Contenu connexe
Similaire à Power Point แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (20)
Power Point แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการจัดการความรู้
- 1. จัดทำโดย
นำงสำวจันทิมำ แสงจันทร ์ 5942040004
นำงสำววรรณดี อินทร ์จันทร ์ 5942040013
รำยวิชำ เทคโนโลยีสำหรับกำรบริหำรจัดกำรควำมรู ้ 4204-
2007
ภำคเรียนที่ 2 ปี กำรศึกษำ 2560
วิทยำลัยอำชีวศึกษำนครศรีธรรมรำช
- 3. Hideo Yamazaki จากสถาบันวิจัยโนมูระ ประเทศญี่ปุ่น ได้ทําการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ
ลักษณะของความรู้แล้วพบว่า ความรู้ มีลักษณะคล้ายกับรูปปิรามิด ลักษณะาามาาพ
ปิรามิดความรู้ของ Yamazaki จะแบ่งลักษณะความรู้ออกเป็น 4 ประเาท เรียงลําดับจากฐานปิ
รามิดไปสู่ยอดซึ่งความรู้แา่ละประเาท จะมีลักษณะแากา่างกัน แา่มีความสัมพัน์เเกี่ยวข้องกันดังนี้
- 4. 1. ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเหาุการณเ หรือสิ่งที่เกิดขึ้น
ซึ่งยังเป็นข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผลใดๆ
2. สำรสนเทศ (Information)สารสนเทศคือข้อมูลที่ผ่านการประมวลแล้ว การ
ประมวลผลเป็นวิ์ีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเป็นสารสนเทศด้วยการเพิ่มมูลค่าให้กับข้อมูลด้วยวิ์ีการา่างๆ
3. ควำมรู ้ (Knowledge) คือ สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับ
ความรู้อื่นจนเกิดความเข้าใจ สามารถนําไปใช้ประโยชนเในการสรุป าัดสินใจในสถานการณเา่างๆ ได้โดยไม่
า้องจํากัดช่วงเวลา
4. ภูมิปัญญำ (wisdom) เป็นความรู้ที่มีอยู่ในาัวคน นํามาประยุกาเใช้เพื่อแก้ปัญหาหรือ
พัฒนาการทํางานให้เกิดประโยชนเ บางครั้งเรียกว่า ปัญญา
- 6. ทฤษฎีของ Nonaka ก็คือ ความรู้นั้นจะถูกสร้างผ่านกระบวนการปฏิสัมพัน์เระหว่างความรู้แบบ
ไม่แจ้งชัด (tacit) กับความรู้แบบแจ้งชัด (explicit) โดยผ่านรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงความรู้ 4
รูปแบบ ความรู้ที่สําคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทํางาน และผู้เชี่ยวชาญในแา่ละเรื่อง
จึงา้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน
และกัน
Nonaka ได้เปรียบความรู้เหมือนกับาูเขานํ้าแข็ง โดยสามารถจําแนกความรู้ได้ออกเป็น 2
ประเาท คือ ความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) และ ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge)
ดังนี้
- 7. 1. ความรู้แจ้งชัด คือ ความรู้ที่เป็นเหาุเป็นผล หรือ ความรู้เชิงทฤษฎีที่บันทึกไว้ในสื่อา่างๆ เช่น
เอกสาร าํารา และคู่มือการปฏิบัาิงาน เป็นความรู้ที่ง่ายา่อการอ์ิบายถ่ายทอด ซึ่งทําให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึง
ความรู้นั้นได้ง่าย จึงเปรียบได้กับาูเขานํ้าแข็งส่วนที่โผล่พ้นนํ้าขึ้นมามองเห็นได้ชัดเจน มีปริมาณ 20% ของ
ความรู้ทั้งหมดของคนเรา
2. ความรู้ฝังลึก คือ ความรู้เชิงประสบการณเที่ซ่อนอยู่ในาัวคน ในลักษณะของความชํานาญ หรือ
ความเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคล หรือพรสวรรคเ ซึ่งยากแก่การอ์ิบายถ่ายทอดให้เป็น
ลายลักษณเอักษร ด้วยเหาุที่เป็นความรู้ที่ซ่อนอยู่ในาัวคน มองไม่เห็นชัดเจน จึงเปรียบได้กับาูเขานํ้าแข็ง ส่วน
ที่จมอยู่ใา้นํ้าซึ่งมองไม่เห็น มีปริมาณ 80% ของความรู้ทั้งหมดของคนเรา
- 9. โมเดลปลาทู (Tuna Model:thai-UNAids Model) คิดขึ้นโดย ดร.ประพน์เ ผาสุก
ยืด เป็นแนวทางเบื้องา้นในการจัดการความรู้ และในการทําความเข้าใจ 3 ส่วนหลักของการจัดการความรู้ว่า
สัมพัน์เกับบุคคล 3 กลุ่ม ในการดําเนินการจัดการความรู้เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งาัวที่
มี 3 ส่วน
- 10. 1. ส่วนหัวปลา (Knowledge Vision : KV) ส่วนที่เป็นเป้าหมาย คือเป้าหมาย วิสัยทัศนเ
หรือทิศทางของการจัดการความรู้ มองหาเส้นทางที่เดินทางไป แล้วคิดวิเคราะหเว่า จุดหมายอยู่ที่ไหนา้องว่าย
แบบใดไปในเส้นทางไหน และไปอย่างไร ในที่นี้เราจะเปรียบเป็น การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge
Identification) ก่อนที่เราจะทํางานอะไรซักอย่างเราา้องรู้ก่อนว่าเราา้องการอะไร จุดหมายคืออะไร
และา้องทําอย่างไรบ้าง า้องสอดคล้องกับวิสัยทัศนเขององคเกร
- 11. 2. ส่วนกลางลําาัว (Knowledge Sharing : KS) เป็นส่วนกิจกรรม คือ ส่วนลําาัวที่มี
หัวใจของปลาอยู่ทําหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนา่างๆของร่างกาย ในกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่แนบ
แน่นอยู่กับการทํางานนี้เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสาาพจิาทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับมีสาิรู้สํานึก ระดับจิาใา้สํานึก
และระดับจิาเหนือสํานึกอย่างซับซ้อน โดยที่จิาของสมาชิกทุกคนมีอิสระในการคิด การาีความาามพื้นฐาน
ของาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้อาศัยพลังความแากา่างของสมาชิก โดยมีจุดร่วมอยู่ที่การบรรลุ “หัวปลา”
ของการจัดการความรู้ และ “หัวปลา” ขององคเกร
- 12. 3. ส่วนที่เป็นหางปลา (Knowledge Assets : KA) เป็นส่วนการจดบันทึก คือ องคเ
ความรู้ที่องคเกรได้เก็บสะสมไว้เป็นคลังความรู้หรือขุมความรู้ การจัดการความรู้ในส่วนนี้เป็นส่วนที่า้องพึ่งพา
เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการจัดเก็บ จัดหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการเข้าถึง และปรับปรุงความรู้ให้ทันสมัย
อยู่เสมอ (Update) ช่วยทําหน้าที่เป็นพื้นที่เสมือน (Virtual Space) ให้คนที่อยู่ไกลกันสามารถ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Share and Learn) ได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
- 15. แบ่งออกเป็น 2 ประเาท ดังนี้
1. ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร หรือ
วิชาการ อยู่ในาํารา คู่มือปฏิบัาิงาน
2. ความรู้ซ่อนเร้น/ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในาัวคน เป็น
ประสบการณเที่สั่งสมมายาวนาน เป็นาูมิปัญญา
โดยที่ความรู้ทั้ง 2 ประเาทนี้มีวิ์ีการจัดการที่แากา่างกัน
การจัดการ “ความรู้เด่นชัด” จะเน้นไปที่การเข้าถึงแหล่งความรู้ ารวจสอบ และาีความได้ เมื่อนําไปใช้
แล้วเกิดความรู้ใหม่ ก็นํามาสรุปไว้ เพื่อใช้อ้างอิง “ความรู้ซ่อนเร้น” นั้นจะเน้นไปที่การจัดเวทีเพื่อให้มีการ
แบ่งปันความรู้ที่อยู่ในาัวผู้ปฏิบัาิ ทําให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ที่แา่ละคนสามารถนําไปใช้ในการปฏิบัาิงานได้
- 17. การจัดการความรู้ (กพร.) คือ การรวบรวมองคเความรู้ที่มีอยู่ในองคเกร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในาัว
บุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองคเกรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาานเองให้
เป็นผู้รู้รวมทั้งปฏิบัาิงานได้อย่างมีประสิท์ิาาพ
- 18. สามารถแบ่งกระบวนการจัดการความรู้ได้ 7 กระบวนการ
1. การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าจะทําอย่างไรให้องคเกรบรรลุเป้าหมาย โดยจะคัดเลือกว่าจะ
ใช้เครื่องมืออะไร และขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร โดยอาจจะพิจารณาว่าองคเกรมี
วิสัยทัศนเ พัน์กิจ ยุท์ศาสารเ เป้าหมายคืออะไร
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ ซึ่งสามารถทําได้หลายทาง เช่น การสร้างความรู้ใหม่ แสวงหา
ความรู้จากาายนอก รักษาความรู้เก่า กําจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเารียมพร้อมสําหรับการเก็บความรู้
อย่างเป็นระบบเพื่อการเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็วและถูกา้องในอนาคา
- 19. 4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น การปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาารฐาน ใช้าาษา
เดียวกัน และปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณเและเหมาะสม
5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทําให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่า้องการได้ง่ายและสะดวก โดยการใช้
พวกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ(IT) หรือการประชาสัมพัน์เบน Web boardการจัดการความรู้ใน
องคเกร
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทําได้หลายวิ์ีการซึ่งจะแบ่งได้สองกรณีได้แก่ Explicit
Knowledge อาจจะจัดทําเป็นเอกสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศา่างๆ หรือTacit Knowledge
จัดทําเป็นระบบ กิจกรรมกลุ่มคุณาาพและนวัากรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ การสับเปลี่ยนงาน การยืมาัว เป็น
า้น
7. การเรียนรู้ ควรทําให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น การเรียนรู้จากสร้างองคเความรู้ การนํา
- 21. เป็นวงจรความรู้ ที่นําเสนอโดย Ikujiro Nonaka และ Takeuchi กล่าวถึง การ
เปลี่ยนแปลงความรู้ (Knowledge conversion) ระหว่าง Tacit knowledge และ
Explicit knowledge ทําให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้น หมุนเป็นเกลียวไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ
การเรียนรู้เกิดขึ้นได้าลอดเวลา การสร้างความรู้จะเกิดขึ้นได้ 4 รูปแบบ คือ Socialization,
Externalization, Combination และ Internalization
- 22. จากโมเดล SECI ของ Nonaka และ Takeuchi ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและมุ่งเน้น
การสร้างความรู้ขององคเกรให้เาิบโาขึ้น โดยการเชื่อมโยงการสร้างองคเความรู้ทั้งในรูปแบบความรู้โดยนัย และ
ความรู้ที่ชัดแจ้ง ให้เหมาะสมกับลักษณะของกลุ่มคนในองคเกรให้มีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ มีวิ์ีการ 4
ลักษณะ ได้แก่
S = Socialization คือ การสร้างความรู้ด้วยการแบ่งปันประสบการณเโดยการพบปะสมาคม
และพูดคุยกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอดแบ่งปัน ความรู้ที่อยู่ในาัวบุคคลไปให้ผู้อื่น
E = Externalization คือ การนําความรู้ในาัวบุคคลที่ได้นํามาพูดคุยกันถ่ายทอดออกมาให้
เป็นสิ่งที่จับา้องได้หรือเป็นลายลักษณเอักษร
- 23. C = Combination คือ การผสมผสานความรู้ที่ชัดแจ้งมารวมกัน และสร้างสรรคเสิ่งใหม่ๆ
เพื่อให้สามารถนําความรู้นั้นไปใช้ในทางปฏิบัาิได้
I = Internalization คือ การนําความรู้ที่ได้มาใหม่ไปใช้ปฏิบัาิหรือลงมือทําจริง การนําไป
ปฏิบัาิจริงสามารถนํามาใช้แก้ไขปัญหา โดยการนําเอาความรู้ที่มีและความรู้ที่ได้ใหม่มาา่อยอดเพื่อช่วยกัน
หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
- 25. PeterSenge’s ได้เสนอแนวความคิดของการสร้างองคเกรแห่งการเรียนรู้ที่เรียกว่า The five
disciplines (วินัย 5 ประการ) ซึ่งเป็นแนวทางสําคัญ 5 ประการที่จะผลักดันและสนับสนุนให้เกิด
องคเกรแห่งการเรียนรู้ทฤษฎีการจัดการความรู้ของ (Peter M. Senge’s) จะมุ่งเน้นไปที่คน เพราะ
Peter Senge’s มีความคิดว่าการพัฒนาองคเกรแห่งการเรียนรู้จะาองเริ่มการพัฒนาคนก่อน
องคเกรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO) คือองคเกรที่เรียนรู้อยู่าลอดเวลา
เรียนรู้ที่ว่าทั้งองคเกรเรียนรู้ในกิจกรรมทุกอย่างเป็นองคเกรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่าลอดเวลามีความ เป็นพลวัา
อยู่าลอดเวลา
- 27. จากหลัก 5 ประการนี้เกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อาศัยพลังแห่งการเรียนรู้เป็นกลุ่ม พลัง
แห่งการมองาาพรวม มองความเชื่อมโยง มองความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัา มองอนาคา มองเชิง
บวก มองเห็นสาาพความเป็นจริง มองแบบไม่ยึดาิด ลดอัาาาหรือาัว มองที่ประโยชนเหรือความมุ่งมั่นเพื่อ
ส่วนรวมหรือคุณค่าอันยิ่งใหญ่ และอาศัยพลังแห่งทักษะของการเรียนรู้ร่วมกัน การเปลี่ยนสาาพหรือสิ่งที่ดู
เสมือนเป็นจุดอ่อนหรือปัญหาให้กลายเป็นจุดแข็ง เป็นโอกาสหรือพลังในการดําเนินงานให้ก้าวหน้าไปได้ใน
โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
Systems
Thinking
Shared Vision Team Learning
Personal Mastery Mental Models
Dialogue
- 29. Garvin ได้นําเสนอหลัก 5 ประการในการพัฒนาสู่องคเกรแห่งการเรียนรู้ ซึ่งกิจกรรมแา่ละด้าน
จะา้องใช้กรอบความคิด เครื่องมือ และแบบแผนของพฤาิกรรมที่า่างกันออกไป ดังนั้นการสร้างระบบและ
กระบวนการสนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้ขึ้นมา แล้วรวมสิ่งเหล่านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานปกาิ จะทํา
ให้องคเกรสามารถบริหารการเรียนรู้าายในได้อย่างมีประสิท์ิผลยิ่งขึ้น
- 30. 1. การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ กิจกรรมนี้สามารถใช้แนวคิดการบริหารคุณาาพ า่างๆ เช่น การคิด
วิเคราะหเปัญหาเพื่อแก้ไขาามแนวคิดของ Deming Cycle (PDCA) และการใช้เครื่องมือทางสถิาิ
ในการวิเคราะหเกระบวนการ (Statistical Process Control) เป็นา้น
2. การทดลองทําสิ่งา่างๆ ด้วยวิ์ีการ กิจกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการค้นหาและการทดสอบความรู้ใหม่ๆ
อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะา้องใช้วิ์ีที่เป็นวิทยาศาสารเเหมือนกับวิ์ีที่ใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
3. การเรียนรู้จากประสบการณเและเหาุการณเที่เกิดขึ้นในอดีา องคเกรจําเป็นา้องมีการคิดทบทวน
เกี่ยวกับ ความสําเร็จและความล้มเหลวที่ผ่านมา โดยประเมินสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ และบันทึกบทเรียนที่
ได้รับในแบบที่เปิดเผย ง่ายา่อการเข้าถึงสําหรับพนักงาน
- 31. 4. การเรียนรู้จากบุคคลอื่น การเรียนรู้ไม่ได้มาจากการคิดทบทวนและการวิเคราะหเด้วยาัวเองทั้งหมด
ในบางครั้ง ความรู้ความเข้าใจที่มีอิท์ิพลอย่างยิ่งนั้น อาจได้มาจากการมองออกไปนอกสาาพแวดล้อมที่
คุ้นเคย เพื่อให้ได้มุมมองที่แปลกใหม่ การหยิบยืมความคิดจากาายนอกมาอย่างเา็มใจ จะเข้ามาแทนที่การไม่
ยอมรับ ความคิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากาายในองคเกร โดยอาจเรียกกระบวนการนี้ว่า SISาามแนวทางพัฒนา
องคเกรของ XEROX
5. การถ่ายโอนความรู้ทั่วทั้งองคเกรได้อย่างรวดเร็วและมีประสิท์ิาาพ เพื่อไม่ให้การเรียนรู้กระจุกาัว
อยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งขององคเกรจึงา้องมีการเผยแพร่ความรู้ออกไปทั่วทั้งองคเกรอย่างรวดเร็วและมี
ประสิท์ิาาพ โดยความคิดจะส่งผลกระทบได้มากที่สุดเมื่อมีการเผยแพร่ความคิดนั้นไปในวงกว้าง แทนที่จะ
อยู่กับคนเพียงไม่กี่คน
- 33. 1. องคเการ (Organization Transformation) ระบบขององคเการา้องมีการ
วางรากฐานไว้เพื่อสร้างองคเการแห่งการเรียนรู้ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยที่เป็นองคเประกอบที่สําคัญ ได้แก่
วิสัยทัศนเ(Vision) ซึ่งเป็นเสมือนเข็มทิศนําองคเการไปยังเป้าหมายที่พึงประสงคเ
กลยุท์เ (Strategy) เป็นวิ์ีการที่จะทําให้ไปถึงยังเป้าหมายาามวิสัยทัศนเ
โครงสร้างองคเการ (Structure) เป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการทําหน้าที่ในทุกาาคส่วนอย่าง
เหมาะสม
วัฒน์รรมองคเการ (Organization Culture) ซึ่งเป็นความเชื่อหรือค่านิยมของคนใน
องคเการที่า้องเอื้อา่อการสร้างองคเการแห่งการเรียนรู้ เช่น ค่านิยมการทํางานเป็นทีมการบริหารจัดการานเอง
การมอบอํานาจ กระจายอํานาจเป็นา้น
- 34. 2. ผู้ที่เกี่ยวข้องกับองคเการ (People Empowerment) องคเการหนึ่งๆา่างมี
ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้งาายในองคเการเองเช่น ผู้บริหารา้องมีาาวะผู้นําและมีทักษะทางด้านการบริหาร เช่น
การสอนงาน การเป็นพี่เลี้ยง และที่สําคัญา้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใา้บังคับบัญชา พนักงานระดับปฏิบัาิ
า้องมีนิสัยใฝ่รู้ และพัฒนาศักยาาพของานเองอยู่เสมอ ลูกค้าที่ใช้บริการก็า้องมีการให้ข้อมูลย้อนกลับในด้าน
ของความา้องการแก่องคเการเช่นเดียวกับพัน์มิารทาง์ุรกิจ ที่า้องให้ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่ง
กันและกันอย่างจริงใจ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าผู้เกี่ยวข้องฝ่ายา่างๆ ก็มีส่วนในการสร้างองคเการแห่งการเรียนรู้ทั้งสิ้น
- 35. 3. เทคโนโลยี (Technology Application) การมีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ถือเป็นสิ่งอํานวยความสะดวกที่ช่วยให้การสร้างองคเการแห่งการเรียนรู้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยประเาท
ของเทคโนโลยีที่ช่วยในการสร้างองคเการแห่งการเรียนรู้มี 2 ประเาทคือ เทคโนโลยีสําหรับการบริหารจัดการ
ความรู้ คือการใช้เพื่อการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนความรู้แก่กัน ประเาทที่สองคือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการเพิ่มพูน
ความรู้ คือการใช้เครื่องมืออุปกรณเในการสร้างการเรียนรู้แก่ผู้เรียนได้อย่างสะดวกมากขึ้น
- 36. 4. ความรู้ (Knowledge Management) ความรู้ที่มีในองคเการจําเป็นอย่างยิ่งา้องมี
การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบทั้งนี้เพื่อนํามาใช้ให้เกิดประโยชนเสูงสุดา่อองคเการ โดยกระบวนการให้การ
จัดการความรู้ มีกระบวนการเริ่มาั้งแา่การระบุความรู้ที่จําเป็นา่อองคเการ การเสาะแสวงหาหรือสร้างความรู้
ขึ้นมาใหม่ การจัดเก็บความรู้ การแบ่งบันความรู้ และการนําความรู้ไปประยุกาเใช้ในการทํางาน ซึ่งแนวคิดนี้
เองคงเป็นการสร้างความกระจ่างถึงความสัมพัน์เระหว่างองคเการแห่งการเรียนรู้ กับการจัดการความรู้
เพราะว่าในแนวคิดของ Michael J.Marquardt ถือว่าการจัดการความรู้เป็นระบบย่อยระบบหนึ่งที่
มีความสําคัญในการสร้างองคเการแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นนั่นเอง
- 37. 5. การเรียนรู้(Learning Dynmics) การเรียนรู้ถือเป็นระบบหลักที่เป็นแกนสําคัญของการ
สร้างองคเการแห่งการเรียนรู้ซึ่งสามารถจําแนก การเรียนรู้ได้ 3-ระดับคือ-ระดับบุคคล-ระดับกลุ่ม-และระดับ
องคเการ ซึ่งในแา่ละระดับของการเรียนรู้ นั้นา้องเริ่มที่ทักษะของาัวบุคลากรแา่ละคนซึ่งา้องมี 5-ประการเพื่อ
สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิท์ิาาพ ได้แก่
ความคิดเชิงระบบ(Systematic Thinking)
การมีาัวแบบทางความคิด (Mental Model)
ความเชี่ยวชาญรอบรู้ (Personal Mastery)
การเรียนรู้ด้วยานเอง (Self-directed learning)
การสนทนาสื่อสารกัน (Dialogue)