SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  24
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
OSI Reference Model 7 Layers
- 2OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
ISO (International Standards Organization) เป็นหน่วยงาน
ที่มีหน้าที่พัฒนา มาตรฐานสาหรับ การสื่อสารข้อมูล ในประเทศ และระหว่าง
ประเทศ ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ISO ได้พัฒนาแบบจาลอง OSI (Open
Systems Interconnection ) ขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐาน สาหรับการออกแบบ
อุปกรณ์ ของผู้ผลิตเพื่อที่อุปกรณ์ จากต่างผู้ผลิต สามารถสื่อสารกันได้
แบบจาลอง OSI ประกอบด้วย 7 เลเยอร์ (layer) อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อ
อุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกันสนทนากัน Layer ทั้ง 7 จะสนับสนุนในส่วนฮาร์ดแวร์
และซอฟท์แวร์ รวมทั้งการติดต่อถึงกัน ของทั้งสองข้าง ที่ต้องการสื่อสารเข้า
ด้วยกัน คือ ด้านส่ง และด้านรับ
OSI Reference Model 7 Layers
ความรู้เกี่ยวกับ OSI Model
- 3OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
จึงได้เกิดหน่วยงานกาหนดมาตรฐานสากลขึ้นคือ International
Standards Organization ขึ้นและทาการกาหนดโครงสร้างทั้งหมดที่จาเป็นต้องใช้ใน
การสื่อสารข้อมูลและเป็นระบบเปิด เพื่อให้ผู้ผลิตต่างๆสามารถแยกผลิตในส่วนที่ตัวเอง
ถนัดแต่สามารถนาไปใช้ร่วมกันได้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัยใหม่จะถูกออกแบบให้
มีโครงสร้างทีแน่นอน และเพื่อเป็นการลดความซับซ้อน ระบบเครือข่ายส่วนมากจึงแยก
การทางานออกเป็นชั้นๆ (layer) โดยกาหนดหน้าที่ในแต่ละชั้นไว้อย่างชัดเจน
แบบจาลองสาหรับอ้างอิงแบบ OSI (Open System Interconnection Reference
Model) หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า OSI Reference Model ของ ISO เป็นแบบจาลอง
ที่ถูกเสนอและพัฒนาโดยองค์กร International Standard Organization (ISO) โดยจะ
บรรยายถึงโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายในอุดมคติซึ่งระบบเครือข่ายที่เป็นไป
ตามสถาปัตยกรรมนี้จะเป็นระบบเครือข่ายแบบเปิดและอุปกรณ์ทางเครือข่ายจะสามารถ
ติดต่อกันได้โดยไม่ขึ้นกับว่าเป็นอุปกรณ์ของผู้ขายรายใด
OSI Reference Model 7 Layers
ความรู้เกี่ยวกับ OSI Model (ต่อ)
- 4OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
แบบจาลอง OSI จะแบ่งการทางานของระบบเครือข่ายออกเป็น 7 ชั้น คือ
OSI Reference Model 7 Layers
แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model
แสดงแบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model
- 5OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
แต่ละชั้นของแบบการสื่อสารข้อมูลเรียกว่า Layer ประกอบด้วย
Layer ย่อยๆทั้งหมด7 Layerแต่ละชั้นทาหน้าที่รับส่งข้อมูลกับชั้นที่อยู่ติด
กับตัวเองเท่านั้นจะไม่ติดต่อกระโดดข้ามไปยังชั้นอื่นๆเช่น Layer 6จะติดต่อ
กับ Layer5 และ Layer7 เท่านั้นและการส่งข้อมูลจะทาไล่จาก Layer7 ลง
มาจนถึง Layer1 ซึ่งเป็นชั้นที่มีการเชื่อมต่อทางกายภาพ จากนั้นข้อมูลจะ
ถูกส่งไปยังเครื่องผู้รับปลายทางโดยเริ่มจาก Layer1 ข้อมูลก็จะถูกถอดรหัส
และส่งขึ้นไปตาม Layer จนถึง Layer7 ก็จะประกอบกลับมาเป็นข้อมูล
นาไปส่งให้ application นาไปใช้แสดงผลต่อไป OSI Model ได้แบ่ง ตาม
ลักษณะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- Application-oriented Layers
- Network-dependent Layers
OSI Reference Model 7 Layers
แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model (ต่อ)
- 6OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
- Application-oriented Layers เป็น 4 Layer ด้านบนคือ
Layer ที่ 7,6,5,4 ทาหน้าที่เชื่อมต่อรับส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรม
ประยุกต์ เพื่อให้รับส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ที่อยู่ชั้นล่างได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะ
เกี่ยวข้องกับซอฟแวร์เป็นหลัก
- Network-dependent Layers เป็น 3 Layers ด้านล่าง ทา
หน้าที่เกี่ยวกับการรับส่งข้อมูลผ่านสายส่ง และควบคุมการรับส่งข้อมูล
ตรวจสอบข้อผิดพลาด รวมทั้งเลื่อนเส้นทางที่ใช้ในการรับส่ง ซึ่งจะเกี่ยวข้อง
กับฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ทาให้ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างบริษัทกันได้อย่างไม่มีปัญหา
OSI Reference Model 7 Layers
แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model (ต่อ)
- 7OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
OSI Reference Model 7 Layers
แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model (ต่อ)
แสดงการแบ่ง OSI Model ตามลักษณะกลุ่ม
- 8OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
เมื่อ computer A ต้องการส่งข้อมูลไปยัง computer B จะมี
กระบวนการทางานต่างๆ ตามลาดับดังนี้
ข้อมูลจาก Layer 7,6,5 จะถูกนามาหั่นเป็นท่อนๆ แล้วใส่ข้อมูล
บางอย่างต่อเพิ่มเข้าไปในส่วนหัว เรียกว่า Header เพื่อใช้ในการบันทึก
ข้อมูลที่จาเป็น เช่น หมายเลข port ต้นทางและหมายเลข port ปลายทาง
กลายมาเป็นก้อนข้อมูล (Segment) ใน Layer4 ซึ่งเรียกว่า TCP Segment
จากนั้นข้อมูล Layer4 จะถูกส่งผ่านลงไปยัง Layer3 และจะถูกใส่
Header อีกซึ่งเป็นการเพิ่ม header เป็นชั้นๆ เรียกว่า การ Encapsulate
ซึ่งในส่วนนี้จะเหมือนกับการเอาเอกสารใส่ซองจดหมายแล้วจ่าหน้าซองระบุ
ผู้ส่งและผู้รับ คือเป็นการบันทึกหมายเลข ip address ของโฮสต์ต้นทางและ
โฮสต์ปลายทางไว้ด้วย
OSI Reference Model 7 Layers
การส่งผ่านข้อมูลระหว่างชั้น
- 9OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
เมื่อการ encapsulate เสร็จสิ้นจะได้ก้อนข้อมูลที่เรียกว่า packetจากนั้น
packet ของข้อมูลจะถูกส่งผ่านไปยังระดับล่างอีก คือส่งไปให้ Layer2 ใน
ชั้นนี้ข้อมูลจะถูกใส่ header เพิ่มเข้าไปที่ส่วนหัวเพื่อเก็บ MAC Address
ของต้นทางและปลายทาง และยังมีการใส่ข้อมูล่ต่อเพิ่มเข้าไปในส่วนหาง
ด้วย ข้อมูลที่ต่อเพิ่มไปในส่วนหางนี้เรียกว่า Trailer จึงรวมกันกลายเป็น
ก้อนข้อมูลของ Layer2 ที่เรียกว่า Frame จากนั้น Frame ข้อมูลจะถูก
แปลงให้กลายเป็น bit ของข้อมูลเพื่อส่งไปตามสื่อเข่นสาย UTP, Fiber
ต่อไป การส่งสัญญาณทางไฟฟ้าไปตามสื่อต่างๆนี้ เป็นการทางานในระดับ
Layer1 เรียกว่า Physical Layer
OSI Reference Model 7 Layers
การส่งผ่านข้อมูลระหว่างชั้น (ต่อ)
- 10OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
OSI Reference Model 7 Layers
การส่งผ่านข้อมูลระหว่างชั้น (ต่อ)
แสดงการส่งข้อมูลผ่านระหว่างชั้น
- 11OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer7 Application Layer เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการ
รับส่งข้อมูล ทาหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคาสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้
คอมพิวเตอร์แปลความหมาย และทางานตามคาสั่งที่ได้รับในระดับ
โปรแกรมประยุกต์ เช่นแปลความหมายของการกดปุ่มเมาส์ให้เป็นคาสั่งใน
การก็อปปี้ไฟล์ หรือดึงข้อมูลมาแสดงผลบนหน้าจอเป็น Browser,
HTTP,FTP, Telnet, WWW, SMTP, SNMP,NFS เป็นต้น
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer
- 12OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer6 Presentation Layer เป็นชั้นที่ทาหน้าที่ตกลงกับ
คอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งในชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรม
ประยุกต์จะมีขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร จุดประสงค์หลักของ Layer นี้คือ
กาหนดรูปแบบของการสื่อสาร อย่างเช่น ASCII Text, EBCDIC, Binary
และ JPEG รวมถึงการเข้ารหัส (Encription)ก็รวมอยู่ใน Layer นี้ด้วย
ตัวอย่างเช่น โปรแกรม FTP ต้องการรับส่งโอนย้ายไฟล์กับเครื่อง server
ปลายทาง โปรโตคอล FTP จะอนุญาตให้ผู้ใช้ระบุรูปแบบของข้อมูลที่
โอนย้ายกันได้ว่าเป็นแบบ ASCII text หรือแบบ binary JPEG, ASCII,
Binary, EBCDICTIFF, GIF, MPEG, Encription เป็นต้น
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 13OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer5 Session Layer เป็น Layer ที่ควบคุมการสื่อสารจากต้น
ทางไปยังปลายทางแบบ End to End และคอยควบคุมช่องทางการสื่อสาร
ในกรณีที่มีหลายๆโปรเซสต้องการรับส่งข้อมูลพร้อมๆกันบนเครื่องเดียวกัน
(ทางานคล้ายๆเป็นหน้าต่างคอยสลับเปิดให้ข้อมูลเข้าออกตามหมายเลขช่อง
(port)ที่กาหนด) และยังให้อินเตอร์เฟซสาหรับ Application Layer
ด้านบนในการควบคุมขั้นตอนการทางานของ protocol ในระดับ
transport/network เช่น socket ของ unix หรือ windows socket ใน
windows ซึ่งได้ให้ Application Programming Interface (API) แก่
ผู้พัฒนาซอฟแวร์ในระดับบนสาหรับการเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการ
ทางานของ protocol TCP/IP ในระดับล่าง และทาหน้าที่ควบคุม "จังหวะ"
ในการรับส่งข้อมูล ของทั้ง 2ด้านให้มีความสอดคล้องกัน (syncronization)
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 14OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
และกาหนดวิธีที่ใช้รับส่งข้อมูล เช่นอาจจะเป็นในลักษณะสลับกันส่ง
(Half Duplex) หรือรับส่งไปพร้อมกันทั้ง2ด้าน (Full Duplex) ข้อมูล
ที่รับส่งกันใน Layer5 นี้จะอยู่ในรูปของ dialog หรือประโยคข้อมูลที่
สนทนาโต้ตอบกันระหว่างต้านรับและด้านที่ส่งข้อมูล ไม่ได้มองเป็นคาสั่ง
อย่างใน Layer6 เช่นเมื่อผู้รับได้รับข้อมูลส่วนแรกจากผู้ส่ง ก็จะตอบกลับไป
ให้ผู้ส่งรู้ว่าได้รับข้อมูลส่วนแรกเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะรับข้อมูลส่วน
ต่อไป คล้ายกับเป็นการสนทนาตอบโต้กันระหว่างผู้รับกับผู้ส่งนั่นเอง
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ RPC, SQL, Netbios, Windows
socket, NFS เป็นต้น
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 15OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer4 Transport Layer เป็น Layer ที่มีหน้าที่หลักในการแบ่ง
ข้อมูลใน Layer บนให้พอเหมาะกับการจัดส่งไปใน Layer ล่าง ซึ่งการแบ่ง
ข้อมูลนี้เรียกว่า Segmentation ทาหน้าที่ประกอบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้
รับมาจาก Layer ล่าง และให้บริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเมื่อเกิด
ข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการส่ง(error recovery) ทาหน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้
ถูกส่งไปถึงยังเครื่องปลายทางและได้รับข้อมูลถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หน่วย
ของข้อมูลที่ถูกแบ่งแล้วนี้เรียกว่า Segment ตัวอย่างของ protocol ในชั้น
นี้คือ TCP,UDP,SPX
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 16OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer3 Network Layer เป็น Layer ที่มีหน้าที่หลักในการส่ง
packet จากเครื่องต้นทางให้ไปถึงปลายทางด้วยความพยายามที่ดีที่สุด
(best effort delivery) layer นี้จะกาหนดให้มีการตั้ง logical address
ขึ้นมาเพื่อใช้ระบุตัวตน ตัวอย่างของ protocol นี้เช่น IP และ logical
address ที่ใช้คือหมายเลข IP นั่นเอง layer นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์
ฮาร์ดแวร์ซึ่งที่ทางานอยู่บน Layer นี้คือ router นั่นเอง protocol ที่ทางาน
ใน layer นี้จะไม่ทราบว่าpacketจริงๆแล้วไปถึงเครื่องปลายทางหรือไม่
หน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้ไปถึงปลายทางจริงๆแล้วคือหน้าที่ของ Transport
Layer นั่นเอง หน่วยของ layer นี้คือ packet ตัวอย่างของ protocol
ในชั้นนี้คือ IP, IPX, Apple talk
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 17OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer2 Data Link Layer รับผิดชอบในการส่งข้อมูลบน network
แต่ละประเภทเช่น Ethernet, Token ring, FDDI, หรือบน WAN ต่างๆ ดูแล
เรื่องการห่อหุ้มข้อมูลจาก layer บนเช่น packet IP ไว้ภายใน Frame และส่ง
จากต้นทางไปยังอุปกรณ์ตัวถัดไป layer นี้จะเข้าใจถึงกลไกและอัลกอริทึ่ม
รวมทั้ง format จอง frame ที่ต้องใช้ใน network ประเภทต่างๆเป็นอย่างดี ใน
networkแบบEthernet layer นี้จะมีการระบุหมายเลข address ของเครื่อง/
อุปกรณ์ต้นทางกับเครื่อง/อุปกรณ์ปลาทางด้วย hardware address ที่เรียกว่า
MAC Address เป็น address ที่ฝังมากับอุปกรณ์นั้นเลยไม่สามารถเปลี่ยนเอง
ได้ MAC Address เป็นตัวเลขขนาด 6 byte, 3 byte แรกจะได้รับการจัดสรร
โดยองค์กรกลาง IEEE ให้กับผู้ผลิตแต่ละราย ส่วนตัวเลข 3 byte หลังทางผู้ผลิต
จะเป็นผู้กาหนดเอง หน่วยของ layer นี้คือ Frame ตัวอย่างของ protocol ใน
ชั้นนี้คือ Ethernet, Token Ring, IEEE 802.3/202.2,Frame Relay, FDDI,
HDLC, ATM เป็นต้น
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 18OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
Layer1 Physical Layer เป็นการกล่าวถึงข้อกาหนดมาตรฐาน
คุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้ง2
ระบบ สัญญาณทางไฟฟ้าและการเชื่อมต่อต่างๆของสายเคเบิล,Connector
ต่างๆ เช่นสายที่ใช้รับส่งข้อมูลเป็นแบบไหน ข้อต่อหรือปลั๊กที่ใช้มีมาตรฐาน
อย่างไร ใช้ไฟกี่โวลต์ ความเร็วในการรับส่งเป็นเท่าไร สัญญาณที่ใช้รับส่ง
ข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร Layer1 นี้จะมองเห็นข้อมูลเป็นการรับ-ส่งที่ละ
bit เรียงต่อกันไปโดยไม่มีการพิจารณาเรื่องความหมายของข้อมูลเลย การ
รับส่งจะเป็นในรูป 0 หรือ 1 หากการรับส่งข้อมูลมีปัญหาเนื่องจากฮาร์ดแวร์
เช่นสายขาดก็จะเป็นหน้าที่ของ Layer1 นี้ที่จะตรวจสอบและแจ้ง
ข้อผิดพลาดนั้นให้ชั้นอื่นๆที่อยู่เหนือขึ้นไปทราบ หน่วยของ layer นี้คือ bits
ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ CAT5, CAT6, RJ-45, EIA/TIA-232,
V.35cable เป็นต้น
OSI Reference Model 7 Layers
หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
- 19OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
ICMP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการตรวจสอบและรายงานสถานภาพ
ของดาต้าแกรม (Datagram) ในกรณีที่เกิดปัญหากับดาต้าแกรม เช่น เรา
เตอร์ไม่สามารถส่งดาต้าแกรมไปถึงปลายทางได้ ICMP จะถูกส่งออกไปยัง
โฮสต้นทางเพื่อรายงานข้อผิดพลาด ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่มีอะไร
รับประกันได้ว่า ICMP Message ที่ส่งไปจะถึงผู้รับจริงหรือไม่ หากมีการส่ง
ดาต้าแกรมออกไปแล้วไม่มี ICMP Message ฟ้อง Error กลับมา ก็แปล
ความหมายได้สองกรณีคือ ข้อมูลถูกส่งไปถึงปลายทางอย่างเรียบร้อย หรือ
อาจจะมีปัญหา ในการสื่อสารทั้งการส่งดาต้าแกรม และ ICMP Message ที่
ส่งกลับมาก็มีปัญหาระว่างทางก็ได้ ICMP จึงเป็นโปรโตคอลที่ไม่มีความ
น่าเชื่อถือ (unreliable) ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของ โปรโตคอลในระดับสูงกว่า
Network Layer ในการจัดการให้การสื่อสารนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือ
OSI Reference Model 7 Layers
ICMP (Internet Control Message Protocol)
- 20OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
ในส่วนของ ICMP Message จะประกอบด้วย Type ขนาด 8 บิต
Checksum ขนาด 16 บิต และส่วนของ Content ซึ่งจะมีขนาดแตกต่าง
กันไปตาม Type และ Code ดังรูป
OSI Reference Model 7 Layers
ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
แสดงโปรโตคคอล ICMP
- 21OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
1. แบ่งเป็นโพรโตคอล 2 ชนิดตามลักษณะ ลักษณะแรกเรียกว่า
Transmission Control Protocol (TCP) เป็นแบบที่มีการกาหนดช่วงการ
สื่อสารตลอดระยะเวลาการสื่อสาร (connection-oriented) ซึ่งจะยอมให้มี
การส่งข้อมูลเป็นแบบ Byte stream ที่ไว้ใจได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ข้อมูลที่
มีปริมาณมากจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า message ซึ่งจะถูก
ส่งไปยังผู้รับผ่านทางชั้นสื่อสารของอินเทอร์เน็ต ทางฝ่ายผู้รับจะนา
message มาเรียงต่อกันตามลาดับเป็นข้อมูลตัวเดิม TCP ยังมี
ความสามารถในการควบคุมการไหลของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ส่ง ส่ง
ข้อมูลเร็วเกินกว่าที่ผู้รับจะทางานได้ทันอีกด้วย
OSI Reference Model 7 Layers
ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
- 22OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
2. โปรโตคอลการนาส่งข้อมูลแบบที่สองเรียกว่า UDP (User
Datagram Protocol) เป็นการติดต่อแบบไม่ต่อเนื่อง (connectionless)
มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่ง จึง
ถือได้ว่าไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มี
ข้อดีในด้านความรวดเร็วในการส่งข้อมูล จึงนิยมใช้ในระบบผู้ให้และ
ผู้ใช้บริการ (client/server system) ซึ่งมีการสื่อสารแบบ ถาม/ตอบ
(request/reply) นอกจากนั้นยังใช้ในการส่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหว
หรือ การส่งเสียง (voice) ทางอินเทอร์เน็ต a.UDP:(User Datagram
Protocol) เป็นโปรโตคอลที่อยู่ใน Transport Layer เมื่อเทียบกับโมเดล
OSI โดยการส่งข้อมูลของ UDP นั้นจะเป็นการส่งครั้งละ 1 ชุดข้อมูล
เรียกว่า UDP datagram ซึ่งจะไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างดาต้าแกรมและ
จะไม่มีกลไกการตรวจสอบความสาเร็จในการรับส่งข้อมูล
OSI Reference Model 7 Layers
ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
- 23OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
3. กลไกการตรวจสอบโดย checksum ของ UDP นั้นเพื่อเป็น
การป้องกันข้อมูลที่อาจจะถูกแก้ไข หรือมีความผิดพลาดระหว่างการส่ง
และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ปลายทางจะได้รู้ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่
มันจะเป็นการตรวจสอบเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น โดยในข้อกาหนดของ UDP
หากพบว่า Checksum Error ก็ให้ผู้รับปลายทางทาการทิ้งข้อมูลนั้น แต่จะ
ไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่งแต่อย่างใด การรับส่งข้อมูลแต่ละครั้งหากเกิด
ข้อผิดพลาดในระดับ IP เช่น ส่งไม่ถึง, หมดเวลา ผู้ส่งจะได้รับ
Error Message จากระดับ IP เป็น ICMP Error Message แต่เมื่อข้อมูลส่ง
ถึงปลายทางถูกต้อง แต่เกิดข้อผิดพลาดในส่วนของ UDP เอง จะไม่มีการ
ยืนยัน หรือแจ้งให้ผู้ส่งทราบแต่อย่างใด
OSI Reference Model 7 Layers
ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
- 24OSI Reference Model 7 Layers
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
www.sru.ac.th
1.นายอวิรุจน์ ทองด้วง รหัสนักศึกษา 5604063001065
2.นายวัชรพงษ์ เจริญผล รหัสนักศึกษา 5604063001067
3.นายณัฐพล ดุลยกุล รหัสนักศึกษา 5604063001089
4.นางสาวชลธิชา ไชยพลบาล รหัสนักศึกษา 5604063001094
5.นายศักรินทร์ มยาเศรษฐ รหัสนักศึกษา 5604063001122
6.นายสุทธิรักษ์ ไสยรินทร์ รหัสนักศึกษา 5604063001124
7.นางสาวกรกนก ลิ้มเจษฎาพงษ์ รหัสนักศึกษา 5604063001128
OSI Reference Model 7 Layers
สมาชิก
กลุ่มเรียน 56049.041

Contenu connexe

Similaire à OSI Reference Model 7 Layers

แบบอ้างอิง Osi
แบบอ้างอิง Osiแบบอ้างอิง Osi
แบบอ้างอิง Osi
Pituk Sense
 
กิจกรรมที่ 5ข้อ 2
กิจกรรมที่ 5ข้อ 2กิจกรรมที่ 5ข้อ 2
กิจกรรมที่ 5ข้อ 2
Naphatsorn Keadmongkol
 

Similaire à OSI Reference Model 7 Layers (20)

Osi
OsiOsi
Osi
 
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)
 
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5(4.2)
 
แบบอ้างอิง Osi
แบบอ้างอิง Osiแบบอ้างอิง Osi
แบบอ้างอิง Osi
 
Chapter5.2
Chapter5.2Chapter5.2
Chapter5.2
 
หน่วยที่3 มาตรฐานการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
หน่วยที่3 มาตรฐานการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหน่วยที่3 มาตรฐานการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
หน่วยที่3 มาตรฐานการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
 
Presentation2
Presentation2Presentation2
Presentation2
 
Computer
ComputerComputer
Computer
 
Mission1
Mission1Mission1
Mission1
 
Mission4.2
Mission4.2Mission4.2
Mission4.2
 
Mission1
Mission1Mission1
Mission1
 
OSI Model
OSI ModelOSI Model
OSI Model
 
กิจกรรมที่ 5ข้อ 2
กิจกรรมที่ 5ข้อ 2กิจกรรมที่ 5ข้อ 2
กิจกรรมที่ 5ข้อ 2
 
Osi reference mode
Osi  reference modeOsi  reference mode
Osi reference mode
 
Osi reference mode
Osi  reference modeOsi  reference mode
Osi reference mode
 
1
11
1
 
Chapter5
Chapter5Chapter5
Chapter5
 
4.2
4.24.2
4.2
 
Osi (open systems interconnect) model
Osi (open systems interconnect) modelOsi (open systems interconnect) model
Osi (open systems interconnect) model
 
Osi (open systems interconnect) model
Osi (open systems interconnect) modelOsi (open systems interconnect) model
Osi (open systems interconnect) model
 

OSI Reference Model 7 Layers

  • 2. - 2OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th ISO (International Standards Organization) เป็นหน่วยงาน ที่มีหน้าที่พัฒนา มาตรฐานสาหรับ การสื่อสารข้อมูล ในประเทศ และระหว่าง ประเทศ ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ISO ได้พัฒนาแบบจาลอง OSI (Open Systems Interconnection ) ขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐาน สาหรับการออกแบบ อุปกรณ์ ของผู้ผลิตเพื่อที่อุปกรณ์ จากต่างผู้ผลิต สามารถสื่อสารกันได้ แบบจาลอง OSI ประกอบด้วย 7 เลเยอร์ (layer) อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อ อุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกันสนทนากัน Layer ทั้ง 7 จะสนับสนุนในส่วนฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ รวมทั้งการติดต่อถึงกัน ของทั้งสองข้าง ที่ต้องการสื่อสารเข้า ด้วยกัน คือ ด้านส่ง และด้านรับ OSI Reference Model 7 Layers ความรู้เกี่ยวกับ OSI Model
  • 3. - 3OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th จึงได้เกิดหน่วยงานกาหนดมาตรฐานสากลขึ้นคือ International Standards Organization ขึ้นและทาการกาหนดโครงสร้างทั้งหมดที่จาเป็นต้องใช้ใน การสื่อสารข้อมูลและเป็นระบบเปิด เพื่อให้ผู้ผลิตต่างๆสามารถแยกผลิตในส่วนที่ตัวเอง ถนัดแต่สามารถนาไปใช้ร่วมกันได้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัยใหม่จะถูกออกแบบให้ มีโครงสร้างทีแน่นอน และเพื่อเป็นการลดความซับซ้อน ระบบเครือข่ายส่วนมากจึงแยก การทางานออกเป็นชั้นๆ (layer) โดยกาหนดหน้าที่ในแต่ละชั้นไว้อย่างชัดเจน แบบจาลองสาหรับอ้างอิงแบบ OSI (Open System Interconnection Reference Model) หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า OSI Reference Model ของ ISO เป็นแบบจาลอง ที่ถูกเสนอและพัฒนาโดยองค์กร International Standard Organization (ISO) โดยจะ บรรยายถึงโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายในอุดมคติซึ่งระบบเครือข่ายที่เป็นไป ตามสถาปัตยกรรมนี้จะเป็นระบบเครือข่ายแบบเปิดและอุปกรณ์ทางเครือข่ายจะสามารถ ติดต่อกันได้โดยไม่ขึ้นกับว่าเป็นอุปกรณ์ของผู้ขายรายใด OSI Reference Model 7 Layers ความรู้เกี่ยวกับ OSI Model (ต่อ)
  • 4. - 4OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th แบบจาลอง OSI จะแบ่งการทางานของระบบเครือข่ายออกเป็น 7 ชั้น คือ OSI Reference Model 7 Layers แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model แสดงแบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model
  • 5. - 5OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th แต่ละชั้นของแบบการสื่อสารข้อมูลเรียกว่า Layer ประกอบด้วย Layer ย่อยๆทั้งหมด7 Layerแต่ละชั้นทาหน้าที่รับส่งข้อมูลกับชั้นที่อยู่ติด กับตัวเองเท่านั้นจะไม่ติดต่อกระโดดข้ามไปยังชั้นอื่นๆเช่น Layer 6จะติดต่อ กับ Layer5 และ Layer7 เท่านั้นและการส่งข้อมูลจะทาไล่จาก Layer7 ลง มาจนถึง Layer1 ซึ่งเป็นชั้นที่มีการเชื่อมต่อทางกายภาพ จากนั้นข้อมูลจะ ถูกส่งไปยังเครื่องผู้รับปลายทางโดยเริ่มจาก Layer1 ข้อมูลก็จะถูกถอดรหัส และส่งขึ้นไปตาม Layer จนถึง Layer7 ก็จะประกอบกลับมาเป็นข้อมูล นาไปส่งให้ application นาไปใช้แสดงผลต่อไป OSI Model ได้แบ่ง ตาม ลักษณะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ - Application-oriented Layers - Network-dependent Layers OSI Reference Model 7 Layers แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model (ต่อ)
  • 6. - 6OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th - Application-oriented Layers เป็น 4 Layer ด้านบนคือ Layer ที่ 7,6,5,4 ทาหน้าที่เชื่อมต่อรับส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรม ประยุกต์ เพื่อให้รับส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ที่อยู่ชั้นล่างได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะ เกี่ยวข้องกับซอฟแวร์เป็นหลัก - Network-dependent Layers เป็น 3 Layers ด้านล่าง ทา หน้าที่เกี่ยวกับการรับส่งข้อมูลผ่านสายส่ง และควบคุมการรับส่งข้อมูล ตรวจสอบข้อผิดพลาด รวมทั้งเลื่อนเส้นทางที่ใช้ในการรับส่ง ซึ่งจะเกี่ยวข้อง กับฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ทาให้ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างบริษัทกันได้อย่างไม่มีปัญหา OSI Reference Model 7 Layers แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model (ต่อ)
  • 7. - 7OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th OSI Reference Model 7 Layers แบบจาลอง OSI 7 Layer Reference Model (ต่อ) แสดงการแบ่ง OSI Model ตามลักษณะกลุ่ม
  • 8. - 8OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th เมื่อ computer A ต้องการส่งข้อมูลไปยัง computer B จะมี กระบวนการทางานต่างๆ ตามลาดับดังนี้ ข้อมูลจาก Layer 7,6,5 จะถูกนามาหั่นเป็นท่อนๆ แล้วใส่ข้อมูล บางอย่างต่อเพิ่มเข้าไปในส่วนหัว เรียกว่า Header เพื่อใช้ในการบันทึก ข้อมูลที่จาเป็น เช่น หมายเลข port ต้นทางและหมายเลข port ปลายทาง กลายมาเป็นก้อนข้อมูล (Segment) ใน Layer4 ซึ่งเรียกว่า TCP Segment จากนั้นข้อมูล Layer4 จะถูกส่งผ่านลงไปยัง Layer3 และจะถูกใส่ Header อีกซึ่งเป็นการเพิ่ม header เป็นชั้นๆ เรียกว่า การ Encapsulate ซึ่งในส่วนนี้จะเหมือนกับการเอาเอกสารใส่ซองจดหมายแล้วจ่าหน้าซองระบุ ผู้ส่งและผู้รับ คือเป็นการบันทึกหมายเลข ip address ของโฮสต์ต้นทางและ โฮสต์ปลายทางไว้ด้วย OSI Reference Model 7 Layers การส่งผ่านข้อมูลระหว่างชั้น
  • 9. - 9OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th เมื่อการ encapsulate เสร็จสิ้นจะได้ก้อนข้อมูลที่เรียกว่า packetจากนั้น packet ของข้อมูลจะถูกส่งผ่านไปยังระดับล่างอีก คือส่งไปให้ Layer2 ใน ชั้นนี้ข้อมูลจะถูกใส่ header เพิ่มเข้าไปที่ส่วนหัวเพื่อเก็บ MAC Address ของต้นทางและปลายทาง และยังมีการใส่ข้อมูล่ต่อเพิ่มเข้าไปในส่วนหาง ด้วย ข้อมูลที่ต่อเพิ่มไปในส่วนหางนี้เรียกว่า Trailer จึงรวมกันกลายเป็น ก้อนข้อมูลของ Layer2 ที่เรียกว่า Frame จากนั้น Frame ข้อมูลจะถูก แปลงให้กลายเป็น bit ของข้อมูลเพื่อส่งไปตามสื่อเข่นสาย UTP, Fiber ต่อไป การส่งสัญญาณทางไฟฟ้าไปตามสื่อต่างๆนี้ เป็นการทางานในระดับ Layer1 เรียกว่า Physical Layer OSI Reference Model 7 Layers การส่งผ่านข้อมูลระหว่างชั้น (ต่อ)
  • 10. - 10OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th OSI Reference Model 7 Layers การส่งผ่านข้อมูลระหว่างชั้น (ต่อ) แสดงการส่งข้อมูลผ่านระหว่างชั้น
  • 11. - 11OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer7 Application Layer เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการ รับส่งข้อมูล ทาหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคาสั่งต่างๆจากผู้ใช้ส่งให้ คอมพิวเตอร์แปลความหมาย และทางานตามคาสั่งที่ได้รับในระดับ โปรแกรมประยุกต์ เช่นแปลความหมายของการกดปุ่มเมาส์ให้เป็นคาสั่งใน การก็อปปี้ไฟล์ หรือดึงข้อมูลมาแสดงผลบนหน้าจอเป็น Browser, HTTP,FTP, Telnet, WWW, SMTP, SNMP,NFS เป็นต้น OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer
  • 12. - 12OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer6 Presentation Layer เป็นชั้นที่ทาหน้าที่ตกลงกับ คอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งในชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรม ประยุกต์จะมีขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร จุดประสงค์หลักของ Layer นี้คือ กาหนดรูปแบบของการสื่อสาร อย่างเช่น ASCII Text, EBCDIC, Binary และ JPEG รวมถึงการเข้ารหัส (Encription)ก็รวมอยู่ใน Layer นี้ด้วย ตัวอย่างเช่น โปรแกรม FTP ต้องการรับส่งโอนย้ายไฟล์กับเครื่อง server ปลายทาง โปรโตคอล FTP จะอนุญาตให้ผู้ใช้ระบุรูปแบบของข้อมูลที่ โอนย้ายกันได้ว่าเป็นแบบ ASCII text หรือแบบ binary JPEG, ASCII, Binary, EBCDICTIFF, GIF, MPEG, Encription เป็นต้น OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 13. - 13OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer5 Session Layer เป็น Layer ที่ควบคุมการสื่อสารจากต้น ทางไปยังปลายทางแบบ End to End และคอยควบคุมช่องทางการสื่อสาร ในกรณีที่มีหลายๆโปรเซสต้องการรับส่งข้อมูลพร้อมๆกันบนเครื่องเดียวกัน (ทางานคล้ายๆเป็นหน้าต่างคอยสลับเปิดให้ข้อมูลเข้าออกตามหมายเลขช่อง (port)ที่กาหนด) และยังให้อินเตอร์เฟซสาหรับ Application Layer ด้านบนในการควบคุมขั้นตอนการทางานของ protocol ในระดับ transport/network เช่น socket ของ unix หรือ windows socket ใน windows ซึ่งได้ให้ Application Programming Interface (API) แก่ ผู้พัฒนาซอฟแวร์ในระดับบนสาหรับการเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการ ทางานของ protocol TCP/IP ในระดับล่าง และทาหน้าที่ควบคุม "จังหวะ" ในการรับส่งข้อมูล ของทั้ง 2ด้านให้มีความสอดคล้องกัน (syncronization) OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 14. - 14OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th และกาหนดวิธีที่ใช้รับส่งข้อมูล เช่นอาจจะเป็นในลักษณะสลับกันส่ง (Half Duplex) หรือรับส่งไปพร้อมกันทั้ง2ด้าน (Full Duplex) ข้อมูล ที่รับส่งกันใน Layer5 นี้จะอยู่ในรูปของ dialog หรือประโยคข้อมูลที่ สนทนาโต้ตอบกันระหว่างต้านรับและด้านที่ส่งข้อมูล ไม่ได้มองเป็นคาสั่ง อย่างใน Layer6 เช่นเมื่อผู้รับได้รับข้อมูลส่วนแรกจากผู้ส่ง ก็จะตอบกลับไป ให้ผู้ส่งรู้ว่าได้รับข้อมูลส่วนแรกเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะรับข้อมูลส่วน ต่อไป คล้ายกับเป็นการสนทนาตอบโต้กันระหว่างผู้รับกับผู้ส่งนั่นเอง ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ RPC, SQL, Netbios, Windows socket, NFS เป็นต้น OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 15. - 15OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer4 Transport Layer เป็น Layer ที่มีหน้าที่หลักในการแบ่ง ข้อมูลใน Layer บนให้พอเหมาะกับการจัดส่งไปใน Layer ล่าง ซึ่งการแบ่ง ข้อมูลนี้เรียกว่า Segmentation ทาหน้าที่ประกอบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้ รับมาจาก Layer ล่าง และให้บริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเมื่อเกิด ข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการส่ง(error recovery) ทาหน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้ ถูกส่งไปถึงยังเครื่องปลายทางและได้รับข้อมูลถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หน่วย ของข้อมูลที่ถูกแบ่งแล้วนี้เรียกว่า Segment ตัวอย่างของ protocol ในชั้น นี้คือ TCP,UDP,SPX OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 16. - 16OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer3 Network Layer เป็น Layer ที่มีหน้าที่หลักในการส่ง packet จากเครื่องต้นทางให้ไปถึงปลายทางด้วยความพยายามที่ดีที่สุด (best effort delivery) layer นี้จะกาหนดให้มีการตั้ง logical address ขึ้นมาเพื่อใช้ระบุตัวตน ตัวอย่างของ protocol นี้เช่น IP และ logical address ที่ใช้คือหมายเลข IP นั่นเอง layer นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ซึ่งที่ทางานอยู่บน Layer นี้คือ router นั่นเอง protocol ที่ทางาน ใน layer นี้จะไม่ทราบว่าpacketจริงๆแล้วไปถึงเครื่องปลายทางหรือไม่ หน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้ไปถึงปลายทางจริงๆแล้วคือหน้าที่ของ Transport Layer นั่นเอง หน่วยของ layer นี้คือ packet ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ IP, IPX, Apple talk OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 17. - 17OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer2 Data Link Layer รับผิดชอบในการส่งข้อมูลบน network แต่ละประเภทเช่น Ethernet, Token ring, FDDI, หรือบน WAN ต่างๆ ดูแล เรื่องการห่อหุ้มข้อมูลจาก layer บนเช่น packet IP ไว้ภายใน Frame และส่ง จากต้นทางไปยังอุปกรณ์ตัวถัดไป layer นี้จะเข้าใจถึงกลไกและอัลกอริทึ่ม รวมทั้ง format จอง frame ที่ต้องใช้ใน network ประเภทต่างๆเป็นอย่างดี ใน networkแบบEthernet layer นี้จะมีการระบุหมายเลข address ของเครื่อง/ อุปกรณ์ต้นทางกับเครื่อง/อุปกรณ์ปลาทางด้วย hardware address ที่เรียกว่า MAC Address เป็น address ที่ฝังมากับอุปกรณ์นั้นเลยไม่สามารถเปลี่ยนเอง ได้ MAC Address เป็นตัวเลขขนาด 6 byte, 3 byte แรกจะได้รับการจัดสรร โดยองค์กรกลาง IEEE ให้กับผู้ผลิตแต่ละราย ส่วนตัวเลข 3 byte หลังทางผู้ผลิต จะเป็นผู้กาหนดเอง หน่วยของ layer นี้คือ Frame ตัวอย่างของ protocol ใน ชั้นนี้คือ Ethernet, Token Ring, IEEE 802.3/202.2,Frame Relay, FDDI, HDLC, ATM เป็นต้น OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 18. - 18OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th Layer1 Physical Layer เป็นการกล่าวถึงข้อกาหนดมาตรฐาน คุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้ง2 ระบบ สัญญาณทางไฟฟ้าและการเชื่อมต่อต่างๆของสายเคเบิล,Connector ต่างๆ เช่นสายที่ใช้รับส่งข้อมูลเป็นแบบไหน ข้อต่อหรือปลั๊กที่ใช้มีมาตรฐาน อย่างไร ใช้ไฟกี่โวลต์ ความเร็วในการรับส่งเป็นเท่าไร สัญญาณที่ใช้รับส่ง ข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร Layer1 นี้จะมองเห็นข้อมูลเป็นการรับ-ส่งที่ละ bit เรียงต่อกันไปโดยไม่มีการพิจารณาเรื่องความหมายของข้อมูลเลย การ รับส่งจะเป็นในรูป 0 หรือ 1 หากการรับส่งข้อมูลมีปัญหาเนื่องจากฮาร์ดแวร์ เช่นสายขาดก็จะเป็นหน้าที่ของ Layer1 นี้ที่จะตรวจสอบและแจ้ง ข้อผิดพลาดนั้นให้ชั้นอื่นๆที่อยู่เหนือขึ้นไปทราบ หน่วยของ layer นี้คือ bits ตัวอย่างของ protocol ในชั้นนี้คือ CAT5, CAT6, RJ-45, EIA/TIA-232, V.35cable เป็นต้น OSI Reference Model 7 Layers หน้าที่ของแต่ละ Layer (ต่อ)
  • 19. - 19OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th ICMP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการตรวจสอบและรายงานสถานภาพ ของดาต้าแกรม (Datagram) ในกรณีที่เกิดปัญหากับดาต้าแกรม เช่น เรา เตอร์ไม่สามารถส่งดาต้าแกรมไปถึงปลายทางได้ ICMP จะถูกส่งออกไปยัง โฮสต้นทางเพื่อรายงานข้อผิดพลาด ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่มีอะไร รับประกันได้ว่า ICMP Message ที่ส่งไปจะถึงผู้รับจริงหรือไม่ หากมีการส่ง ดาต้าแกรมออกไปแล้วไม่มี ICMP Message ฟ้อง Error กลับมา ก็แปล ความหมายได้สองกรณีคือ ข้อมูลถูกส่งไปถึงปลายทางอย่างเรียบร้อย หรือ อาจจะมีปัญหา ในการสื่อสารทั้งการส่งดาต้าแกรม และ ICMP Message ที่ ส่งกลับมาก็มีปัญหาระว่างทางก็ได้ ICMP จึงเป็นโปรโตคอลที่ไม่มีความ น่าเชื่อถือ (unreliable) ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของ โปรโตคอลในระดับสูงกว่า Network Layer ในการจัดการให้การสื่อสารนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือ OSI Reference Model 7 Layers ICMP (Internet Control Message Protocol)
  • 20. - 20OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th ในส่วนของ ICMP Message จะประกอบด้วย Type ขนาด 8 บิต Checksum ขนาด 16 บิต และส่วนของ Content ซึ่งจะมีขนาดแตกต่าง กันไปตาม Type และ Code ดังรูป OSI Reference Model 7 Layers ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ) แสดงโปรโตคคอล ICMP
  • 21. - 21OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th 1. แบ่งเป็นโพรโตคอล 2 ชนิดตามลักษณะ ลักษณะแรกเรียกว่า Transmission Control Protocol (TCP) เป็นแบบที่มีการกาหนดช่วงการ สื่อสารตลอดระยะเวลาการสื่อสาร (connection-oriented) ซึ่งจะยอมให้มี การส่งข้อมูลเป็นแบบ Byte stream ที่ไว้ใจได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ข้อมูลที่ มีปริมาณมากจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า message ซึ่งจะถูก ส่งไปยังผู้รับผ่านทางชั้นสื่อสารของอินเทอร์เน็ต ทางฝ่ายผู้รับจะนา message มาเรียงต่อกันตามลาดับเป็นข้อมูลตัวเดิม TCP ยังมี ความสามารถในการควบคุมการไหลของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ส่ง ส่ง ข้อมูลเร็วเกินกว่าที่ผู้รับจะทางานได้ทันอีกด้วย OSI Reference Model 7 Layers ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
  • 22. - 22OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th 2. โปรโตคอลการนาส่งข้อมูลแบบที่สองเรียกว่า UDP (User Datagram Protocol) เป็นการติดต่อแบบไม่ต่อเนื่อง (connectionless) มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่ง จึง ถือได้ว่าไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มี ข้อดีในด้านความรวดเร็วในการส่งข้อมูล จึงนิยมใช้ในระบบผู้ให้และ ผู้ใช้บริการ (client/server system) ซึ่งมีการสื่อสารแบบ ถาม/ตอบ (request/reply) นอกจากนั้นยังใช้ในการส่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหว หรือ การส่งเสียง (voice) ทางอินเทอร์เน็ต a.UDP:(User Datagram Protocol) เป็นโปรโตคอลที่อยู่ใน Transport Layer เมื่อเทียบกับโมเดล OSI โดยการส่งข้อมูลของ UDP นั้นจะเป็นการส่งครั้งละ 1 ชุดข้อมูล เรียกว่า UDP datagram ซึ่งจะไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างดาต้าแกรมและ จะไม่มีกลไกการตรวจสอบความสาเร็จในการรับส่งข้อมูล OSI Reference Model 7 Layers ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
  • 23. - 23OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th 3. กลไกการตรวจสอบโดย checksum ของ UDP นั้นเพื่อเป็น การป้องกันข้อมูลที่อาจจะถูกแก้ไข หรือมีความผิดพลาดระหว่างการส่ง และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ปลายทางจะได้รู้ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ มันจะเป็นการตรวจสอบเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น โดยในข้อกาหนดของ UDP หากพบว่า Checksum Error ก็ให้ผู้รับปลายทางทาการทิ้งข้อมูลนั้น แต่จะ ไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่งแต่อย่างใด การรับส่งข้อมูลแต่ละครั้งหากเกิด ข้อผิดพลาดในระดับ IP เช่น ส่งไม่ถึง, หมดเวลา ผู้ส่งจะได้รับ Error Message จากระดับ IP เป็น ICMP Error Message แต่เมื่อข้อมูลส่ง ถึงปลายทางถูกต้อง แต่เกิดข้อผิดพลาดในส่วนของ UDP เอง จะไม่มีการ ยืนยัน หรือแจ้งให้ผู้ส่งทราบแต่อย่างใด OSI Reference Model 7 Layers ICMP (Internet Control Message Protocol) (ต่อ)
  • 24. - 24OSI Reference Model 7 Layers มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี www.sru.ac.th 1.นายอวิรุจน์ ทองด้วง รหัสนักศึกษา 5604063001065 2.นายวัชรพงษ์ เจริญผล รหัสนักศึกษา 5604063001067 3.นายณัฐพล ดุลยกุล รหัสนักศึกษา 5604063001089 4.นางสาวชลธิชา ไชยพลบาล รหัสนักศึกษา 5604063001094 5.นายศักรินทร์ มยาเศรษฐ รหัสนักศึกษา 5604063001122 6.นายสุทธิรักษ์ ไสยรินทร์ รหัสนักศึกษา 5604063001124 7.นางสาวกรกนก ลิ้มเจษฎาพงษ์ รหัสนักศึกษา 5604063001128 OSI Reference Model 7 Layers สมาชิก กลุ่มเรียน 56049.041