Contenu connexe
Similaire à FWD MAIL ...คิดไม่ถึง (17)
Plus de taweesak supanan (20)
FWD MAIL ...คิดไม่ถึง
- 1. “ กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา…” พระสวดไป ใจยังวุ่นวาย รับรู้ไม่ได้ว่าสวดอะไร คงสวดให้ผู้ตายฟัง เรานั่งเฉย ๆ ก็พอ ฟังพระสวดเพื่อมารยาท คงพลาดอานิสงฆ์ ใจคงไม่เข้าใจ ถ้าฟังไป ภาวนาไป ใจคงเห็นความจริง ว่าที่นอนนิ่ง ๆ นั่นมิใช่ใคร คนเคยมีหัวใจเช่นเรา วันนี้เป็นโอกาสเขา “ พรุ่งนี้อาจเป็นโอกาสเรา” พระสวด
- 2. เสียงเคาะโลง มีเสียงพูดเบา ๆ จากผู้เคาะว่า “ รับศีลนะ ทานข้าวนะ ฟังพระสวดนะ” ทำไปเพื่ออะไร หรือเพียงแค่เคยทำตามกันมา หรือว่า “เคาะประชดคนเป็น” ในยามมีชีวิตอยู่ เตือนแค่ไหนก็เตือนเถิด ดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ในยามนี้ เตือนไปก็คงไร้ความหมาย คนตายจะไปรับรู้อะไร เคาะเตือนคนเป็น ให้เห็นถึงความจริงว่า “ สิ่งที่ดีเร่งขวนขวาย” วัว ควาย ช้าง ม้ายามมันมรณาประโยชน์ได้ มนุษย์นี่ซิเน่าเปื่อยสูญเปล่าไป ดีชั่วที่ทำไว้ส่องให้โลกเห็น เคาะโลง
- 3. ชีวิตใครบางคน ถ้าไม่ตาย ก็คงไม่มีใครให้ความสนใจ มากมายเช่นนี้ อาหาร ผลไม้นานาชนิด จัดเรียงรายด้านหน้าโลง สิ่งใดที่ผู้ตายชอบใจ แพงแค่ไหนก็แสวงหามา เพื่อเป็นเครื่องเซ่น แด่ดวงวิญญาณ ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ในยามผู้ตายมีชีวิตอยู่ เราคงได้เห็นสีหน้า และได้รับคำขอบใจ อาหารก็ยังคงเป็นประโยชน์ แก่ผู้รับด้วย แต่เวลานี้…ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างคงอยู่สภาพเดิม บุคคลที่จะรับวัตถุสิ่งของเรา ขณะนี้เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว หรือว่าทำไป เพียงเพื่อสนองความรู้สึกเรา ในยามมีชีวิตถ้าเราแสดงออก ซึ่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กัน คงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าเหตุการณ์ “ อาหารหน้าโลง” เป็นแน่ อาหารหน้าโลง
- 4. ในยามสูญเสีย บุคคลอันเป็นที่รัก หรือญาติมิตร คงไม่มีใครคิดที่จะดีใจ พกพาความสุขและรอยยิ้มหรอกนะ สีดำ…เป็นสีแห่งความทุกข์ โลกให้ความหมายไว้เช่นนั้น ในยามมีงานศพ เรามักพบแต่คนใส่ชุดสีดำส่วนมาก บ่งบอกว่า “กำลังไว้ทุกข์” ความจริงแล้วความทุกข์ของคน ใช่ว่าจะมีเรื่องความตาย สิ่งเดียวนั้นหาได้ไม่ “การเกิด การแก่ การเจ็บ ความผิดหวัง” สิ่งเหล่านี้ก็คือความทุกข์ทั้งสิ้น การใส่ชุดสีดำมางานศพ เพื่อบอกว่าเป็นการไว้ทุกข์ เป็นการทำตามประเพณี แต่ถ้าจะให้ดีต้องไว้ทุกข์ด้วยใจ เพ่งถึงสภาวะความพลัดพราก ความไม่แน่นอน และบอกตัวเองว่าเหตุการณ์เช่นนี้ คงต้องเกิดขึ้นกับเรา ชุดสีดำ
- 5. เสียงพระบริกรรม ในขณะพิจารณาผ้าบังสุกุลว่า… “ อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติเตสัง วูปะสะโม สุโข” แปลความว่า… . ร่างกายนี้หนอ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกสลายไป เป็นธรรมดา การพิจารณาร่างกายให้เห็น เป็นธรรมดา นั่นแหละหนา “คือ ความสงบสุข” บทพิจารณาบทนี้ ถ้ามีในใจใคร ถ้าสิ้นลมหายใจไปดูไม่จำเป็น ที่จะให้พระรูปใด ต้องมาพิจารณา แต่…ดูเหมือนว่า คนไม่กล้าพิจารณาเพราะกลัวว่า “จะตายไว” ทอดผ้าบังสุกุล
- 6. ดอกไม้จันทร์นับพันดอก ที่เหล่าญาติมิตรวางไว้ เพื่อไว้อาลัยกับการจากไป ของบุคคลที่ตนรัก บางคนวางลงทั้งน้ำตา ในใจบ่นว่า “ไม่น่าเลย” บางคนวางลงพร้อมเสียงร้องไห้ ในใจบ่นว่า “ทำไมต้องตายด้วย” บางคนวางลงพร้อมด้วยความสลดใจ ในใจบ่นว่า “ เราก็จะเป็นเช่นคุณ” บางคนวางลงพร้อมใจสงบนิ่งในใจ “ไม่ได้คิดอะไรเลย” ดอกไม้จันทร์ดอกนั้น ไม่คู่กับตัวฉันในวันที่นี้ แต่… จะคู่กับฉัน ในวันที่ฉันสิ้นลมหายใจ ... ดอกไม้จันทน์
- 7. การกระทำที่เกิดจากความคิด หวังให้ผู้ตายได้มีเงินใช้ จึงปรากฏเหรียญบาทในปากผี มนุษย์ผู้มีสติปัญญา มองเห็นว่า… นี่หนามนุษย์ ในที่สุด แม้เงินที่ใส่ไว้ในปาก ก็ไม่อาจเอาไปได้ แต่…ทำไมหนอชีวิตทั้งชีวิตจึงบ้าแต่กับคำว่า “เงิน” อยู่ตลอด วันตลอดคืน “เงิน” คือพระเจ้าที่สามารถดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจดลบันดาลให้มนุษย์พบแสงสว่างแห่งความจริงได้ว่า ... “ ชีวิต คือ ความทุกข์” เพราะว่า…เงินคือสิ่งโกหกมนุษย์อยู่ตลอดเวลาว่า “ ชีวิต คือ ความสุข” เหรียญบาทในปากผี
- 8. ต่างอยากเห็นหน้าว่า เวลานี้เจ้าเป็นเช่นไร พอเปิดโลงไป ทุกคนต่างเมินหน้าหนี ถึงจะสวยงดงามดังเทพี ก็คงไม่มีใครที่จะสนใจเจ้า ดูหน้าศพแล้วย้อนดูหน้าเรา คนมีชีวิตเขลาหรือไม่หนอ พยายามเสริมแต่งตามคำยอ เพื่อลวงล่อให้คนชม แท้ที่จริงเห็นความจริงมั้ย ว่าสวยสักปานใด พอเปิดโลงไป ทำไมต้องเมินหน้าหนี “ ความสวย คง แพ้ความดี” พึงทำให้มีดีจะสวยตลอดกาล ดูหน้า…ครั้งสุดท้าย
- 9. ในสมัยยังมีชีวิตอยู่ สู้แสวงหาเครื่องสำอางที่มีราคา เพียงเพื่อว่า…ให้ร่างกายข้าสวยสดงดงาม มาบัดนี้…เพียงสิ้นลมไม่กี่นาที กลิ่นที่ดีก็สูญสิ้นไป คนเคยชมเจ้าว่า…งามสง่า กลิ่นกายาเจ้าแสนหอม คนเคยยื้อแย่งและรุมตอม มาบัดนี้…จ้างก็ไม่ยอมเข้าชิดกายา แถมยังบ่นว่า…เจ้าช่างเหม็นจัง คิดบ้างเถอะว่าอย่าบ้าไปกับสังขาร อย่าหลอกตัวเองเลยนงคราญ อีกไม่นานก็ทุเรศสิ้นดี เพียรสร้างตัวให้มีแต่ความดี กลิ่นเจ้านี้ก็จะหอมมั่นคง ชั่วนิจนิรันดร์ โดยไม่มีวันจืดจาง กลิ่นศพ
- 10. “ เมรุมาศสวยบาดตา รู้มั้ยว่าเราไว้ทำอะไร” ชีวิตก็แค่นี้ ถ้าไม่ฝังก็เผา เราเคยเดินขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทร์ นับครั้งไม่ถ้วน วางดอกไม้ลงปลงใจไม่ได้ว่า “ เราก็จะเป็นเช่นเขา” เดินลงจากเมรุเริ่มคิดโครงการถึงเรื่องงาน และเรื่องเงิน คิดจนเพลินจนลืมคิดว่า “ คนเราไม่พ้นเมรุ” เมรุ
- 11. ไม่กี่นาที ร่างกายนี้ที่ไร้วิญญาณ ก็ถูกไฟเผาผลาญจนเป็นเถ้าถ่านโดยสิ้นเชิง แต่นั้นไฟมันเผาตอนตายแล้ว ในตอนที่มีชีวิตอยู่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ มนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากกิเลสตัณหา ย่อมถูกกระแสแห่งไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟโลภะ เผาอยู่ตลอดเวลา” ยอมไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้ รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก จมปลักกับกระแสแห่งโลกีย์ จนใคร ๆ เตือนไม่ได้ ปรารถนาจนนอนไม่หลับดูซิ…ถูกเผาแค่ไหน น่าสงสารใจดวงนี้จัง ไฟ
- 12. สัปเหร่อ บรรจงเก็บกระดูกใส่ถาดเพื่อนำไปเก็บไว้ มองดูไม่เห็นมีอะไรคงเห็นเพียง “เศษกระดูก” ชีวิตคนถ้ากระดูกจะมีค่าก็ต่อเมื่อ ชีวิตทั้งชีวิตเป็นคนดี ถ้าไร้ซึ่งความดี กระดูกกองนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกระดูกของสัตว์ บางครั้งยังสู้กระดูกสัตว์ไม่ได้ เห็นกระดูกในถาดอาจเห็นธรรมในใจได้ถ้าคิดเป็น ไม่สักแต่ว่าเห็น ว่านั่นคือกระดูกคน กระดูก