Contenu connexe
Similaire à รายงานผลการวิจัย ปี 2553 การจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์ (20)
Plus de Kobwit Piriyawat (20)
รายงานผลการวิจัย ปี 2553 การจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
- 2. 1
1. ชื่อผลงานวิจย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนเรื่ อง ป่ าชายเลน และความตระหนักต่อป่ าชายเลน
ั
ของนักเรี ยนโรงเรี ยนนนทรี วิทยา โดยการจัดกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา
ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง
ั
2. ชื่อ-ชื่อสกุลผู้วจยิั นายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
3. ตาแหน่ ง ครู ค.ศ.1
4. วุฒิการศึกษา การศึกษาบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) เอกวิทยาศาสตร์ทวไป ั่
มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ
การศึกษามหาบัณฑิต (การสอนวิทยาศาสตร์) มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ
5. สถานที่ตดต่อิ โรงเรี ยนนนทรี วิทยา เลขที่ 139 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา
กรุ งเทพมหานคร 10120 โทรศัพท์ 02-2862105 ต่อ 113
โทรสาร 02-2870729 โทรศัพท์มือถือ 086-8972892
อีเมล magnegis @ hotmail.com
6. ปี ที่ทาวิจยแล้วเสร็จ ปี 2553
ั
7. บทคัดย่อ
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน และความตระหนักต่อ
ป่ าชายเลนของนักเรี ยนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนียลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน
์
พิทกษ์นครหลวง ของนักเรี ยนโรงเรี ยนนนทรี วิทยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้
ั
เป็ นนักเรี ยนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เป็ นสมาชิกชุมนุมนนทรี วิทยาสร้างจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม
จานวน 70 คน ได้จากการ เลือกแบบเจาะจง ดาเนินการทดลองในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2553 ใช้เวลา
12 ชัวโมง การวิเคราะห์ขอมูลโดยทดสอบความแต กต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนเ และหลัง ทากิจกรรม
่ ้
ด้วยการทดสอบค่าทีแบบ t-test for dependent samples ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนเรื่ องป่ าชายเลน หลัง เข้า ร่ วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนร่ วมกิจกรรม โครงการ
สนองพระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง างมีนยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ั อย่ ั
2. ความตระหนักต่อป่ าชายเลนหลัง เข้า ร่ วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนร่ วมกิจกรรม โครงการ
สนองพระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง อย่างมีนยสาคัญทางสถิติที่ระดั.01
ั ั บ
8. หลักการ ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา
ป่ าไม้เป็ นทรัพยากรธรรมชาติที่มความสาคัญต่อสรรพสิ่งทั้งมวล เนื่องจากเป็ นจุดเริ่ มต้นของการ
ี
ก่อเกิดปัจจัยที่จาเป็ นในการดารงชีวิต มนุษย์และสรรพสัตว์ท้งหลายจึงมีความสัมพันธ์กบทรัพยากรป่ าไม้
ั ั
อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ป่ าไม้ที่พบเห็นโดยทัวไปแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ ป่ าบก ซึ่งหมายถึง ป่ าที่
่
ขึ้นอยูบนพื้นดิน และป่ าชายเลน ซึ่งหมายถึง ป่ าที่ข้ ึนบริ เวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล บริ เวณปากน้ า อ่าว ทะเลสาบ
่
และเกาะ เป็ นบริ เวณที่น้ าทะเลท่วมถึงของประเทศในแถบโซนร้อน ส่วนบริ เวณเขตเหนือหรื อใต้โซนร้อน
- 3. 2
จะพบป่ าชายเลนอยูบางเป็ นส่วนน้อย เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะสมนัก (ประสาน บารุ งราษฎร์ .
่ ้
2531: 5)
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ ิ พระ บรมราชินีนาถ ทรงเคยมีพระราชดารัสแสดงความห่วงใยป่ าไม้
ชายเลนที่กาลังถูกทาลายให้ลดจานวนลง ดังพระราชเสาวนียเ์ นื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
12 สิงหาคม 2544 ความตอนหนึ่งว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว สอนข้าพเจ้าว่าป่ าไม้ชายเลน นี้สาคัญ
่ ั
ที่สุด เพราะว่าเป็ นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ า เพราะพวกเราเองก็รับประทานปลา แล้วทานปู ทานกุงกันเยอะแยะ
้
เพราะฉะนั้นป่ าชายเลนนี้สาคัญในการที่จะรักษาเอาไว้เพื่อรักษาพันธุปลา พันธุกุง ให้มีมากมายเหมือนแต่
์ ์ ้
เก่าก่อน ขณะนี้ป่าชายเลนถูกทาลายมากมายก่ายกอง เราน่ าจะสอนลูกสอนหลานให้รู้ถึงคุณค่าป่ าชายเลน
ที่มีประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนในแผ่นดินนี้ที่ช่วยเก็บรักษา เช่น พันธุปลาต่างๆ”์
เนื่องจากป่ าชายเลนมีสภาพเป็ นโคลนเลน การพัฒนาป่ าชายเลนเพื่อนามาใช้ประโยชน์ จึงทาได้
ยากลาบาก ส่งผลให้ถกมองข้ามและไม่ได้รับ ความสนใจเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อพบว่า ป่ าชายเลนเป็ นแหล่ง
ู
อนุบาลสัตว์น้ าตามธรรมชาติ เป็ นแหล่งผลิตโซ่อาหารที่สาคัญแก่สตว์ทะเลทั้งปวง เพราะใบไม้ต่าง ๆ
ั
ที่ร่วงหล่นสู่พ้ืนน้ าและพื้นดินจะเน่าเปื่ อยเป็ นอาหารของแพลงค์ตอนและสัตว์น้ าต่าง ๆ เมื่อ ถึงเวลาที่ระดับ
น้ าลดลง กระแสน้ าจะพัดพาอาหารเหล่านี้ออกสู่ทองทะเลด้วย นอกจากนี้ป่าชายเลนยังมีคุณประโยชน์
้
อีกมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ป้ องกันการชะล้างพังทลายของชายฝั่ง ป้ องกันคลื่นลม พายุ ช่วยให้
แผ่นดินบริ เวณชายฝั่งทะเลงอกขยายออกไป ในทะเล อีกทั้งสามารถนาไม้มาใช้ประโยชน์ในการทาถ่าน
ทาเสาเข็ม ไม้ค้ า ใช้ทาเฟอร์นิเจอร์ ใช้เป็ นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมกลันไม้ ได้สารแทนนิน แอลกอฮอล์
่
กรดน้ าส้ม และเขม่าน้ ามัน (สนิท อักษรแก้ว. 2541: 65-69)
จากการที่ป่าชายเลนมีประโยชน์ทาให้มีการบุกรุ กทาลายป่ าชายเลน เพื่อขยายพื้นที่การทานากุงและ ้
เพื่อการประกอบการ จนในที่สุดพื้นที่ป่าชายเลนได้ลดลงอย่างรวดเร็ วส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง
ระบบนิเวศของโลก การที่ป่าชายเลนถูกบุกรุ กทาลายไปเป็ นจานวนมากนั้น แสดงให้เห็นว่า ผูที่ใช้ทรัพยากร
้
ในท้องถิ่นขาดควา มตระหนักถึงความสาคัญของสิ่งแวดล้อมรอบตัว และขาดเจตคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
ที่ตนอาศัยอยู่ จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ เป็ นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ รวมทั้ง
เป็ นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์เองด้วย ดังนั้น การแก้ ไขปัญหาการบุกรุ กทาลายพื้นที่ป่าชายเลน
มีหลายแนวทาง เช่น การสร้างมาตรการป้ องกันแก้ไขจากหน่วยงานของรัฐ การกาหนดกฎหมายและ
ระเบียบข้อบังคับในการปฏิบติ ซึ่งผูวิจยคิดว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
ั ้ ั
ความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสร้างจิตสานึก สร้างความตระหนักให้เกิดความรักความหวงแหน
และพร้อมที่จะร่ วมกันปกป้ องรักษาทรัพยากรในพื้นที่ของตนไว้
กรุ งเทพมหานคร เมืองหลวงที่ทนสมัยแห่งหนึ่งของเอเชีย คราคร่ าไปด้วยตึกรามบ้านช่องและ
ั
ถนนที่กว้างใหญ่ หากแต่ในความวุ่นวายของเมืองหลวงแห่งนี้ ยังมีพ้ืนที่เล็กๆ อีกมุมหนึ่งซึ่งเป็ นสถานที่
อันเงียบสงบและยังคงความเป็ นธรรมชาติอนสวยงามอยูเ่ ป็ นอย่างมาก ที่แห่งนี้คือ ทะเลกรุ งเทพฯ หรื อ
ั
ที่รู้จกกันว่า ชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งอยูในพื้นที่แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุ งเทพมหานคร และ
ั ่
- 4. 3
ที่ตรงนี้เองได้เกิดปรากฏการณ์กดเซาะชายฝั่งที่ได้ยนตามสื่อต่างๆ อยูเ่ ป็ นประจา สิ่งที่สงเกตเห็นคือ
ั ิ ั
แนวต้นแสมที่ลมระเนระนาดและประ ตูระบายน้ าเข้านากุงที่จมอยูกลางทะเล ซึ่งเป็ นหลักฐานที่ชดเจน
้ ้ ่ ั
ของการสูญเสียแผ่นดินชายฝั่ง ที่เป็ นปัญหาใหญ่ของชาวกรุ งเทพฯ ทุกคน ซึ่งการกัดเซาะชายฝั่งกรุ งเทพฯ
ได้เกิดขึ้นมาเป็ นเวลาหลายสิบปี แล้ว แต่ในอดีตปัญหานี้ไม่ได้รับการใส่ใจจากหน่วยงานที่เ กี่ยวข้องมากนัก
แต่เมื่อชาวบ้านในท้องที่เริ่ มได้รับผลกระทบมากขึ้น จึงได้มการร้องเรี ยนไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ
ี
และเอกชน จนผลักดันให้เกิดเป็ นโครงการความร่ วมมือแก้ไขปัญหาอย่างเป็ นรู ปธรรมในปัจจุบน สาหรับ ั
การแก้ปัญหาการกัดเซาะนั้น เดิมทางกรุ งเทพมหาน ครได้เคยจัดสร้างแนวหินทิ้งบริ เวณชายฝั่งเพื่อลดแรง
ปะทะของคลื่น ต่อมาได้เสนอการสร้างรอดักทรายรู ปตัวทีหรื อ “ที- กรอยน์ ” (T-Groin) โดยการวาง
“ไส้กรอกทราย” แต่ชาวบ้านในพื้นที่ได้คดค้านแนวทางนี้ โดยอธิบายว่าเมื่อไส้กรอกทรายแตกออกจะทาให้
ั
เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศป่ าชายเลนจากการกระจายตัวของทรายซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบตามธรรมชาติ
ของหาดเลน
ในปัจจุบนได้มการเริ่ มสร้างแนวไม้ไผ่เพื่อลดแรงปะทะของคลื่นในบริ เวณนี้แล้ว ซึ่งการแก้ปัญหา
ั ี
กัดเซาะชายฝั่งด้วยการสร้างแนวไม้ไผ่น้ น ชาวบางขุนเทียนได้ตนแบบมาจากตาบลโค กขาม อาเภอเมือง
ั ้
จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งประสบปัญหาเดียวกัน ปรากฏว่าแนวไม้ไผ่น้ นนอกจากจะช่วยลดแรงปะทะของคลื่น
ั
ได้ดีแล้ว ยังช่วยในการกักเก็บตะกอนที่อยูในน้ า ทาให้เกิดการสะสมของตะกอนที่จะงอกกลับมาเป็ นพื้นดิน
่
อีกครั้งด้วย อีกทั้งไม้ไผ่ยงเป็ นวัสดุธรรมชาติที่สามาร ถย่อยสลายได้ และได้ช่วยสร้างงานให้กบชาวบ้าน
ั ั
ในจังหวัดอื่นที่ปลูกต้นไผ่เพื่อขาย และชาวบ้านในพื้นที่ซ่ึงได้รับการว่าจ้างให้ปักแนวไม่ไผ่อีกด้วย
โดยที่ผานมาโครงการสร้างแนวไม้ไผ่นาร่ องในเขตทะเลบางขุนเทียนความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ได้รับ
่
งบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิชุมชนไทย ซึ่งนับเป็ นจุดเริ่ มต้นที่ดีในการแก้ปัญหาชุมชนท้องถิ่นโดยใช้
ภูมิปัญญาชาวบ้านและแรงงานในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดีการสร้างแนวไม้ไผ่เพื่อลดแรงปะทะของคลื่นนั้น
เป็ นวิธีการที่ไม่ยงยืน เนื่องจากไม้ไผ่ยอมเกิดผุ พังไปตามกาลเวลา การปลูกป่ าชายเลน จึงเป็ นอีกหนทาง
ั่ ่
หนึ่งในการรักษาชายฝั่งของกรุ งเทพมหานครจากการกัดเซาะของคลื่นอย่างยังยืน และเป็ นการสร้างแหล่ง
่
ที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งสร้างระบบนิเวศป่ าชายเลน ให้กลับมาสมบูรณ์ ตลอดจนเป็ นแหล่งเรี ยน รู้
่
ด้านระบบนิเวศป่ าชายเลน เป็ นสถานที่พกผ่อนหย่อนใจและเป็ นสถานที่ท่องเที่ยวในการท่องเที่ยว
ั
เชิงอนุรักษ์อีกด้วย
การจัดการศึกษาจึงเป็ นแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหา ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว เพราะการให้
การศึกษาคือ การสร้างพื้นฐานของการดารงชีวิต แต่การศึกษาที่ดีที่สุด คือ การจัดประสบการณ์ท้งมวล ั
ให้ผเู้ รี ยนเรี ยนรู้โดยใช้ประสบการณ์ตรงหรื อทาการทดลอง ค้นคว้าหาคาตอบด้วยตนเองเพื่อจะได้เป็ น
ความรู้ติดตัวผูเ้ รี ยนไปตลอดชีพ ดังนั้นถ้าต้องการให้ผเู้ รี ยนมีเจตคติ ค่านิยมและมีความตระหนักในคุณ ค่า
ของสิ่งแวดล้อมก็ตองจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้
้ โดยใช้แหล่งเรี ยนรู้ของท้องถิ่นให้ผเู้ รี ยนมองเห็น
ความ สัมพันธ์ของระบบนั้น ๆ กับการดารงชีพเพื่อผูเ้ รี ยนจะสามารถจัดการระบบสิ่งแวดล้อมในท้องถิน ่
ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 5. 4
การปลูกฝังความรู้ เรื่ อง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของผูเ้ รี ยน สามารถกระทา
ได้ทุกระดับชั้น รวมทั้งในสถาบันครอบครัว โดยการปรับเนื้อหา ความรู้ และกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย
ของผูเ้ รี ยน ครู ผสอนควรหากิจกรรมที่ปฏิบติจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในเชิงการอนุรักษ์ เพื่อให้ผเู้ รี ยน
ู้ ั
เกิดความรู้สึกรับผิดชอบและมีส่วนร่ วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมร่ วมกัน (ลัดดาวัลย์ กัณหาสุวรรณ . 2534:
3-8) จะช่วยให้ผเู้ รี ยนเกิดความตระหนักเรื่ องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยังยืน ตลอดจน
่
สามารถมองเห็นปัญหา และนาผลการเรี ยนรู้ไปประยุกต์ใช้กบชีวิตจริ งได้ การจัดการเรี ยนการสอนเกี่ยวกับ
ั
สิ่งแวดล้อม จึงเป็ นเรื่ องเฉพาะเจาะจงของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งอาจจะมีความคล้ายหรื อแตกต่างจากพื้นที่อื่น ได้
ๆ
แต่กระบวนการเรี ยนการสอนที่มีคุณภาพ เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพ และความรู้ความสามารถของผูเ้ รี ยน
จาเป็ นอย่างยิงที่ผจดการศึกษาต้องหาวิธีการสอนและสื่อการสอนที่หลากหลายเพื่อกระตุนให้ผเู้ รี ยนมีอิสระ
่ ู้ ั ้
ในการเรี ยนรู้ มีส่วนร่ วมในการปฏิบติจริ ง เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์
ั
สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ดวยตนเอง และนาประสบการณ์ไปใช้ในชีวิต ประจาวันได้ (วีระ พลอยครบุรี .
้
2543: 85)
โรงเรี ยนนนทรี วิทยา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาธยมศึกษา เขต 2 สานักงานคณะกรรมการ
มั
การศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะสถาบันการศึกษาหนึ่งของสังคม ที่มีบทบาทและหน้าที่
ที่สาคัญในการจัดการศึกษา พัฒนาเยาวชนไท ยให้เป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามศักยภาพ และสามารถดารง
ในชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542
และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นอกจากนี้โรงเรี ยนนนทรี วิทยา ยังเป็ น
1 ใน 500 โรงเรี ยนที่ได้รับการคัดเลือกเป็ นโรงเรี ยนสู่มาตรฐานสากล (World Class Standard School)
ซึ่งต้องจัดกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รี ยนให้มีความเป็ นพลโลก และมีจิตสาธารณะ อีกทั้งด้วยการที่โรงเรี ยนอยูใน่
เขตกรุ งเทพมหานคร จึงได้เกิด ความตระหนักต่อความสาคัญของปัญหาดังกล่าว โดยได้นอมนาแนว ้
พระราชเสาวนียมาดาเนินการให้ บังเกิดผลเป็ นรู ปธรรมในการปลูกป่ าชายเลน บริ เวณชายทะเลบางขุนเทียน
์
ซึ่งได้ดาเนินการโดยผ่านกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รี ยน ที่มี “ชุมนุมนนทรี วิทยา สร้างจิตอาสา พัฒน าสิ่งแวดล้อม ”
เป็ นผูรับผิดชอบดาเนินการ จึงได้ริเริ่ มจัดทา“โครงการสนองพระราชเสาวนีย์ ลูกนนทรีอาสา ปลูกป่ าชายเลน
้
พิทักษ์ นครหลวง” ขึ้น เพื่อเป็ นการสนองพระราชเสาวนียสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถฯ
์
ในการอนุรักษ์ป่าไม้ และเป็ นการเฉลิมพระเกียรติ์ในว โรกาสคล้ายวันพระราชสมภพ 12 สิงหาคม 2553
ตลอดจนเพื่อร่ วมกันแสดงบทบาทพลเมืองของโลก ในการปกป้ อง หวงแหน และดูแลสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะป่ าชายเลนผืนสุดท้ายที่ทาหน้าที่เป็ นด่านหน้าปกป้ องกรุ งเทพมหานครอยูในขณะนี้ ให้มีชายฝั่ง
่
คงอยู่ มีระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่อย่างยั่ งยืนสืบไปชัวลูกหลาน ซึ่ง ผูวิจย ได้ทาการวิจยเพื่อ ศึกษา
่ ้ ั ั
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนเรื่ อง ป่ าชายเลน และความตระหนักต่อป่ าชายเลน ของนักเรี ยนโรงเรี ยนนนทรี วิทยา
โดยการจัดกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง ั
- 6. 5
9. แนวคิด/ทฤษฎี
ในการวิจยครั้งนี้ ผูวิจยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้อง 2 ประเด็นที่สาคัญ ดังนี้
ั ้ ั
1. แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
2. แนวคิดเกี่ยวกับความตระหนัก
1. แนวคิดเกียวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
่
การเรี ยนการสอนในทุกสาขาวิชา เมื่อผ่านกระบวนการเรี ยนการสอนจะต้องมีการประเมินผลเพื่อ
ตรวจสอบผูเ้ รี ยนว่ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนบรรลุจุดประสงค์หรื อไม่ ดังนั้นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรี ยนการสอนจึงนับว่ามีความสาคัญยิง ่
1.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
กระทรวงศึกษาธิการ (2542: 13)ได้บญญัติศพท์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนไว้ว่า “ผลสัมฤทธิ์ทางการ
ั ั
เรี ยน หมายถึง ความสาเร็ จหรื อความสามารถในการกระทาใดๆ ที่ตองอาศัยทักษะ หรื อมิฉะนั้น ก็ตองอาศัย
้ ้
ความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ”
Bloom (1976: 201–207) ได้สรุ ปว่าผลสัมฤทธิ์หรื อประสิทธิภาพทางการเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยนนั้น เป็ น
ความสามารถที่แสดงออกทางพฤติกรรมย่อย ๆ ได้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ด้านความรู้ความจา (Knowledge) เป็ นความสามารถที่ผเู้ รี ยนเก็บและระลึกถึงเรื่ องราว
ต่าง ๆ ที่ได้รับการสังสอนอบรมมาใช้ได้เป็ นลักษณะนี้ ผูเ้ รี ยนแสดงออกในรู ปของการจา และระลึกเรื่ องราว
่
นั้น ๆ ได้
2) ด้านความเข้าใจ (Comprehensive) เป็ นความสามารถที่แสดงออกในลักษณะของการ
ถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองได้เรี ยนรู้มา ด้วยการเขียนหรื อกระทาใดๆให้ผอื่นเข้าใจได้
ู้
3) ด้านการนาไปใช้ (Application) เป็ นความสามารถที่ผเู้ รี ยนนาเอาความรู้ความเข้าใจ
จากสิ่งที่ได้ รับการอบรมสังสอนบวกกับประสบการณ์ต่าง ๆ ของตนไปใช้ในสถานการณ์จริ ง ๆ หรื อ
่
สถานการณ์จาลองคล้ายคลึงกัน
4) ด้านการวิเคราะห์ (Analysis) เป็ นพฤติกรรมที่ผเู้ รี ยนแสดงออกให้เห็นได้ดวย ้
ความสามารถแยกแยะเรื่ องราว เหตุการณ์ ผลลัพธ์ ผลรวมของปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ประจักษ์อยูน้ นว่าเกิดจาก ่ ั
หรื อประกอบจากส่วนย่อยต่างๆ อะไรบ้าง สามารถวิเคราะห์บางส่วนที่สาคัญของเรื่ องราวได้มองเห็น
ความสัมพันธ์เกี่ยวโยงของปลีกย่อยของสิ่งที่เรี ยนรู้ เป็ นต้น
5) ด้านสังเคราะห์ (Synthesis) เป็ นความสามารถที่ผเู้ รี ยนนาเอาสิ่งที่เรี ยนต่าง ๆ มาร้อย
กรองจัดระ เบียบใหม่ให้เกิดเป็ นโครงสร้าง เรื่ องราวใหม่ที่แปลกกว่าเดิม มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
เป็ นลักษณะของความคิดริ เริ่ มสร้างสรรค์นนเองั่
6) ด้านการประเมินค่า (Evaluation) เป็ นพฤติกรรมทางปัญญาที่สูงที่สุดในด้านผลสัมฤทธิ์
ทางการเรี ยน เป็ นความสามารถที่ ผูเ้ รี ยนวินิจฉัยเรื่ องราวต่าง ๆ ว่าดีหรื อไม่ดี ควรปฏิบติหรื อไม่ควร
ั
เหมาะสมหรื อไม่เหมาะสมเป็ นการใช้วิจารณญาณขั้นสุดยอดนันเอง ่
- 7. 6
จากความคิดเห็นของนักการศึกษา เกี่ยวกับความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน พอสรุ ปได้ดงนี้ ั
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนเป็ นคุณลักษณะความสาม ารถของบุคคลอันเกิดจากการเรี ยนการสอน เป็ นการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรี ยนรู้ ที่เกิดจากการฝึ กอบรมหรื อจากการสอน การวัด
ผลสัมฤทธิ์จึงเป็ นการตรวจสอบความสามารถ หรื อความสัมฤทธิ์ผลของบุคคล ซึ่งแสดงออกในลักษณะของ
พฤติกรรมต่าง ๆ ที่สามารถวัดได้ 2 แบบ ตามจุ ดมุ่งหมายและลักษณะวิชาสอน คือ การวัดด้านปฏิบติและ ั
การวัดด้านเนื้อหา จึงกล่าวได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนสิ่งแวดล้อมหมายถึงคุณลักษณะความรู้
ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากการเรี ยนการสอนหรื อประสบการณ์จากการฝึ กอบรม ซึ่งวัดได้จาก
การแสดงออกของพฤติกรรมต่าง ๆ
1.2 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
สมบูรณ์ ชิตพงษ์ และคณะ (2540: 6–7) ได้กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนจะต้อง
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คือ
1) ด้านความรู้ ความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ
ทางด้านสติปัญญาและสมอง
2) ด้านความรู้สึก (Affective Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการเจริ ญเติบโตและ
พัฒนาการในด้านความสนใจ คุณค่า ความซาบซึ้ง และเจตคติต่าง ๆ ของนักเรี ยน
3) ด้านการปฏิบติการ (Psycho – Motor Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนา
ั
ทักษะในการปฏิบติ และดาเนินการ เช่น การทดลอง เป็ นต้น
ั
กล่าวโดยสรุ ปแล้ว การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนเป็ นการวัดความสามารถทางพฤติกรรมของ
ผูเ้ รี ยนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หลังจากได้รับการสอนหรื อการฝึ กอบรมด้วยวิธีการต่าง ๆ
1.3 เครื่ องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ซึ่งแบ่งได้เป็ น 2 พวก
1) แบบทดสอบของครู (Teacher Made Test) หมายถึงชุดของคาถามที่ครู เป็ นผูสร้างขึ้น้
ซึ่งเป็ นคาถามที่เกี่ยวกับความรู้ที่นกเรี ยนได้เรี ยนในห้องเรี ยนว่านักเรี ยนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่ องที่
ั
ตรงไหน จะได้สอนซ่อมเสริ ม หรื อเป็ นการวัดเพื่อดู ความพร้อมที่จะเรี ยนบทเรี ยนใหม่ ซึ่งขึ้นอยูกบความ ่ ั
ต้องการของครู
2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test)แบบทดสอบประเภทนี้ สร้างขึ้นจาก
ผูเ้ ชี่ยวชาญในแต่ละสาขา หรื อจากครู ที่สอนวิชานั้น แต่ผานการตรวจสอบคุณภาพโดยนาผลมาวิเคราะห์ดวย
่ ้
วิธีการทางสถิติ หลายครั้งจนกระทังมีคุณภาพดีพอ จึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้นสามารถใช้เป็ น
่
หลักเปรี ยบเทียบผลเพื่อการประเมินค่าของการเรี ยนการสอนในเรื่ องใด ๆ ก็ได้ ซึ่งเป็ นแบบทดสอบ
มาตรฐานจะมีความเป็ นมาตรฐานอยู่ 2 ประการ คือ
2.1) มาตรฐานในการดาเนินการสอบ หมายความว่า แบบทดสอบนี้ไม่ว่าจะ
นาไปใช้ที่ไหนเมื่อไรก็ตาม คาชี้แจง คาอธิบาย การดาเนินการสอบจะเหมือนกันทุกครั้งไปจะมีการควบคุม
- 8. 7
ตัวแปรต่าง ๆ ที่ทาให้คะแนนคลาดเคลื่อน เช่น ผูคุมสอบ การจัดชั้นเรี ยน กระบวนการสอบ การใช้คาสัง
้ ่
เป็ นต้น กระบวนการสอบประเภทนี้มีคาชี้แจงในการใช้ขอสอบ (Manual) อยูดวย
้ ่ ้
2.2) มาตรฐานในการแปลความหมายของคะแนน หมายความว่า ไม่ว่าจะสอบที่
ไหน เมื่อไร ก็ตองแปลคะแนนได้เหมือนกัน ฉะนั้นข้อสอบประเภทนี้จึงต้องมีเกณฑ์ (Norm) สาหรับ
้
เปรี ยบเทียบให้เป็ นมาตรฐานเดียวกันได้
ดังนั้นจึงพอสรุ ปได้ว่า เครื่ องมือที่ใช้วดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ั
ซึ่งแบ่งเป็ น 2 พวกคือ แบบทดสอบของครู และแบบทดสอบมาตรฐาน โดยการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คือ ความรู้ความจา ความรู้สึก และด้านการปฏิบติ ั
2. แนวคิดเกี่ยวกับความตระหนัก
2.1 แนวคิดเกี่ยวกับความตระหนัก
กู๊ด (Good. 1973: 54) ได้ให้ความหมายว่า ความตระหนัก หมายถึง ความรู้สึกที่แสดงถึงการเกิด
ความรู้ของบุคคลหรื อการที่บุคคลแสดงความรู้สึกรับผิดชอบต่อปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
บลูม และคณะ (Bloom; and orther. 1971: 273) ได้ให้ความหมายว่า ความตระหนักเป็ นขั้นต่าสุด
ของอารมณ์และความรู้สึก ความตระหนักเกือบคล้ายความรู้ตรงที่ ทั้งความรู้และความตระหนักไม่เป็ น
ลักษณะของสิ่งเร้า ความตระหนักไม่จาเป็ นต้องใช้ปรากฎการณ์หรื อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความตระหนักจะเกิดขึ้น
เมื่อมีสิ่งเร้าให้เกิดความตระหนัก
จากความหมายของความตระหนักที่นกวิชาการในสาขาต่าง ๆ ได้ให้ความหมายไว้ดงกล่าวข้างต้น
ั ั
จึงพอสรุ ปได้ว่า ความตระหนัก หมายถึง การแสดงออกซึ่งความรู้สึก ความคิดเห็นความสานึก เป็ นภาวะที่
บุคคลเข้าใจเเละประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตนเองได้โดยอาศัยระยะเวลา เหตุการณ์ ประสบการณ์
หรื อสภาพเเวดล้อม เป็ นปัจจัยทาให้เกิดความตระหนัก
2.2 การวัดความตระหนัก
เกิดการศึกษาความหมายเเละลักษณะของความตระหนัก (Awareness) เป็ นพฤติกรรมเกี่ยวกับ
ความรู้สึก สานึกว่า สิ่งนั้นอยู่ (Conscious of something) จาเเนกเเละรับรู้ซ่ึงพฤติกรรมที่ละเอียดอ่อนเกี่ ยวกับ
ด้านความรู้สึก อารมณ์ ดังนั้นการที่จะทาการวัดเเละประเมินผล จึงต้องมีหลักการเเละวิธีการตลอดจน
เทคนิคเฉพาะ จึงจะวัดความรู้เเละอารมณ์ดงกล่าวออกมาให้เที่ยงตรงเเละเชื่อมันได้
ั ่
เครื่ องมือที่ใช้วดความรู้สึกอารมณ์น้ น มีหลายประเภทด้วยกันซึ่งจะนามากล่าวไว้ดง นี้คือ
ั ั ั
(ประพล มิลินทจินดา. 2542: 25-27)
1) วิธีการสัมภาษณ์ (lnterview) อาจเป็ นการสัมภาษณ์ชนิดที่โครงสร้างเเน่นอน โดยสร้าง
คาถามเเละมีคาตอบให้เลือกเหมือน ๆ กัน เเบบสอบถามชนิดเลือกตอบ เเละคาถามจะต้องตั้งไว้ก่อน
เรี ยงลาดับก่อนหลังไว้อ ย่างดีหรื ออาจเป็ นเเบบไม่มีโครงสร้างซึ่งเป็ นการสัมภาษณ์ที่มีไว้เเต่หวข้อใหญ่ๆ
ั
ให้ผตอบมีเสรี ภาพในการตอบเเละคาถามเป็ นไปตามโอกาสอานวยในขณะที่สนทนากัน
ู้
- 9. 8
2) แบบสอบถาม (Questionnaires) เเบบสอบถามอาจเป็ นชนิดเปิ ดเเละปิ ดหรื อเเบบผสม
ระหว่างเปิ ดกับปิ ดก็ได้
3) เเบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็ นเครื่ องมือวัดชนิดที่ให้ตรวจสอบว่าเห็นด้วยไม่
เห็นด้วย หรื อมี ไม่มี สิ่งที่กาหนดตามรายการอาจอยูในรู ปของการทาเครื่ องหมายตอบหรื อเลือกว่าใช่ ไม่ใช่
่
4) มาตราวัดอันดับคุณภาพ (Rating Scale) เครื่ องมือชนิดนี้เหมาะสาหรับการวัด อารมณ์
และความรู้สึกที่ตองการทราบความเข้ม (lntensity) ว่ามีนอยเพียงใดในเรื่ องนั้น
้ ้
5) การใช้ความหมายภาษา (Semantic Differential Technique : S.D.) เทคนิคการวัดโดยใช้
ความหมายของภาษาของชาลส์ ออสกูด เป็ นเครื่ องมือที่วดได้ครอบคลุมมากชนิดนี้จะประกอบด้วยเรื่ อง
ั
ซึ่งถือเป็ น ”สังกัป ” เเละจะมีคุณศัพท์ ที่ตรงข้ามกันเป็ นคู่ ๆ ประกอบสังกัปนั้นหลายคู่ แต่ละคู่มี 2 ขั้ว
ช่องห่างระหว่าง 2 ขั้วนี้บ่งด้วยตัวเลข ถ้าใกล้ขางใดมากก็จะมีลกษณะตามคุณศัพท์ของขั้วนั้นมาก คุณศัพท์
้ ั
ที่ประกอบเป็ น 2 ขั้วนี้ แยกออกเป็ น 3 ขั้วใหญ่ ๆ คือ พวกที่เกี่ยวกับการประเมินค่า (Evaluation) พวกที่
เกี่ยวกับศักยภาพ (Potential) และพวกที่เกี่ยวกับกิจกรรม (Activity)
2.3 วิธีการสร้างแบบวัดความตระหนัก
มีลาดับในการสร้างดังนี้คือ
1) การรวบรวมข้อมูล ข้อมูลนั้นอาจจะนามาจากเอกสาร บทวิเคราะห์งานการศึกษาวิจย ั
2) การตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าขอ้ มูลที่นามาใช้ในการสร้างแบบวัดนั้นมีความ
เหมาะสมเกี่ยวกับที่จะตอบหรื อใช้วดกับกลุ่มตัวอย่าง
ั
3) เขียนแบบวัดโดยการสร้างเหตุการณ์ เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริ ง
ของตนออกมา โดยการตรวจสอบในแบบตรวจสอบรายการ
4) จัดเรี ยงตัวลวงและตัวเลือก
5) ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบวัด
2.4 ความสาคัญของการมีความตระหนักต่อการส่งเสริ มเเละรักษาคุณภาพสิ่งเเวดล้อม
การส่งเสริ มและรักษาสิ่งแวดล้อมให้มีคุณภาพดารงอยูน้ น นอกจากกระบวนการให้ความรู้ความ
่ ั
เข้าใจเเละนั้นการปลูกฝังหรื อพัฒนาความรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งเเวดล้อมในทางที่ถกต้อง นับว่าเป็ นสิ่งจาเป็ น
ู
อีกประการหนึ่งเช่นกัน เมื่อบุคคลมีพฤติกรรมส่งเสริ มและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแล้ว การทาลาย
ทรัพยากรก็จะลดน้อยลง ในทางตรงข้ามจะเกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีอยูให้คงที่ และเป็ นประโยชน์ต่อคน
่
รุ่ นหลังต่อไป เช่น การปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ตามสถานที่ต่างๆ หรื อสวนสาธารณะ นอกจากจะเกิดความ
ร่ มรื่ นแล้ว ยังช่วยสร้างสถานที่พกผ่อนสาหรับบุคคลโดยทัวไปอีกด้วย
ั ่
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางด้านความรู้สึก อารมณ์ เป็ นเรื่ องที่เกิดขึ้นภายในจิตใจข องแต่ละ
บุคคล ดังนั้นการปลูกฝังในเรื่ องความรู้สึก อารมณ์ จึงเป็ นสิ่งที่ตองพยายามสอดเเทรกในทุกเวลาทุกโอกาส
้
เท่าที่จะกระทาได้ แม้ว่าพฤติกรรมนี้จะไม่มีผลในทันทีทนใดก็ตาม ในกาลข้างหน้า ถ้าการเปลี่ยนแปลง
ั
- 10. 9
พฤติกรรมเป็ นไปตามที่มุ่งหวัง ก็จะเป็ นการส่งเสริ มและรักษาคุณภาพทางหนึ่งบังเกิดผลดีต่อสภาพแวดล้อม
โดยส่วนรวมต่อไป
10. กรอบแนวคิดการวิจย
ั
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
การจัดกิจกรรมโครงการสนองพระราชเสาวนีย ์ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน
ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง
ั 2. ความตระหนักต่อป่ าชายเลน
11. วัตถุประสงค์การวิจย ั
1. เพื่อ เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ องป่ าชายเลน ก่อนและหลัง เข้า ร่ วมกิจกรรม
โครงการสนอง พระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง ั
2. เพื่อเปรี ยบเทียบความ ตระหนักต่อป่ าชายเลนก่อนและหลัง เข้า ร่ วมกิจกรรมโครงการ สนอง
พระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง
ั
12. สมมุตฐานการวิจย
ิ ั
1. นักเรี ยนที่เข้าร่ วมกิจกรรมโครงการสนอง พระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน
พิทกษ์นครหลวง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนเรื่ องป่ าชายเลนหลังเข้าร่ วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่ วมกิจกรรม
ั
2. นักเรี ยนที่เข้าร่ วมกิจกรรมโครงการสนอง พระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน
พิทกษ์นครหลวง มีความตระหนักต่อป่ าชายเลนหลังเข้าร่ วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่ วมกิจกรรม
ั
13. ตัวแปรและนิยามตัวแปร
1. โครงการสนองพระราชเสาวนีย์ ลูกนนทรีอาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทักษ์ นครหลวง หมายถึง
การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ เรื่ อง ป่ าชายเลน ให้นกเรี ย นระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชุมนุมนนทรี วิทยา
ั
สร้างจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม โรงเรี ยนนนทรี วทยา ที่เข้ารับการอบรมให้มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่า
ิ
ความสาคัญและเกิดความตระหนักรักและหวงแหนป่ าชายเลน
2. ป่ าชายเลน หมายถึง สังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุไม้หลากหลายชนิ ด ขึ้นอยูตามบริ เวณ
์ ่
ชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งอยูในพื้นที่แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุ งเทพมหานคร
่
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถทางการเรี ยนรู้ เรื่ อง ป่ าชายเลน ของ
นักเรี ยนสอบวัดจากแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือกที่ผวิจยสร้างขึ้น วัดพฤติกรรม 4 ด้าน คือ ด้านความรู้
ู้ ั
(Knowledge) ด้านความเข้าใจ (Comprehension) ด้านการวิเคราะห์ (Analysis) และด้านการนาไปใช้
(Application)
- 11. 10
4. ความตระหนักต่อป่ าชายเลน หมายถึง การแสดงความรู้สึกรับผิดชอบต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน
ป่ าชายเลน ชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งอยูในพื้ นที่แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุ งเทพมหานคร ของ
่
นักเรี ยน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชุมนุมนนทรี วิทยาสร้างจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม โรงเรี ยน
นนทรี วิทยา
14. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจยครั้งนี้ เป็ นนักเรี ยนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรี ยนนนทรี วิทยา
ั
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุ งเทพมหานคร ภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2553 จานวน 24 ห้องเรี ยน
มีนกเรี ยน1,440 คน
ั
15. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยครั้งนี้ เป็ น นักเรี ยนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรี ยนที่ 1
ั
ปี การศึกษา 2553 ชุมนุมนนทรี วิทยาสร้างจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม โรงเรี ยนนนทรี วิทยา ที่เข้าร่ วม
โครงการ สนอง พระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน พิทกษ์นครหลวง
ั ณ โรงเรี ยน
คลองพิทยาลงกรณ์ ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง จานวน 70 คน
16. เครื่องมือวิจย ั
เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยครั้งนี้ ประกอบด้วย
ั
1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน
2. แบบวัดความตระหนักต่อป่ าชายเลน
การสร้ างและหาคุณภาพเครื่องมือ
1. การสร้ างและหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
1.1 ศึกษา เอกสารเกี่ยวกับการวัดผลประเมินผล วิธีการสร้างแบบทดสอบ และการเขียน
ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
1.2 ศึกษาจุดประสงค์และเนื้อหา เพื่อสร้างตารางวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การ
เรี ยนรู้ เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนได้ท้ง 4 ด้าน
ั
1.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก
เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน 4 ด้าน คือ ด้านความรู้ความจา ด้านความเข้าใจ ด้านการวิเคราะห์ ด้านการ
นาไปใช้ จานวน 40 ข้อ
1.4 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน ที่สร้างขึ้นเสนอผูเ้ ชี่ยวชาญ
จานวน 3 ท่าน ประกอบด้วย ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านวัดผลประเมินผล 1 คน ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านป่ าชายเลน 1 คนและ
ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม 1 คน ตรวจสอบโดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อคาถามกับ
ส่วนที่ตองการวัด โดยที่ผลการพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับพฤติกรรมที่ตองการวัดต้องได้
้ ้
- 12. 11
ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป สาหรับข้อที่ไม่ผานเกณฑ์ ผูวิจยจะนาไปปรับแก้ให้มีความถูกต้อง
่ ้ ั
ตามคาแนะนาของผูเ้ ชี่ยวชาญก่อนนาไปใช้ คือ การใช้ภาษาต้องชัดเจนถูกต้องและโจทย์และตัว เลือกลวง
ต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ตองการวัด ้
ถ้าค่า IOC ที่คานวณได้มากกว่าหรื อเท่ากับ 0.5 หมายถึง ข้อสอบนั้นวัดได้จริ งตาม
จุดประสงค์ของการวัด ก็จะคัดเลือกข้อสอบข้อดังกล่าวไว้
ถ้าค่า IOC ที่คานวณได้นอยกว่า 0.5 หมายถึง ข้อสอบนั้นไม่สามารถวัด ได้ตรงตาม
้
จุดประสงค์ของการวัด ก็จะตัดหรื อนาไปปรับปรุ งข้อสอบข้อดังกล่าว ตามคาแนะนาของผูเ้ ชี่ยวชาญ
1.5 คัดเลือกข้อสอบ ที่มีคาถามตรงกับพฤติกรรมที่ตองการวัด ให้มีค่าดัชนีความสอดคล้อง
้
เท่ากับหรื อมากกว่า 0.5 ขึ้นไป จานวน 30 ข้อ
1.6 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเ รี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน ที่แก้ไขปรับปรุ งแล้วไป
ทดลองใช้กบนักเรี ยนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 100 คน แล้วนามาวิเคราะห์คุณภาพแบบทดสอบ ดังนี้
ั
1.6.1 นากระดาษคาตอบมาตรวจโดยข้อที่ถก ให้ 1 คะแนน ข้อที่ตอบผิดหรื อตอบ
ู
เกิน 1 คาตอบ ให้ 0 คะแนน เมื่อตรวจและรวมคะแนนเสร็ จให้นามาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และ
หาค่าอานาจการจาแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน ที่สร้างขึ้นเป็ น
รายข้อ โดยใช้เทคนิค 27% ของ จุง เตห์ ฟาน ในการแบ่งกลุ่มสูง กลุ่มต่า คัดเลือกข้อสอบที่มีค วามยากง่าย
อยูในเกณฑ์ ระหว่าง 0.20 - 0.80 และหาค่าอานาจจาแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ให้ได้ขอสอบที่ตองการ
่ ้ ้
ใช้จริ งจานวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ 0.37 -0.74 ค่าอานาจจาแนก (r) ตั้งแต่ 0.25 - 0.86
1.6.2 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน เรื่ อง ป่ าชายเลน ที่คดเลือกไว้
ั
จานวน 30 ข้อ มาหาค่าความเชื่อมันของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยคานวณจากสูตร KR - 20 ของคูเดอร์ -
่
ริ ชาร์ดสัน (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2538: 168) จากการหาค่าความเชื่อมันของแบบทดสอบทั้งฉบับ
่
มีค่าเท่ากับ 0.92
1.6.3 นาแบบทดสอบไปใช้กบกลุ่มตัวอย่าง
ั
2. ขั้นตอนการสร้ างและหาคุณภาพแบบวัดความตระหนักต่อป่ าชายเลน
ผูวิจยได้ดาเนินการดังนี้
้ ั
2.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบวัดความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม ตามวิธีของ ลิเคอร์ท
(Likert Scale)
2.2 สร้างแบบวัดความตร ะหนักต่อ ป่ าชายเลน เป็ นแบบมาตราส่วน ประเมินค่า 5 ระดับ
ได้แก่ เห็นด้วยอย่างยิง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยอย่างยิง
่ ่
2.3 นาแบบวัดความตระหนัก ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผูเ้ ชี่ยวชาญ จานวน 3 คน ประกอบด้วย
ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการวัดผล ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านสิ่ งแวดล้อม และผูเ้ ชี่ยวชาญทางด้านการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการสร้างแบบวัด ความชัดเจน ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
- 13. 12
ความถูกต้องของข้อความ และความถูกต้องด้านภาษา ตรวจสอบโดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
ระหว่างข้อความกับความตระหนักที่ตองการวัด ้
2.4 นาแบบวัดความตระหนัก เรื่ อง ป่ าชายเลน ที่แก้ไขปรับปรุ งแล้วไปทดลองใช้กบ ั
นักเรี ยน จานวน 100 คน แล้วนามาวิเคราะห์คุณภาพดังนี้
2.4.1 นาแบบวัดความตระหนักที่นกเรี ยนทา มาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์
ั
รายข้อ คือ ให้คะแนนสาหรับความคิดเห็น เห็นด้วยอย่างยิงเป็ น 5 เห็นด้วยเป็ น 4 ไม่แน่ใจเป็ น 3 ไม่เห็นด้วย
่
เป็ น 2 ไม่เห็นด้วยอย่างยิงเป็ น 1 ในข้อความที่เป็ นเป็ นไปในทางบวกหรื อข้อความที่ส่งผลในทางที่ดี และ ให้
่
คะแนนสาหรับความคิดเห็น เห็นด้วยอย่างยิงเป็ น 1 เห็นด้วยเป็ น 2 ไม่แน่ใจเป็ น 3 ไม่เห็นด้วยเป็ น 4 ไม่เห็ น
่
ด้วยอย่างยิงเป็ น 5 ในข้อความที่เป็ นไปในทางลบหรื อข้อความที่ส่งผลเสีย
่
2.4.2 นาผลการตรวจให้คะแนนมาวิเคราะห์ โดยการหาค่าอานาจจาแนก (r)
ของแบบวัดความตระหนักรายข้อโดยใช้การแจกแจงที เทคนิค 25% เอ็ดเวิร์ด (พวงรัตน์ ทวีรัตน์.2540: 240)
เลือกข้อสอบที่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่สอบได้คะแนนสูงและกลุ่มที่สอบได้คะแนนต่า
2.4.3 นาแบบวัดความตระหนักต่อ ป่ าชายเลน ไปคานวณหาค่าความเชื่อมันของ ่
แบบวัดความตระหนักทั้งฉบับได้ค่าความเชื่อมัน 0.77 ่
2.5 นาแบบวัดความตระหนักต่อป่ าชายเลน ที่มีค่าความเชื่อมัน 0.77 ไปใช้กบนักเรี ยน
่ ั
ที่เป็ นกลุ่มตัวอย่างต่อไป
17. วิธีดาเนินการศึกษาค้นคว้าและเก็บข้ อมูล
1. ผูวิจยสารวจและเก็บข้อมูล ณ โรงเรี ยนคลองพิทยาลงกรณ์ ตลอดจนพื้นที่ชายทะเลบางขุนเทียน
้ ั
ซึ่งอยูในพื้นที่แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุ งเทพมหานคร
่
2. ผูวิจยนาข้อมูลที่ได้มากาหนดบริ เวณเพื่อศึกษาลักษณะพื้นที่ สิ่งมีชีวิตในป่ าชายเลน ประกอบด้วย
้ ั
พรรณพืชไม้ชายเลน และสิ่งมีชีวิตในป่ าชายเลน
3. กาหนดเนื้อหาและกิจกรรมในโครงการสนองพระราชเสาวนีย ์ ลูกนนทรี อาสา ปลูกป่ าชายเลน
พิทกษ์นครหลวง ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
ั
3.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับป่ าชายเลน ได้แก่
- สิ่งมีชีวิตในป่ าชายเลน
- โครงสร้างของระบบนิเวศของป่ าชายเลน
- ห่วงโซ่อาหารในป่ าชายเลน
3.2 ความสาคัญและการใช้ประโยชน์ของป่ าชายเลน
- การทาผ้ามัดย้อมจากเปลือกผลตะบูน
- การทาขนมนิรันดร (ขนมจาก)
- การทาไข่เค็มชายคลอง
- 14. 13
3.3 ปัญหา สาเหตุ และผลกระทบจากการทาลายป่ าชายเลน
- ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียน
3.4 การอนุรักษ์ป่าชายเลนอย่างยังยืน
่
- กิจกรรมปลูกป่ าชายเลน
4. ผูวิจยหาคุณภาพของเครื่ องมือ ซึ่งประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่ องป่ าชายเลน และ
้ ั
แบบวัดความตระหนักต่อป่ าชายเลน โดยให้ผเู้ ชี่ยวชาญแต่ละด้านพิจารณา
5. ผูวิจยนาเครื่ องมือทั้งหมดที่ได้รับการตรวจและแก้ไขจากผูเ้ ชี่ยวชาญแล้ว ใช้กบกลุ่มตัวอย่าง
้ ั ั
6. ผูวิจยนาผลของการใช้เครื่ องมือก่อนและหลังการฝึ กอบรมมาวิเคราะห์ผล
้ ั
18. การวิเคราะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ ข้อมูลและสถิตที่ใช้
ิ
1. สถิตพนฐาน
ิ ื้
1.1 ค่าคะแนนเฉลี่ย(Mean) คานวณจากสูตร(ล้วน สายยศ; และอังคณาสายยศ. 2538: 73)
X
fx
N
เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย
fx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
N แทน จานวนนักเรี ยนในกลุ่มทดลอง
1.2 หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานานวณจากสูตร(ล้วน สายยศ; และอังคณาสายยศ. 2538)
ค
N X 2 ( X ) 2
S.D. =
N ( N 1)
เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกาลังสอง
N แทน จานวนนักเรี ยนทั้งหมด
X แทน คะแนนของนักเรี ยนแต่ละคน
2. สถิตที่ใช้ ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ ในการทดลอง
ิ
2.1 หาค่าดัชนีความเที่ยงตรงตามเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
เรื่ อง ป่ าชายเลน ที่ประเมินโดยผูเ้ ชี่ยวชาญ คานวณค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับพฤติกรรมที่
ต้องการวัด จากสูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์. 2540: 117)
- 15. 14
IOC
R
n
เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญ
n แทน จานวนผูเ้ ชี่ยวชาญ
2.2 ค่าความยากง่าย(P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยเน่ องป่ าชายเลนโดย
รื
วิเคราะห์ขอสอบเป็ นรายข้อ ใช้เทคนิค 27% ของ จุง เตห์ ฟาน จากสูตร (ล้วน สายยศ; และอังคณา สายยศ.
้
2538: 210)
R
P=
N
เมื่อ P แทน ค่าความยากง่าย
R แทน จานวนคนที่ทาข้อนั้นถูก
N แทน จานวนคนที่ทาข้อนั้นทั้งหมด
2.3 หาค่าอานาจจาแนก(r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยเน่ องป่ าชายเลนจาก
รื
สูตร (ล้วน สายยศ; และอังคณา สายยศ. 2538: 210-211)
Ru R L
D=
N
2
เมื่อ D แทน ค่าอานาจจาแนก
Ru แทน จานวนนักเรี ยนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง
RL แทน จานวนนักเรี ยนที่ตอบถูกในกลุ่มอ่อน
N แทน จานวนนักเรี ยนในกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน
2.4 ความเชื่อมันของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทา การเรี ยนวิทยาศาสตร์ (Reliability) ด้วย
่ ง
สูตร KR-21 ของ คูเดอร์ริชาร์ดสัน(Kuder Richardson’s Method) (ล้วน สายยศ; และอังคณา สายยศ 2538: 217)
.
k x k x
rtt 1
k 1 ks 2
เมื่อ rtt แทน ความเชื่อมัน
่
K แทน จานวนข้อสอบ
x แทน คะแนนเฉลี่ย
S2 แทน คะแนนความแปรปรวน