Contenu connexe
Similaire à 9789740330592 (20)
9789740330592
- 1. บ ท ที่
1
ทฤษฎีการให้บริการปรึกษา
ทฤษฎีเป็นหลักส�ำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวปฏิบัติและแนวความเชื่อในสิ่งนั้น ทฤษฎีเกิดขึ้นมาจาก
การรวบรวมข้อมูลที่ได้ปฏิบัติกันมา โดยจัดแบ่งไว้อย่างมีระเบียบแบบแผนเป็นกลุ่มก้อน และมีความ
สัมพันธ์ต่อกัน ผู้ที่คิดว่าทฤษฎีเป็นสิ่งที่ไม่ส�ำคัญนั้นจะเป็นผู้เสียเปรียบ เพราะจะท�ำให้ขาดแนวทาง
อันเป็นประโยชน์ส�ำหรับที่จะน�ำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ และจะท�ำได้ก็เพียงแค่ใช้ความ
คิดค�ำนึงของตนเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้นมาใช้ตัดสินใจ ย่อมจะท�ำให้มีโอกาสผิดพลาดได้มากกว่า
เพราะทฤษฎีมิได้เกิดขึ้นจากการเดาสุ่ม หากแต่เกิดขึ้นโดยอาศัยพื้นฐานส�ำคัญหลายประการ ถ้าเรา
ต้องการศึกษาเพือให้ทราบถึงสาเหตุของทฤษฎีนน ซึงแสดงหลักฐานจนเป็นทียอมรับกันอย่างแพร่หลาย
่ ั้ ่ ่
เราจ�ำเป็นต้องทราบถึงพืนฐานทางด้านปรัชญาทีเ่ จ้าของทฤษฎีนนยึดถือ ประวัตความเป็นมาของทฤษฎี
้ ั้ ิ
เข้าใจลักษณะทางสังคมและวิถีแห่งการด�ำเนินชีวิตของบุคคลในสังคมที่เจ้าของทฤษฎีอาศัยอยู่ใน
ขณะนั้น นอกจากนี้เราควรจะได้ศึกษาถึงชีวประวัติ บุคลิกภาพ ทัศนคติ ความสนใจ และความ
สามารถพิเศษอื่น ๆ ของเจ้าของทฤษฎีนั้นด้วย เพราะทฤษฎีเปรียบเสมือนแผนที่ที่สามารถบอกให้
ผู้ใช้ทราบถึงสิ่งที่ควรสังเกต พิจารณา และคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ประโยชน์หรือช่วยเหลือเรา
ได้มากน้อยเพียงใด เป็นการก�ำหนดทิศทางที่จะด�ำเนินต่อไป นอกจากนี้ปรากฏการณ์ทางพฤติกรรม
ของมนุษย์นั้นไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวเหมือนกันทุกคน ดังนั้นจึงได้มีการปลูกฝังระเบียบแบบ
แผนเพื่อสร้างและปรับพฤติกรรมของมนุษย์ให้สามารถด�ำรงชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขในสังคม
การจัดข้อมูลของมนุษย์อย่างมีระบบเหล่านี้ก็คือ การจัดตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมานั่นเอง
ทฤษฎีคืออะไร
ศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนาจนเป็นวิชาชีพ ย่อมต้องมีการบันทึกความเป็นมาอย่างเป็นทางการ
โดยมีการศึกษา วิเคราะห์และสร้างองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ “ทฤษฎี” (theory) นับว่าเป็นสิ่งส�ำคัญ
ประการหนึ่งที่มีส่วนกระตุ้นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ทั่วไปของศาสตร์แขนงต่าง ๆ อันจะเป็นแก่น
ของการศึกษาเพื่อตรวจสอบหรือยืนยันหักล้างอันเป็นการสะสมหรือต่อยอด ส�ำหรับปรับปรุงหรือ
พัฒนาองค์ความรู้แขนงนั้นให้เจริญรุดหน้าสืบต่อไป ทฤษฎีจึงเป็นหลักส�ำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวการ
- 2. ปฏิบัติและแนวความเชื่อ ท�ำให้มีผู้สนใจศึกษาทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องนั้นให้เข้าใจอย่างชัดเจน ส�ำหรับ
ความหมายของทฤษฎีนั้นได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายแง่มุมด้วยกัน เช่น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า
ทฤษฎีเป็นการรวบรวมข้อมูลอย่างมีระเบียบเป็นกลุ่มก้อน นักปรัชญากล่าวว่า หากมนุษย์สามารถจะ
จดจ�ำทุกสิ่งทุกอย่างได้อาจไม่จ�ำเป็นต้องมีทฤษฎี เพราะเราสามารถน�ำข้อมูลดิบเหล่านั้นมาใช้อ้างอิง
ได้ทันที แต่เนื่องจากความจ�ำของมนุษย์มีจ�ำกัด เราจึงต้องจ�ำแต่กฎเกณฑ์ใหญ่ที่ได้รวบรวมกลั่นกรอง
มาจากข้อมูลดิบ โดยผ่านการพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับกัน เพื่อจะได้ใช้อ้างอิงสิ่งที่สัมพันธ์กับที่เรากล่าว
ถึง และส�ำหรับในทางจิตวิทยา ค�ำว่าทฤษฎีก็คือกลุ่มหนึ่งของสมมติฐาน (assumptions) ที่เกี่ยวโยง
กัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างมีแบบแผน
ในปัจจุบนยังไม่มคำจ�ำกัดความของค�ำว่า ทฤษฎี (theory) ทีกระชับ และเป็นทียอมรับกันอย่าง
ั ี� ่ ่
สากล แต่มีผู้พยายามให้ความหมายของทฤษฎีไว้หลากหลายมุมมองดังนี้
Brammer & Shostrom (1977) กล่าวว่า ทฤษฎีช่วยชี้แนะแนวทางการประเมินผลในรูปแบบ
เก่าด้วยการสร้างวิธีการใหม่ส�ำหรับศึกษาพฤติกรรมในขณะก�ำลังให้บริการศึกษา
Burks and Stefflre (1979) ได้ให้ค�ำจัดกัดความว่า ทฤษฎีเป็นแหล่งรวบรวมและเชื่อมโยง
ข้อมูลต่าง ๆ ไว้ด้วยกันอย่างมีระบบระเบียบ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
เหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ
ส�ำหรับ Lazarus (1971) เชื่อว่า ทฤษฎีเป็นตัวแทนของความคิดรวบยอดของศาสตร์ใด ๆ ซึ่ง
สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และจัดข้อเท็จจริงที่กระจัดกระจายให้เข้า
ระบบเพื่อให้สามารถอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ธรรมชาติของทฤษฎี
ทฤษฎีมิได้เกิดมาโดยการเดาสุ่ม หากแต่เกิดขึ้นมาโดยอาศัยพื้นฐานที่ส�ำคัญหลายประการ ถ้า
ต้องการจะท�ำความเข้าใจว่า ท�ำไมทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้สร้างขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับกัน จ�ำเป็นจะ
ต้องเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพื้นฐานทางด้านปรัชญาที่ผู้สร้างทฤษฎีได้ยึดถือเป็นหลัก เกี่ยวกับ
พื้นฐานทางด้านประวัติหรือความเป็นมาของทฤษฎีนั้น ศึกษาข้อมูลทางด้านสังคมที่ทฤษฎีนั้นได้รับ
การพัฒนาขึนมา ซึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในด้านภาษา เจตคติชวิตของบุคคลในท้องถิ่นที่ผ้สร้าง
้ ่ ี ู
ทฤษฎีนั้นอาศัยอยู่ และประการส�ำคัญสุดท้ายคือต้องรู้เกี่ยวกับทฤษฎีพื้นฐานทางด้านบุคคล เช่น
บุคลิกภาพ ความต้องการ จุดเด่น สติปัญญา และความคิดของผู้สร้างทฤษฎีนั้น
แนวคิดในการสร้างทฤษฎี
ทฤษฎีในแต่ละสาขาต่างมีแนวคิดที่ส�ำคัญในการสร้างโดยอาศัยหลัก 3 ประการ ต่อไปนี้
1. การรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์และน�ำข้อมูลนั้นมาปรับปรุง เพื่อจัดตั้งเป็นทฤษฎีขึ้น
2
- 3. ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสมมติฐานที่อ้างอิงจากประสบการณ์
2. การขยายกฎหรือทฤษฎีที่มีอยู่เดิม เป็นการตรวจและวิเคราะห์ทฤษฎีที่มีอยู่แล้วโดยเพิ่ม
ความคิดใหม่หรือตัดทอนสิ่งที่ไม่เห็นด้วยออกไป ด้วยการปรับปรุงใหม่และจัดเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่มี
โครงสร้างคล้ายคลึงกับของเดิมแต่มีเนื้อหาที่แตกต่างออกไป
3. การน� ำ มาเปรี ย บเที ย บกั บ ทฤษฎี ที่ มี อ ยู ่ เ ดิ ม ส� ำ หรั บ ทฤษฎี ใ หม่ จ ะมี โ ครงสร้ า งและมี
กระบวนการที่เป็นไปในท�ำนองเดียวกัน แต่มีเนื้อหาสาระแตกต่างออกไป
ลักษณะของทฤษฎีที่ดี
Burks & Stefflre (1979: 9) กล่าวถึงเกณฑ์ที่จะน�ำมาใช้พิจารณาทฤษฎีที่ดี มีความเหมาะสม
ประกอบด้วยคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
1. ทฤษฎีที่ดีจะต้องสร้ างขึ้นมาด้วยเหตุผล (rational) ทฤษฎีไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันและไม่ใช่
ปรัชญา แต่ทฤษฎีต้องเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยความจริงอย่างสมเหตุผล บนพื้นฐานของข้อตกลง
เบื้องต้น หรือเงื่อนไขบางประการที่ได้จากการสังเกตข้อมูลหลักฐานบางส่วนแล้วน�ำมาสรุป
2. ทฤษฎีที่ดีจะต้องกินใจความกว้างขวาง (comprehensive) กล่าวคือ จะต้องครอบคลุม
พฤติกรรมเป็นส่วนมาก สามารถอธิบายบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เกือบทุกกรณี
3. ทฤษฎีที่ดีจะต้องมีความกระจ่างชัด (explicit) สามารถท�ำให้ผู้อ่านเมื่ออ่านแล้วเข้าใจ
ได้ชัดเจน ทฤษฎีไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนเกินไปจนท�ำให้เข้าใจยากหรือล�ำบากแก่การยก
เหตุผลมาอธิบาย
4. ทฤษฎีที่ดีจะต้องอธิบายอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม (parsimonious) ไม่ควรอธิบาย
เลอะเทอะชนิดน�้ำท่วมทุ่ง หรือเกินความจริงในขอบเขตของปรากฏการณ์
5. ทฤษฎีที่ดีจะต้องสามารถเป็นประโยชน์ในการวิจัย (research) บางครั้งการก�ำหนดเป็น
ทฤษฎีขึ้นมาโดยมิได้พิสูจน์ ต่อมาภายหลังที่ได้มีการพิสูจน์และพบความจริงที่แตกต่างออกไปก็อาจ
ต้องยกเลิกทฤษฎีนั้นไป ทฤษฎีที่ดีจึงจะเป็นความจริงเมื่อได้ท�ำการพิสูจน์และสามารถเป็นแนวทาง
ช่วยเหลือในการค้นคว้าวิจัยให้ก้าวหน้าต่อไปได้
Seligman (2006: 3) ได้กล่าวถึงความส�ำคัญของทฤษฎีซึ่งเรียกโดยย่อว่า BETA ประกอบด้วย
ความส�ำคัญที่ครอบคลุมในลักษณะ 4 ด้าน คือ
1. ทฤษฎีมุ่งความส�ำคัญด้านภูมิหลัง (Background) ของบุคคล
2. ทฤษฎีมุ่งความส�ำคัญด้านอารมณ์ (Emotions) ของบุคคล
3. ทฤษฎีมุ่งความส�ำคัญด้านความคิด (Thoughts) ของบุคคล
4. ทฤษฎีมุ่งความส�ำคัญด้านการแสดงออก (Actions) ของบุคคล
กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีเปรียบเสมือนแผนที่ ซึ่งมีรายละเอียดมากมายที่ต้องใส่เติมเต็มตลอดเวลา
และจะไม่ถามว่าเรืองนันเป็นความจริงหรือไม่ เพียงแต่ขอให้เรืองนันสามารถช่วยเหลือหรือเป็นประโยชน์
่ ้ ่ ้
3
- 4. ได้มากน้อยเพียงใด
ความส�ำคัญของการให้บริการปรึกษา (Counseling)
และจิตบ�ำบัด (Psychotherapy)
บุคลากรที่อยู่ในวงการให้บริการปรึกษาและจิตวิทยาได้ศึกษาว่า การให้บริการปรึกษา (coun-
seling) กับจิตบ�ำบัด (psychotherapy) มีความหมายในการช่วยขจัดความทุกข์ จึงท�ำให้เกิดการ
สร้างความเข้าใจอันสับสนในความหมายของค�ำทั้งสองนี้ที่ยังคงมีอยู่ทั่วไป ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว
มิได้เป็นเช่นเดียวกันดังที่เข้าใจเพราะกระบวนการของการบ�ำบัดรักษา และการให้ความช่วยเหลือใน
บริการปรึกษากับจิตบ�ำบัดนั้นต่างมีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันไปส�ำหรับ
บุคคลปกติและอปกติตามระดับความรุนแรงของสภาวะอารมณ์ จิตใจ และพฤติกรรม
ความแตกต่างที่พอจะเห็นได้ โดยดูจากนิยามที่ Brammer & Shostrom (1977) ได้กล่าวไว้ว่า
การให้บริการปรึกษา (counseling) และการบ�ำบัดจิต (psychotherapy) เป็นทักษะทางวิชาชีพ
ที่คาบเกี่ยวกัน โดยการให้บริการปรึกษามีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ มุ่งเกี่ยวกับการศึกษา อาชีพ
ปัญหาส่วนตัว พยายามสนับสนุนให้รู้จักแก้ปัญหาในสภาพจิตใจระดับของความมีสติสัมปชัญญะ
(conscious) มุ่งช่วยเหลือบุคคลที่ปกติโดยใช้ระยะเวลาที่ไม่นานนัก ส่วนการบ�ำบัดจิต (psycho-
therapy) มีลักษณะของการพยายามประคับประคองในภาวะของความผิดปกติทางจิตใจที่เบี่ยงเบน
มากกว่าปกติ เป็นการปรับสร้างพฤติกรรมขึ้นใหม่ โดยเน้นในความลึกซึ้งของอดีตด้วยจิตวิเคราะห์
เพ่งเล็งในระดับจิตไร้ส�ำนึก (unconscious) ของบุคคลที่ป่วยเป็นโรคจิต โรคประสาท หรือมีปัญหา
ทางอารมณ์อย่างรุนแรง และใช้ระยะเวลาอันยาวนานในการบ�ำบัดรักษา
ส�ำหรับ Eysenck (1961) ได้ให้ความหมายของการบ�ำบัดจิตไว้ว่า จะต้องมีองค์ประกอบ
เหล่านี้ คือ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีความลึกซึ้งและค่อนข้างยาวนาน
2. บุคลากรต้องเป็นผู้ได้รับการฝึกมาอย่างดี ซึ่งอาจเป็นจิตแพทย์หรือนักบ�ำบัดจิต
3. ผู้รับการรักษาเป็นผู้มีปัญหาการปรับตนทางอารมณ์ หรือด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
4. การใช้เทคนิคทางจิตวิทยาช่วยในการบ�ำบัดรักษา
5. การกระท�ำกิจกรรมต้องอ้างอิงทฤษฎีความผิดปกติทางจิต
6. จุดมุ่งหมายในด้านสัมพันธภาพช่วยปรับแก้ความรู้สึกไม่พึงพอใจในตนเอง
จะเห็นได้ว่า การให้บริการปรึกษานั้นจะเป็นการช่วยบุคคลปกติทั่วไปที่มีความทุกข์ ไม่สบายใจ
หรือเครียดในระดับปกติให้สบายใจขึ้น สามารถมองเห็นตนเองชัดเจนขึ้น รับรู้และเข้าใจบทบาทของ
ตนเอง และสามารถปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ ส่วนจิตบ�ำบัดนั้นจะเป็นการช่วยเหลือคนที่
เป็นโรคจิต โรคประสาท หรือผู้ที่มีปัญหาทางอารมณ์อย่างรุนแรงในการปรับตน โดยกระบวนการของ
4
- 5. จิตบ�ำบัดจะเน้นทีจตไร้สำนึกของผูรบการรักษา ซึงถ้ามองไม่เห็นถึงความแตกต่างในระดับความรุนแรง
่ิ � ้ั ่
(degree) ของอารมณ์และพฤติกรรมแล้วก็อาจเข้าใจผิดไปได้ว่า การให้บริการปรึกษากับจิตบ�ำบัด
เป็นงานที่ให้ความช่วยเหลือดูแลรักษาในรูปแบบของความคล้ายคลึงกัน
เกณฑ์พิจารณาในความผิดปกติ
เมื่อผู้รับบริการปรึกษามาปรึกษาปัญหากับผู้ให้บริการปรึกษา นับว่าเป็นการยากมากที่จะ
ตัดสินลงไปว่าบุคคลผู้นั้นไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีพอที่จะด�ำเนินวิถีชีวิตในสังคม
อย่างปกติ การที่จะศึกษาเพื่อแยกให้เด่นชัดว่า การปรับตัวของบุคคลนั้นอยู่ในระดับใดเป็นเรื่องที่
กระท�ำได้ไม่ง่ายนัก แม้แต่จะให้ผู้เชี่ยวชาญทางพฤติกรรมศาสตร์เป็นผู้ตัดสินใจก็ตาม เพราะการ
ตัดสินบุคคลแต่ละคนจะต้องกระท�ำอย่างรอบคอบ ต้องศึกษาทั้งประวัติความเป็นมา ลักษณะอาการ
ที่แสดงออก ความต้องการ และความประพฤติปกติของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นเอกัตภาพของผู้นั้น ส�ำหรับ
อาการของการปรับตัวไม่ดีในระยะแรกเริ่มพอจะใช้เกณฑ์ในการพิจารณาความผิดปกติได้ดังต่อไปนี้
1. กระท�ำกิจกรรมมากเกินปกติ (over activity) ได้แก่ การเดินไปเดินมา ผุดลุกผุดนั่ง ก�ำมือ
กะพริบตา เหงื่อออกมากผิดปกติ
2. กระท�ำกิจกรรมน้อยเกินไป (under activity) ได้แก่ เงียบขรึม เก็บตัว เบื่อหน่ายต่อโลก
ลดความสนใจในตนเองและคนอื่น
3. ความรู้สึกซึมเศร้า (depression) การเบื่อหน่ายและหมดหวังกับชีวิต ความท้อแท้และ
สิ้นหวังต่ออนาคต ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ซึ่งถ้ารุนแรงมากบุคคลผู้นั้นก็อาจมีพฤติกรรมถึงกับ
ฆ่าตัวตายได้
4. ลักษณะอาการทางกายที่เกิดจากการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ได้แก่ ปวดหัว ท้องเดิน
อาเจียน ผมร่วง เบื่ออาหาร หรือรับประทานอาหารมากผิดปกติ
5. การผันแปรของอารมณ์ที่เกินกว่าเหตุ (emotional variability) ได้แก่ การร้องไห้โดยไม่มี
เหตุผล การร้องกรีดของผู้ใหญ่ การทุบอกชกตัว การก่อการวิวาทโดยไม่มีเหตุผล
6. พฤติกรรมที่ผิดปกติ (unusual behavior) ได้แก่ ชอบซ่อนข้าวของตนเอง ตาเหม่อลอย
เป็นกิจวัตร ท�ำอะไรซ�้ำซากอย่างไม่มีความหมาย พูดจาคลุมเครือจนไม่รู้เรื่อง
7. นิสัยที่ใช้ลดความตึงเครียด (tension reducing habits) คือการกระท�ำที่ซ�้ำบ่อยเพื่อลด
ความตึงเครียด ได้แก่ การกัดเล็บ เอาหัวชนฝา ดูดนิ้วมือ การสั่นขาอยู่ตลอดเวลา และชอบแกะเกา
ตามร่างกาย
8. การมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตนเองและผู้อื่น (negative attitudes toward other & self)
มองโลกในแง่ร้าย ดูถูกตนเอง ดูถูกผู้อื่น ก้าวร้าว อิจฉาริษยา เห็นแก่ตัว และชอบว่าร้ายนินทา
9. การหมดสติ (period of unconsciousness) ได้แก่ โกรธ โมโหมากจนหมดสติ หรือดีใจ
มากจนเป็นลม และอาการหมดสติซึ่งเกิดจากอารมณ์จิตใจ
5
- 6. 10. ปฏิกิริยาต่อความกลัวและความกังวลใจ (anxiety and fear reaction) ได้แก่ ตัวสั่น
เหงื่อออกมาก ร้องไห้ หายใจเร็วหรือช้าผิดปกติ อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก และความจ�ำเสื่อม
11. การต่อต้านและการจ�ำนนที่รุนแรงต่อกฎเกณฑ์และอ�ำนาจ (over resistance and over
submission to authority) พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม ประเพณี สถานการณ์
และบุคคล ได้แก่ การไม่เข้าชั้นเรียนเพราะไม่ชอบอาจารย์ที่สอน หรือเรียนวิชาที่ตนเองไม่สนใจ และ
รู้ว่าจะต้องสอบตกแน่ เนื่องจากถูกอาจารย์ที่ปรึกษาบังคับให้เรียน
12. ความยากล�ำบากในการใช้ค�ำพูด (speech difficulties) ได้แก่ การพูดตะกุกตะกัก พูด
ไม่ได้ใจความ พูดติดอ่าง และพูดช้าหรือเร็วเกินไป
13. การนอนหลับที่ไม่ปกติ (sleep disturbance) ได้แก่ นอนไม่หลับ นอนหลับน้อยกว่า
ปกติ นอนหลับมากจนผิดปกติ และการละเมอ ฝันร้าย
14. บุคลิกภาพเบี่ยงเบนซึ่งแสดงออกทั้งลักษณะอาการทางเพศด้านการแต่งกาย พฤติกรรม
ค�ำพูด แสดงออกทางบุคลิกภาพมากไปจนถึงความต้องการในขั้นหลับนอนกับเพื่อนเพศเดียวกัน
หรือการแสดงออกในลักษณะที่ชัดเจน คือ ประเภทกระเทย เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป ลักษณะอาการ 14 ชนิดดังที่กล่าวมานี้ การจะน�ำมาใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาว่าเป็น
อาการที่แสดงถึงการปรับตัวไม่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับความรุนแรง (degree) และความถี่ (frequency)
ของอาการนั้น จากลักษณะของความปกติในบุคคล (individual normality) รวมทั้งประวัติความ
เป็นมาของบุคคลนั้น ซึ่งอาการต่าง ๆ ไม่จ�ำเป็นต้องเกิดอย่างเอกเทศ แต่อาจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
หลายลักษณะ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ถ้าเมื่อไรความผิดปกติดังกล่าวได้ทวี
ความรุนแรงอาจปรากฏเป็นลักษณะอาการผิดปกติทางจิตเวช ได้แก่ อาการของโรคประสาท โรคจิต
และบุคลิกภาพเบี่ยงเบน หรืออาการอื่น ๆ ปรากฏในระยะเวลาต่อมา
ลักษณะความผิดปกติทางจิตเวช
บุคคลที่มีลักษณะความผิดปกติในทางจิตเวช คือมีอาการแสดงความผิดปกติในด้านการรับรู้
(perception) ความคิด (thought) อารมณ์ (affect) และพฤติกรรม (behavior) ผิดแปลกไปจาก
ปกติจนไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความจริงของสิ่งแวดล้อมได้นั้น ในภาษาชาวบ้านเรียกว่า
บ้า แต่ทางกฎหมายเรียกว่า วิกลจริต (insane) และงานทางจิตเวชเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า โรคจิต
(psychosis) โดยมีความแตกต่างจากบุคคลปกติที่ปรากฏความชัดเจนดังนี้
1. การไม่สามารถรับรู้ความจริง (out of reality) เป็นลักษณะของบุคคลที่ไม่ยอมรับกับ
สภาพความเป็นจริง ในที่นี้หมายถึง ในโลกความจริงของบุคคลผู้นั้นขณะป่วย ท�ำให้แสดงอาการ
พฤติกรรม และความคิดที่ดูแปลกแตกต่างไปจากบุคคลปกติ สะท้อนถึงสภาพกลุ่มชน วัฒนธรรม
ที่เหมาะสมเป็นจริง และสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างสับสน วกวน ขาดความต่อเนื่อง ทั้ง
ด้านความคิดและการกระท�ำ นอกจากนี้ยังมีลักษณะส�ำคัญคือ ขาดการรับรู้ในเรื่องของกาลเทศะ
6
- 7. (orientation) เกี่ยวกับเวลา สถานการณ์ และบุคคล ซึ่งจากการไม่ยอมรับความจริงของชีวิต อาจ
มีลักษณะอาการส�ำคัญควบคู่กันด้วย ได้แก่
1) การหลงผิด เชื่อผิด และคิดผิด (delusion) เป็นลักษณะของบุคคลที่แสดงอาการ
หลงผิด คิดผิดตามความเชื่อและเหตุผลที่ผิดของตน โดยมีอาการที่มักแสดงปรากฏ ได้แก่
• Delusion of grandeur หลงผิดคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่หรือเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์
• Nihilistic delusion หลงผิดคิดว่าอวัยวะบางส่วนของตัวเองหายไป เช่น กระเพาะ
อาหารไม่มี หรือ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ และแขนขาขาดหายไป
• paranoid delusion หวาดระแวงหาว่าคนอื่นจะมาท�ำร้ายหรือเอาชีวิตตน จึงท�ำ
การด่าว่า และถึงขั้นท�ำร้ายผู้อื่น
2) ประสาทหลอน (hallucination) บุคคลที่เกิดมีอาการหลอนจะมีความรู้สึกเกิดขึ้นมา
เองโดยปราศจากสิ่งเร้า (stimulus) มากระทบประสาทรับความรู้สึกทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น
และผิวหนัง แต่บุคคลที่ป่วยทางจิตจะมีความสามารถมองเห็นภาพแปลก คือ อาการหลอนทางตา หู
ได้ยินเสียงสั่งเหมือนมีคนพูดสั่งอยู่ใกล้ ๆ ให้กระท�ำหรือต้องฆ่า จมูกได้กลิ่นเหม็นเน่า ลิ้นรู้สึกชาหรือ
แข็งท�ำให้พูดไม่ได้ และตามร่างกายรู้สึกเหมือนมีตัวเชื้อโรคมาไต่ โดยไม่สามารถบอกอาการเจ็บป่วย
ของตัวเองได้
3) การแปรภาพผิด (illusion) เป็นลักษณะที่บุคคลมองเห็นวัตถุแต่แปรเปลี่ยนความ
หมายของวัตถุนั้นผิดไปจากความเป็นจริงตามแต่จิตจะคิดน�ำไปสร้างจินตนาการ เช่น เห็นซุ้มต้นไม้
เป็นรถยนต์ หรือเห็นเชือกเป็นงู
2. การไม่เข้าใจตนเอง (Lack of insight) หมายถึง ขาดการรับรู้สภาวะของตนเองในขณะ
นั้น ไม่ยอมรับรู้สภาพของการเจ็บไข้ที่แท้จริงของตนเองว่าตนเองก�ำลังป่วยไม่ปกติ จึงต้องถูกน�ำมา
รับการบ�ำบัดรักษาทางจิตที่โรงพยาบาล แต่กลับคิดว่ามีคนแกล้งหรือคอยท�ำร้าย ถูกจับพามาส่งรักษา
ที่โรงพยาบาล บุคคลประเภทนี้จะบอกว่าตัวเองไม่บ้า ไม่ได้เป็นอะไรและมองว่าคนอื่นบ้าหมด
3. การเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ (Change of personality) หมายถึง คนไข้โรคจิตจะ
มีบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะที่เป็นอุปนิสัยประจ�ำตัวแตกต่างไป โดยที่ไม่สามารถจ�ำได้ใน
บุคลิกของตนเอง และบุคลิกภาพทีเ่ ปลียนแปลงไปนีมกจะเปลียนไปเป็นแบบตรงกันข้ามกับบุคลิกภาพ
่ ้ั ่
เดิม เช่น แต่ก่อนเคยเป็นคนที่เงียบเฉย ก็จะกลายเป็นคนที่พูดมากหรือพูดเพ้อเจ้อ ขาดความสนใจ
ในด้านความสะอาด ปล่อยสภาพร่างกายทรุดโทรมและสกปรกรุงรัง
ลักษณะของคนไข้โรคจิตดังที่กล่าวมานี้จ�ำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยกระบวนการของจิต-
บ�ำบัด (psychotherapy) โดยมีจิตแพทย์ (psychiatrist) เป็นผู้ให้การรักษา ซึ่งกระบวนการและ
ขั้นตอนในการรักษามีความแตกต่างไปจากการให้บริการปรึกษา (counseling) และสิ่งส�ำคัญ คือ ผู้ให้
บริการปรึกษา (counselor) จะไม่ให้บริการปรึกษากับคนไข้โรคจิตหรือโรคประสาท แต่ผู้ให้บริการ
ปรึกษาจะจัดการส่งต่อ (refer) คนไข้โรคจิต โรคประสาทไปให้ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ คือจิตแพทย์
7
- 8. เพื่อท�ำการบ�ำบัดรักษาต่อไป และในกรณีของบุคคลที่เป็นโรคจิต อาจไม่จ�ำเป็นต้องมีลักษณะดังกล่าว
3 ข้อที่กล่าวมา หากมีเพียงลักษณะความผิดปกติในลักษณะใดลักษณะหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความ
รุนแรง (degree) ของอารมณ์ ความคิด การรับรู้ และพฤติกรรมที่แสดงออกมาในขณะที่ก�ำลังป่วย
การให้บริการปรึกษา
การให้บริการปรึกษา (counseling) นับว่าเป็นหัวใจส�ำคัญของงานบริการแนะแนว ดังนั้น ก่อน
ที่จะกล่าวถึงขอบข่ายและวิธีการให้บริการปรึกษา จึงใคร่ขอท�ำความเข้าใจถึงค�ำจ�ำกัดความหรือนิยาม
ของการให้ค�ำปรึกษาเป็นอันดับแรกก่อน ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรในวงการแนะแนวสามารถเข้าใจงาน
ของตนได้ถูกต้องและท�ำงานได้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยปกติการท�ำงานของผู้ให้บริการปรึกษา
(counselor) มิได้จ�ำกัดอยู่เพียงแค่ค�ำจ�ำกัดความของการให้บริการปรึกษาเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ
ความรู้สึกนึกคิดและทัศนคติของผู้ให้บริการปรึกษาแต่ละคนด้วยว่าจะมองเห็นคุณค่าของความเป็น
มนุษย์เพียงใด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนปรุงแต่งที่จะช่วยในการมองหาเป้าหมายของการให้บริการ
ปรึกษาและคิดค้นหาวิธีการที่เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป จากสิ่งดังกล่าวนี้ท�ำให้ผู้ให้บริการปรึกษามีความ
เชื่อในเรื่องเป้าหมายและกระบวนการในการให้บริการปรึกษามีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ซึ่ง
ส่งผลสะท้อนท�ำให้ค�ำจ�ำกัดความของการให้บริการปรึกษามีความเป็นไปได้ในหลายแง่มุม ดังนั้น
นิยามของค�ำว่า การให้บริการปรึกษา ที่ทุกคนยอมรับเป็นหนึ่งเดียวนั้นจึงยังไม่มี สาเหตุที่เป็นเช่นนี้
เพราะแต่ละท่านที่ให้ค�ำจ�ำกัดความมานั้นเขียนขึ้นจากมุมมองที่ตนสัมผัส สามารถรับรู้ได้ในความคิด
และประสบการณ์ที่ต่างสถานการณ์กันไป
ความหมายของการให้บริการปรึกษา
ผู้มีชื่อเสียงได้ให้นิยามของการให้บริการปรึกษา (counseling) ในหลายความคิด ซึ่งความ
แตกต่างเหล่านั้น มิใช่เนื่องมาจากทัศนะและปรัชญาของผู้เชี่ยวชาญทางการให้บริการปรึกษาเท่านั้น
แต่ยังเนื่องมาจากกาลเวลาที่สะสมประสบการณ์อีกด้วย
Good, C.V. (1945) ผู้สร้างพจนานุกรมการศึกษา ได้ให้ความหมายของค�ำว่าการให้บริการ
ปรึกษา เป็นการให้ความช่วยเหลือในรายบุคคล ด้านปัญหาส่วนตัว การศึกษา และอาชีพ ซึ่งข้อเท็จ
จริงทั้งหมดที่จ�ำเป็นได้ถูกน�ำมาศึกษาและวิเคราะห์พร้อมทั้งหาวิธีที่จะแก้ปัญหานั้น โดยผู้เชี่ยวชาญ
ทีได้จากการสัมภาษณ์เป็นส่วนตัว เกียวกับแหล่งทรัพยากรของโรงเรียนและสังคม จะท�ำให้ผรบบริการ
่ ่ ู้ ั
ปรึกษาได้รับการชี้แนะให้รู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง
Carl R. Rogers (1951) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการปรึกษาที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ได้ให้ค�ำนิยาม
ของการให้บริการปรึกษา โดยเน้นถึงสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้บริการปรึกษาและผู้รับบริการปรึกษา
ว่า การให้บริการปรึกษาจะมีประสิทธิภาพได้นั้น จ�ำเป็นต้องมีการก�ำหนดอัตตา (self) เป็นศูนย์กลาง
8
- 9. ของโครงสร้างบุคลิกภาพอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับบริการปรึกษาสามารถเข้าใจตนเองถึงระดับที่
บุคคลจะสามารถน�ำตนเองก้าวไปในทิศทางที่เหมาะสมกว่าเดิมตามประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับมา
Wrenn (1951) กล่าวไว้วา การให้บริการปรึกษาเป็นสัมพันธภาพทีมการเคลือนไหว (dynamic)
่ ่ี ่
และมีจุดมุ่งหมาย (purpose) ระหว่างบุคคลสองคน ซึ่งกระบวนการที่ใช้นั้นมีความแตกต่างกันไป
แล้วแต่ความต้องการของผู้รับบริการปรึกษา กล่าวคือ เป็นความร่วมมือกันระหว่างผู้ให้บริการปรึกษา
และผู้รับบริการปรึกษา ที่จะท�ำให้ผู้รับบริการปรึกษารู้จักกระจ่างชัดในตนเองและสามารถตัดสินใจ
ได้ด้วยตนเอง (self clarification and self determination)
ค�ำนิยามของ Brammer & Shostrom (1952) ได้กล่าวไว้ว่า การให้บริการปรึกษา เป็น
สัมพันธภาพที่มีจุดมุ่งหมายระหว่างบุคคลสองคน ซึ่งคนหนึ่งได้รับการฝึกฝนและได้ท�ำการช่วยเหลือ
อีกคนหนึ่งให้เปลี่ยนแปลงตัวเองหรือสิ่งแวดล้อมของเขา
นอกจากนี้ยังมีผู้ให้บริการปรึกษาบางท่านได้เลือกเน้นความหมายของการให้บริการปรึกษา
ว่าเป็นกระบวนการแห่งความสัมพันธ์ เช่น Gustad (1953) ได้ให้ค�ำจ�ำกัดความไว้อย่างชัดเจนว่า
การให้บริการปรึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่เป็นอย่างธรรมดาของบุคคลต่อบุคคลในสภาพ
แวดล้อมแห่งสังคม ซึ่งผู้แนะน�ำต้องประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องด้านทักษะทางจิตวิทยา และมีความรู้
ทางด้านนี้ได้พยายามแสวงหาวิธีช่วยเหลือผู้รับบริการปรึกษา เพื่อให้ได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจ
วิธีการมองโลกอย่างชัดเจนขึ้น ก�ำหนดเป้าหมายแห่งชีวิตได้ใกล้เคียงกับสภาพของความเป็นจริงที่
น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับบริการปรึกษามีความสุขมากขึ้น และเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าในสังคม
ส�ำหรับ Pepinsky & Pepinsky (1954) ได้กล่าวถึงการให้บริการปรึกษาดังนี้
1. การวินิจฉัย (diagnosis) และการบ�ำบัดรักษา (treatment) ในเรื่องการปรับตัวที่ผิดปกติ
ของผู้รับบริการปรึกษา
2. การสร้างสัมพันธภาพ ในขณะให้บริการปรึกษาแบบตัวต่อตัว (face to face) ระหว่าง
ผู้ให้บริการปรึกษากับผู้รับบริการปรึกษา
English & English (1963) ได้ให้ความหมายว่า การให้บริการปรึกษาเป็นสัมพันธภาพที่ผู้ให้
บริการปรึกษาช่วยผู้รับบริการปรึกษาให้เข้าใจตนเอง และสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ อีกทั้งสามารถปรับตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และการให้บริการปรึกษามีขอบข่ายครอบคลุมทั้ง
ทางด้านการศึกษา อาชีพ และด้านส่วนตัวสังคม
Krumboltz (1965) กล่าวว่า การให้บริการปรึกษามุงความส�ำคัญในการเปลียนแปลงพฤติกรรม
่ ่
ของผู้รับบริการปรึกษา และช่วยให้แก้ไขปัญหาของบุคคลนั้นได้
ส�ำหรับ Truax (1967) ได้กล่าวว่า งานของผู้ให้ค�ำปรึกษาก็คือ การช่วยนักเรียนให้รู้จักตรวจ
สอบ สามารถวิเคราะห์ปัญหาของตนเอง และรู้จักหาวิธีแก้ปัญหาที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะปรับปรุง
แก้ไขสิ่งแวดล้อมหรือแก้ไขความเดือดร้อน
9
- 10. Wolberg (1967) มีความเห็นว่าการให้บริการปรึกษาเป็นแบบหนึ่งของการสัมภาษณ์ ซึ่งผู้รับ
การสัมภาษณ์ได้รับการช่วยเหลือให้เข้าใจตัวเองอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยรู้จักเลือกและลองแก้ปัญหา
ที่คิดว่าจะได้ผลดีที่สุด
Steffler (1968) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการปรึกษาอีกท่านหนึ่งที่เน้นถึงสัมพันธภาพในการให้บริการ
ปรึกษา โดยให้นิยามไว้ว่า การให้บริการปรึกษา เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ด้านวิชาชีพ
ระหว่างผู้ให้บริการปรึกษากับผู้รับบริการปรึกษา สัมพันธภาพนี้เกิดขึ้นระหว่างบุคคลกับบุคคล ซึ่ง
บางครั้งอาจเกี่ยวโยงไปถึงบุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้ได้อีก ซึ่งผู้ให้บริการปรึกษาจะต้องพยายามช่วย
ผู้รับบริการปรึกษาได้เข้าใจถึงช่วงเหตุการณ์ของชีวิตที่เกิดขึ้นในระยะนั้นได้ชัดเจนขึ้น เพื่อจะได้
ช่วยกันมองหาช่องทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพตามโอกาสที่พึงมี
ค�ำนิยามของ Tyler (1969) ได้ให้ค�ำนิยามที่มีผู้ชอบยกขึ้นมาอ้างอิงอยู่เสมอเช่นกัน การให้
บริการปรึกษา หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับบริการปรึกษา เพื่อผู้รับบริการปรึกษา
ได้ใช้ความสามารถและคุณสมบัติที่เขามีอยู่จัดการกับชีวิตตนเองได้ เช่น สามารถตัดสินใจด้วยตนเอง
ได้และรู้จักแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางอารมณ์ของตน
Patterson (1973) กล่าวว่า การให้บริการปรึกษาเป็นกระบวนการเกี่ยวกับสัมพันธภาพ
ระหว่างผู้ให้บริการปรึกษากับผู้รับบริการปรึกษาตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไปหรือมากกว่านั้น โดยผู้ให้บริการ
ปรึกษาใช้วิธีการทางจิตวิทยาและพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีบุคลิกภาพเพื่อช่วยเหลือผู้รับบริการ
ปรึกษาให้มีสุขภาพจิตดี
ปัจจุบันค�ำนิยามของค�ำว่า การให้บริการปรึกษาในระยะหลังที่ใช้กันนี้ มักจะมีจุดมุ่งหมาย
ในการช่วยบุคคลให้รู้จักเลือกและสามารถตอบค�ำถามตนเองได้ว่า เขาควรจะท�ำอย่างไรกับการด�ำเนิน
ชีวิตต่อไป อย่างไรก็ตาม การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการปรึกษากับผู้รับบริการปรึกษาที่ส่งผล
ให้ความหมายของการให้บริการปรึกษาแตกต่างกันไปนัน เป็นเพราะผูให้บริการปรึกษาบางท่านได้เน้น
้ ้
ถึงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นระหว่างผู้ให้บริการปรึกษากับผู้รับบริการปรึกษา ในขณะที่ผู้ให้บริการ
ปรึกษาท่านอื่นอาจเน้นถึงกระบวนการที่ผู้รับบริการปรึกษาเริ่มจะมีความเปลี่ยนแปลง
ขอบข่ายของการให้บริการปรึกษา
การให้บริการปรึกษา เป็นกระบวนการของการร่วมมือกันระหว่างผู้ให้บริการปรึกษากับผู้รับ
บริการปรึกษา ในอันที่จะพยายามหาช่องทางเพื่อลดความทุกข์ให้เบาบางลง หรือขจัดความทุกข์ให้
หมดสิ้นไป ซึ่งมีข้อควรสังเกต คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ยังมิได้ท�ำให้ผู้มารับบริการปรึกษามีพฤติกรรม
แปรปรวนไปจนเป็นโรคจิต โรคประสาท ดังนั้น การให้บริการปรึกษาจะกระท�ำกับบุคคลปกติที่มี
ความทุกข์ในลักษณะปกติ
10