไปถึงภูกระดึงทางธรรมหรือพระนิพพานไดแลวละก็
ดิฉันเห็นวาหนังสือเลมนี้ก็ไดบรรลุเปาหมายของมันแลว หนทางเขาสูกรุงโรมยอมมีมากกวา
หนึ่งเสนทาง ใครจะเดินทางไหนก็ได ตราบใดที่ไมหลงทิศ ขอใหถึงกรุงโรมเปนใชได
หากผูอานเขาใจไดตามเนื้อหาที่ดิฉันนําเสนอนี้และยอมปฏิบัติสติปฏฐานสี่หรือ
พาตัวใจกลับบานแลวละก็ ดิฉันเห็นวาเพียงพอแลว หนังสือเลมนี้ไดบรรลุเปาหมายที่ดิฉัน
ตองการแลว แมจะสามารถชวยเหลือคนไทยเพียงคนเดียวใหยอมปฏิบัติสติปฏฐานสี่ ก็
คุมคาตอความพยายามของดิฉันมากแลว
ปญหาใหญจึงมีเรื่องเดียวเทานั้นวา คุณยอมรับในภูมิธรรมของดิฉันหรือไม คุณ
ยอมรับหรือไมวา ดิฉันรูจักสภาวะพระนิพพานและยินยอมใหดิฉันเปนผูนําทางคุณไป
นิพพาน ถาคุณยอมรับ คุณจะไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้ไมมากก็นอย แตหากคุณ
ยอมรับไมไดวาผูหญิงแมบานคนนี้จะรูจักพระนิพพานไดอยางไร และไมเชื่อวาดิฉันมีภูมิ
ธรรมดังกลาวแลว แมคุณจะพยายามอยางไร คุณก็คงอดไมไดที่จะมีอคติตอดิฉันอยูในใจ
และจะไมไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้
เพื่อใหความยุติธรรมทั้งกับดิฉันและตัวคุณเอง ดิฉันเห็นวา คุณควรอานเรื่อง
“อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” ดวย หรือไมก็มาเขาอบรมกับดิฉันจนสามารถเขาบานที่สี่
สามารถจับสภาวะของ ผัสสะบริสุทธิ์ หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ได ประสบการณอันเปน “ผล” ที่ดิฉัน
ไดพูดถึงนี้เทานั้น จึงจะชวยใหคุณเขาใจหนังสือเลมนี้ไดดีขึ้น
ดิฉันไดนําเรื่อง “พาตัวใจกลับบานกันเถิด” มาไวเปนภาคผนวกเพื่อทําใหหนังสือ
เลมนี้มีความสมบูรณมากขึ้น ประสบการณของดิฉันบอกวา ผูอานทานใดที่สามารถเขาใจ
เนื้อหาของหนังสือเลมนี้แลว ยอมมีความกระตือรือรนอยากเรงรีบปฏิบัติสติปฏฐานสี่เพื่อให
เห็นสภาวะของผัสสะบริสุทธิ์อยางรวดเร็วที่สุด ซึ่งเปนธรรมดาของผูที่มีบุญบารมีพรอม
ภาคผนวกของหนังสือเลมนี้จึงสามารถตอบสนองความตองการของผูอานไดทันที
ดิฉันไดกลับมาอบรมธรรมที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยในเดือนมกราคม ๒๕๔๙
คุณกฤษฎาพร ชุมสาย ณ อยุธยา คุณสานุพันธุ ตันติศิริวัฒน และคุณอิสวเรศ ตโนมุท แหง
สํานักพิมพฟรีมายดไดมารวมอบรมธรรมกับดิฉันดวย มีความซาบซึ้งในคําสอนมาก เมื่อ
ทราบถึงจุดประสงคของดิฉันที่ตองการเผยแผพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาโดยผาน
แนวคิดของไอนสไตนเชนนี้แลว ทั้งสามทานจึงปวรณาที่จะชวยเหลือดิฉันอยางเต็มที่
ดิฉันจึงใครถือโอกาสนี้ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของบุคคลทั้งสาม
และทีมงามของสํานักพิมพฟรีมายดทุกทานที่เขามาเปนแขนขาชวยเหลือดิฉันในการกวาด
ตอนคนหมูมากใหออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏ ซึ่งเปนการชวยจรรโลงและสืบทอด
พระพุทธศาสนาใหยืนนานตอไปตราบนานเทานาน
ดิฉันหวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเลมนี้คงชวยใหคุณเขาใจชีวิตไดชัดเจนมากขึ้น
ดวยความเมตตา
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ กรีน
- 10. 1
บทที่หนึ่ง
ไอนสไตนถาม พระพุทธเจาตอบ
Einstein Questions, Buddha Answers
ความสําเร็จที่ยิ่งใหญอันทําใหอัลเบิรต ไอนสไตน กลายเปนอัจฉริยะบุคคลที่ถูกจารึกลง
ในประวัติศาสตรของโลกเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งรอยปกอนในป ค.ศ. 1905 เมื่อผลงานของเขาไดรับการ
ตีพิมพพรอมกันถึง ๕ ชิ้น และชิ้นหนึ่งคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพจําเพาะอันมีสมการ e = mc2 ที่สราง
คุณอยางอเนกอนันตพอ ๆ กับการสรางโทษอยางมหันต
กอนหนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ดิฉันซาบซึ้งในบุญคุณของอัลเบรต ไอนสไตน ที่ไดตั้งคําถามที่สําคัญมากที่สุดแทน
มนุษยชาติ นั่นคือ อะไรคือจุดคงที่อันเปนอนันตยะที่สมบูรณของจักรวาล What is the absolute
ruling point in nature?
ดิฉันไมไดเปนนักวิทยาศาสตรและไมคอยเขาใจรายละเอียดของทฤษฎีสัมพัทธภาพที่
ซับซอนมากนัก ซึ่งที่จริงแลวไมใชเรื่องงายที่จะเขาใจ ดังที่นักขาวมักขอรองใหไอนสไตนสรุปสั้น ๆ
เพื่อใหคนทั่วไปเขาใจไดงาย ๆ วาทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้คืออะไร ทําไมจึงสําคัญตอมนุษยชาติมาก
ไอนสไตนมักรูสึกลําบากใจเพราะนี่เปนความรูที่เขาปลุกปล้ําอยูถึง ๑๕ ป แลวจะใหมาสรุปใหคนฟง
อยางสั้น ๆ ไดอยางไร ไอนสไตนจึงเฉตอบนักขาวดวยเรื่องที่ขบขันวา
“คุณลองเอามือวางเหนือเตารอน ๆ สักหนึ่งนาทีสิ คุณจะรูสึกวามันนานเหมือนหนึ่งชั่วโมง
แตหากคุณไปนั่งอยูใกลหญิงสาวสวยสักหนึ่งชั่วโมง คุณจะรูสึกวามันนานเหมือนเพียงนาทีเดียว นั่น
แหละคือทฤษฎีสัมพัทธภาพของผมแหละ”
เรื่องการสรุปความคิดหลัก ๆ นี่แหละ เปนเรื่องสําคัญมากกวาการรูรายละเอียด เพราะเปน
เรื่องของการสรางกรอบ หรือ โครงสรางของความคิด ฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันจะสรุปอันเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎี
สัมพัทธภาพของไอนสไตนจึงเปนความรูที่ยอนกลับไปในชั่วโมงวิทยาศาสตรสมัยที่ยังเรียนชั้นมัธยม
เพราะคุณครูยอมหยิบยื่นแตความคิดหลัก ๆ ที่พูดอยางสรุปยอ ๆ เทานั้น และดิฉันยังดึงความคิด
แบบสรุปเหลานี้ออกมาจากหนังสือสารานุกรมของเยาวชนรวมทั้งการดูสารคดีตาง ๆ ดวย บวกกับ
ความรูในเรื่องพระนิพพานของพระพุทธเจา ดิฉันจึงสามารถตอยอดแจกแจงความคิดเหลานี้ออกมา
ได
ทําไมไอนสไตนจึงอยากหาจุดคงที่
เพื่อความชัดเจนมากขึ้น ขอใหเขาใจวา “จุดคงที่” กับ “จุดปกติ” มีความหมาย
เหมือนกัน ซึ่งดิฉันจะใชทดแทนกันตั้งแตบัดนี้เพื่อใหเหมาะสมกับขอเปรียบเทียบ
สิ่งที่ดิฉันใหความสนใจเปนพิเศษคือ ทําไมไอนสไตนจึงตองการหาจุดคงที่อันถาวรของ
จักรวาลตั้งแตแรกเริ่ม เพื่ออะไร สิ่งที่ดิฉันทําความเขาใจไดคือ ถาหากไอนสไสตนสามารถหาจุดปกติ
ของจักรวาลที่อยูอยางคงทนถาวร มีคาสมบูรณ ไมเปลี่ยนแปลงไดแลว เขาจะสามารถใชจุดปกตินั้น
เปนมาตรฐานการวัดสิ่งตาง ๆ ได และยอมทําใหผลของการวัดอะไรตาง ๆ คงที่ ปกติ ไดผล
เหมือนกันหมด absolute value ไมวาจะวัดจากจุดไหนของจักรวาล
อยางไรก็ตาม ไอนสไตนไมสามารถหาจุดคงที่อันถาวรของจักรวาลได เพราะวา สิ่งตาง ๆ
ที่แมดูนิ่ง ๆ บนโลก ไมเคลื่อนไหวก็ตาม แตที่จริงแลว มันไมไดอยูนิ่งจริง เพราะโลกกําลังหมุนอยู
เมื่อดูในวงกวางออกไปจากนอกโลก ก็พบวาระบบสุริยะจักรวาลก็กําลังเคลื่อนอยู แกแลกซี่ของเรา
และอื่น ๆ ก็กําลังเคลื่อนอยู ตลอดจนถึงจักรวาลทั้งหมดก็กําลังเคลื่อนไปอยางไมหยุดยั้ง จึงทําให
- 11. 2
ไอนสไตนสรุปวาไมมีจุดนิ่งหรือจุดปกติที่สามารถใหคุณคาที่เที่ยงแทถาวรอยางแทจริงในจักรวาล
เพราะทุกอยางเคลื่อนที่อยางไมหยุดยั้ง
สัมพันกับอนิจจังและนิพพาน
ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้เปรียบเหมือนกับการพบสี่แยกหลักที่สามารถเดิน
เลี้ยวตอไปไดอีกมากมายหลายทางทีเดียว ในขณะที่ไอนสไตนเลี้ยวไปสูแยกที่เนนความรูทางดาน
ฟสิกสเพียงอยางเดียวจนกอใหเกิดการสรางระเบิดนิวเคลียร พลังงานปรมณูและเทคโนโลยี่อื่น ๆ อีก
มากมายนั้น ดิฉันจะพยายามพาคุณเลี้ยวไปสูแยกอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับสุขทุกขของชีวิตของเรา
โดยตรง ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพเปนเรื่องครอบจักรวาล ครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิต
เพราะความคิดทั้งหมดเหลานี้สัมพันกับเรื่องอนิจจังและพระนิพพานของพระพุทธเจาซึ่งเปนเรื่อง
ครอบจักรวาลเชนกัน จึงเปนสิ่งที่ดิฉันพยายามจะโยงใหคุณในหนังสือเลมนี้
เมื่อไมรูจุดคงที่ของจักรวาล
เมื่อไอนสไตนสรุปวาไมมีจุดคงที่ในจักรวาล ยอมหมายความวา การวัดอะไรตาง ๆ จะตอง
สมมุติจุดคงที่ขึ้นมากอน และวัดสิ่งตาง ๆ จากจุดสมมุตินั้น ซึ่งผลที่ไดจะมีคาสัมพัทธกับจุดปกติที่ถูก
สมมุติขึ้น เพื่อใหคุณเขาใจชัดเจนมากขึ้น ดิฉันจะเรียกแทนจุดคงที่นี้วา “พรมแดนสุดทาย the final
frontier” (บทที่ ๔) เพื่อใหสอดคลองกับการยกตัวอยางที่จะวัดความใกลไกลของสถานที่
เมื่อคุณไมรูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล ก็ความหมายวาคุณไมรูขอบเขตที่เปน
พรมแดนสุดทายของจักรวาลที่สามารถใชเปนเสาหลักมาตรฐานเพื่อวัดความใกลไกลของทุกสถานที่
ในจักรวาลนั่นเอง เชน หากคุณตองการทราบวา เชียงใหมอยูไกลแคไหน คุณจะถามลอย ๆ ไมได
คุณตองกําหนดลงไปใหแนชัดกอนวาคุณตองการวัดความใกลไกลของเมืองเชียงใหมจากจุดไหน
เสียกอน จึงจะพูดกันรูเรื่อง ไมเชนนั้น เถียงกันตาย
หากคุณเอากรุงเทพเปนหลัก นั่นคือ สมมุติใหกรุงเทพเปนพรมแดนสุดทาย เชียงใหมก็จะ
อยูไกลจากกรุงเทพ ๖๐๐ กิโลเมตร หากคุณเอาสงขลาเปนหลัก เชียงใหมก็จะอยูหางจากสงขลา
๑๖๐๐ กิโลเมตร หากสมมุติใหกรุงลอนดอนเปนหลักหรือเปนพรมแดนสุดทาย เชียงใหมก็จะอยูหาง
จากลอนดอนถึง ๖๐๐๐ กิโลเมตร เปนตน ฉะนั้น คุณจะเห็นวา ๖๐๐, ๑๖๐๐, ๖๐๐๐ กิโลเมตรคือคา
สัมพัทธอันเปนผลของการสมมุติจุดนิ่งหรือจุดพรมแดนสุดทายขึ้นมาเพื่อวัดความใกลไกลของ
สถานที่ ฉะนั้น การตัดสินวาใครอยูใกลหรือไกลเชียงใหมจึงขึ้นอยูที่วา คุณอยูจุดไหน คนอยูลอนดอน
ก็ตองเห็นวาเชียงใหมไกลมาก ใครอยูสงขลาก็ยอมเห็นเชียงใหมไกลกวาคนอยูกรุงเทพ ใครอยู
ลําปางก็ยอมเห็นวาเชียงใหมอยูใกลนิดเดียว นี่คือ การพูดอยางสัมพัทธ relatively speaking อัน
เปนผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพ
เมื่อรูจุดคงที่
แตถาคุณรูจุดคงที่ จุดนิ่ง หรือจุดปกติของจักรวาล หรือ รูแนชัดวาพรมแดนสุดทายของ
จักรวาลอยูตรงไหนแลวละก็ ทีนี้ ไมวาคุณจะอยูซอก ซอย ไหนของจักรวาลก็ตาม คุณก็สามารถวัด
จากจุดที่คุณอยูและไปจรดที่เสาหลักสุดทายหรือพรมแดนสุดทาย หรือ จุดปกติของจักรวาล ทุกคน
จะสามารถทําไดเหมือนกันหมดเพราะรูเสาหลักสุดทายของจักรวาลแลว ฉะนั้น ไมวาใครจะอยู ณ จุด
ไหนของจักรวาล ก็สามารถวัดจากจุดที่ตนเองอยูและไปจรดที่เสาหลักอันเปนพรมแดนสุดทายของ
จักรวาล การวัดนั้นก็จะเปนมาตรฐานสากลของจักรวาล ไดคาคงที่เหมือนกันหมด ฉะนั้น คนอยู
กรุงเทพ เชียงใหม สงขลา ลอนดอน หากจะวัดความใกลไกล ก็ตองวัดไปที่เสาหลักสุดทายของ
จักรวาลกอน ซึ่งอาจจะไดคาตามลําดับเชนนี้คือ ๑.๕ ลานปแสง ๑.๕๒ ลานปแสง ๑.๕๔ ลานปแสง
๒ ลานปแสง เปนตน นี่เปนการสมมุติวาหากเรารูจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาล ทุกคนจะรูแนชัดวา
ใครอยูใกลหรือไกลจากจุดคงที่หรือพรมแดนสุดทายของจักรวาลมากนอยแคไหน นี่คือ การพูดอยาง
แนนอน absolutely speaking เพราะรูจุดเที่ยงแทแนนอนของจักรวาล นี่คือเหตุผลที่ไอนสไตนอยาก
- 12. 3
หาจุดคงที่ของจักรวาล เพื่อจะไดใชเปนมาตรฐานหลักของจักรวาล แตอยางที่พูดแลววา ความรูของ
ไอนสไตนเนนไปที่เรื่องฟสิกสเพียงถายเดียวเทานั้น
แตสัมพัทธภาพครอบคลุมทุกเรื่อง
การวัดน้ําหนักของวัตถุสิ่งของก็เชนกัน น้ําหนักตัวของคนบนโลกมีคาสัมพัทธกับแรงโนม
ถวงของโลก พูดใหงงเลนก็คือ ทุกครั้งที่คุณชั่งน้ําหนักตัวเอง ที่จริงแลว คุณกําลังชั่งแรงถวงของ
โลกที่กดลงบนตัวคุณ หากไปชั่งน้ําหนักบนโลกพระจันทรซึ่งมีแรงโนมถวงนอยกวาโลก น้ําหนักที่กด
ลงตัวคุณบนโลกพระจันทรจะนอยกวาแรงที่กดบนโลก จึงทําใหน้ําหนักตัวของคุณนอยกวาน้ําหนักตัว
ที่ชั่งบนโลก การจะตัดสินวาใครอวน ใครผอม สวย ขี้เหร เหลานี้ก็ขึ้นอยูที่วาเราเอาใครและอะไรเปน
มาตรฐานของการวัด เราตองสมมุติคาปกติขึ้นมากอน เชน คนแขกชอบใหผูหญิงของเขามีเนื้อมีหนัง
มีพุงยอยอันเปนสัญลักษณของความร่ํารวย ซึ่งเขาเรียกหุนเชนนี้วาสวย แตในสายตาของหญิง
ชาวตะวันตกที่ชอบหุนเพรียว ๆ นั้นจะเห็นหญิงแขกอวน ในขณะที่หญิงแขกจะเห็นหญิงชาวตะวันตก
ผอมเกินไป ความรวย ความจน ก็ขึ้นอยูกับวาเราเอาใครและอะไรเปนมาตรฐานของการวัด กรรมกรที่
หาเชากินค่ําก็จะเห็นทุกคนรวยกวาตนหมดนอกจากขอทานเทานั้น (ขอทานบางคนอาจจะรวยกวา
กรรมกรก็เปนได) คนมีเงินเก็บจํานวนแสนก็จะเห็นคนมีเงินลานรวยกวาตน สวนคนรวยที่มีทรัพยสิน
สิบลาน ก็จะเห็นคนที่มีนอยกวานั้นจนกวาตนเองหมด แตเมื่อนําตนเองไปเปรียบเทียบกับคนมี
ทรัพยสินรอยลาน พันลาน ก็ยังคิดวาตัวเองจนอยู ถาเปรียบเทียบกับคนที่มีทรัพยสินหลายหมื่นลาน
ก็คงคิดวาตนเองยังจนมากอยู เปนตน
เพราะไมรูวาอะไรคือสิ่งสมบูรณ คงที่ และปติ อันจะใชเปนมาตรฐานของการวัดสิ่งตาง ๆ
ได ทุกสิ่งทุกอยางจึงตองวัดกันอยางเปรียบเทียบ หรือ สัมพัทธกันเชนนี้ จึงกอใหเกิดคําวลี
ภาษาอังกฤษวา relatively speaking หรือ พูดอยางสัมพัทธ ซึ่งเปนวลีที่ใชกันบอยมากใน
ชีวิตประจําวัน เพราะตองพูดใหรูเรื่องกอนวาเอาอะไรเปนหลัก มิเชนนั้น เถียงกันตาย แตถาหากเรารู
จุดคงที่ของจักรวาล วิถีชีวิตของเราจะตองเปลี่ยนไปเปนอีกลักษณะหนึ่ง
ไอนสไตนกับทฤษฎีเอกภาพ
หลังจากการคนพบทฤษฎีสัมพัทธภาพแลว ไอนสไตนก็ยังไดคนพบเรื่องกลศาสตร
ควอนตัม Quantum Mechanic ซึ่งความคิดหลักของทฤษฎีนี้คือ ทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลนี้เกิดขึ้น
และมีการทํางานเหมือนการโยนลูกเตา ผลของมันยอมตั้งอยูบนพื้นฐานของความอาจจะเปนไปได
probability เทานั้น ซึ่งเปนสิ่งที่ไอนสไตนยอมรับไมได เพราะคาของความอาจจะเปนไปไดเปรียบ
เหมือนกับการยืนอยูบนทาน้ําที่โคลงเคลง เอนเอียง หากใชภาษาของชาวพุทธแลว การคนพบกล
ศาสตรควอนตัมก็คือ การคนพบเรื่องอนิจจังนั่นเอง สิ่งที่ไอนสไตนตองการนั้น เปรียบเทียบไดกับ
ความหนักแนนของพื้นดิน หรือ สิ่งหนึ่งที่ใหคาอันคงที่ ปกติ ถาวร ซึ่งเขาคิดวาคณิตศาสตรเทานั้นที่
สามารถหยิบยื่นสิ่งที่เที่ยงแท แนนอน ใหกับเขาได ฉะนั้น แมไอนสไตนเปนผูคนพบเรื่องกลศาสตร
ควอนตัมอันเปนความรูที่ไดรับการตอยอดพัฒนาไปอยางรวดเร็วจนกลายเปนหัวใจของการพัฒนา
เทคโนโลยี่ในปจจุบันก็ตาม ไอนสไตนกลับไมไดใหเยื่อใย ไมสนใจ แถมดูหมิ่นความรูที่เขาไดคนพบ
เอง หรือ ถาพูดใหมดวยภาษาของชาวพุทธวา ไอนสไตนยอมรับความเปนอนิจจังของทุกสิ่งทุกอยาง
ไมได จึงขวนขวายหาสิ่งที่เปนนิจจัง หรือ ความเที่ยงแท ถาวร
สิ่งที่รั้งไอนสไตนไวคือ ความเปนนักการศาสนาของเขา ความเชื่อในพระเจา และนิสัย
สวนตัวที่จําเปนตองรูและเขาใจสิ่งตาง ๆ อยางแนชัด ถึงแกน และสามารถแปรความเขาใจนั้น ๆ
ออกมาเปนสูตรสําเร็จทางคณิตศาสตรที่แนนอน ซึ่งคณิตศาสตรเปนวิธีการเดียวที่ไอนสไตนสามารถ
เขาใจและเขาถึงได หลังจากที่ประธานาธิบดีคนแรกของอิสราเอลเสียชีวิต ไอนสไตนไดถูกเสนอชื่อ
ใหเปนประธานาธิบดีของชาวยิวคนตอไป เพราะความเปนนักฟสิกสที่ไดรับรางวัลโนเบลและเปนผูรัก
- 13. 4
สันติภาพมาก จึงไดมีสวนชวยเหลือชาวยิวจนกอใหเกิดประเทศอิสราเอลขึ้นมาในป 1948 แต
ไอนสไตนปฏิเสธตําแหนงผูนําประเทศโดยใหเหตุผลวา
“การเมืองอยูไดเพียงชั่วครูชั่วยามเทานั้น แตสมการทางคณิตศาสตรสามารถอยูไดอยาง
ชั่วนิรันดร”
อยางไรก็ตาม ความรัก ความคลั่งไคล และบูชาในพระเจากับคณิตศาสตรไปพรอม ๆ กัน
นี่เอง ไดกลายเปนเชื้อเพลิงที่กอใหเกิดปฏิกิริยาลูกโซในหัวสมองหรือจิตใจของอัจฉริยะบุคคลผูนี้อีก
นับตั้งแตตนป 1920 เปนตนไป ไอนสไตนไดเขาสูยุคของการคิดคนหาทฤษฎีเอกภาพ The Unified
Theory หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่ง The Theory of Everything
พระเจาไมเลนลูกเตา
ไอนสไตนเชื่อมั่นเหลือเกินวา ความเถรตรงของคณิตศาสตรเทานั้นที่สามารถอธิบายและ
ใหคําตอบแกทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาลได จะสามารถรวมความรูทั้งหมดของจักรวาลเขาเปนหนึ่ง
เดียว รวมไปถึงการอธิบายวาพระเจาสรางจักรวาลนี้ไดอยางไร ดังที่ไอนสไตนพูดวา
“ขาพเจาตองการรูวาพระเจาสรางโลกนี้อยางไร ขาพเจาไมไดสนใจปรากฏการณนั้นนี้วา
มันเปนของธาตุนั้นหรือธาตุนี้ สิ่งเหลานี้เปนเพียงรายละเอียดเทานั้น ขาพเจาตองการรูความคิดของ
พระเจาตางหาก”
ทฤษฎีเอกภาพนี้จึงเปรียบเหมือนการหาสมการทางคณิตศาสตรที่สามารถอานจิตใจของพระ
เจาและงานศิลปะการสรางโลกและมนุษยของพระเจานั่นเอง ซึ่งเปนความคิดที่เต็มไปดวยความ
ทะเยอทะยานมาก ในเดือนเมษายน 1955 ไอนสไตนลมปวยและเขารับการรักษาในโรงพยาบาล
ปรินซตัน รัฐนิวเจอซี่ อันเปนเมืองที่เขาอยูในชวงบั้นปลายของชีวิต ไอนสไตนก็ยังไมลดละที่จะ
คิดคนสูตรทางคณิตศาสตรที่เขาหาอยูในชวงสามสิบปที่ผานมา เขามักมีกระดาษ ดินสอ อยูกับตัว
และขีดเขียนตัวเลข เครื่องหมาย และสมการทางคณิตศาสตรตาง ๆ อยูเสมอ ซึ่งพยาบาลคนหนึ่งที่
ดูแลเขาอยูไดหามาให จึงมีโอกาสไดเห็นพูดคุยสนทนากับไอนสไตน จึงรูวาไอนสไตนยังคงพยายาม
อานหัวสมองของพระเจาอยู พยาบาลรูสึกเห็นใจ อยากใหไอนสไตนพักผอนอยางเต็มที่ วันหนึ่ง
พยาบาลจึงพูดกับไอนสไตนอยางออนโยนและเปนหวงเปนใยวา
บางที พระเจาทานอาจจะไมอยากใหเราอานจิตใจของทานก็ไดนะ
Maybe God doesn’t want us to know his mind.
ทั้ง ๆ ที่ยังเจ็บไขไดปวยอยู ไอนสไตนพูดสวนกลับทันทีอยางดื้อรั้นพรอมกับสั่นศรีษะไปมาวา
พระเจาไมเลนลูกเตาหรอก คุณพยาบาล!
God doesn’t play dice, nurse!
ซึ่งเปนการพูดพาดพิงอยางดูหมิ่นถึงเรื่องกลศาสตรควอนตัมที่มีผล “อาจจะเปนไปได” หรือ อนิจจัง
นั่นเอง
ประวัติศาสตรจึงไดจารึกเหตุการณในชวง ๓๐ ปสุดทายของไอนสไตนในฐานะบุคคลที่
ลมเหลว จมปรักอยูในโลกของวิทยาศาสตรที่ลาหลัง โดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะภายในแวดวง
นักวิทยาศาสตรชาวฟสิกสดวยกันแลว ตางรูวาทฤษฎีเอกภาพนี้เปนเรื่องเพอฝนของไอนสไตนเทา
นั้นเอง ไมมีทางจะเปนความจริงไดเลย การแสวงหาของไอนสไตนไรผลอยางสิ้นเชิง อัจฉริยะบุคคล
ผูนี้จึงไดจากโลกนี้ไปในวันที่ ๑๘ เมษายน ๑๙๕๕ ในขณะที่ในมือยังกําแผนกระดาษที่ขีดเขียน
สมการทางคณิตศาสตรอยู โดยที่ยังไมไดพบคําตอบที่เขาตองการหาแตอยางใด
ซึ่งเปนเรื่องนาเสียดายมาก หากไอนสไตนสามารถอานความคิดของพระเจาไดแลว เขา
อาจจะสามารถตอบคําถามมากมายที่ยาวเปนหางวาวที่ขึ้นตนดวยคําวา “ทําไม” เชน ทําไมพระเจาจึง