SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  14
คำสมำส เป็นคำ ที่เกิดจำกกำรรวมคำ สองคำ ซึ่งต่ำงก็เป็นคำ บำลีหรือสันสกฤตเข้ำเป็นคำ เดียวกัน 
โดยกำรนำ มำเรียงต่อกัน ไม่ได้มีกำรดัดแปลงรูปอักษร มีกำรออกเสียง อะ อิ อุ ระหว่ำงคำ เช่น 
ประวัติ+ศำสตร์ → ประวัติศำสตร์ ฆำตกรรม 
ตัวอย่ำงคำสมำส 
กรรมกำร อ่ำนว่ำ กำ-มะ-กำน (มำจำกคำว่ำ กรฺม + กำร) 
คณบดี อ่ำนว่ำ คะ-นะ-บอ-ดี (มำจำกคำว่ำ คณ + ปติ) 
จิตรกร อ่ำนว่ำ จิต-ตฺระ-กอน (มำจำกคำว่ำ จิตร + กร) 
เจตคติ อ่ำนว่ำ เจ-ตะ-คะ-ติ 
ชนบท อ่ำนว่ำ ชน-นะ-บด (มำจำกคำว่ำ ชน + ปท) 
ประถมศึกษำ อ่ำนว่ำ ประ-ถม-มะ-สึก-สำ 
ประวัติศำสตร์ อ่ำนว่ำ ประ-หวัด-ติ-สำด 
มนุษยชน อ่ำนว่ำ มะ-นุด-สะ-ยะ-ชน 
มัธยมศึกษำ อ่ำนว่ำ มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ 
มำตรฐำน อ่ำนว่ำ มำด-ตฺระ-ถำน 
รัฐมนตรี อ่ำนว่ำ รัด-ถะ-มน-ตฺรี 
วิทยบริกำร อ่ำนว่ำ วิด-ทะ-ยะ-บอ-ริ-กำน 
วิกฤตกำรณ์ อ่ำนว่ำ วิ-กฺริด-ตะ-กำน 
สัตวแพทย์ อ่ำนว่ำ สัด-ตะ-วะ-แพด 
สำธำรณภัย อ่ำนว่ำ สำ-ทำ-ระ-นะ-ไพ 
อุทกภัย อ่ำนว่ำ อุ-ทก-กะ-ไพ 
คำสมำสบำงคำไม่อ่ำนออกเสียงสระท้ำยพยำงค์ของคำหน้ำ (ไม่อ่ำนออกเสียงอย่ำงสมำส) 
คำที่เป็นชื่อจังหวัด ไม่อ่ำนออกเสียง “อะ” ท้ำยพยำงค์ของคำหน้ำ ตัวอย่ำงเช่น ชลบุรี ชัยนำท นค 
รพนม นครสวรรค์ปทุมธำนี ปรำจีนบุรี ลพบุรี สกลนคร สมุทรปรำกำร สมุทรสงครำม สมุทรสำคร สุ 
พรรณบุรี อุดรธำนี อุทัยธำนี 
ชื่อจังหวัดที่ต้องออกเสียงอย่ำงสมำส อ่ำนออกเสียง “อะ” ท้ำยพยำงค์ของคำหน้ำ ตัวอย่ำงเช่น 
เพชรบุรี อ่ำนว่ำ เพ็ด-ชะ-บุ-รี 
เพชรบูรณ์ อ่ำนว่ำ เพ็ด-ชะ-บูน 
รำชบุรี อ่ำนว่ำ รำด-ชะ-บุ-รี 
คำที่อ่ำนอย่ำงสมำสแต่ไม่ใช่คำสมำส
นอกจำกนี้ยังมีคำที่ไม่ใช่คำสมำสแต่อ่ำนอย่ำงสมำส (เป็นเพรำะว่ำมีคำหนึ่งมำจำกภำษำบำลีหรือสันส 
กฤต 
และมีอีกคำหนึ่งที่มำจำกภำษำไทยแท้หรือภำษำอนื่ทไี่ม่ใช่ภำษำดังกล่ำว) ทั้งหมดนี้จัดว่ำเป็นเป็นคำประสม 
ซึ่งเป็นวิธีสร้ำงคำของไทย ตัวอย่ำงคำ 
กรมขุน อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-ขุน 
กรมท่ำ อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-ท่ำ 
กรมพระ อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-พฺระ 
กรมวัง อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-วัง 
กลเม็ด อ่ำนว่ำ กน-ละ-เม็ด 
คุณค่ำ อ่ำนว่ำ คุน-นะ-ค่ำ 
พระพุทธเจ้ำ อ่ำนว่ำ พฺระ-พุด-ทะ-เจ้ำ 
ทุนทรัพย์ อ่ำนว่ำ ทุน-นะ-ซับ (ทุน เป็นคำไทยแท้) 
ผลไม้ อ่ำนว่ำ ผน-ละ-ไม้ 
พลขับ อ่ำนว่ำ พน-ละ-ขับ 
พลควำม อ่ำนว่ำ พน-ละ-ควำม 
พลร่ม อ่ำนว่ำ พน-ละ-ร่ม 
พลเมือง อ่ำนว่ำ พน-ละ-เมือง 
พลเรือน อ่ำนว่ำ พน-ละ-เรือน 
สรรพสินค้ำ อ่ำนว่ำ สับ-พะ-สิน-ค้ำ 
สรรพสิ่ง อ่ำนว่ำ สับ-พะ-สิ่ง 
ดังนั้น จึงควรหันมำใส่ใจหลักกำรอ่ำนคำไทย เพื่อเรำจะอ่ำนคำไทยได้อย่ำงถูกต้องไม่อำยใครอันเป็น 
กำรรักษ์ภำษำไทยให้เป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่สำคัญตรำตรึงไว้ในใจคนไทยทุกนะครับ 
ตัวอย่ำงคำ มูลพยำงค์เดียว
นำม คน ไก่ ข้ำว ไข่ ช้อน บุญ กรรม 
สรรพนำม ฉัน เขำ ท่ำน คูณ อั๊ว ลื้อ 
กริยำ กิน นอน เดิน วิ่ง 
วิเศษณ์ แดง ดำ นิ่ม ฟรี 
บุพบท ใน นอก เหนือ ใต้ 
สันธำน แต่ และ ถ้ำ กับ 
อุทำน โอ้ย ว้ำย ว้ำว
๑. คำ มูลพยำงค์เดียว คำ ไทยแท้ส่วนใหญ่เป็นคำ มูลพยำงค์เดียว และมีตัวสะกดตรงตำมมำตรำ 
เช่น เขียว ขำว แดง เหนือ ใต้ ร้อน เย็น เล็ก แคบ ลุง ป้ำ 
คำ มูลพยำงค์เดียวที่มำจำกภำษำอื่น 
ภำษำจีน เช่น โต๊ะ เก๋ง ก๊ก 
ภำษำอังกฤษ เช่น เมตร ฟรี บล็อก 
ภำษำบำลีสันสกฤต เช่น บำตร ผล เวร บำป บุญ เนตร 
๒. คำ มูลหลำยพยำงค์ เป็นคำ ที่ออกเสียงตั้งแต่ ๒ 
พยำงค์ขึ้นไปไม่สำมำรถแยกพยำงค์ออกจำกกันได้เพรำะทำ ให้ไม่ได้ควำมหมำย เช่น 
คำ มูลที่เป็นคำ ไทยแท้ เช่น มะละกอ โหระพำ เกเร สะดุด จะละเม็ด
คำ มูลหลำยพยำงค์ที่มำจำกภำษำอื่น 
ภำษำจีน เช่น บะหมี่ เฉำก๊วย ฮ่อยจ๊อ 
ภำษำอังกฤษ เช่น คอมพิวเตอร์ สติ๊กเกอร์ 
ภำษำมลำยู เช่น กะลำสี 
ภำษำเขมร เช่น เสวย 
ภำษำบำลีสันสกฤต เช่น บิดำ นำฬิกำ บริสุทธ์ิ 
ระบบเสียงในภำษำไทย 
ระบบเสียงในภำษำไทย แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ เสียงสระ 
หรือเสียงแท้ คือเสียงที่เปล่งโดยให้ลมออกทำงช่องปำก และไม่กระทบหรือถูกปิดกั้น 
จำกอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ในช่องปำก เสียงสระในภำษำไทยแบ่งออกเป็น 
1.1 สระแท้หรือสระเดี่ยว มี 18 เสียงดังนี้ 
ระดับลิ้น (ปลำยลิ้น ) สระหน้ำ (กลำงลิ้น) สระกลำง (โคนลิ้น) สระหลัง 
ระดับสูง อิ อี อึ อื อุ อู
กลำงสูง เอะ เอ เออะ เออ โอะ โอ 
กลำงต่ำ แอะ แอ - - เอำะ ออ 
ต่ำ - - อะ อำ - - 
1.2 สระเลื่อน หรือ สระประสม มี 3 เสียงดังนี้ สระเอีย (= อี + อำ) สระ เอือ (= อือ + อำ) และสระ อัว (= 
อู + อำ) สระประสมเกิดจำกกำรเลื่อนของลิ้น ในระดับสูง ลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ำ 
"สระเลื่อน" ในบำงตำ รำ จะเพิ่มสระเลื่อนเสียงสั้น มักเป็นคำ เลียนเสียงธรรมชำติ หรือไม่ 
ก็เป็นคำ ที่ยืมมำจำกภำษำอื่น เช่น ผัวะ ยัวะ เปรี๊ยะ เกี๊ยะ เจี๊ยะ 
1.3 สระเกิน คือสระที่มีเสียงพยัญชนะประสมอยู่ด้วย ไม่จัดว่ำเป็นสระที่แท้จริง คือ ฤ(=ร+อึ) ฤำ(=ร+อื) ฦ 
(=ล+อื) อำ (=อะ+ม) ไอ ใอ (=อะ+ย) 
เอำ (=อะ+ว) 
ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเสียงสระ 
1. เสียงสระสั้น - ยำวของเสียงสระเดี่ยว สำมำรถแยกควำมหมำยของคำ ให้แตกต่ำงกัน เช่น มิด - มีด, เข็ด 
- เขต, อึด - อืด, อุด - อูฐ, หด - โหด 
2. ฤ ฤำ ฦ ฦำ อำ ไอ ใอ เอำ ถือเป็นสระเกิน คือสระที่มีเสียงพยัญชนะประสมอยู่ด้วย ดังนั้น 
สระเกินเหล่ำนี้ จึงไม่สำมำรถมีตัวสะกดได้อีก 
3. เมื่อประสมคำเข้ำกันแล้ว รูปสระอำจจะลดรูปหรือเปลี่ยนรูปได้ เช่น 
• ลดรูปวิสรรชนีย์ (สระอะ) เช่น อนุชำ พนักงำน ณ ธ 
• เปลี่ยนรูปวิสรรชนีย์เป็นไม้ผัด (ไม้หันอำกำศ) เมื่อมีตัวสะกด เช่น กัก กัด กัน และเป็นตัว ร หัน 
เช่น สรร สวรรค์ 
• เปลี่ยนรูปสระออ ในบำงคำ เช่น บ่ จรลี ทรกรรม พร กร (ส่วนมำกเป็น ตัว ร สะกด) 
• เปลี่ยนรูปสระเอะ แอะ เป็นไม้ใต่คู้ เช่น เล็ก เก็ง แข็ง บำงคำ เพียงแต่ลดรูป เช่น เพชร เป็นต้น 
• ลดรูปสระโอะ เช่น คน กก กง กด กบ ลด นก จด ขด นนท์ 
• เปลี่ยนรูปสระเอำะ โดยใช้ตัว อ กับไม้ใต่คู้แทน เช่น ล็อคเกต หรือเพียง แต่ลดรูป เช่น นอต เป็นต้น 
• เปลี่ยนรูปสระเออ เป็นรูปสระอิแทนรูป อ เช่น เกิน เริง เชิด เพลิง 
• ลดรูป อ ในสระเออ ในคำ ที่สะกดด้วยแม่เกย เช่น เกย เขย เคย (ปัจจุบัน ยังมีคำ ที่เขียนเต็มรูปอยู่บ้ำง 
เช่นเทอม เทอญ เป็นต้น) 
• ลดรูปไม่ผัดในสระ อัว ในคำ ที่มีตัวสะกด เช่น ควง ขวด เพรำะฉะนั้น เวลำพิจำรณำเรื่องเสียงสระ 
ต้องไม่ลืมนึกถึงกำรลดรูป หรือเปลี่ยนรูปสระด้วย 
• เสียงสระบำงเสียงใช้รูปสระแทนได้หลำยรูป เช่น เสียง ไอ อำจเขียน ใน ไน 
นัย ทำ ให้ควำมหมำยต่ำงกัน 
• เสียงสระบำงเสียงใช้อักษรแทนได้หลำยรูปเช่น เสียง อำ อำจเขียน ทำ ธรรม
ตำแหน่งของเสียงพยัญชนะ ปรำกฏได้ใน 2 ตำ แหน่ง คือ 
1. ตำแหน่งต้นคำ พยัญชนะทุกเสียงในภำษำไทยปรำกฏในตำ แหน่งต้นคำ 
โดยปรำกฏเพียงตัวเดียวเช่น สวน อ่ำง หู และปรำกฏ 2 เสียง คือควบเสียง / ร / 
/ ล // ว / เป็นเสียงควบกล้ำ เช่น กรำด กลำด กวำด 
2. ตำแหน่งพยำงค์ท้ำย เสียงพยัญชนะที่ปรำกฏในตำ แหน่งพยำงค์ท้ำย 8 เสียง ได้แก่ / ป / - แม่กบ / ต / - 
แม่กด / ก / - แม่กก / ง / - แม่กง / น / - แม่กน / ม / - แม่กม / ย / - แม่เกย / ว / - แม่เกอว 
พยัญชนะไทยมีทั้งหมด 21 เสียง และแทนด้วยตัวอักษรถึง 44 รูป ในระบบเขียนจึงมักเกิดปัญหำว่ำ 
จะใช้อักษรตัวไหนเขียนแทนเสียงนั้น ๆ หำกไม่รู้ควำมหมำยเสียก่อน 
พยัญชนะต้น 
• เสียง / ข / มีรูป ข ค ฆ เช่น ไข่ คน เฆี่ยน 
• เสียง / ช / มีรูป ฉ ช ฌ เช่น ฉำน ชำน ฌำน 
• เสียง / ถ / มีรูป ฐ ฒ ถ ท ธ (ฑ ในบำงคำ ) เช่น ฐำน เฒ่ำ ถุง ท่ำน ธง มณโฑ 
ตัวสะกด 
มำตรำแม่ กก ใช้ ก ข ค ฆ สะกดได้ เช่น โกรก เลข อัคนี เมฆ 
มำตรำแม่ กง ใช้ ง สะกด เช่น หมำง ยุง 
มำตรำแม่ กด ใช้ จ ฎ ฏ ฐ ฒ ด ต ถ ท ธ ซ ส ศ ษ สะกดได้แก่ อัจฉรำ บงกซ กฎ ปรำกฏ 
มำตรำแม่ กน ใช้ น ญ ณ ร ล ฬ สะกดได้แก่ กัน กัญญำ ญำณ 
มำตรำแม่ กบ ใช้ บ ป พ ฟ ภ สะกดได้แก่ อบ บำป 
มำตรำแม่ กม ใช้ ม สะกด เช่น กรรม 
มำตรำแม่ เกย ใช้ ย สะกด เช่น ขวย รวย 
มำตรำแม่ เกอว ใช้ ว สะกด เช่น วำว 
รูปพยัญชนะที่ไม่ใช้เป็นตัวสะกดเลย คือ ฉ ฌ ผ ฝ อ ห ฮ 
ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเสียงพยัญชนะ 
1. เสียงพยัญชนะมี 21 เสียง แต่แทนด้วยรูปพยัญชนะ 44 รูป จึงมีปัญหำเกี่ยวกับกำรเขียน 
2. รูปพยัญชนะมีลักษณะผูกพันกับเสียงวรรณยุกต์ กำรที่เรำจัดอักษรสูง กลำง ต่ำ แสดงว่ำ 
ตัวพยัญชนะของเรำ เมื่อผสมสระแล้ว จะเกิดเสียงวรรณยุกต์ติดตำมมำ 
3. รูปพยัญชนะบำงตัวไม่ออกเสียง 
• พยัญชนะที่มีเครื่องหมำยทัณฑฆำตกำ กับ เช่น สงฆ์ วงค์ จันทร์ 
• พยัญชนะที่ตำมหลังพยัญชนะสะกดบำงคำ เช่น สมุทร พุทธ 
• ร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอักษรควบไม่แท้ เช่น ทรง ทรำบ ทรวง เสด็จ
• ร หรือ ห ที่นำ หน้ำพยัญชนะสะกดบำงคำ เช่น ปรำรถนำ พรหม 
• ห หรือ อ ที่นำ อักษรเดี่ยว เช่น หลำย หลำก อย่ำ อยู่ 
4. ตัวอักษรเรียงกัน 2 ตัว บำงครั้งออกเสียงควบ บำงครั้งออกเสียง สระแทรก เช่น จมปลัก ปรักหักพัง 
5. ตัว "ว" ทำ หน้ำที่ได้หลำยอย่ำง เช่น สระอัว เช่น กลัว รวย 
• พยัญชนะควบ เช่น ควำย ขวำด พยัญชนะต้น วูบ วำบ 
• อักษรนำ เช่น หวั่น ไหว พยัญชนะท้ำย เช่น รำว ร้ำว 
6. เสียงวรรณยุกต์ หรือเสียงดนตรี คือ เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่เปล่งออกมำพร้อมกับเปล่งเสียง สระเสียง ต่ำ นี้ 
ทำ ให้ควำมหมำยต่ำงกัน เสียงวรรณยุกต์ในภำษำไทย มี 5 เสียง คือ สำมัญ เอก โท ตรี และจัตวำ 
ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเสียงวรรณยุกต์ 
คำ ไทยบำงคำ ออกเสียงวรรณยุกต์ไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์ หรือมีเสียงวรรณยุกต์แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ 
มีหลักสังเกต คือ 
1. คำ ที่ออกเสียงไม่ตรงรูปวรรณยุกต์ คือ อักษรต่ำ คำ เป็นและคำ ขยำย ถ้ำมีรูปวรรณยุกต์ เอก 
จะออกเสียงเป็นเสียงโท และถ้ำมีรูปวรรณยุกต์ โท จะออกเสียงเป็นเสียงตรี 
2. คำ ที่ออกเสียงวรรณยุกต์ แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ คือ คำ ที่เป็นพื้นเสียงของอักษรทั้ง 3 หมู่ ได้แก่ 
• อักษรสูง คำ เป็น พื้นเสียงจัตวำ คำ ตำยพื้นเสียง เอก 
• อักษรต่ำ คำ เป็น พื้นเสียงสำมัญ คำ ตำยเสียงยำว พื้นเสียงโท 
คำ คือเสียงที่เปล่งออกมำ เเละมีควำมหมำยอย่ำงหนึ่งจะเป็นกี่พยำงค์ก็ได้ เช่น 
รถ มี 1 คำ 1 พยำงค์ หมำยถึง ยำนพำหนะชนิดหนึ่ง 
โรงเรียน มี 1 คำ 2 พยำงค์ " สถำนที่ศึกษำ 
นำฬิกำ มี 1 คำ 3 พยำงค์ " สิ่งที่ใช้บอกเวลำ 
พยำงค์ คือเสียงที่เปล่งออกมำครั้งหนึ่ง จะมีควำมหมำยหรือไม่มีควำมหมำยก็ได้ 
พยำงค์เเต่ละพยำงค์ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ เสียงพยัญชนะ ตัวสะกด เเละ
ตัวกำรันต์ 
ตัวอย่ำงกำรแยกพยำงค์ 
1. ศรีรัตนโกสินทร์ อ่ำนว่ำ สี-รัด-ตะ-นะ-โก-สิน 
2. กรมพระกำ เเพงเพชรอัครโยธิน อ่ำนว่ำ กรม-มะ-พระ- 
กำ -เเพง-เพ็ด-อัก-คะ-ระ-โย-ทิน 
จังหวะในกำรพูดกลุ่มคำ ที่สัมพันธ์กัน 
เมื่อพิจำรณำกำรออกเสียงพูดของภำษำไทย เรำจะสังเกตเห็นว่ำ 
มีกำรออกเสียงพยำงค์หนักบ้ำงเบำบ้ำงตำมลักษณะของคำ ตำมจังหวะของคำ ที่ทำ หน้ำที่ต่ำงๆ ในประโยค 
และตำมกำรกำ หนดควำมหมำยของคำ ที่เรียงกันในประโยคหรือข้อควำมที่พูดนั้น 
คำ ที่เรียงตำมลำ ดับกันมำเหมือนๆ กัน ถ้ำออกเสียงพยำงค์หนักเบำต่ำงกัน 
หรือเว้นจังหวะระหว่ำงพยำงค์หรือคำ ต่ำงกัน ก็จะสื่อควำมหมำยต่ำงกัน 
กำรที่จะทำ ควำมเข้ำใจภำษำไทยจึงต้องกำรควำมรู้ทั้งเรื่องเสียงของคำ กำรลงน้ำ หนักพยำงค์ 
และกำรเว้นจังหวะของพยำงค์หรือคำ ด้วย ลองพิจำรณำประโยคตัวอย่ำงต่อไปนี้ 
ถ้ำครูยกตัวอย่ำงมำก นักเรียนก็จะเข้ำใจดี 
ถ้ำครูยกตัว อย่ำงมำก นักเรียนก็อำจจะหลงชื่นชมครูหรือไม่ก็ไม่ชอบครูไปเลย 
ดูซิ จะเอำข้ำวคลุกกะปิ ก็หมด 
ดูซิ จะเอำข้ำวคลุก กะปิก็หมด 
ลูกจ้ำง มีไว้ก็ต้องให้เขำทำ งำน 
ลูก จ้ำงมีไว้ก็ต้องให้เขำทำ งำน 
เมื่อจะผ่ำตัด ตอนเช้ำต้องให้งดอำหำร 
เมื่อจะผ่ำตัดตอนเช้ำ ต้องให้งดอำหำร
เด็กคนนี้ ไม่สวยเหมือนแม่ 
เด็กคนนี้ไม่สวย เหมือนแม่ 
เพรำะนำยสีเป็นคนดีกว่ำ นำยแสงจึงถูกลงโทษ 
เพรำะนำยสีเป็นคนดีกว่ำนำยแสง จึงถูกลงโทษ 
ตัวอย่ำงข้อควำมที่ยกมำข้ำงต้นนี้ แสดงให้เห็นว่ำ เพียงแยกพยำงค์ผิดที่นิดเดียว 
ควำมหมำยของข้อควำมที่พูดก็ต่ำงกันไป ลองพิจำรณำตัวอย่ำงต่อไปนี้ 
ทำ ไมมำ เอำห้ำโมง 
ทำ ไมมำเอำ ห้ำโมง 
เขำยก ตัวอย่ำงมำก 
เขำยกตัว อย่ำงมำก 
หนังสือเล่มนี้มันดี 
หนังสือเล่มนี้ มันดี 
กำแฟเย็น หมด 
กำแฟ เย็นหมด 
ตัวอย่ำงที่ยกมำข้ำงต้นนี้ แสดงให้เห็นว่ำ กำรลงน้ำ หนักพยำงค์หนักเบำผิดกันก็ทำ ให้สื่อควำมหมำยต่ำงกัน 
ในกำรสอนพูดสอนอ่ำนครูจึงควรให้ควำมสำคัญกับกำรแบ่งวรรคตอนของข้อควำม 
สอนกำรลงน้ำ หนักพยำงค์ และกำรรวบพยำงค์ซึ่งอยู่ในกลุ่มควำมหมำยเดียวกันเข้ำไว้ด้วยกันด้วย 
ในกำรอ่ำนเมื่อสะกดคำ ได้แล้วควรให้ออกเสียงตำมลักษณะที่เป็นเสียงพูดปรกติในภำษำ
พยำงค์หนักเบำในภำษำไทย 
ในภำษำไทย คำ สองพยำงค์มักจะออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์เบำ พยำงค์หลังเป็นพยำงค์หนัก 
แต่ก็มีหลำยคำ ที่ออกเสียงเป็นพยำงค์หนักทั้ง ๒ พยำงค์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับควำมหมำยของคำ แต่ละคำ 
ในกำรสอนอ่ำนจึงต้องสอนให้สังเกตพยำงค์ที่ลงน้ำ หนักต่ำงกันด้วย เช่น ตัวอย่ำงคำ ต่อไปนี้ 
ซึ่งเป็นคำ สองพยำงค์ ในแต่ละคู่ พยำงค์หน้ำเขียนเหมือนกัน แต่จะออกเสียงต่ำงกัน 
ประเดี๋ยว ประเปรียว 
กะเบน กะเกณฑ์ 
ประปำ ประพรม 
ละลำย ละทิ้ง 
ละเลง ละเลย 
สะดวก สะสม 
สุภำพ สุสำน 
ฉบับ ฉะฉำน 
ชะลอม ชะล้ำง 
สะดวก สะสำง 
จรูญ จะแจ้ง 
คำ ในแถวหน้ำออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์เบำ พยำงค์หลังเป็นพยำงค์หนัก 
พยำงค์หน้ำซึ่งออกเสียงเบำนั้น ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้นกับสระเสียงสั้น วรรณยุกต์สำมัญ 
ส่วนคำ ในแถวหลัง ออกเสียงเป็นพยำงค์หนักทั้งสองพยำงค์ พยำงค์หน้ำประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น 
สระเสียงสั้น พยัญชนะท้ำยซึ่งเป็นเสียงกักในลำ คอ และมีวรรณยุกต์เอกหรือตรี 
กำรอ่ำนคำ ภำษำไทยที่จะให้ถูกต้องจึงต้องรู้จักคำ และควำมหมำยของคำ ด้วย 
จะอ่ำนตำมเสียงที่ตัวอักษรแทนโดยไม่พิจำรณำลักษณะอื่นด้วยไม่ได้ 
คำ พยำงค์เดียวและคำ หลำยพยำงค์ 
คำ ในภำษำไทยมีทั้งคำ พยำงค์เดียว คำ สองพยำงค์ และคำ หลำยพยำงค์ ในกำรออกเสียงคำ เหล่ำนั้น 
จะมีพยำงค์หนักและพยำงค์เบำคละกันไป ตำมลักษณะของคำ และควำมหมำยของคำ นั้น 
โดยทั่วไปคำ พยำงค์เดียวจะลงเสียงหนัก (ยกเว้น คำ ไวยำกรณ์ เช่น คำ ช่วยกริยำ คำ เชื่อม คำ บุพบท
ในบำงกรณี) คำ สองพยำงค์จะลงน้ำ หนักที่พยำงค์หลัง 
ส่วนพยำงค์หน้ำอำจลงน้ำ หนักหรือลดน้ำ หนักเป็นพยำงค์เบำ คำ ตั้งแต่ ๓ 
พยำงค์ขึ้นไปจะมีพยำงค์เบำแทรกอยู่ โดยที่พยำงค์สุดท้ำยจะเป็นพยำงค์หนักเสมอ และพยำงค์เบำ ๒ 
พยำงค์ติดกันไม่ใคร่ปรำกฏ ที่มีอยู่บ้ำงล้วนเป็นคำ ที่ยืมมำจำกต่ำงประเทศหรือคำ ที่ไม่ทรำบที่มำ 
ต่อไปนี้จะยกตัวอย่ำงคำ สองพยำงค์ และคำ สำมพยำงค์ 
เพื่อแสดงให้เห็นพยำงค์ที่ออกเสียงเป็นพยำงค์เบำหรือพยำงค์ลดน้ำ หนัก เช่น 
คำ สองพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์เบำ 
สะดวก สบำย วิชำ กะทิ กระท้อน สุพรรณ ประดิษฐ์ 
คำ สองพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์ลดน้ำ หนัก 
เวลำ อำหำร โรงเรียน หนังสือ ตำรำง ผ้ำนุ่ง เข็มขัด 
คำ สำมพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์ที่ ๑ เป็นพยำงค์เบำ 
มหึมำ มะลิวัลย์ กระดำนดำ พยำยำม ประชำชน 
คำ สำมพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์ที่ ๒ เป็นพยำงค์เบำ 
พัลวัน รำชกำร ทรชน คุณภำพ คุณศัพท์ พลเรือน
ตอนที่ 3 พระมหำอุปรำชำยกทัพเข้ำเมืองกำญจนบุรี 
พระมหำอุปรำชำยกทัพผ่ำนด่ำนเจดีย์สำมองค์ ทรงรำพันถึงนำงสนมว่ำ เสด็จมำลำ พังพระองค์เดียวเปล่ำเปลี่ยวใจและน่ำเศร้ำนัก 
เมื่อทรงชมต้นไม้และดอกไม้ที่ทรงพบเห็นระหว่ำงทำงทำ ให้เบิกบำนพระทัยขึ้นมำบ้ำง แต่ก็ยังคิดถึงนำงสนมกำ นัลทั้งหลำย 
ทรงเห็นต้นสลัดไดทรงดำ ริถึงสำเหตุที่ต้องจำกนำงมำเพื่อทำ สงครำมกับข้ำศึก เห็นต้นสละเหมือนพระองค์สละนำงมำ 
เห็นต้นระกำ ที่ชื่อต้นไม้เหมือนใจของพระองค์ที่ระกำ เพรำะคิดถึงนำง เห็นดอกสำยหยุดซึ่งกลิ่นหอมจะหมดไปเมื่อเวลำสำย 
ต่ำงจำกใจของพระองค์แม้เวลำผ่ำนไปกี่วันกี่คืน มีแต่ควำมทุกข์คิดถึงนำงทุกค่ำ เช้ำ ไม่อำจหยุดรักนำงได้ 
ฝ่ำยเจ้ำเมืองกำญจนบุรี จัดทหำรไปสืบข่ำวในเขตมอญ ทหำรก็ลัดเลำะไปทำงลำ น้ำ แม่กษัตริย์ 
เห็นฉัตรห้ำชั้นก็ทรำบว่ำพระมหำอุปรำชำยกทัพมำ กลับมำแจ้งข่ำวศึกให้เจ้ำเมืองกำญจนบุรี 
เจ้ำเมืองทรำบข่ำวศึกปรึกษำกันแล้วเห็นว่ำกำ ลังทหำรมีน้อย คงต้ำนไม่ได้จึงชวนกันหลบหนีเข้ำป่ำ 
ส่วนกองทัพพระมหำอุปรำชำมำถึงแม่น้ำ ลำ กระเพิน ให้พระยำจิตตอง ทำ สะพำนไม้ไผ่เพื่อยกพลเดินข้ำมฟำก 
ชำวสยำมเห็นเช่นนั้นจึงมีสำร แล้วให้ขุนแผน (นำยด่ำน) ขี่ม้ำเร็วมำบอกพญำมหำดไทย เพื่อกรำบทูลเรื่องให้ทรงทรำบ 
ส่วนกองทัพมอญยกทัพมำถึงเมืองกำญจนบุรีเห็นบ้ำนเมืองว่ำงเปล่ำ ไม่มีผู้ใดออกสู้รบ 
จึงรู้ว่ำคนไทยทรำบข่ำวและหลบหนีไปหมด จึงให้ยกทัพเข้ำไปในเมือง แล้วต่อไปถึงตำ บลพนมทวน 
เกิดลมเวรัมภำพัดฉัตรหักลง ทรงตกพระทัย ทรงให้โหรทำ นำย โหรไม่กล้ำทูลตำมควำมจริง กลับทำ นำยว่ำ 
เหตุกำรณ์เช่นนี้หำกเกิดในตอนเช้ำไม่ดี ถ้ำเกิดในตอนเย็นจะได้ลำภ และจะชนะศึกครั้งนี้ 
พระมหำอุปรำชำได้ทรงฟังก็อดที่จะหวั่นพระทัยไม่ได้ด้วยเกรงพ่ำยแพ้ข้ำศึก กำรรบกับพระนเรศวร ใครก็ไม่อำจจะต่อสู้ได้ 
เสียดำยแผ่นดินมอญจะต้องพินำศเพรำะไม่มีใครอำจจะต่อสู้ต้ำนทำน สงสำรพระรำชบิดำ 
ที่จะต้องสูญเสียพระโอรสพระรำชบิดำทรงชรำภำพมำก เกรงจะพ่ำยแพ้ศึกสยำม 
หำกพระมหำอุปรำชำสิ้นพระชนม์ไม่มีใครเก็บผี(ศพ)ไปให้พระบิดำ ไม่มีใครเผำ พระรำชบิดำไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์ 
จะริเริ่มสงครำมเพียงลำ พังไม่ได้ พระองค์คงจะต้องคับแค้นพระทัย 
พระมหำอุปรำชำทรงรำพึงถึงพระคุณของพระรำชบิดำว่ำใหญ่หลวงนักเกรงว่ำจะไม่โอกำสกลับไปตอบแทนพระคุณ
พระนเรศวรของไทยได้เบี่ยงศีรษะหอบอำวุธของศัตรูที่จะถูกพระองค์ด้วยทรงเอำมือปัดป้องไว้ 
๑๔๔(๓๑๖) 
ช้ำงของพระนเรศวรได้เหวี่ยงสะบัดศีรษะไปมำได้ปะทะกับช้ำงศึกคอยเงยงัดคอของข้ำศึก 
ช้ำงของพระมหำอุปรำชำได้หลบเลี่ยงไปมำจนเสียท่ำจนต้องถอย 
๑๔๕(๓๑๗) พลำดท่ำในกำรรบ 
และได้เหวี่ยงพระแสงของพระนเรศวรซึ่งได้แสดงฤทธ์ิเดชจนสำมำรถปรำบข้ำศึกได้ 
ฟันกับไหล่ด้ำนถนัดจนคอขำด 
๑๔๖(๓๑๘) อกแตกแยกออกจนฟุบลง 
เอนตัวล้มลงซุกบนคอช้ำงอย่ำงน่ำสงสำรในที่สุดก็สิ้นชีพขึ้นไปยังสรวงสวรรค์

Contenu connexe

Tendances

บทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทย
บทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทยบทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทย
บทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทย
Gawewat Dechaapinun
 
คำสมาส สนธิ
คำสมาส สนธิ คำสมาส สนธิ
คำสมาส สนธิ
Rodchana Pattha
 
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ศิลาจารึกหลักที่ ๑
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
krunoree.wordpress.com
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
Sp'z Puifai
 
แบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒ นักเรียน
แบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒  นักเรียนแบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒  นักเรียน
แบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒ นักเรียน
ssuser456899
 
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
พัน พัน
 

Tendances (20)

บทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทย
บทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทยบทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทย
บทที่ 6 การใช้ภาษาบาลีและการใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทย
 
โคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพโคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพ
 
คำสมาส สนธิ
คำสมาส สนธิ คำสมาส สนธิ
คำสมาส สนธิ
 
ชีทสรุป ม.4 เทอม 2 โดยครูเนยวิภา.pdf
ชีทสรุป ม.4 เทอม 2 โดยครูเนยวิภา.pdfชีทสรุป ม.4 เทอม 2 โดยครูเนยวิภา.pdf
ชีทสรุป ม.4 เทอม 2 โดยครูเนยวิภา.pdf
 
ความตึงผิวและความหนืด
ความตึงผิวและความหนืดความตึงผิวและความหนืด
ความตึงผิวและความหนืด
 
ชุดฝึกทักษะเรื่องไฟฟ้าสถิต ชุดที่ 1
ชุดฝึกทักษะเรื่องไฟฟ้าสถิต ชุดที่ 1ชุดฝึกทักษะเรื่องไฟฟ้าสถิต ชุดที่ 1
ชุดฝึกทักษะเรื่องไฟฟ้าสถิต ชุดที่ 1
 
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ศิลาจารึกหลักที่ ๑
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
 
บทที่ 3 แรง และ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
บทที่ 3 แรง และ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันบทที่ 3 แรง และ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
บทที่ 3 แรง และ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
 
กาพย์เห่เรือ บทชมปลา ภาษาไทย ม.6
กาพย์เห่เรือ บทชมปลา ภาษาไทย ม.6 กาพย์เห่เรือ บทชมปลา ภาษาไทย ม.6
กาพย์เห่เรือ บทชมปลา ภาษาไทย ม.6
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
 
ใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
ใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
ใบความรู้ เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
 
แบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒ นักเรียน
แบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒  นักเรียนแบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒  นักเรียน
แบบฝึกหัดคำภาษาต่างประเทศ ม.๒ นักเรียน
 
ใบความรู้สนามแม่เหล็ก
ใบความรู้สนามแม่เหล็กใบความรู้สนามแม่เหล็ก
ใบความรู้สนามแม่เหล็ก
 
1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)
1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)
1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)
 
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
 
ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อนประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน
 
ความตึงผิว
ความตึงผิวความตึงผิว
ความตึงผิว
 
ใบความรู้เรื่องคำซ้อน
ใบความรู้เรื่องคำซ้อนใบความรู้เรื่องคำซ้อน
ใบความรู้เรื่องคำซ้อน
 
คำกริยา
คำกริยาคำกริยา
คำกริยา
 

En vedette

โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
Tanapon Wannachai
 
สื่อคำบาลี
สื่อคำบาลีสื่อคำบาลี
สื่อคำบาลี
vorapong4
 
ปริศนาทายคำจากภาพ
ปริศนาทายคำจากภาพปริศนาทายคำจากภาพ
ปริศนาทายคำจากภาพ
Dashodragon KaoKaen
 
ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙
ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙
ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙
Nongkran Jarurnphong
 
ประโยคความรวม กลุ่ม๓
ประโยคความรวม กลุ่ม๓ประโยคความรวม กลุ่ม๓
ประโยคความรวม กลุ่ม๓
Nongkran Jarurnphong
 
งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)
งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)
งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)
Nongkran Jarurnphong
 
ประโยคตามเจตนา 7
ประโยคตามเจตนา 7ประโยคตามเจตนา 7
ประโยคตามเจตนา 7
Nongkran Jarurnphong
 

En vedette (10)

โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
สื่อคำบาลี
สื่อคำบาลีสื่อคำบาลี
สื่อคำบาลี
 
ปริศนาทายคำจากภาพ
ปริศนาทายคำจากภาพปริศนาทายคำจากภาพ
ปริศนาทายคำจากภาพ
 
กลุ่มที่ ๒
กลุ่มที่ ๒กลุ่มที่ ๒
กลุ่มที่ ๒
 
ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙
ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙
ชนิดของประโยคแบ่งตามเจตนา ๕ ๙
 
ประโยคความรวม กลุ่ม๓
ประโยคความรวม กลุ่ม๓ประโยคความรวม กลุ่ม๓
ประโยคความรวม กลุ่ม๓
 
งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)
งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)
งานนำเสนอ1ภาษาไทย(ประโยคความรวม) (2)
 
ประโยคตามเจตนา 7
ประโยคตามเจตนา 7ประโยคตามเจตนา 7
ประโยคตามเจตนา 7
 
Flickr
FlickrFlickr
Flickr
 
กลุ่มที่ ๑
กลุ่มที่ ๑กลุ่มที่ ๑
กลุ่มที่ ๑
 

Similaire à คำสมาส

ครั้ง๗
ครั้ง๗ครั้ง๗
ครั้ง๗
vp12052499
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
vp12052499
 
Kam
KamKam
Kam
sa
 
สมาส สนธิ 2 ครบ
สมาส สนธิ 2  ครบ สมาส สนธิ 2  ครบ
สมาส สนธิ 2 ครบ
Anan Pakhing
 
อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์
Kalasom Mad-adam
 
อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์
Kalasom Mad-adam
 
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
Tongsamut vorasan
 
ลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทยลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทย
Siraporn Boonyarit
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
wattanaka
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
wattanaka
 
หลักภาษา
หลักภาษาหลักภาษา
หลักภาษา
sukuman139
 

Similaire à คำสมาส (20)

ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
Intro computer
Intro  computerIntro  computer
Intro computer
 
๑. ลักษณะคำประพันธ์[1]
๑. ลักษณะคำประพันธ์[1]๑. ลักษณะคำประพันธ์[1]
๑. ลักษณะคำประพันธ์[1]
 
ครั้ง๗
ครั้ง๗ครั้ง๗
ครั้ง๗
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
ใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำ
ใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำ
ใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำ
 
Kam
KamKam
Kam
 
โครงงานคำควบกล้ำ
โครงงานคำควบกล้ำโครงงานคำควบกล้ำ
โครงงานคำควบกล้ำ
 
Korat
KoratKorat
Korat
 
สมาส สนธิ 2 ครบ
สมาส สนธิ 2  ครบ สมาส สนธิ 2  ครบ
สมาส สนธิ 2 ครบ
 
อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์
 
อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์อุปกรณ์การประพันธ์
อุปกรณ์การประพันธ์
 
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
 
ลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทยลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทย
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
การสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทยการสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทย
 
หลักภาษา
หลักภาษาหลักภาษา
หลักภาษา
 
การสร้างคำ
การสร้างคำการสร้างคำ
การสร้างคำ
 
คำไทยแท้
คำไทยแท้คำไทยแท้
คำไทยแท้
 

คำสมาส

  • 1. คำสมำส เป็นคำ ที่เกิดจำกกำรรวมคำ สองคำ ซึ่งต่ำงก็เป็นคำ บำลีหรือสันสกฤตเข้ำเป็นคำ เดียวกัน โดยกำรนำ มำเรียงต่อกัน ไม่ได้มีกำรดัดแปลงรูปอักษร มีกำรออกเสียง อะ อิ อุ ระหว่ำงคำ เช่น ประวัติ+ศำสตร์ → ประวัติศำสตร์ ฆำตกรรม ตัวอย่ำงคำสมำส กรรมกำร อ่ำนว่ำ กำ-มะ-กำน (มำจำกคำว่ำ กรฺม + กำร) คณบดี อ่ำนว่ำ คะ-นะ-บอ-ดี (มำจำกคำว่ำ คณ + ปติ) จิตรกร อ่ำนว่ำ จิต-ตฺระ-กอน (มำจำกคำว่ำ จิตร + กร) เจตคติ อ่ำนว่ำ เจ-ตะ-คะ-ติ ชนบท อ่ำนว่ำ ชน-นะ-บด (มำจำกคำว่ำ ชน + ปท) ประถมศึกษำ อ่ำนว่ำ ประ-ถม-มะ-สึก-สำ ประวัติศำสตร์ อ่ำนว่ำ ประ-หวัด-ติ-สำด มนุษยชน อ่ำนว่ำ มะ-นุด-สะ-ยะ-ชน มัธยมศึกษำ อ่ำนว่ำ มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ มำตรฐำน อ่ำนว่ำ มำด-ตฺระ-ถำน รัฐมนตรี อ่ำนว่ำ รัด-ถะ-มน-ตฺรี วิทยบริกำร อ่ำนว่ำ วิด-ทะ-ยะ-บอ-ริ-กำน วิกฤตกำรณ์ อ่ำนว่ำ วิ-กฺริด-ตะ-กำน สัตวแพทย์ อ่ำนว่ำ สัด-ตะ-วะ-แพด สำธำรณภัย อ่ำนว่ำ สำ-ทำ-ระ-นะ-ไพ อุทกภัย อ่ำนว่ำ อุ-ทก-กะ-ไพ คำสมำสบำงคำไม่อ่ำนออกเสียงสระท้ำยพยำงค์ของคำหน้ำ (ไม่อ่ำนออกเสียงอย่ำงสมำส) คำที่เป็นชื่อจังหวัด ไม่อ่ำนออกเสียง “อะ” ท้ำยพยำงค์ของคำหน้ำ ตัวอย่ำงเช่น ชลบุรี ชัยนำท นค รพนม นครสวรรค์ปทุมธำนี ปรำจีนบุรี ลพบุรี สกลนคร สมุทรปรำกำร สมุทรสงครำม สมุทรสำคร สุ พรรณบุรี อุดรธำนี อุทัยธำนี ชื่อจังหวัดที่ต้องออกเสียงอย่ำงสมำส อ่ำนออกเสียง “อะ” ท้ำยพยำงค์ของคำหน้ำ ตัวอย่ำงเช่น เพชรบุรี อ่ำนว่ำ เพ็ด-ชะ-บุ-รี เพชรบูรณ์ อ่ำนว่ำ เพ็ด-ชะ-บูน รำชบุรี อ่ำนว่ำ รำด-ชะ-บุ-รี คำที่อ่ำนอย่ำงสมำสแต่ไม่ใช่คำสมำส
  • 2. นอกจำกนี้ยังมีคำที่ไม่ใช่คำสมำสแต่อ่ำนอย่ำงสมำส (เป็นเพรำะว่ำมีคำหนึ่งมำจำกภำษำบำลีหรือสันส กฤต และมีอีกคำหนึ่งที่มำจำกภำษำไทยแท้หรือภำษำอนื่ทไี่ม่ใช่ภำษำดังกล่ำว) ทั้งหมดนี้จัดว่ำเป็นเป็นคำประสม ซึ่งเป็นวิธีสร้ำงคำของไทย ตัวอย่ำงคำ กรมขุน อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-ขุน กรมท่ำ อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-ท่ำ กรมพระ อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-พฺระ กรมวัง อ่ำนว่ำ กฺรม-มะ-วัง กลเม็ด อ่ำนว่ำ กน-ละ-เม็ด คุณค่ำ อ่ำนว่ำ คุน-นะ-ค่ำ พระพุทธเจ้ำ อ่ำนว่ำ พฺระ-พุด-ทะ-เจ้ำ ทุนทรัพย์ อ่ำนว่ำ ทุน-นะ-ซับ (ทุน เป็นคำไทยแท้) ผลไม้ อ่ำนว่ำ ผน-ละ-ไม้ พลขับ อ่ำนว่ำ พน-ละ-ขับ พลควำม อ่ำนว่ำ พน-ละ-ควำม พลร่ม อ่ำนว่ำ พน-ละ-ร่ม พลเมือง อ่ำนว่ำ พน-ละ-เมือง พลเรือน อ่ำนว่ำ พน-ละ-เรือน สรรพสินค้ำ อ่ำนว่ำ สับ-พะ-สิน-ค้ำ สรรพสิ่ง อ่ำนว่ำ สับ-พะ-สิ่ง ดังนั้น จึงควรหันมำใส่ใจหลักกำรอ่ำนคำไทย เพื่อเรำจะอ่ำนคำไทยได้อย่ำงถูกต้องไม่อำยใครอันเป็น กำรรักษ์ภำษำไทยให้เป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่สำคัญตรำตรึงไว้ในใจคนไทยทุกนะครับ ตัวอย่ำงคำ มูลพยำงค์เดียว
  • 3. นำม คน ไก่ ข้ำว ไข่ ช้อน บุญ กรรม สรรพนำม ฉัน เขำ ท่ำน คูณ อั๊ว ลื้อ กริยำ กิน นอน เดิน วิ่ง วิเศษณ์ แดง ดำ นิ่ม ฟรี บุพบท ใน นอก เหนือ ใต้ สันธำน แต่ และ ถ้ำ กับ อุทำน โอ้ย ว้ำย ว้ำว
  • 4. ๑. คำ มูลพยำงค์เดียว คำ ไทยแท้ส่วนใหญ่เป็นคำ มูลพยำงค์เดียว และมีตัวสะกดตรงตำมมำตรำ เช่น เขียว ขำว แดง เหนือ ใต้ ร้อน เย็น เล็ก แคบ ลุง ป้ำ คำ มูลพยำงค์เดียวที่มำจำกภำษำอื่น ภำษำจีน เช่น โต๊ะ เก๋ง ก๊ก ภำษำอังกฤษ เช่น เมตร ฟรี บล็อก ภำษำบำลีสันสกฤต เช่น บำตร ผล เวร บำป บุญ เนตร ๒. คำ มูลหลำยพยำงค์ เป็นคำ ที่ออกเสียงตั้งแต่ ๒ พยำงค์ขึ้นไปไม่สำมำรถแยกพยำงค์ออกจำกกันได้เพรำะทำ ให้ไม่ได้ควำมหมำย เช่น คำ มูลที่เป็นคำ ไทยแท้ เช่น มะละกอ โหระพำ เกเร สะดุด จะละเม็ด
  • 5. คำ มูลหลำยพยำงค์ที่มำจำกภำษำอื่น ภำษำจีน เช่น บะหมี่ เฉำก๊วย ฮ่อยจ๊อ ภำษำอังกฤษ เช่น คอมพิวเตอร์ สติ๊กเกอร์ ภำษำมลำยู เช่น กะลำสี ภำษำเขมร เช่น เสวย ภำษำบำลีสันสกฤต เช่น บิดำ นำฬิกำ บริสุทธ์ิ ระบบเสียงในภำษำไทย ระบบเสียงในภำษำไทย แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ เสียงสระ หรือเสียงแท้ คือเสียงที่เปล่งโดยให้ลมออกทำงช่องปำก และไม่กระทบหรือถูกปิดกั้น จำกอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ในช่องปำก เสียงสระในภำษำไทยแบ่งออกเป็น 1.1 สระแท้หรือสระเดี่ยว มี 18 เสียงดังนี้ ระดับลิ้น (ปลำยลิ้น ) สระหน้ำ (กลำงลิ้น) สระกลำง (โคนลิ้น) สระหลัง ระดับสูง อิ อี อึ อื อุ อู
  • 6. กลำงสูง เอะ เอ เออะ เออ โอะ โอ กลำงต่ำ แอะ แอ - - เอำะ ออ ต่ำ - - อะ อำ - - 1.2 สระเลื่อน หรือ สระประสม มี 3 เสียงดังนี้ สระเอีย (= อี + อำ) สระ เอือ (= อือ + อำ) และสระ อัว (= อู + อำ) สระประสมเกิดจำกกำรเลื่อนของลิ้น ในระดับสูง ลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ำ "สระเลื่อน" ในบำงตำ รำ จะเพิ่มสระเลื่อนเสียงสั้น มักเป็นคำ เลียนเสียงธรรมชำติ หรือไม่ ก็เป็นคำ ที่ยืมมำจำกภำษำอื่น เช่น ผัวะ ยัวะ เปรี๊ยะ เกี๊ยะ เจี๊ยะ 1.3 สระเกิน คือสระที่มีเสียงพยัญชนะประสมอยู่ด้วย ไม่จัดว่ำเป็นสระที่แท้จริง คือ ฤ(=ร+อึ) ฤำ(=ร+อื) ฦ (=ล+อื) อำ (=อะ+ม) ไอ ใอ (=อะ+ย) เอำ (=อะ+ว) ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเสียงสระ 1. เสียงสระสั้น - ยำวของเสียงสระเดี่ยว สำมำรถแยกควำมหมำยของคำ ให้แตกต่ำงกัน เช่น มิด - มีด, เข็ด - เขต, อึด - อืด, อุด - อูฐ, หด - โหด 2. ฤ ฤำ ฦ ฦำ อำ ไอ ใอ เอำ ถือเป็นสระเกิน คือสระที่มีเสียงพยัญชนะประสมอยู่ด้วย ดังนั้น สระเกินเหล่ำนี้ จึงไม่สำมำรถมีตัวสะกดได้อีก 3. เมื่อประสมคำเข้ำกันแล้ว รูปสระอำจจะลดรูปหรือเปลี่ยนรูปได้ เช่น • ลดรูปวิสรรชนีย์ (สระอะ) เช่น อนุชำ พนักงำน ณ ธ • เปลี่ยนรูปวิสรรชนีย์เป็นไม้ผัด (ไม้หันอำกำศ) เมื่อมีตัวสะกด เช่น กัก กัด กัน และเป็นตัว ร หัน เช่น สรร สวรรค์ • เปลี่ยนรูปสระออ ในบำงคำ เช่น บ่ จรลี ทรกรรม พร กร (ส่วนมำกเป็น ตัว ร สะกด) • เปลี่ยนรูปสระเอะ แอะ เป็นไม้ใต่คู้ เช่น เล็ก เก็ง แข็ง บำงคำ เพียงแต่ลดรูป เช่น เพชร เป็นต้น • ลดรูปสระโอะ เช่น คน กก กง กด กบ ลด นก จด ขด นนท์ • เปลี่ยนรูปสระเอำะ โดยใช้ตัว อ กับไม้ใต่คู้แทน เช่น ล็อคเกต หรือเพียง แต่ลดรูป เช่น นอต เป็นต้น • เปลี่ยนรูปสระเออ เป็นรูปสระอิแทนรูป อ เช่น เกิน เริง เชิด เพลิง • ลดรูป อ ในสระเออ ในคำ ที่สะกดด้วยแม่เกย เช่น เกย เขย เคย (ปัจจุบัน ยังมีคำ ที่เขียนเต็มรูปอยู่บ้ำง เช่นเทอม เทอญ เป็นต้น) • ลดรูปไม่ผัดในสระ อัว ในคำ ที่มีตัวสะกด เช่น ควง ขวด เพรำะฉะนั้น เวลำพิจำรณำเรื่องเสียงสระ ต้องไม่ลืมนึกถึงกำรลดรูป หรือเปลี่ยนรูปสระด้วย • เสียงสระบำงเสียงใช้รูปสระแทนได้หลำยรูป เช่น เสียง ไอ อำจเขียน ใน ไน นัย ทำ ให้ควำมหมำยต่ำงกัน • เสียงสระบำงเสียงใช้อักษรแทนได้หลำยรูปเช่น เสียง อำ อำจเขียน ทำ ธรรม
  • 7. ตำแหน่งของเสียงพยัญชนะ ปรำกฏได้ใน 2 ตำ แหน่ง คือ 1. ตำแหน่งต้นคำ พยัญชนะทุกเสียงในภำษำไทยปรำกฏในตำ แหน่งต้นคำ โดยปรำกฏเพียงตัวเดียวเช่น สวน อ่ำง หู และปรำกฏ 2 เสียง คือควบเสียง / ร / / ล // ว / เป็นเสียงควบกล้ำ เช่น กรำด กลำด กวำด 2. ตำแหน่งพยำงค์ท้ำย เสียงพยัญชนะที่ปรำกฏในตำ แหน่งพยำงค์ท้ำย 8 เสียง ได้แก่ / ป / - แม่กบ / ต / - แม่กด / ก / - แม่กก / ง / - แม่กง / น / - แม่กน / ม / - แม่กม / ย / - แม่เกย / ว / - แม่เกอว พยัญชนะไทยมีทั้งหมด 21 เสียง และแทนด้วยตัวอักษรถึง 44 รูป ในระบบเขียนจึงมักเกิดปัญหำว่ำ จะใช้อักษรตัวไหนเขียนแทนเสียงนั้น ๆ หำกไม่รู้ควำมหมำยเสียก่อน พยัญชนะต้น • เสียง / ข / มีรูป ข ค ฆ เช่น ไข่ คน เฆี่ยน • เสียง / ช / มีรูป ฉ ช ฌ เช่น ฉำน ชำน ฌำน • เสียง / ถ / มีรูป ฐ ฒ ถ ท ธ (ฑ ในบำงคำ ) เช่น ฐำน เฒ่ำ ถุง ท่ำน ธง มณโฑ ตัวสะกด มำตรำแม่ กก ใช้ ก ข ค ฆ สะกดได้ เช่น โกรก เลข อัคนี เมฆ มำตรำแม่ กง ใช้ ง สะกด เช่น หมำง ยุง มำตรำแม่ กด ใช้ จ ฎ ฏ ฐ ฒ ด ต ถ ท ธ ซ ส ศ ษ สะกดได้แก่ อัจฉรำ บงกซ กฎ ปรำกฏ มำตรำแม่ กน ใช้ น ญ ณ ร ล ฬ สะกดได้แก่ กัน กัญญำ ญำณ มำตรำแม่ กบ ใช้ บ ป พ ฟ ภ สะกดได้แก่ อบ บำป มำตรำแม่ กม ใช้ ม สะกด เช่น กรรม มำตรำแม่ เกย ใช้ ย สะกด เช่น ขวย รวย มำตรำแม่ เกอว ใช้ ว สะกด เช่น วำว รูปพยัญชนะที่ไม่ใช้เป็นตัวสะกดเลย คือ ฉ ฌ ผ ฝ อ ห ฮ ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเสียงพยัญชนะ 1. เสียงพยัญชนะมี 21 เสียง แต่แทนด้วยรูปพยัญชนะ 44 รูป จึงมีปัญหำเกี่ยวกับกำรเขียน 2. รูปพยัญชนะมีลักษณะผูกพันกับเสียงวรรณยุกต์ กำรที่เรำจัดอักษรสูง กลำง ต่ำ แสดงว่ำ ตัวพยัญชนะของเรำ เมื่อผสมสระแล้ว จะเกิดเสียงวรรณยุกต์ติดตำมมำ 3. รูปพยัญชนะบำงตัวไม่ออกเสียง • พยัญชนะที่มีเครื่องหมำยทัณฑฆำตกำ กับ เช่น สงฆ์ วงค์ จันทร์ • พยัญชนะที่ตำมหลังพยัญชนะสะกดบำงคำ เช่น สมุทร พุทธ • ร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอักษรควบไม่แท้ เช่น ทรง ทรำบ ทรวง เสด็จ
  • 8. • ร หรือ ห ที่นำ หน้ำพยัญชนะสะกดบำงคำ เช่น ปรำรถนำ พรหม • ห หรือ อ ที่นำ อักษรเดี่ยว เช่น หลำย หลำก อย่ำ อยู่ 4. ตัวอักษรเรียงกัน 2 ตัว บำงครั้งออกเสียงควบ บำงครั้งออกเสียง สระแทรก เช่น จมปลัก ปรักหักพัง 5. ตัว "ว" ทำ หน้ำที่ได้หลำยอย่ำง เช่น สระอัว เช่น กลัว รวย • พยัญชนะควบ เช่น ควำย ขวำด พยัญชนะต้น วูบ วำบ • อักษรนำ เช่น หวั่น ไหว พยัญชนะท้ำย เช่น รำว ร้ำว 6. เสียงวรรณยุกต์ หรือเสียงดนตรี คือ เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่เปล่งออกมำพร้อมกับเปล่งเสียง สระเสียง ต่ำ นี้ ทำ ให้ควำมหมำยต่ำงกัน เสียงวรรณยุกต์ในภำษำไทย มี 5 เสียง คือ สำมัญ เอก โท ตรี และจัตวำ ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเสียงวรรณยุกต์ คำ ไทยบำงคำ ออกเสียงวรรณยุกต์ไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์ หรือมีเสียงวรรณยุกต์แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ มีหลักสังเกต คือ 1. คำ ที่ออกเสียงไม่ตรงรูปวรรณยุกต์ คือ อักษรต่ำ คำ เป็นและคำ ขยำย ถ้ำมีรูปวรรณยุกต์ เอก จะออกเสียงเป็นเสียงโท และถ้ำมีรูปวรรณยุกต์ โท จะออกเสียงเป็นเสียงตรี 2. คำ ที่ออกเสียงวรรณยุกต์ แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ คือ คำ ที่เป็นพื้นเสียงของอักษรทั้ง 3 หมู่ ได้แก่ • อักษรสูง คำ เป็น พื้นเสียงจัตวำ คำ ตำยพื้นเสียง เอก • อักษรต่ำ คำ เป็น พื้นเสียงสำมัญ คำ ตำยเสียงยำว พื้นเสียงโท คำ คือเสียงที่เปล่งออกมำ เเละมีควำมหมำยอย่ำงหนึ่งจะเป็นกี่พยำงค์ก็ได้ เช่น รถ มี 1 คำ 1 พยำงค์ หมำยถึง ยำนพำหนะชนิดหนึ่ง โรงเรียน มี 1 คำ 2 พยำงค์ " สถำนที่ศึกษำ นำฬิกำ มี 1 คำ 3 พยำงค์ " สิ่งที่ใช้บอกเวลำ พยำงค์ คือเสียงที่เปล่งออกมำครั้งหนึ่ง จะมีควำมหมำยหรือไม่มีควำมหมำยก็ได้ พยำงค์เเต่ละพยำงค์ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ เสียงพยัญชนะ ตัวสะกด เเละ
  • 9. ตัวกำรันต์ ตัวอย่ำงกำรแยกพยำงค์ 1. ศรีรัตนโกสินทร์ อ่ำนว่ำ สี-รัด-ตะ-นะ-โก-สิน 2. กรมพระกำ เเพงเพชรอัครโยธิน อ่ำนว่ำ กรม-มะ-พระ- กำ -เเพง-เพ็ด-อัก-คะ-ระ-โย-ทิน จังหวะในกำรพูดกลุ่มคำ ที่สัมพันธ์กัน เมื่อพิจำรณำกำรออกเสียงพูดของภำษำไทย เรำจะสังเกตเห็นว่ำ มีกำรออกเสียงพยำงค์หนักบ้ำงเบำบ้ำงตำมลักษณะของคำ ตำมจังหวะของคำ ที่ทำ หน้ำที่ต่ำงๆ ในประโยค และตำมกำรกำ หนดควำมหมำยของคำ ที่เรียงกันในประโยคหรือข้อควำมที่พูดนั้น คำ ที่เรียงตำมลำ ดับกันมำเหมือนๆ กัน ถ้ำออกเสียงพยำงค์หนักเบำต่ำงกัน หรือเว้นจังหวะระหว่ำงพยำงค์หรือคำ ต่ำงกัน ก็จะสื่อควำมหมำยต่ำงกัน กำรที่จะทำ ควำมเข้ำใจภำษำไทยจึงต้องกำรควำมรู้ทั้งเรื่องเสียงของคำ กำรลงน้ำ หนักพยำงค์ และกำรเว้นจังหวะของพยำงค์หรือคำ ด้วย ลองพิจำรณำประโยคตัวอย่ำงต่อไปนี้ ถ้ำครูยกตัวอย่ำงมำก นักเรียนก็จะเข้ำใจดี ถ้ำครูยกตัว อย่ำงมำก นักเรียนก็อำจจะหลงชื่นชมครูหรือไม่ก็ไม่ชอบครูไปเลย ดูซิ จะเอำข้ำวคลุกกะปิ ก็หมด ดูซิ จะเอำข้ำวคลุก กะปิก็หมด ลูกจ้ำง มีไว้ก็ต้องให้เขำทำ งำน ลูก จ้ำงมีไว้ก็ต้องให้เขำทำ งำน เมื่อจะผ่ำตัด ตอนเช้ำต้องให้งดอำหำร เมื่อจะผ่ำตัดตอนเช้ำ ต้องให้งดอำหำร
  • 10. เด็กคนนี้ ไม่สวยเหมือนแม่ เด็กคนนี้ไม่สวย เหมือนแม่ เพรำะนำยสีเป็นคนดีกว่ำ นำยแสงจึงถูกลงโทษ เพรำะนำยสีเป็นคนดีกว่ำนำยแสง จึงถูกลงโทษ ตัวอย่ำงข้อควำมที่ยกมำข้ำงต้นนี้ แสดงให้เห็นว่ำ เพียงแยกพยำงค์ผิดที่นิดเดียว ควำมหมำยของข้อควำมที่พูดก็ต่ำงกันไป ลองพิจำรณำตัวอย่ำงต่อไปนี้ ทำ ไมมำ เอำห้ำโมง ทำ ไมมำเอำ ห้ำโมง เขำยก ตัวอย่ำงมำก เขำยกตัว อย่ำงมำก หนังสือเล่มนี้มันดี หนังสือเล่มนี้ มันดี กำแฟเย็น หมด กำแฟ เย็นหมด ตัวอย่ำงที่ยกมำข้ำงต้นนี้ แสดงให้เห็นว่ำ กำรลงน้ำ หนักพยำงค์หนักเบำผิดกันก็ทำ ให้สื่อควำมหมำยต่ำงกัน ในกำรสอนพูดสอนอ่ำนครูจึงควรให้ควำมสำคัญกับกำรแบ่งวรรคตอนของข้อควำม สอนกำรลงน้ำ หนักพยำงค์ และกำรรวบพยำงค์ซึ่งอยู่ในกลุ่มควำมหมำยเดียวกันเข้ำไว้ด้วยกันด้วย ในกำรอ่ำนเมื่อสะกดคำ ได้แล้วควรให้ออกเสียงตำมลักษณะที่เป็นเสียงพูดปรกติในภำษำ
  • 11. พยำงค์หนักเบำในภำษำไทย ในภำษำไทย คำ สองพยำงค์มักจะออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์เบำ พยำงค์หลังเป็นพยำงค์หนัก แต่ก็มีหลำยคำ ที่ออกเสียงเป็นพยำงค์หนักทั้ง ๒ พยำงค์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับควำมหมำยของคำ แต่ละคำ ในกำรสอนอ่ำนจึงต้องสอนให้สังเกตพยำงค์ที่ลงน้ำ หนักต่ำงกันด้วย เช่น ตัวอย่ำงคำ ต่อไปนี้ ซึ่งเป็นคำ สองพยำงค์ ในแต่ละคู่ พยำงค์หน้ำเขียนเหมือนกัน แต่จะออกเสียงต่ำงกัน ประเดี๋ยว ประเปรียว กะเบน กะเกณฑ์ ประปำ ประพรม ละลำย ละทิ้ง ละเลง ละเลย สะดวก สะสม สุภำพ สุสำน ฉบับ ฉะฉำน ชะลอม ชะล้ำง สะดวก สะสำง จรูญ จะแจ้ง คำ ในแถวหน้ำออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์เบำ พยำงค์หลังเป็นพยำงค์หนัก พยำงค์หน้ำซึ่งออกเสียงเบำนั้น ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้นกับสระเสียงสั้น วรรณยุกต์สำมัญ ส่วนคำ ในแถวหลัง ออกเสียงเป็นพยำงค์หนักทั้งสองพยำงค์ พยำงค์หน้ำประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น สระเสียงสั้น พยัญชนะท้ำยซึ่งเป็นเสียงกักในลำ คอ และมีวรรณยุกต์เอกหรือตรี กำรอ่ำนคำ ภำษำไทยที่จะให้ถูกต้องจึงต้องรู้จักคำ และควำมหมำยของคำ ด้วย จะอ่ำนตำมเสียงที่ตัวอักษรแทนโดยไม่พิจำรณำลักษณะอื่นด้วยไม่ได้ คำ พยำงค์เดียวและคำ หลำยพยำงค์ คำ ในภำษำไทยมีทั้งคำ พยำงค์เดียว คำ สองพยำงค์ และคำ หลำยพยำงค์ ในกำรออกเสียงคำ เหล่ำนั้น จะมีพยำงค์หนักและพยำงค์เบำคละกันไป ตำมลักษณะของคำ และควำมหมำยของคำ นั้น โดยทั่วไปคำ พยำงค์เดียวจะลงเสียงหนัก (ยกเว้น คำ ไวยำกรณ์ เช่น คำ ช่วยกริยำ คำ เชื่อม คำ บุพบท
  • 12. ในบำงกรณี) คำ สองพยำงค์จะลงน้ำ หนักที่พยำงค์หลัง ส่วนพยำงค์หน้ำอำจลงน้ำ หนักหรือลดน้ำ หนักเป็นพยำงค์เบำ คำ ตั้งแต่ ๓ พยำงค์ขึ้นไปจะมีพยำงค์เบำแทรกอยู่ โดยที่พยำงค์สุดท้ำยจะเป็นพยำงค์หนักเสมอ และพยำงค์เบำ ๒ พยำงค์ติดกันไม่ใคร่ปรำกฏ ที่มีอยู่บ้ำงล้วนเป็นคำ ที่ยืมมำจำกต่ำงประเทศหรือคำ ที่ไม่ทรำบที่มำ ต่อไปนี้จะยกตัวอย่ำงคำ สองพยำงค์ และคำ สำมพยำงค์ เพื่อแสดงให้เห็นพยำงค์ที่ออกเสียงเป็นพยำงค์เบำหรือพยำงค์ลดน้ำ หนัก เช่น คำ สองพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์เบำ สะดวก สบำย วิชำ กะทิ กระท้อน สุพรรณ ประดิษฐ์ คำ สองพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์หน้ำเป็นพยำงค์ลดน้ำ หนัก เวลำ อำหำร โรงเรียน หนังสือ ตำรำง ผ้ำนุ่ง เข็มขัด คำ สำมพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์ที่ ๑ เป็นพยำงค์เบำ มหึมำ มะลิวัลย์ กระดำนดำ พยำยำม ประชำชน คำ สำมพยำงค์ต่อไปนี้ ออกเสียงพยำงค์ที่ ๒ เป็นพยำงค์เบำ พัลวัน รำชกำร ทรชน คุณภำพ คุณศัพท์ พลเรือน
  • 13. ตอนที่ 3 พระมหำอุปรำชำยกทัพเข้ำเมืองกำญจนบุรี พระมหำอุปรำชำยกทัพผ่ำนด่ำนเจดีย์สำมองค์ ทรงรำพันถึงนำงสนมว่ำ เสด็จมำลำ พังพระองค์เดียวเปล่ำเปลี่ยวใจและน่ำเศร้ำนัก เมื่อทรงชมต้นไม้และดอกไม้ที่ทรงพบเห็นระหว่ำงทำงทำ ให้เบิกบำนพระทัยขึ้นมำบ้ำง แต่ก็ยังคิดถึงนำงสนมกำ นัลทั้งหลำย ทรงเห็นต้นสลัดไดทรงดำ ริถึงสำเหตุที่ต้องจำกนำงมำเพื่อทำ สงครำมกับข้ำศึก เห็นต้นสละเหมือนพระองค์สละนำงมำ เห็นต้นระกำ ที่ชื่อต้นไม้เหมือนใจของพระองค์ที่ระกำ เพรำะคิดถึงนำง เห็นดอกสำยหยุดซึ่งกลิ่นหอมจะหมดไปเมื่อเวลำสำย ต่ำงจำกใจของพระองค์แม้เวลำผ่ำนไปกี่วันกี่คืน มีแต่ควำมทุกข์คิดถึงนำงทุกค่ำ เช้ำ ไม่อำจหยุดรักนำงได้ ฝ่ำยเจ้ำเมืองกำญจนบุรี จัดทหำรไปสืบข่ำวในเขตมอญ ทหำรก็ลัดเลำะไปทำงลำ น้ำ แม่กษัตริย์ เห็นฉัตรห้ำชั้นก็ทรำบว่ำพระมหำอุปรำชำยกทัพมำ กลับมำแจ้งข่ำวศึกให้เจ้ำเมืองกำญจนบุรี เจ้ำเมืองทรำบข่ำวศึกปรึกษำกันแล้วเห็นว่ำกำ ลังทหำรมีน้อย คงต้ำนไม่ได้จึงชวนกันหลบหนีเข้ำป่ำ ส่วนกองทัพพระมหำอุปรำชำมำถึงแม่น้ำ ลำ กระเพิน ให้พระยำจิตตอง ทำ สะพำนไม้ไผ่เพื่อยกพลเดินข้ำมฟำก ชำวสยำมเห็นเช่นนั้นจึงมีสำร แล้วให้ขุนแผน (นำยด่ำน) ขี่ม้ำเร็วมำบอกพญำมหำดไทย เพื่อกรำบทูลเรื่องให้ทรงทรำบ ส่วนกองทัพมอญยกทัพมำถึงเมืองกำญจนบุรีเห็นบ้ำนเมืองว่ำงเปล่ำ ไม่มีผู้ใดออกสู้รบ จึงรู้ว่ำคนไทยทรำบข่ำวและหลบหนีไปหมด จึงให้ยกทัพเข้ำไปในเมือง แล้วต่อไปถึงตำ บลพนมทวน เกิดลมเวรัมภำพัดฉัตรหักลง ทรงตกพระทัย ทรงให้โหรทำ นำย โหรไม่กล้ำทูลตำมควำมจริง กลับทำ นำยว่ำ เหตุกำรณ์เช่นนี้หำกเกิดในตอนเช้ำไม่ดี ถ้ำเกิดในตอนเย็นจะได้ลำภ และจะชนะศึกครั้งนี้ พระมหำอุปรำชำได้ทรงฟังก็อดที่จะหวั่นพระทัยไม่ได้ด้วยเกรงพ่ำยแพ้ข้ำศึก กำรรบกับพระนเรศวร ใครก็ไม่อำจจะต่อสู้ได้ เสียดำยแผ่นดินมอญจะต้องพินำศเพรำะไม่มีใครอำจจะต่อสู้ต้ำนทำน สงสำรพระรำชบิดำ ที่จะต้องสูญเสียพระโอรสพระรำชบิดำทรงชรำภำพมำก เกรงจะพ่ำยแพ้ศึกสยำม หำกพระมหำอุปรำชำสิ้นพระชนม์ไม่มีใครเก็บผี(ศพ)ไปให้พระบิดำ ไม่มีใครเผำ พระรำชบิดำไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์ จะริเริ่มสงครำมเพียงลำ พังไม่ได้ พระองค์คงจะต้องคับแค้นพระทัย พระมหำอุปรำชำทรงรำพึงถึงพระคุณของพระรำชบิดำว่ำใหญ่หลวงนักเกรงว่ำจะไม่โอกำสกลับไปตอบแทนพระคุณ
  • 14. พระนเรศวรของไทยได้เบี่ยงศีรษะหอบอำวุธของศัตรูที่จะถูกพระองค์ด้วยทรงเอำมือปัดป้องไว้ ๑๔๔(๓๑๖) ช้ำงของพระนเรศวรได้เหวี่ยงสะบัดศีรษะไปมำได้ปะทะกับช้ำงศึกคอยเงยงัดคอของข้ำศึก ช้ำงของพระมหำอุปรำชำได้หลบเลี่ยงไปมำจนเสียท่ำจนต้องถอย ๑๔๕(๓๑๗) พลำดท่ำในกำรรบ และได้เหวี่ยงพระแสงของพระนเรศวรซึ่งได้แสดงฤทธ์ิเดชจนสำมำรถปรำบข้ำศึกได้ ฟันกับไหล่ด้ำนถนัดจนคอขำด ๑๔๖(๓๑๘) อกแตกแยกออกจนฟุบลง เอนตัวล้มลงซุกบนคอช้ำงอย่ำงน่ำสงสำรในที่สุดก็สิ้นชีพขึ้นไปยังสรวงสวรรค์