Contenu connexe
Plus de Tongsamut vorasan
Plus de Tongsamut vorasan (20)
Tri91 37++อังคุตรนิกาย+สัตตก อัฏฐก-นวกนิบาต+เล่ม+๔
- 1. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 1 พระสุตตันตปฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาติ เลมที่ ๔ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนน ั้ อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ปฐมปณณาสก ธนวรรคที่ ๑ ๑. อัปปยสูตร [๑] ขาพเจาไดสดับมาแลวอยางนี้. สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลกรุงสาวัตถี ณ ที่นนแล ั้พระผูมีพระภาคเจาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายวา ดูกอนภิกษุทั้งหลายภิกษุเหลานั้นไดทูลรับพระผูมีพระภาคเจาแลว พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูประกอบดวยธรรม ๗ ประการ
- 2. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 2ยอมไมเปนที่รัก ไมเปนที่พอใจ ไมเปนที่เคารพ และไมเปนที่สรร-เสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการเปนไฉนดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เปนผูมุงลาภ ๑ เปนผูมุงสักการะ ๑ เปนผูมุงความมีชื่อเสียง ๑ เปนผูไมมีหิริ ๑ เปนผูไมมีโอตตัปปะ ๑ มีความปรารถนาลามก ๑ มีความเห็นผิด ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูประกอบดวยธรรม ๗ ประการนี้แล ยอมไมเปนที่รักไมเปนที่ชอบใจ ไมเปนที่เคารพ และไมเปนที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูประกอบดวยธรรม ๗ ประการยอมเปนที่รัก เปนที่ชอบใจ เปนที่เคารพ และเปนที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไมเปนผูมุงลาภ ๑ ไมเปนผูมุงสักการะ๑ ไมเปนผูมุงความมีชื่อเสียง ๑ มีหริ ๑ มีโอตตัปปะ ๑ มีความ ิปรารถนานอย ๑ มีความเห็นชอบ ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูประกอบดวยธรรม ๗ ประการนี้แล ยอมเปนที่รัก เปนที่ชอบใจเปนที่เคารพและเปนที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย. จบ อัปปยสูตรที่ ๑
- 3. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 3 มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ปฐมปณณาสก ธนวรรคที่ ๑ อรรถกถาอัปปยสุตรที่ ๑สัตตกนิบาต ปยสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้.บทวา อนวฺตฺติกาโม แปลวา ผูประสงคเพื่อเปนผูมีชื่อเสียง. จบอรรถกถาอัปปยสูตรที่ ๑
- 4. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 4 ๒. อัปปยสูตร [๒] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบดวยธรรม ๗ ประการยอมไมเปนที่รัก ไมเปนที่ชอบใจ ไมเปนที่เคารพ และไมเปนที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการเปนไฉนดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เปนผูมุงลาภ ๑ เปนผูมุงสักการะ ๑ เปนผูมุงความมีชื่อเสียง ๑ ไมมีหิริ ๑ ไมมีโอตตัปปะ ๑มีความริษยา ๑ มีความตระหนี่ ๑. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูประกอบดวยธรรม ๗ ประการนี้แล ยอมไมเปนที่รัก ไมเปนที่ชอบใจ ไมเปนที่เคารพ และไมเปนที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบดวยธรรม ๗ ประการยอมเปนที่รัก เปนที่ชอบใจ เปนที่เคารพ และเปนที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไมเปนผูมุงลาภ ๑ ไมเปนผูมุงสักการะ๑ ไมเปนผูมุงความมีชื่อเสียง ๑ มีหริ ๑ มีโอตตัปปะ ๑ ไมมความ ิ ีริษยา ๑ ไมตระหนี่ ๑. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูประกอบดวยธรรม๗ ประการนีแล ยอมเปนที่รัก เปนที่ชอบใจ เปนที่เคารพและเปนที่ ้สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรยทั้งหลาย. จบ อัปปยสูตรที่ ๒
- 5. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 5 ๓. ปฐมพลสูตร [๓] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พละ ๗ ประการนี้ ๗ ประการเปนไฉน คือ ศรัทธาพละ วิริยพละ หิรพละ โอตตัปปพละ สติพละ ิสมาธิพละ ปญญาพละ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พละ ๗ ประการนี้แล. ศรัทธาพละ วิริยพละ หิริพละ โอตตัปป- พละ สติพละ สมาธิพละ ปญญาพละเปนที่ ๗ ภิกษุผูมีพละดวยพละ ประการนี้ เปนบัณฑิต ยอมอยูเปนสุข พึงเลือกเฟนธรรมโดยแยบคาย ยอมเห็นอรรถแหงธรรมชัดดวยปญญา ความ หลุดพนแหจิต (จริมกจิต) คือ ความดับของ ภิกษุนั้นยอมมีได เหมือนความดับแหงประทีป ฉะนั้น. จบ ปฐมพลสูตรที่ ๓ อรรถกถาปฐมพลสูตรที่ ๓ ปฐมพลสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา ยนิโส วิจิเน ธมฺม ความวา ยอมเลือกเฟนธรรมคือสัจจะ ๔ โดยอุบาย. บทวา ปฺตฺถ วิปสฺสติ ความวา ยอมเห็นสัจจธรรม ดวยปญญาอันสัมปยุตดวยมรรคพรอมวิปสสนา. บทวา
- 6. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 6ปชฺโชตสฺเสว ความวา ประหนึ่งความดับแหงประทีปฉะนั้น. บทวาวิโมกฺโข โหติ เจตโส ความวา จริมกจิต จิตดวงสุดทายของพระ-ขีณาสพ ผูประกอบดวยพละเหลานี้นั้น ยอมหลุดพันจากวัตถุและอารมณ เหมือนความดับไปแหงดวงประทีปฉะนั้น คือ ยอมไมปรากฏสถานที่ไป. จบ อรรถกถาปฐมพลสูตรที่ ๓
- 7. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 7 ๔. ทุติยพลสูตร [๔]ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พละ ๗ ประการนี้ ๗ ประการ เปนไฉน คือ ศรัทธาพละ วิริยพละ หิริพละ โอตตัปปพละ สติพละสมาธิพละ ปญญาพละ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ศรัทธาพละเปนไฉนดูกอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีศรัทธา คือเชื่อพระปญญาตรัสรูของพระตถาคตวา แมเพราะเหตุนี้ ๆ พระผูมี-พระภาคเจาพระองคนั้น เปนพระอรหันต ตรัสรูเ องโดยชอบ ฯลฯเปนผูตื่นแลว เปนจําแนกธรรม นี้เรียกวา ศรัทธาพละ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย วิริยพละเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรมเพื่อความถึงพรอมแหงกุศลธรรม เปนผูมีกําลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไมทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกวา วิริยพละ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็หิริพละเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีความละอาย คือ ละอายตอกาย-ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายตอการจักตองอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลายนี้เรียกวา หิริพละ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็โอตตัปปพละเปนไฉน กอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีความสะดุงกลัว คือ
- 8. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 8สะดุงกลัวตอกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุงกลัวตอการถูกตองอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย นี้เรียกวา โอตตัปปพละ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สติพละเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีสติ คือ ประกอบดวยสติเครื่องรักษาตนอยางยิ่ง ยอมระลึกนึกถึงแมสิ่งที่ทําคําที่พูดไวนาน ไดนี้เรียกวา สติพละ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิพละเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน นี้เรียกวา สมาธิพละ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ปญญาพละเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีปญญา คือ ประกอบดวยปญญาที่กําหนดความเกิดและความดับ เปนอริยะ ชําแรกกิเลส ใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบ นี้เรียกวา ปญญาพละ ดูกอนภิกษุทั้งหลายพละ ๗ ประการนี้แล. ศรัทธาพละ วิริยพละ หิริพละ โอตตัปป- พละ สติพละ สมาธิพละ ปญญาพละเปนที่ ๗ ภิกษุผูมีพละดวยพละ ๗ ประการนี้ เปนบัณฑิต ยอมอยูเปนสุข พึงเลือกเฟนธรรมโดยแยบคาย ยอมเห็นอรรถแตงธรรมชัดดวยปญญา ความ
- 9. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 9 หลุดพนแหงจิต (จริมกจิต) คือ ความดับของ ภิกษุนั้นยอมมีได เหมือนความดับแหงประทีป ฉะนั้น. จบ ทุติยพลสูตรที่ ๔ อรรถกถาทุติยพบสูตรที่ ๔ ทุติยพลสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. ทุติยพลสูตรที่ ๔ มีอาทิวา สทฺโธ โหติ ไดพรรณนาไวแลวในปญจกนิบาต นั่นแล. จบ อรรถกถาทุติยพลสูตรที่ ๔
- 10. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 10 ๕. ปฐมธนสูตร [๕] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทรัพย ๗ ประการนี้ ๗ ประการเปนไฉน คือ ทรัพยคือศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑จาคะ ๑ ปญญา ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทรัพย ๗ ประการนี้แล. ทรัพย คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปญญาเปนที่ ๗ ทรัพยเหลานี้มี แกผูใด เปนหญิงหรือชายก็ตาม บัณฑิตเรียก ผูนนวา เปนผูไมยากจน ชีวตของผูนั้นไมเปลา ั้ ระลึกถึงคําสอนของพระพุทธเจา พึงประกอบ ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และการเห็นธรรม. จบ ปฐมธนสูตรที่ ๕ อรรถกถาปฐมธนสูตรที่ ๕ ปฐมธนสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา ธนานิ ไดแกชื่อวาทรัพยเพราะอรรถวา เพราะบุคคลผูไมยากจนทําได. จบ อรรถกถาปฐมธนสูตรที่ ๕
- 11. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 11 ๖. ทุติยธนสูตร [๖] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทรัพย ๗ ประการนี้ ๗ ประการเปนไฉน คือ ทรัพยคือ ศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑จาคะ ๑ ปญญา ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพยคือศรัทธาเปนไฉนดูกอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีศรัทธา คือเชื่อพระปญญาตรัสรูของพระตถาคตวา แมเพราะเหตุนี้ ๆ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น เปนพระอรหันต ตรัสรูเองโดยชอบ ฯลฯเปนผูตื่นแลว เปนผูจําแนกธรรม นี้เรียกวา ทรัพยคือศรัทธา. ดูกอนภิกษุทั้ง. หลาย ก็ทรัพยคือศีลเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูเวนจากการฆาสัตว ฯลฯจากการดื่มน้ําเมาคือสุราและเมรัย อันเปนที่ตั้งแหงความประมาทนี้เรียกวา ทรัพยคือศีล. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพยคือหิริเปนไฉน กอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีความละอาย คือ ละอายตอกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายตอการถูกตองอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกวา ทรัพยคือหิริ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพยคือโอตตัปปะเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีความสะดุงกลัว คือสะดุงกลัวตอกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุงกลัวตอการถูกตองอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกวา ทรัพยคือโอตตัปปะ.
- 12. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 12 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพยคือสุตะเปนไฉน กอนภิกษุทั้งหลาย อริยะสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะเปนผูไดสดับมามาก ทรงไวคลองปาก ขึ้นใจ แทงตลอดดวยดีดวยทิฏฐิ. ซึ่งธรรมทั้งหลาย อันงามในเบื้องตน งามในทามกลางงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรยพรอมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบรณสิ้นเชิง นี้เรียกวา ทรัพยคือสุตะ. ู ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพยคือจาคะเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีใจอันปราศจากมลทินคือ ความตระหนี่ อยูครองเรือน มีจาคะอันปลอยแลว มีฝามืออันชุมยินดีในการสละ. ควรแกการขอ ยินดีในทานและการจําแนกทานนี้เรียกวา ทรัพยคือจาคะ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพยคอปญญาเปนไฉน ดูกอนภิกษุ ืทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปนปญญา คือ ประกอบดวยปญญาที่กําหนดความเกิดและความดับ เปนอริยะ ชําแรกกิเลสใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบ นี้เรียกวา ทรัพยคือปญญา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทรัพย ๗ ประการนี้แล. ทรัพย คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปญญาเปนที่ ๗ ทรัพยเหลานี้มี แกผูใด เปนหญิงหรือชายก็ตาม บัณฑิตเรียกผู นั้นวา เปนผูไมยากจน ชีวตของผูนั้นไมเปลา ิ
- 14. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 14 ๗. อุคคสูตร [๗] ครังนั้นแล มหาอํามาตยของพระราชาชื่อวาอุคคะ ได ้เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผูมีพระ-ภาคเจาแลว นั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง ครั้นแลวไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพระองคผูเจริญ นาอัศจรรย ขาแตพระองคผูเจริญ ไมเคยมีมา โดยเหตุที่มิคารเศรษฐีผูเปนหลานโรหณเศรษฐี.เปนผูมั่งคั่ง มีทรัพยมาก มีโภคสมบัติมากถึงเพียงนี้ พระผูมพระ- ีภาคเจาตรัสถามวา ดูกอนอุคคะ ก็มิคารเศรษฐีหลานโรหณเศรษฐี มั่งคั่ง มีทรัพยมาก มีโภคสมบัติมากสักเทาไร. อุ. ขาแตพระองคผูเจริญ มีทองแสนลิ่ม จะกลาวไปไยถึงเงิน. พ. ดูกอนอุคคะ ทรัพยนั้นมีอยูแล เรามิไดกลาววาไมมี แต ทรัพยนั้นแลเปนของทั่วไปแกไฟ น้ํา พระราชา โจร ทายาทผูไมเปนที่รัก ดูกอนอุคคะ ทรัพย ๗ ประการนี้แล ไมทั่วไปแกไฟ น้า พระ- ํราชา โจร ทายาทผูไมเปนที่รัก ๗ ประการเปนไฉน คือ ทรัพยคือศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑ จาคะ ๑ ปญญา ๑ดูกอนอุคคะ ทรัพย ๗ ประการนี้แล ไมทั่วไปแกไฟ น้ํา พระราชาโจร ทายาทผูไมเปนที่รัก. ทรัพย คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปญญาเปนที่ ๗ ทรัพยเหลานี้ มีแกผูใด เปนหญิงหรือชายก็ตาม เปนผูมีทรัพย มากในโลก อันอะไร ๆ พึงผจญไมไดในเทวดา
- 15. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 15 และมนุษย เพราะฉะนั้น ทานผูมีปญญา เมื่อ ระลึกถึงคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย พึง ประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และการ เห็นธรรม. จบสูตรที่ ๗ อรรถกถาอุคคสูตรที่ ๗ อคคสูตรที่ ๗ มีวนิจฉัยดังตอไปนี้. ิ บทวา อุคฺโค ราชมหามตฺโต ไดแก มหาอํามาตย ของพระเจาปเสนทิโกศล. บทวา อุปสงฺกมิ ความวา เปนผูบริโภคอาหารเชาเสร็จแลว จึงเขาไปเฝา. บทวา อทฺโธ ความวา เปนผูมั่งคั่งเพราะทรัพยที่เก็บไว.ดวยบทวา มิคาโร โรหเณยฺโย นี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสหมายเอามิคารเศรษฐีเปนหลานแหงโรหณเศรษฐี. บทวา มหทฺธโน ไดแกเปนมีทรัพยมากโดยทรัพยสําหรับใชสอย. บทวา มหาโภโคไดแก เปนผูมีโภคะมาก เพราะมีสิ่งอุปโภคและปริโภคมาก บทวาหิรฺสฺส ไดแกทองคํานั้นเอง. จริงอยู เฉพาะทองคําของเศรษฐีนั้นนับไดจํานวนเปนโกฏิ. บทวา รูปยสฺส ความวา กลาวเฉพาะเครื่องจับจายใชสอย เชนที่นอน เสื่อออน ขัน เครื่องลาด และเครื่องนุงหมเปนตน จะประมาณไมไดเลย. จบ อรรถกถาอุคคสูตรที่ ๗
- 16. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 16 ๘. สังโยชนสูตร [๘] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน ๗ ประการนี้ ๗ ประการเปนไฉน คือ สังโยชน คือ ความยินดี ๑ ความยินราย ๑ ความเห็นผิด๑ ความสงสัย ๑ มานะ ๑ ความกําหนัดในภพ ๑ อวิชชา ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน ๗ ประการนี้แล. จบ สังยชนสูตรที่ ๘ อรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๘ สังโยชนสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา อนุนยสฺโชน ไดแก กามราคสังโยชน. ความจริงสังโยชนทั้งหมดนี้นั่นแหละ พึงทราบวา สังโยชน เพราะอรรถวาเปนเครื่องผูก. ในสูตรนี้ พระผูมพระภาคเจาตรัสเฉพาะวัฏฏอยาง ีเดียว. คําที่เหลือในบททั้งปวง งายทั้งนั้นแล. จบ อรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๘
- 17. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 17 ๙. ปหาสูตร [๙] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยอมประพฤติพรหมจรรย เพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน ๗ ประการ ๗ ประการเปนไฉน คือ สังโยชนคือ ความยินดี ๑ ความยินราย ๑ ความเห็นผิด ๑ ความสงสัย ๑มานะ ๑ ความกําหนัดในภพ ๑ อวิชชา ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยอมอยูประพฤติพรหมจรรยเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน ๗ ประการนี้แลดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละสังโยชน คือ ความยินดีเสียไดตัดรากขาดแลว ทําใหเปนเหมือนตาลยอดดวน ไมใหมี ไมใหเกิดขึ้นตอไปเปนธรรมดา ละสังโยชน คือความยินราย ฯลฯ สังโยชนคือ ความเห็นผิด ฯลฯ สังโยชนคือความสงสัย ฯลฯ สังโยชนคือมานะ ฯลฯ สังโยชนคือความกําหนัดในภพ ฯล สังโยชนคืออวิชชาเสียได ตัดรากขาดแลว ทําใหเปนเหมือนตาลยอดดวน ไมใหมี ไมใหเกิดขึ้นอีกตอไปเปนธรรมดา เมื่อนั้น ภิกษุนี้ เรากลาววา ตัดตัณหาไดขาดแลว เพิกถอนสังโยชนไดแลว กระทําทีสุดแหงทุกขไดแลว ่เพราะตรัสรูคือละมานะเสียไดโดยชอบ. จบสูตรที่ ๙
- 18. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 18 ๑๐. มัจฉริยสูตร [๑๐] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน ๗ ประการนี้ ๗ ประการเปนไฉน คือ สังโยชนคือ ความยินดี ๑ ความยินราย ๑ ความเห็นผิด๑ ความสงสัย ๑ มานะ ๑ ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ กอนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน ๗ ประการนี้แล. จบสูตรที่ ๑๐ รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. ปฐมอัปปยสูตร ๒. ทุติยอัปปยสูตร ๓. ปฐมพลสูตร๔. ทุติยพลสูตร ๕. ปฐมธนสูตร ๖. ทุติยธนสูตร ๗. อุคคสูตร๘. สังโยชนสูตร ๙. ปหานสูตร ๑๐. มัจฉริยสูตร จบ ธนวรรคที่ ๑
- 19. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 19 อนุสยวรรคที่ ๒ ๑. ปฐมอนุสยสูตร [๑๑] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อนุสัย ๗ ประการนี้ ๗ ประการเปนไฉน คือ อนุสัย คือ กามราคะ ๑ อนุสัย คือ ปฏิฆะ ๑ อนุสัย คือทิฏฐิ ๑ อนุสัย คือ วิจิกิจฉา ๑ อนุสัย คือ มานะ ๑ อนุสย คือ ภวราคะ ั๑ อนุสัย คือ อวิชชา ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อนุสัย ๗ ประการนี้แล. จบ ปฐมอนุสยสูตรที่ ๑
- 20. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 20 ๒. ทติยอนุสยสูตร [๑๒] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยอมอยูประพฤติพรหมจรรยเพื่อละ เพื่อตัดอนุสัย ๗ ประการ ๗ ประการเปนไฉน คือ อนุสัย คือกามราคะ ๑ อนุสัย คือ ปฏิฆะ ๑ อนุสัย คือ ทิฏฐิ ๑ อนุสัย คือวิจิกิจฉา ๑ อนุสัย คือ มานะ ๑ อนุสัย คือ ภวราคะ ๑ อนุสัย คืออวิชชา ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยอมอยูประพฤติพรหมจรรยเพื่อละ เพื่อตัดอนุสัย ๗ ประการนี้แล ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแลภิกษุละอนุสัยคือกามราคะเสียได ตัดรากขาดแลว ทําใหเปนเหมือนตาลยอดดวน ไมใหมี ไมใหเกิดขึ้นอีกตอไปเปนธรรมดา ละอนุสัยคือ ปฏิฆะ... อนุสัย คือ ทิฏฐิ... อนุสัย คือ วิจิกิจฉา... อนุสัย คือมานะ... อนุสัย คือ ภวราคะ... อนุสัย คือ อวิชชาเสียได ตัดรากขาดแลว ทําใหเปนเหมือนตาลยอดดวน ไมใหมี ไมใหเกิดขึ้นอีกตอไป เปนธรรมดา เมื่อนั้น ภิกษุนี้เรากลาววา ตัณหาไดแลวเพิกถอนสังโยชนไดแลว กระทําที่สุดทุกขไดแลว เพราะตรัสรูคือละมานะเสียไดโดยชอบ. จบ ทุติอนุสยสูตรที่ ๒
- 21. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 21 ๓. กุลสูตร [๑๓] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สกุลซึ่งประกอบดวยองค ๗ประการ ภิกษุยังไมเคยเขาไป ไมควรเขาไป หรือเขาไปแลวไมควรนั่ง องค ๗ ประการเปนไฉน คือ ตอนรับดวยไมเต็มใจ ๑ไหวดวยไมเต็ม ๑ ใหอาสนะดวยไมเต็มใจ ๑ ซอนของที่มีอยู ๑เมื่อมีของมากใหนอย ๑ เมื่อมีของประณีตใหของเศราหมอง ๑ ใหโดยไมเคารพ ไมใหโดยเคารพ ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สกุลซึ่งประกอบดวยองค ๗ ประการนี้แล ภิกษุยังไมเคยเขาไป ไมควรเขาไป หรือเขาไปแลวไมควรนั่ง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สกุลซึ่งประกอบดวยองค ๗ ประการ ภิกษุยังไมเคยเขาไป ควรเขาไปหรือเขาไปแลว ควรนั่ง องค ๗ ประการเปนไฉน คือ ตอนรับดวยเต็มใจ ๑ ไหวดวยเต็มใจ ๑ ใหอาสนะดวยเต็มใจ ๑ ไมซอนของที่มีอยู ๑ เมื่อมีของมากใหมาก ๑ เมื่อมีของประณีตใหของประณีต ๑ใหโดยเคารพ ไมใหโดยไมเคารพ ๑ กอนภิกษุทั้งหลาย สกุลซึ่งประกอบดวยองค ๗ ประการนี้แล ภิกษุยังไมเคยเขาไป ควรเขาไปหรือเขาไปแลวควรนั่ง. จบ กุลสูตรที่ ๓
- 22. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 22 อนุสยวรรคที่ ๒ อรรถกถากุลสูตรที่ ๓ วรรคที่ ๒ กุลสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา นาล แปลวา ไมควร คือไมเหมาะสม. บทวา น มนาเปนความวา ลุกจากอาสนะที่ตนนั่ง โดยอาการไมคอยเต็มใจ คือแสดงอาการไมพอใจนั่นเอง. สองบทวา สนฺตมสฺส ปริคูหนฺติ ความวายอมซอน คือยอมปกปด - ไทยธรรมแมที่มีอยูแกภิกษุนั้น. บทวาอสกฺกจฺจ เทนฺติ โน สกฺกจฺจ ความวา ไมวาจะเปนสิ่งเศราหมองหรือประณีตก็ตาม ให ไมใชดวยมือของตน คือโดยอาการไมยําเกรงยอมไมใหโดยอาการยําเกรง. จบ อรรถกถากุลสูตรที่ ๓
- 23. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 23 ๔. ปุคคสูตร [๑๔] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้ เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรของตอนรับ เปนผูควรของทําบุญ เปนผูควรกระทําอัญชลี เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ๗ จําพวกเปนไฉน คือ อุภโตภาควิมุต ๑ ปญญาวิมุติ ๑ กายสักยี ๑ ทิฏฐิปปตตะ๑ สัทธาวิมุติ ๑ ธัมมานุสารี ๑ สัทธานุสารี ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลายบุคคล ๗ จําพวกนี้แล เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรของตอนรับเปนผูควรของทําบุญ เปนผูควรกระทําอัญชลี เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. จบ ปุคคลสูตรที่ ๔ อรรถกถาปุคคลสูตรที่ ๔ ปุคคลสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา อุภโตภาควิมุตฺโต ความวา หลุดพนแลวโดยสวนทั้ง ๒.อธิบายวา หลุดพนแลวจากรูปกาย ดวยอรูปสมาบัติ และหลุดพนแลวจากนามกายดวยมรรค. บุคคลนั้นมี ๕ จําพวก คือ บุคคลผูออกจากอรูปสมาบัติ ๔ แตละสมาบัติ แลวพิจารณาสังขารแลวบรรลุพระอรหัต ๔ จําพวก, และพระอนาคามีผูออกจากนิโรธแลว
- 24. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 24บรรลุพระอรหัต ๑ จําพวก. แตบาลีในพระสูตร มาแลวดวยอํานาจผูไดวิโมกข ๘ อยางนี้วา ก็บุคคลผูหลุดพันโดยสวน ๒ เปนไฉน ?บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ ถูกตองวิโมกข ดวยนามกายแลวอยูอาสวะของผูนั้นยอมสิ้นไป เพราะเห็นแมดวยปญญา. บุคคลผูชื่อวา ปญญาวิมุตตะ เพราะหลุดพนดวยปญญา.ปญญาวิมุตตะนั้นมี ๕ จําพวก ไดแกบุคคลเหลานี้คือ พระ-อรหันตสุกขวิปสสกะจําพวก ๑ ทานออกจากฌาน ๔ แลวบรรลุพระอรหัต ๔ จําพวก. แตบาลีในสูตรนี้มาแลว โดยปฏิเสธวิโมกข ๘ดังพระธรรมสังคาหกาจารยกลาวไววา ความจริง บุคคลไมไดถูกตองวิโมกข ๘ ดวยนามกายอยู อาสวะทั้งหลายของเขายอมสิ้นไปเพราะเห็นแมดวยปญญา บุคคลนี้ทานเรียกวา ปญญาวิมุตติ หลุดพนแลวดวยปญญา. บุคคลชื่อวา กายสักขี เพราะทําใหวิโมกขนั้น อันตนทําใหแจงแลวดวยนามกาย. กายสักขีปุคคลนั้นยอมถูกตองฌานสัมผัสกอน ยอมทําใหแจงซึ่งนิโร คือพระนิพพานในภายหลัง. กายสักขี-บุคคลนั้น นับตั้งแตพระอริยบุคคลผูตั้งอยูในโสดาปตติผล จนถึงพระอริยบุคคล ผูตั้งอยูในอรหัตตมรรค รวมเปน ๖ จําพวกเพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาวไววา บุคคลบางคนในพระศาสนาถูกตองวิโมกข ๘ ดวยนามกายอยู อาสวะ บางเหลาของผูนั้นยอมสิ้นไป เพราะเห็นแมดวยปญญา บุคคลนี้ทานเรียกวา กายสักขีดวยเห็นวิโมกขดวยนามกาย.
- 25. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 25 บุคคลผูชื่อวา ทิฏฐิปปตตะ เพราะถึงอริยสัจจธรรมที่ตนเห็นแลว. ในทิฏฐิปปตตบุคคลนั้น มีสักษณะสังเขปดังตอไปนี้ บุคคลชื่อวา ทิฏฐิปปตตะ เพราะรู เห็น รูแจง ทําใหแจง ถูกตองดวยปญญาวา สังขารทั้งหลายเปนทุกข ความดับสังขารเปนสุขดังนี้. แตเมื่อวาโดยพิศดาร บุคคลแมนั้น ยอมมี ๖ จําพวก ดุจกายสักขีบุคคลฉะนั้น. ดวยเหตุนั้นนั่นแล ทานจึงกลาววา บุคคลบางตนในพระ-ศาสนานี้ ยอมรูชัดตามความเปนจริงวา นี้ทุกข ฯลฯ ยอมรูชัดตามความเปนจริงวา นี้ปฏิปทา เปนเครื่องยังสัตวใหถึงความดับทุกขดังนี้ และเปนผูมีธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแลว ซึ่งตนเห็นแลวดวยปญญา อันตนประพฤติแลวปญญา บุคคลนี้ ทานเรียกวา ทิฏฐิปปตตะ ผูถึงอริยสัจจ ที่ตนเห็นแลว. บุคคล ชื่อวา สัทธาวิมุตตะ เพราะหลุดพนดวยศรัทธาสัทธาวิมุตตบุคคลแมนั้น ก็มี ๖ จําพวก โดยนัยดังกลาวแลวนั่นแล.ดวยเหตุนั้น ทานจึงกลาววา บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ ยอมรูชัดตามความเปนจริงวา นี้ทุกข ฯลฯ ยอมรูชัดตามความเปนจริงวา นี้ปฏิปทาเปนเครื่องใหถึงความดับทุกข และยอมเปนผูมีธรรมที่พระตถาคตประกาศแลว ซึ่งตนเห็นแลวดวยปญญา อันตนประพฤติแลวดวยปญญา ฯลฯ บุคคลนี้ ทานเรียกวา สัทธาวิมุตตะ หลุดพนดวยศรัทธา แตวาไมเปนเหมือนความหลุดพนของทิฏฐิปปตตะบุคคล.เพราะความสิ้นกิเลสของสัทธาวิมุตตะบุคคลนี้ เหมือนความสิ้นกิเลสของบุคคลผูเชื่ออยู ปกใจเชื่ออยู เเละนอมใจเชื่ออยู ในมัคคขณะอันเปนสวนเบื้องตนฉะนั้น ญาณอันเปนเครื่องดับกิเลสในมัคคขณะ
- 26. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 26อันเปนสวนเบื้อตน ของทิฏฐิปปตตะบุคคล เปนญาณไมชักชากลาแข็ง แหลมคม ตัดกิเลสผานไปไมได เพราะเหตุนั้น เหมือนอยางวา บุคคลใชดาบที่ไมคม ตัดตนกลวย รอยขาดของตนกลวยยอมเกลี้ยงเกลา ดาบก็ไมนํา (ตัด) ไปไดโดยฉับพลัน ยังไดยินเสียงใชความพยายามอยางแรงกลา ฉันใด มรรคภาวนา อันเปนสวนเบื้องตน ของสัทธาวิมุตตบุคคลนั้น พึงทราบเหมือนฉันนั้นแตยุคคล เอาดาบที่ลับดีแลวตัดตนกลวย รอยขาดของตนกลวยยอมเกลี้ยงเกลา ดาบยอมนํา (ตัด) ไดฉับพลัน ไมไดยินเสียง ไมตองใชความพยายามอยางแรง ฉันใด มรรคภาวนา อันเปนสวนเบื้องตนของปญญาวิมุตตบุคคลก็พึงทราบฉันนั้นเหมือนกัน. บุคคล ชื่อวา ธัมมานุสารี เพราะตามระลึกถึงธรรม. พรอมชื่อวา ธรรม. อธิบายวา บุคคลยอมเจริญมรรคอันมีปญญาเปนตัวนําแมในบุคคลผูสัทธานุสารีก็นัยนี้เหมือนกัน. บุคคลทั้ง ๒ นัน ก็ตอ ้บุคคลผูตั้งอยูในโสดาปตติมรรคนั่นแล. สมจริงดังคําที่ธรรมสังคห-กาจารย กลาวไววา บุคคลใด ปฏิบัติเพื่อทําใหแจงโสดาปตติผลปญญินทรียยอมมีจํานวนมาก บุคคลนั้นชื่อวา ยอมเจริญอริยมรรค อันมีปญญาเปนตัวนํา บุคคลนี้ทานเรียกวา ธัมมานุสารี. ในธัมมา-นุสารีนั้น มีความสังเขปเพียงเทานี้. แตเมื่อวาโดยพิสดาร กถาวาดวยอุภโตภาควิมุตตะปุคคลเปนตนนี้ ก็กลาวไวแลวในอธิการวาดวยปญญาภาวนาในวิสุทธิมรรค เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยที่กลาวแลวในปกรณนั้นเถิด ดังนี.้ จบ อรรถกถาปุคคลสูตรที่ ๔
- 27. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 27 ๕. อุทกูปมสูตร [๑๕] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีเปรียบดวยน้ํา ๗ จําพวกนี้มีปรากฏอยูในโลก ๗ จําพวกเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้จมลงแลวคราวเดียว ก็เปนอันจมอยูนั่นเอง ๑ บางคนโผลขึ้นมาแลวกลับจมลงไป ๑ บางคนโผลพนแลวทรงตัวอยู ๑ บางคนโผลขึ้นแลวเหลียวไปมา ๑ บางคนโผลขึ้นแลวเตรียมตัวจะขาม ๑ บางคนโผลขึ้นแลวไดที่พึ่ง ๑ บางคนโผลขึ้นมาไดแลวเปนพราหมณขามถึงฝงอยูบนบก ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่จมลงแลวคราวเดียวก็เปนอันจมอยูนั่นเองอยางไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เปนผูประกอบดวยอกุศลธรรมฝายดําโดยสวนเดียว ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่จมลงแลวคราวเดียวก็เปนอันจมอยูนั่นเองอยางนี้แล. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็บคคลที่โผลขึ้นมาไดกลับจมลงไป ุอยางไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผลขึ้นมาได คือเขามีธรรม คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทังหลาย ้แตศรัทธาของเขานั้นไมคงที่ ไมเจริญขึ้น เสื่อมไปฝายเดียว หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปญญาของเขานั้น ไมคงที่ ไมเจริญขึ้น เสื่อมไปฝายเดียว ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผลขึ้นมาแลวกลับจมลงอยางนี้แล. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลทีโผลขึ้นมาแลวทรงตัวอยูอยางไร ่บุคคลบางคนในโลกนี้ โผลขึ้นมาได คือ เขามีธรรมเหลานี้ คือ ศรัทธาหิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต
- 28. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 28ศรัทธาของเขานั้นไมเสื่อมลง ไมเจริญขึ้น คงทีอยู หิริ โอตตัปปะ ่วิริยะ และปญญาของเขานั้นไมเสื่อมลง ไมเจริญขึ้น คงที่อยู ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผลขึ้นมาไดแลวทรงตัวอยูอยางนี้แล. กอนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลทีโผลขึ้นมาไดแลวเหลียวไปมา ่อยางไร บุคคลบางตนในโลกนี้ โผลขึ้นมาได คือ เขามีธรรมเหลานี้คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสังโยชน ๓ สิ้นไป เขาเปนพระโสดาบัน มีอันไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผูเที่ยงที่จะตรัสรูในเบื้องหนา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผลขึ้นมาไดแลวเหลียวไปมาอยางนี้แล. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผลขึ้นมาไดแลวเตรียมตัวจะขามอยางไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผลขึ้นมาได คือ เขามีธรรมเหลานี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปญญาชันดี ๆ ในกุศลธรรม ้ทั้งหลาย เพราะสังโยชน ๓ สิ้นไป เพราะทําราคะ โทสะ โมหะใหเบาบางลง เขาเปนพระสกทาคามี มาสูโลกนีอีกครั้งเดียวเทานั้น ้แลวทําที่สุดทุกขได บุคคลที่โผลขึ้นมาไดแลว เตรียมตัวจะขามอยางนี้แล. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผลขึ้นมาแลวไดที่พึ่งอยางไรบุคคลบางตนในโลกนี้ โผลขึ้นมาได คือ เขามีธรรมเหลานี้ คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปญญา ชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทังหลาย ้เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน ๕ สิ้นไป เขาเปนพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไมกลับจากโลกนั้นเปนธรรมดา บุคคลที่โผลขึ้นมาแลวไดที่พึ่งอยางนี้แล.
- 29. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 29 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผลขึ้นมาไดแลวเปนพราหมณขามถึงฝงอยูบนบกอยางไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผลขึ้นมาไดคือ เขามีธรรมเหลานี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เขากระทําใหแจงซึ่งเจโตวิมุติ ปญญา-วิมุติ อันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดวยปญญาอันยิ่งเอง ในปจจุบัน เขาถึงอยู บุคคลที่โผลขึ้นมาไดแลวเปนพราหมณขามถึงฝงอยูบนบกอยางนี้แลว กอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบดวยน้ํา ๗ จําพวกนี้แล มีปรากฏอยูในโลก. จบ อุทกูปมสูตรที่ ๕ อรรถกถาอุทกูปมสูตรที่ ๕ อุทกูปมสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา อุทกูปมา ความวา บุคคล ทานเปรียบดวยน้ํา เพราะถือเอาอาการมีการดําลงเปนตน. สองบทวา สกึ นิมุคฺโค ไดแกดําลงคราวเดียว บทวา เอกนฺตกาฬเกหิ พระองคตรัสหมายถึงนิยตมิจฉาทิฏฐิ. บทวา อุมฺมุชฺชติ แปลวาผุดขึ้น. บทวา สาธุ ความวางาม คือ ดี. บทวา หายติเยว ความวา ยอมเสื่อมไปหมดทีเดียวเหมือนน้ําที่บุคคลรดลงในเครื่องกรองน้ํา ฉะนั้น. หลายบทวาอุมฺมุชฺชิตฺวา วิปสฺสติ วิโลเกติ ความวา บุคคลที่โผลขึ้นไดแลวพิจารณาเหลียวแลดูทิศที่ควรจะไป. บทวา ปตรติ ความวา ชื่อวาเปนผูบายหนาตอทิศที่ควรไปขามไปอยู. สองบทวา ปติคาธปฺปตฺโต
- 30. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 30โหติ บุคคลโผลขึ้นมาแลวเหลียวดูขามไป ชื่อวายอมประสมที่พึงคือ ยอมยืนอยูในที่แหงหนึ่ง ไมหวนกลับมาอีก. บทวา ติณฺโณปารคโต ถเล ติฏติ ความวา บุคคลขามหวัง คือ กิเลสทั้งปวงถึงฝงโนนแลว ชื่อวา ยอมเปนผูยืนอยูบนบก คือ พระนิพพาน.วัฏฏะและวิวัฏฏะ พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวในพระสูตรนี้. จบ อรรถกถาอุทกูปมสูตรที่ ๕
- 31. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 31 ๖. อนิจจสูตร [๑๖] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้ เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรของตอนรับ เปนผูควรของทําบุญ เปนผูควรกระทําอัญชลี เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ๗ จําพวกเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นความไมเที่ยง มีความสําคัญวาไมเที่ยง ทั้งรูวาเปนของไมเที่ยง ในสังขารทั้งปวง ตั้งใจมั่นติดตอกันไปไมขาดสาย มีปญญาหยั่งทราบยอมกระทําใหแจงซึ่งเจโตวิมุติ ปญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิไดเพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดวยปญญาอันยิ่งเอง ในปจจุบันเขาถึงอยู นี้เปนบุคคลที่ ๑ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางตนในโลกนี้พิจารณาเห็นความไมเที่ยง... มีปญญาหยั่งทราบ ความสิ้นอาสวะและความสิ้นชีวิตของเขา ไมกอนไมหลังกัน นี้เปนบุคคลที่ ๒เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นความไมเที่ยง... มีปญญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิย-สังโยชน ๕ สิ้นไป เขาจักปรินิพพานในระหวาง นี้เปนบุคคลที่ ๓เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา.
- 32. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 32 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นความไมเที่ยง... มีปญญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิย-สังโยชน ๕ สิ้นไป เขาจักปรินิพพานในเมืออายุเลยกึ่ง นี้เปนบุคคลที่ ๔ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นความไมเที่ยง... มีปญญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิย-สังโยชน ๕ สิ้นไป เขาจักปรินิพพานโดยไมตองใชความเพียรนักนี้เปนบุคคลที่ ๕ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นความไมเที่ยง... มีปญญาหยั่งทราบ. เพราะโอรัมภาคิย-สังโยชน ๕ สิ้นไป เขาจักปรินิพพานโดยตองใชความเพียรเรี่ยวแรงนี้เปนบุคคลที่ ๖ เปนผูควรของคํานับ... เปนนาบุญของโลกไมมี นาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นความไมเที่ยง มีความสําคัญวาไมเที่ยง ทั้งรูวาเปนของไมเที่ยง ในสังขารทั้งปวง ตังใจมั่น ติดตอกันไปไมขาดสาย ้มีปญญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน ๕ สิ้นไป เขาเปนผูมีกระแสในเบื้องบน ไปสูอกนิฏฐภพ นี้เปนบุคคลที่ ๗ เปนผูควร
- 33. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 33ของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้แล เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรของตอนรับ เปนควรของทําบุญ เปนผูควรกระทําอัญชลี เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. จบ อนิจจสูตรที่ ๖ อรรถกถาอนิจจสูตรที่ ๖ อนิจจสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บุคคลชื่อวา อนิจานุปสสี เพราะตามเห็นขยายไปดวยปญญาอยางนี้วา สังขารทั้งหลายไมเที่ยง. บุคคลชื่อวา อนิจจสัญญีเพราะมีความสําคัญอยางนี้วา สังขารทั้งหลายไมเที่ยง. บุคคลชื่อวาอนิจจปฏิสังเวที เพราะรูชัดดวยญาณ (ปญญา) อยางนี้วา สังขารทั้งหลายไมเที่ยง. บทวา สตต ไดแก ทุกกาล. บทวา สมิต ความวาจิตดวงหลัง ถึงแลวคือเขาถึงแลว สืบตอกับจิตดวงกอนอยางใดจิตดวงกอนก็สืบตอกับจิตดวงหลังอยางนั้น. บทวา อพฺโพกิณฺณความวา ตอกันไมขาดสาย คือไมเจือปนดวยจิตดวงอื่น. บทวาเจตสา อธิมุจฺจมาโน ไดแก นอมในไป. บทวา ปฺาย ปริโยคาหมาโนไดแก ตามเขาไปดวยวิปสสนาญาณ.
- 34. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 34 บทวา อปุพฺพ อจริม ไดแก ไมกอนไมหลัง คือในขณะเดียวกันนั้นเอง. พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมสีสีบุคคล ไวในพระสูตรนี้. สมสีสบุคคลนั้น มี ๔ จําพวก คือ โรคสมสีสี เวทนาสมสีสี ีอิริยาปถสมสีสี และชีวิตสมสีสี. บรรดาบุคคล ๔ จําพวกนั้นบุคคลใดถูกโรคอยางใดอยางหนึ่งกระทบแลว โรคสงบระงับ และอาสวะสิ้นไป โดยคราวเดียวกันนั่นเอง บุคคลนี้ ชื่อวาโรคสมสีสี.สวนบุคคลใด เสวยเวทนาอยางใดอยางหนึ่ง เวทนาสงบระงับไปและอาสวะสิ้นไป ในคราวเดียวกันนั่นเองบุคคลนี้ ชื่อเวทนาสมสีสี.สวนบุคคลใด พรั่งพรอมดวยอิริยาบถอยางใดอยางหนึ่ง มีการยืนเปนตน เห็นแจงอยู อริยาบถสิ้นสุด และอาสวะสิ้นไป โดยขณะเดียวกันนั่นเอง บุคคลนี้ ชื่อวา อิริยาปถสมสีสี. สวนบุคคลใดพยายามฆาตัวตายหรือทําสมณธรรมอยู ชีวิตสิ้นไป และอาสวะก็สิ้นไป โดยขณะเดียวนี้นั่นเอง บุคคลนี้ ชื่อวา ชีวิตสมสีสี. ชีวิต-สมสีสีบุคคลนี้ ทานประสงคเอาในพระสูตรนี้. ในชีวิตสมสีสีบุคคลนั้น มีอธิบายวา ความสิ้นไปแหงอาสวะ ยอมมีไดดวยมรรคจิตความสิ้นสุดแหงชีวิตยอมมีไดดวยจุติจิตก็จริง ถึงกระนั้น ชื่อวาความเกิดพรอมแหงธรรมเปนที่สิ้นอาสวะ และการสิ้นสุดแหงชีวิตทั้ง ๒ อยาง ยอมมีในขณะเดียวกันไมได. ก็เพราะเหตุที่พออาสวะของชีวิตสมสีสีบุคคลนั้นสิ้นไป ความสิ้นสุดแหงชีวิตก็มาถึง ในลําดับวาระแหงปจจเวกขณะทีเดียว ไมปรากฏชองวาง ฉะนั้น ทานจึงกลาวอยางนี้.
- 35. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 35 บทวา อนฺตราปรินิพฺพายี นี้ เปนชื่อของพระอนาคามีบุคคลผูเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง บรรดาสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ หรือเลยไปหนอยหนึ่ง หรือยังตั้งอยูตรงกลาง. ในขณะที่บังเกิดแลวบรรลุพระอรหัต.บทวา อุปหจฺจปรินิพฺพายี ไดแก พระอนาคามีบุคคล. ลวงเลยกลางอายุขัยแลว จึงบรรลุพระอรหัต ในสุทธาวาสภูมินั่นเอง.บทวา อสงฺขารปรินิพฺพายี ไดแก พระอนาคามีบุคคล ผูทํากิเลสทั้งหลายใหสิ้นไป โดยไมตองกระตุนเตือน ไมตองกระทําความพากเพียร ของบุคคลเหลานั้นทั้งนั้น. บทวา อสงฺขารปรินิพฺพายีไดแก พระอนาคามีบุคคล ผูทํากิเลสทั้งหลายใหสิ้นไป โดยตองกระตุนเตือน ตองมีความพยายาม. บทวา อุทธโสโตอกนิฏฐคามี ฺไดแกพระอนาคามีบุคคล ผูบังเกิดในสุทธาวาสภูมิชั้นต่ํา ๔ ชั้นชั้นใดชั้นหนึง จุติจากภูมินั้นแลว เกิดในอกนิฏฐภูมิ โดยลําดับ ่แลวบรรลุพระอรหัต. จบ อรรถกถาอนิจจสุตรที่ ๖
- 36. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 36 ๗. ทุกขสูตร [๗] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ๗ จําพวกเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นความทุกข มีความสําคัญวาเปนทุกข ทั้งรูวาเปนทุกข ในสังขารทั้งปวง ฯลฯ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้แล เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรขอตอนรับ เปนผูควรของทําบุญ เปนควรกระทําอัญชลี เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. จบ ทุกขสูตรที่ ๗ อรรถกถาทุกขสูตรที่ ๗ ทุกขสูตรที่ ๗ มีวนิจฉัยดังตอไปนี้. ิ บทวา ทุกฺขานุปสฺสี ไดแก บุคคลผูตามเห็นอาการคือ ความไมบีบคั้น โดยความเปนทุกข. จบ อรรถกถาทุกขสูตรที่ ๗
- 37. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 37 ๘. อนัตตสูตร ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ๗ จําพวกเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นวาเปนอนัตตา มีความสําคัญวาเปนอนัตตา ทั้งรูวาเปนอนัตตา ในธรรมทั้งปวง ฯลฯดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้แล เปนผูควรของคํานับ ฯลฯเปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. จบ อนัตตา สูตรที่ ๘ อรรถกถาอนัตตาสูตรที่ ๘ อนัตตสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา อนตฺตานุปสฺสี ไดแกบุคคลผูตามเห็นอาการ คือความไมเปนไปในอํานาจ วาธรรมทั้งหลายเปนอนัตตา ดังนี้. อรรถกถาอนัตตสูตรที่ ๘
- 38. พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เลม ๔ - หนาที่ 38 ๙. นิพพานสูตร ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จําพวกนี้ เปนผูควรของคํานับเปนผูควรของตอนรับ เปนผูควรของทําบุญ เปนผูควรกระทําอัญชลี เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ๗ จําพวกเปนไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นความเปนสุข สําคัญวาสุขทั้งรูวาเปนสุข ในนิพพาน ตั้งใจมั่น ติดตอกันไปไมขาดสาย มีปญญาหยั่งทราบ กระทําใหแจงซึ่งเจโตวิมุติ ปญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดวยปญญาอันยิ่งเองในปจจุบันเขาถึงอยู นี้เปนบุคคลที่ ๑ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯเปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นวาเปนสุข... มีปญญาหยั่งทราบ เพราะความสิ้นอาสวะสูความสิ้นชีวิตของทานนั้น ไมกอนไมหลังกัน นี้เปนบุคคลที่ ๒ เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาเห็นวาเปนสุข... มีปญญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิย-สังโยชน ๕ สิ้นไป จักปรินิพพานในระหวาง นี้เปนบุคคลที่ ๓เปนผูควรของคํานับ ฯลฯ เปนนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา.