Contenu connexe
Similaire à บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื้อหา (20)
Plus de Visiene Lssbh (11)
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื้อหา
- 1. 6
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้จัดทาระบบการจัดร้านซื้อขายเบเ
ก อ รี่ ผู้ วิจัย ไ ด้ศึก ษ า ร ว บ ร ว ม ค้ น ค ว้า แ น ว คิด ท ฤ ษ ฏี
เอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยจัดเนื้อหาตามลาดับดังนี้
1. เทคโนโลยี
2. การวิเคราะห์และออกแบบระบบ
3. ระบบฐานข้อมูล (Database)
4. ทฤษฏีซิปป์โมเดล (CIPP Model)
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- 2. 7
เทคโนโลยีทเี่กยี่วข้อง
1. ระบบปฏิบัตกิารMicrosoft Windows 7 Ultimate
เป็นซอฟต์แวร์ของระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ในสาย
Windows สาหรับใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและMedia
Sensor
โดยวันออกจาหน่ายจริงยังไม่ได้ระบุไว้โดยจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ
ของซอฟต์แวร์ในปัจจุบันมีรุ่นทดสอบที่ยังไม่สมบูรณ์เปิดให้ผู้ใช้ง
า น ไ ด้ ด า ว น์ โ ห ล ด ฟ รี ท ด ล อ ง ใ ช้
ไมโครซอฟท์ได้มีการประกาศเปิดตัว Windows7 ในช่วงปีพ.ศ.
2550ว่ า ก า ร พั ฒ น า วิ น โ ด ว ส์ ตั ว นี้ จ ะ ใ ช้ เ ว ล า 3
ปีให้หลังจากการวางจาหน่ายWindows Vista คุณสมบัติใหม่ของ
- 3. 8
Windows ตั ว นี้ จ ะ มี จุ ด เ ด่ น ใ น ส่ ว น ข อ ง
ร อ ง รับ ร ะ บ บ มัล ติทัช มีก าร อ อ ก แ บ บ Windows เ ช ล ล์ใ ห ม่
แ ล ะ ร ะ บ บ Network แ บ บ ใ ห ม่ภ า ย ใ ต้ ชื่ อ (Home Group)
ใ น ข ณ ะ ที่ คุ ณ ส ม บั ติ ห ล า ย ส่ ว น ใ น Windows
รุ่นก่อนหน้าจะถูกนาออกไปได้แก่Windows Moviemakersและ
Windows Photo Gallery
2. โปรแกรมMicrosoft Visual Basic 2012
Visual Basic เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming
Language)
ที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างระบ
บ ป ฏิ บั ติ ก า ร Windows 95/98 แ ล ะ Windows NT
ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยตัวภาษาเองมีรากฐานมาจากภาษา
Basic ซึ่ ง ย่ อ ม า จ า ก Beginner’s All Purpose Symbolic
Instruction ถ้ า แ ป ล ใ ห้ ไ ด้ ต า ม ค ว า ม ห ม า ย ก็ คื อ
“ชุด ค าสั่ ง ห รือ ภ าษ าค อ มพิว เต อ ร์ส าห รับ ผู้ เริ่ม ต้น ” ภ า ษ า
Basic มีจุดเด่นคือผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องการเขียนโปรแกรมเลขก็ส
ามารถเรียนรู้และนาไปใช้งานได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วเมื่อเทีย
บกับการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์อื่นๆ เช่น ภาษาซี (C). ปาสคาส
(Pascal). ฟอร์แทรน (Fortian) หรือ แอสเชมบลี (Assembler)
ไ ม โ ค ร ซ อ ฟ ท์ที่ ไ ด้พัฒ น าโ ป ร แ ก ร ม ภ า ษ า Basic
ม า น า น นั บ สิ บ ปี ตั้ ง แ ต่ภ า ษ า MBASIC (Microsoft Basic)
BASICA (Basic Advanced): GWBASIC แ ล ะ QuickBasic
ซึ่ ง ไ ด้ ติด ตั้ ง ม า พ ร้อ ม กั บ ร ะ บ บ ป ฏิบัติ ก า ร MS - DOS
- 4. 9
ใ น ที่ สุ ด โ ด ย ใ ช้ ชื่ อ ว่ า QBASIC
โดยแต่ละเวอร์ชันที่ออกมานั้นได้มีการพัฒนาและเพิ่มเติมคาสั่งต่า
งๆเข้าไปโดยตลอด ในอดีตโปรแกรมภาษาเหล่านี้ล้วนทางานใน
Text Mode คื อ เ ป็ น ตั ว อั ก ษ ร ล้ ว น ๆ
ไม่มีภาพ กราฟิกสวยงามแบบระบบ Windows อย่างในปัจจุบัน
จ น ก ร ะ ทั่ ง เ มื่ อ ร ะ บ บ ป ฏิ บั ติ ก า ร Windows
ไ ด้ รั บ ค ว า ม นิ ย ม อ ย่ า ง สู ง แ ล ะ เ ข้ า ม า แ ท น ที่ DOS
ไ ม โ ค ร ซ อ ฟ ท์ก็เล็ง เห็น ว่าโ ป ร แ ก ร ม ภ าษ าใ น Text Mode
นั้น คงถึงกาล ที่ห มดส มัยจึงได้พัฒนาปรับ ปรุงโป รแก รมภ าษ า
Basic ข อ งต น อ อ ก มาให ม่เพื่อ สนับ ส นุน ก าร ท าง าน ใ น ระ บ บ
Windows ทาให้ Visual Basic ถือกาเนิดขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น
Visual Basic เ ว อ ร์ ชั น แ ร ก คื อ เ ว อ ร์ ชั น 1.0
อ อ ก สู่ ส า ย ต า ป ร ะ ช า ช น ตั้ ง แ ต่ ปี 1991
โดยในช่วงแรกนั้นยังไม่มีความสามารถต่างจากภาษา GBASIC
มากนักแต่จะเน้นเรื่องเครื่องมือที่ช่วยในการเขียนโปรแกรมวินโด
ว์ ซึ่ ง ป ร า ก ฏ ว่ า Visual Basic
ได้รับความนิยมและประสบความสาเร็จเป็นอย่างดีไมโครซอฟท์จึง
พัฒ น าVisual Basicใ ห้ดีขึ้น เรื่อ ยๆ ทั้ง ใ น ด้าน ป ร ะ สิท ธิภ าพ
ค ว า ม ส า ม า ร ถ แ ล ะ เ ค รื่ อ ง มื อ ต่ า ง ๆ เ ช่ น
เค รื่ อ ง มื อ ต ร ว จ ส อ บ แ ก้ ไ ข โ ป ร แ ก ร ม ( Debugger)
ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ข อ ง ก า ร พั ฒ น า โ ป ร แ ก ร ม
ก าร เขียน โป ร แ ก ร ม แ บ บ ห ล าย วิน โ ด ว์ย่อ ย (MDI) แ ล ะ อื่น ๆ
อีกมากมาย
ส า ห รับ Visual Basic ใ น ปัจ จุบัน คือ Visual Basic
2010 ซึ่ ง อ อ ก ม า ใ น ปี 2010
ได้เพิ่มความสามารถในการเขียนโปรแกรมติดต่อกับเครือข่ายอินเ
- 5. 10
ตอร์เน็ตการเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลรวมทั้งปรับปรุงเครื่องมือแ
ละการเขียนโปรแกรมซึ่งวัตถุ (Object Oriented Programming)
ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือต่างๆอีกมากมายที่ทาให้ใ
ช้งายและสะดวกขึ้นกว่าเดิมโดยทาให้เราจะค่อยๆมาเรียนรู้ส่วนป
ระกอบและเครื่องมือต่างๆอีกมากมายที่ทาให้ใช้ง่ายและสะดวกขึ้น
กว่าเดิม
1. กลุ่มเครื่องมือใน Visual Basic 2010
1.1. กลุ่ม Container เป็นกลุ่มที่ทาหน้าที่
เป็นกล่องใส่คอนโทรลพื้นฐานต่างๆเช่น Textbox, List Box,
Button หรือ Label
รูปภาพที่ 1 Common Containers
1.2. กลุ่ม Common Controls
เป็นคอนโทรลพื้นฐานที่เราสามารถนามาวางในคอนโทรลกลุ่ม
Container
- 6. 11
รูปภาพที่ 2 Common Controls
1.3. กลุ่ม Menus and Toolbars
รูปภาพที่ 3 Menus and Toolbars
3. โปรแกรม Microsoft Access 2010
เป็นโปรแกรมจัดการระบบฐานข้อมูลที่ช่วยจัดการกับระ
บบฐานข้อ มูลได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ตั้งแ ต่การจัดเก็บ ค้นห า
วิเค ร า ะ ห์ แ ล ะ น า เส น อ ข้ อ มูล ซึ่ ง โ ป ร แ ก ร ม Access
- 7. 12
สามารถ ท าไ ด้ง่าย ส ะด วก แ ละ รว ด เร็ว โ ปร แ กร ม Microsoft
Access 2010 ซึ่ ง เ ป็ น รุ่ น ล่ า สุ ด
ไ ด้มีก า ร ป รับ ป รุง คุณ ภ า พ ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม ใ น ห ล า ย ๆ
ด้านเพื่อให้การจัดการระบบฐานข้อมูลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพเ
พิ่ ม ม า ก ขึ้ น โ ป ร แ ก ร ม Access 2010
เป็ น โ ป ร แ ก ร ม ป ร ะ เภ ท จัด ก า ร ฐ า น ข้ อ มูล เชิ ง สัม พั น ธ์
ที่ ท า กั น ใ น ส า นั ก ง า น ห รื อ อ ง ค์ ก ร ข น า ด เ ล็ก
และยังสาม ารถเขียน กลุ่มโป รแกร ม (แมโ คร และ มอดูล ) ขอ ง
วิช ว ล เบ สิก เพื่ อ ใ ช้ใ น ก าร ท าง าน ไ ด้ โ ป ร แ ก ร ม Access
ยังสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล Microsoft SQL Server ได้ด้วย
ความแตกต่างระหว่างโปรแกรม Access กับ Visual
Basic ห รื อ Visual Basic .Net คื อ
วิ ช ว ล เ บ สิ ก ไ ม่ มี ส่ ว น เ ก็ บ ข้ อ มู ล ใ น ต น เ อ ง
แ ต่ ส า ม า ร ถ พั ฒ น า โ ป ร แ ก ร ม ไ ด้ ห ล า ก ห ล า ย เ ช่ น
พั ฒ น า โ ป ร แ ก ร ม ค ว บ คุ ม อุ ป ก ร ณ์
โ ป ร แ ก ร ม ป ร ะ ยุ ก ต์ ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ เ ก ม ส์
ห รื อ เ ชื่ อ ม ต่ อ กั บ ร ะ บ บ ฐ า น ข้ อ มู ล ภ า ย น อ ก
เป็นภาษาที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ (Application)
ส่ ว น โ ป ร แ ก ร ม Access
เหมาะสาหรับนักพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ไม่ต้องการโปรแกรมที่ซั
บ ซ้ อ น ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม Access
ที่ ส า คั ญ คื อ ส ร้ า ง ต า ร า ง แ บ บ ส อ บ ถ า ม ฟ อ ร์ ม
ห รื อ ร า ย ง า น ใ น แ ฟ้ ม เ ดี ย ว กั น ไ ด้
ด้วยคุณ ส ม บัติพื้ น ฐาน แ ล ะวิซซ าร์ด จึง อ าน ว ยใ ห้โ ป ร แ ก ร ม
Access พัฒ น า โ ป ร แ ก ร ม ใ ห้แ ล้ว เส ร็จ ไ ด้ใ น เว ล าอัน สั้ น
มีเครื่องมือที่อานวยความสะดวกในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอย่า
งครบถ้วน
- 8. 13
4. โปรแกรม Microsoft Word 2010
เป็น โ ป ร แ ก ร ม ป ร ะม วล ผ ล ค าที่ นิย ม ใ ช้กัน ม าก อ ยู่
ใ น ปั จ จุ บั น นี้ เ พ ร า ะ มี คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ที่ ดี เ ช่ น
ก า ร จั ด รู ป แ บ บ ส ะ ด ว ก ร ว ด เ ร็ ว
ฯลฯและมีประโยชน์ต่อการจัดเก็บเอกสารและการปรับแก้ไขพื้นฐา
น ก าร ใ ช้โ ป ร แ ก ร ม ตั้ง แ ต่ก าร เปิด ส่ว น ป ร ะ ก อ บ ต่าง ๆ เช่น
แท็บเมนูแท็บเครื่องมือ มุมมอง ฯลฯ และการจัดการไฟล์เอกสาร
เช่น การเปิด การปิดการบันทึก และการออกจากโปรแกรม ฯลฯ
อีกทั้งยังรองรับภาษาไทยได้ด้วยการประมวลผลคา หรือ Word
Processing คือ ก าร น าค าห ล าย ๆ ค าม าเรีย ง กัน ใ ห้อ ยู่ ใ น
รูปแบบที่กาหนดซึ่งเราสามารถกาหนดได้ว่าจะให้มีกี่ตัวอักษรต่อ
ห นึ่ ง บ ร ร ทั ด ห รื อ ห น้ า ล ะ กี่ บ ร ร ทั ด
กั้นระยะหน้าระยะหลังเท่าใดและสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้อย่างสะ
ด ว ก จ น ก ว่า จ ะ พ อ ใ จ แ ล้ว จึ ง สั่ ง พิ ม พ์ เ อ ก ส า ร นั้ น ๆ
ออกมากี่ชุดก็ได้โดยทุกชุดที่ออกมาจากเครื่องพิมพ์จะ เหมือนกันทุ
ก
ประการเสมือนกับการถ่ายเอกสารหรือการก๊อปปี้แต่ความจริงแล้วเ
อกสารทุกแผ่นจะถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์อย่างสวยงามและ
ป ร าณีต เพ ร าะ ป ร าศ จ าก ร่อ ง ร อ ยข อ ง ขูด ล บ ใ ด ๆ แ ล ะ นั่ น
ย่อมหมายถึงการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการทางานโดยเราจะต้อ
งทาการ พิมพ์ข้อมูลต่าง ๆ ซึ่ง เป็น เอ ก สาร บ ท คว าม รายงาน
จ ด ห ม าย ฯ ล ฯ เข้าไ ป เก็บ ไ ว้ใ น ห น่ว ย ค ว าม จ า ข อ ง เค รื่ อ ง
ค อ ม พิ ว เต อ ร์ห ลัง จ า ก นั้ น เร า ส า ม า ร ถ ใ ช้ ค า สั่ ง ต่า ง ๆ
เ ข้ า ไ ป จั ด ก า ร แ ก้ ไ ข ดั ด แ ป ล ง ห รื อ เ พิ่ ม เ ติ ม
ข้ อ มูล เห ล่า นั้ น ไ ด้ ต ล อ ด เว ล า โ ป ร แ ก ร ม ( Program)
หรือชุดคาสั่งที่ทาให้เราสามารถทางานกับ เอกสาร และสั่งงาน
ต่าง ๆ นี้ ไ ด้มีชื่ อ เรียก ว่า โ ป ร แ ก ร ม เวิร์ด โ ป ร เซ ส ซิ่ง (Word
Processing) หรือโปรแกรมประมวลผลคา
- 9. 14
5. โปรแกรมMicrosoft Visio 2010
โซลูชั่นสาหรับการสร้างไดอะแกรมทางธุรกิจและเทคนิ
ค เพื่อเปลี่ยนแนวความคิดกระบวนการทางานความสัมพันธ์ระบบ
หรือข้อมูลธุรกิจที่ซับซ้อนให้อยู่ในรูปแบบแผนผังที่เข้าใจได้ง่ายแ
ล ะ ชั ด เ จ น
จึงง่ายต่อการสื่อสารไปยังผู้อื่น เพิ่มความสามารถด้านการทาไดอะ
แก ร ม ด้ว ยก ารป รับ ป รุงแ ล ะเพิ่ม เติม รูปแ บ บ ข อง แ ผน ผัง เช่น
แผนผังของเว็บไซต์หรือเครือข่ายเพิ่มตัวเลือกในการกาหนดรูปแ
บบและมีเครื่องมือในการวาดบ นแผนผังโด ยอิสระ (Digital Ink
Tool) ซึ่ ง ส ะ ด ว ก ต่ อ ก า ร ท า ง า น ส า ห รับ ผู้ ใ ช้ (Table
PC)เพิ่มเท็มแพลตใหม่สาหรับการสร้างแผนผังจากการระดมควา
มคิด ใน ทีม งาน แล ะ แผ น ผังข อ งร ะบ บ ค อ มพิว เต อร์แ บบ แ ร็ค
(Rack) ส า ม า ร ถ ท า ง า น กับ ไ ฟ ล์รูป แ บ บ Scalable Vector
Graphics (SVG) ซึ่ ง เ ป็ น ม า ต ร ฐ า น บ น XML
ที่ท าให้แ ล กเป ลี่ยน ข้อ มูล กับ แอ พ พ ลิเค ชั่น ห รืออุป ก รณ์อื่น ๆ
ไ ด้ อ ย่ า ง ส ะ ด ว ก ร อ ง รั บ ก า ร ท า ง า น เ ป็ น ที ม
ด้วยความสามารถในการดูแลและแก้ไขแผนผังร่วมกันสามารถทา
ง า น กั บ เ ท ค โ น โ ล ยี อื่ น ข อ ง ไ ม โ ค ร ซ อ ฟ ท์ ไ ด้ เช่ น
ทาผังโครง สร้างข อง Active Directory ข อง Windows Server
มาสร้างแผนผังองค์กรได้สนับสนุนการทางานกับ Web Services
แ ล ะ ก าร เขีย น โ ป ร แ ก ร ม ด้ว ย Visio Basic For Applications
(VBA)
6. โปรแกรมMicrosoft PowerPoint 2010
- 10. 15
ห ลัก ก า ร ท า ง า น ข อ ง Presentation ที่ ส ร้าง จ า ก
PowerPoint จ ะ ส ร้ า ง อ อ ก เป็ น Slide ย่ อ ย ๆ แ ต่ ล ะ Slide
ส า ม า ร ถ ใ ส่ ข้ อ มู ล รู ป ภ า พ ภ า พ เ ค ลื่ อ น ไ ห ว
ห รื อ เ สี ย ง เ พื่ อ ส ร้ า ง ค ว า ม น่ า ส น ใ จ เ พิ่ ม ขึ้ น
น อ ก จ า ก นี้ เร า ยั ง ส า ม า ร ถ ก า ห น ด ใ ห้ Presentation
ของเรานาเสนอออกมาแบบในรูปแบบอัตโนมัติได้โดยไม่จาเป็นต้
อ ง มีก า ร ก ด เลือ ก ใ ห้แ ส ด ง ที ล ะ Slideก่อ น เริ่ ม ต้น ส ร้า ง
Presentation ค ว ร ก า ห น ด รู ป แ บ บ ข อ ง Presentation
ข อ ง เ ร าก่อ น ว่า ต้อ ง ก าร ใ ห้แ ส ด ง อ อ ก ใ น รูป แ บ บ ใ ด เช่น
ต้องการให้ส่วนด้านบนแสดงเป็นชื่อหัวข้อ ด้านล่างเป็นชื่อบริษัท
และฉ ากห ลังใ ห้แส ดงเป็น สีน้าเงินเป็น ต้น แต่ถ้ายังคิดไ ม่ออ ก
สามารถเลือกรูปแบบจาก ตัวอย่าง Themes (เวอร์ชั่นเก่าเรียกว่า
Template) ที่โปรแกรมมีไว้ให้ได้ เช่นเดียวกัน
1.ความสามารถพื้นฐานของ PowerPoint 2007
1.1 สาหรับนาเสนอข้อมูลในรูปแบบของ ข้อความ
รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว
1.2 สามารถตกแต่งตัวอักษรให้สวยๆ ด้วยWordArt
ที่พิเศษกว่า PowerPoint 2003
- 11. 16
1.3 ก า ร ท า ง า น จ ะ แ บ่ ง อ อ ก เ ป็ น ห น้ า ๆ
แต่ละหน้าเรียกว่า Slide (คลิกแท็ปเมนู Home เลือก New Slide)
1.4 ก า ร ส ร้ า ง จ ะ มี Slide Layout
ช่วยใ นก ารออก แบ บแล ะใส่ข้อมูล (ค ลิกแท็ปเมนู Home
เลือก Layout)
1.5 รูปแบบหรือThemesจะมี Design สาหรับรูป
ช่วยให้สร้าง Presentation ได้สะดวกมากขึ้น (คลิกแท็ปเมนู
Design)
1.6 รองรับไฟล์ข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ตารางจาก
Microsoft Excel เป็นต้น
1.7 รองรับภาพเคลื่อนไหวเช่น Flash, Gif
Animation, Video เป็นต้น
1.8 สามารถสั่งรันแบบอัตโนมัติได้
1.9 สามารถสั่งพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น พิมพ์แบบ
Slide, Handout เป็นต้น
1.10 ไฟล์ที่จะสร้างจากPowerPoint 2007
มีนามสกุล .PPTX ถ้าเป็นเวอร์ชั่นเก่า จะมีนามสกุล .PPT
1.11 ถ้าไฟล์ที่สร้างเป็นไฟล์ .PPSX จะสามารถรับ
Presentation แบบอัตโนมัติ
7. โปรแกรมCrystal Report 11.0
เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร อ อ ก ร า ย ง า น
ซึ่ ง ส า ม าร ถ อ อ ก ร า ย ง า น ไ ด้ห ล า ก ห ล า ย รูป แ บ บ ทั้ ง แ บ บ
- 12. 17
ร า ย ง า น ธ ร ร ม ด า แ บ บ Cross Tab
และแบบอื่นๆซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้
งานและการติดต่อกับฐานข้อมูลก็สามารถทาได้หลากหลาย เช่น
MS SQL Server, Microsoft Access , Microsoft Excel , XML
, ADO.Net ต ล อ ด จ น ส า ม า ร ถ น า ข้ อ มู ล จ า ก Viewer
ข อ ง เ ค รื่ อ ง ม า ดู ก็ ส า ม า ร ถ ท า ไ ด้
ซึ่งให้ความสามารถที่หลากหลายและการ View ก็สามารถ View
ได้หลากหลาย เช่น การ View ผ่านตัวโปรแกรมเอง , การ View
ผ่าน โ ป ร แ ก ร ม ที่เป็น โ ป ร แ ก ร ม ป ร ะ ยุก ต์ที่ Software House
ต่ า ง ๆ ผ ลิ ต ขึ้ น ม า ห รื อ แ ม้ ก ร ะ ทั้ ง
ดูบนเว็บซึ่งจากความสามารถที่หลากหลายดังกล่าวจึงเป็นที่นิยมใ
ช้งานในเชิงพาณิชย์กัน
8. โปรแกรมAdobe Photoshop CS3
เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่รวบรวมเครื่องมือสาหรับ
ตกแต่งภาพประสิทธิภาพสูงเพื่อการทางานระดับมาตรฐานสาหรับ
นักออกแบบมืออาชีพที่ต้องการสร้างสรรค์งานกราฟิกที่โดดเด่น
ทั้งงานที่ใช้บนเว็บและงานสิ่งพิมพ์
8.1. ความละเอียดของภาพกราฟิก
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นเกิดจากจุ
ดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของสีที่เราเรียกว่า พิกเซล (Pixel)
พิกเซลเป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุดของภาพมาประกอบกันเป็นภาพ
ขนาดต่าง
ๆความละเอียดของภาพจะมีหน่วยวัดเป็นพิกเซล/ตารางนิ้ว
และงานกราฟิกในแต่ละแบบก็จะใช้ความละเอียดที่แตกต่างกันดัง
นี้
8.1.1. ภาพที่แสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
- 13. 18
เช่นหน้าเว็บหรืองานพรีเซนเตชั่น ใช้ความละเอียด 72
พิกเซล/ตารางนิ้ว
8.1.2. ถ่ายทั่วๆไป ใช้ความละเอียด 150
พิกเซล/ตารางนิ้ว
8.1.3. ภาพในงานพิมพ์ ใช้ความละเอียด
300 พิกเซล/ตารางนิ้ว
8.2. พื้นที่การทางาน (Work Area)
พื้นที่การทางานของโปรแกรม Adobe
Photoshop
จะประกอบด้วยเครื่องมือสาหรับการตกแต่งไฟล์ภาพต่าง
ๆดังนี้
8.2.1. Menu Bar
คือส่วนที่แสดงชื่อเมนูต่างๆของโปรแกรมก็จะประกอบด้วย
File, Edit, Image, Layer, Select, Filter, View, Window,
Help
8.2.2. File หมายถึง
คาสั่งเกี่ยวกับการจัดเก็บและเรียกใช้ไฟล์รูปภาพต่างๆ
8.2.3. Edit หมายถึง
คาสั่งเกี่ยวกับการแก้ไขลักษณะของรูปภาพและ Image
ต่างๆ
8.2.4. Image หมายถึง
คาสั่งการจัดการรูปภาพและ Image ต่างเช่น
การเปลี่ยนสีและการ เปลี่ยนขนาด
8.2.5. Layer หมายถึง
ชั้นหรือลาดับของรูปภาพและวัตถุที่เราต้องการจะทา
- 14. 19
Effects
8.2.6. Select
เป็นคาสั่งการเลือกพื้นที่หรือส่วนต่างของรูปภาพและวัตถุใน
การที่จะเล่น Effects ต่างๆ
8.2.7. Filter เป็นคาสั่งการเล่น Effects
ต่างๆสาหรับรูปภาพและวัตถุ
8.2.8. View
เป็นคาสั่งเกี่ยวกับมุมมองของภาพและวัตถุในลักษณะต่างๆเ
ช่น การขยายภาพ และย่อภาพให้ดูเล็ก
8.2.9. Window
เป็นส่วนคาสั่งในการเลือกใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆที่จาเป็นในก
ารใช้สร้าง Effects ต่างๆ
8.2.10. Help
เป็นคาสั่งเพื่อแนะนาเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมและจะมีลายล
ะเอียดของโปรแกรม อยู่ในนั้น
8.3. Toolbox คือส่วนของอุปกรณ์ต่าง ๆ
ที่ใช้ในการสร้างชิ้นงานหรือตกแต่งภาพ
8.4. Tool Options Bar
คือส่วนที่กาหนดคุณสมบัติของอุปกรณ์ที่เลือกจาก Toolbox
8.5. Palettes
คือส่วนที่ใช้ตรวจสอบและกาหนดคุณสมบัติต่าง ๆ ให้กับรูปภาพ
8.6. Status Bar คือส่วนที่แสดงรายละเอียดต่าง ๆ
ของชิ้นงาน เช่น ขนาดของมุมมองรูปภาพ ขนาดของไฟล์
- 15. 20
1.9. โปรแกรมSPSS Statistics 17.0
เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เพื่อการวิเคราะห์ทางสถิ
ติ บริษัทจัด จาห น่าย SPSS ถูกซื้อโด ยIBMเมื่อเดือน มิถุนายน
2552 และปัจจุบันใช้ชื่อบริษัทว่า "SPSS: An IBM Company"
SPSS เ ดิ ม ชื่ อ ว่ า " Statistical Package For The Social
Sciences" (ชุ ด โ ป ร แ ก ร ม ส ถิ ติ เ พื่ อ สั ง ค ม ศ า ส ต ร์ )
ออกเผยแพร่ครั้งแรกในปี 2511 หลังจากถูกพัฒนาโดยNorman
H. Nieแ ล ะ C. Hadlai Hull Norman
Nieในขณะนั้นเป็นนักศึกษารัฐศาสตร์ภาคบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยส
แตนฟอร์ดและปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์วิจัยที่ภาควิชารัฐศาสตร์
ม ห า วิ ท ย า ลั ย ส แ ต น ฟ อ ร์ ด
และศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขารัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก
SPSS
เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่นิยมใช้แพร่หลายมากที่สุดสาหรับการวิเคร
าะ ห์ท า ง ส ถิติใ น สัง ค ม ศ า ส ต ร์ถูก ใ ช้โ ด ย นัก วิจัย ต ล า ด
นั ก วิ จั ย สุ ข ภ า พ บ ริ ษั ท ส า ร ว จ ค ว า ม คิ ด เ ห็ น
รัฐบาลนักวิจัยการศึกษา บริษัทการตลาด ฯลฯ คู่มือการใช้งาน
SPSS ฉ บั บ แ ร ก ( Nie, Bent & Hull, 1970)
ถู ก อ ธิ บ า ย ว่ า เ ป็ น ห นึ่ ง ใ น
"หนังสือที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสาขาสังคมวิทยา"นอกเหนือไปจาก
ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ท า ง ส ถิ ติ แ ล้ว ก า ร จั ด ก า ร ข้ อ มู ล
(ก า ร เ ลื อ ก ก ร ณี ศึ ก ษ า , ก า ร แ ป ล ง แ ฟ้ ม ,
ก า ร ส ร้า ง ข้ อ มู ล สื บ ท อ ด ) แ ล ะ ก า ร ท า เ อ ก ส า ร ข้ อ มู ล
( พ จ น า นุ ก ร ม เม ท า เด ต า จ ะ ถู ก เก็ บ ไ ว้ใ น แ ฟ้ ม ข้ อ มูล )
ก็เป็นความสามารถของซอฟต์แวร์รุ่นพื้นฐาน
- 16. 21
การวิเคราะห์และออกแบบระบบ
รั ช นี กั ล ย า วิ นั ย ( 2 5 4 2 : 14)
ได้ให้ค ว าม ห มายข อง การวิเค ราะห์แ ละ ออ ก แ บบ ร ะบ บ ไว้ว่า
เป็นขั้นตอนที่สาคัญในการปรับปรุงขั้นตอนและวิธีการให้ดีขึ้นขอ
งธุรกิจนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์กรในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ
หรือภาคเอกชน ตลอดจนสมาคมต่างๆ จะดาเนินการแบบธุรกิจ
นั่ น คื อ มี ก า ร ค า นึ ง ถึ ง ร า ย รั บ ร า ย จ่ า ย
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทุกองค์กรต้องมีการแข่งขันในการดาเนินงา
น จึ ง ต้ อ ง มี ก า ร เ พิ่ ม ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ก า ร ท า ง า น
ซึ่งการนาเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในองค์กรย่อมมีส่วนช่วยได้
อย่างมาก ขั้นตอนในการพัฒนาระบบโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2
ขั้ น ต อ น คื อ ขั้ น ต อ น ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ร ะ บ บ
และขั้นตอนการออกแบบระบบ โดยจะอธิบายได้ดังนี้
1.ขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ คือขั้นตอนในการรวบรวม
แ ล ะ แ ป ล ง ข้ อ มู ล ที่ แ ท้ จ ริ ง น า ม า วิเ ค ร า ะ ห์ ปั ญ ห า
และนาข้อมูลข่าวสารต่างๆ มาใช้ในการปรับปรุง และพัฒนาระบบ
2.ขั้ น ต อ น ก า ร อ อ ก แ บ บ ร ะ บ บ
คือ ขั้ น ต อ น ใ น ก า ร ว า ง แ ผ น ส า ห รับ ธุร กิ จ ร ะ บ บ ใ ห ม่
ห รือ อีก ด้า น ห นึ่ ง คือ ก า ร เป ลี่ย น แ ป ล ง ร ะ บ บ ที่ มีอ ยู่ เดิม
ให้สมบูรณ์มากขึ้นเพื่ออานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ระบบนั้นมากขึ้
น
ระบบฐานขอ้มูล (Database)
ธ น รั ช ต์ ภุ ม ม ะ ก สิ ก ร ( 2 5 4 7 : 5 1 )
ไ ด้ใ ห้ค ว าม ห ม าย ข อ ง ร ะ บ บ ฐ า น ข้อ มูล (Database) ไ ว้ว่า
- 17. 22
เป็นกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและถูกนามาจัดเก็บในที่เดี
ย ว กั น
โดยข้อมูลอาจเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลเดียวกันหรือแยกเก็บหลาย ๆ
แ ฟ้ ม ข้ อ มู ล
แต่ต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเพื่อประสิทธิภาพใน
ก า ร จั ด ก า ร ข้ อ มู ล ใ น ก า ร จั ด เ ก็ บ ข้ อ มู ล
ในระบบฐานข้อมูลมีข้อดีกว่าการจัดเก็บข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูล
พอสรุปประเด็นหลัก ๆ ได้ดังนี้
1.มีการใช้ข้อมูลร่วมกัน (Data Sharing)
2.ลดความซ้าซ้อนของข้อมูล (Reduce Data
Redundancy)
3.ข้อมูลมีความถูกต้องมากขึ้น (Improved Data Integrity)
4.เพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูล (Increased Security)
5.มีความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independency)
วิ สู ต ร พั ด พิ น (2 5 5 0
:22)ได้ให้ความหมายของระบบฐานข้อมูล (Database) ไว้ว่าเป็น
ก ลุ่ ม ข อ ง ข้ อ มู ล ที่ มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั น
นามาเก็บรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกั
น เ ป็ น ฐ า น ข้ อ มู ล นั้ น
ต้องตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานขององค์กรด้วยเช่นกัน
อุ ทั ย ศ รี วิ เ ศ ษ (2551: 12)
ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ร ะ บ บ ฐ า น ข้ อ มู ล (Database)
ไว้ว่าเป็นข้อมูลประกอบด้วยกลุ่มการจัดการ ข้อมูลสาหรับผู้ใช้หนึ่ง
ค น ห รื อ ห ล า ย ๆ ค น
โดยทั่วไปมักอยู่ในรูปแบบดิจิทัลวิธีการแบ่งชนิดของฐานข้อมูลได้
รูปแบบหนึ่งคือแบ่งตามชนิดของเนื้อหา
จากการศึกษาความหมายของระบบฐานข้อมูลของบุคคลต่
า ง ๆ ดั ง ก ล่ า ว ข้ า ง ต้ น
- 18. 23
สรุปได้ว่ากลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและถูกมาจัดเก็บในที่
เ ดี ย ว กั น ห รื อ อ า จ จ ะ แ ย ก กั น
แต่ต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่างข้อมูล
1. ระเบียน
พ จ น า นุ ก ร ม ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ( 2 5 5 2 :
5)ได้ให้ความหมายของระเบียนไว้ว่าการประมวลผลด้วยเครื่องคอ
ม พิ ว เ ต อ ร์
ข้อมูลนับเป็นส่วนที่สาคัญยิ่งของการประมวลผลเพราะถ้าปราศจา
ก ข้ อ มู ล ก า ร ป ร ะ ม ว ล ผ ล ก็ ไ ม่ อ า จ ท า ไ ด้
ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จะเป็นข้อมูล
ที่ จั ด เ ก็ บ เ ป็ น แ ฟ้ ม ข้ อ มู ล (File)
โ ด ย แ บ่ ง อ อ ก เ ป็ น เรื่ อ ง ต า ม ชื่ อ แ ฟ้ ม ข้ อ มูล นั้ น เ ช่ น
แฟ้มข้อมูลเรื่องลูกค้าแฟ้มข้อมูลเรื่องสินค้า
พ จ น า นุ ก ร ม ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ( 2550 :
10) ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ร ะ เ บี ย น ไ ว้ ว่ า
ห น่ว ย ห นึ่ ง ข อ ง ข้อ มูล ที่ บัน ทึก ไ ว้ใ น ฐ าน ห รือ ค ลัง ข้อ มูล
โ ด ย ป ก ติร ะ เบียน ห นึ่ ง จ ะ ป ร ะ ก อ บ ด้ว ย เข ต ข้อ มูล (field) 1
เข ต ขึ้ น ไ ป เช่น ร ะ เบียน ข อ ง พ นัก ง าน ข อ ง บ ริษัท แ ห่ง ห นึ่ ง
ประกอบด้วยเขตข้อมูล 10 เขต มี ชื่อนามสกุล ที่อยู่ วันเข้าทางาน
เงินเดือนที่ได้รับ ตาแหน่งปัจจุบัน ฯเป็นต้น
ธ น รั ช ต์ ภุ ม ม ะ ก สิ ก ร ( 2548 :
40)ได้ให้ความหมายของระเบียนไว้ว่า กลุ่มของเขตข้อมูล ตั้งแต่
1 เขตข้อมูลขึ้นไป มีความสัมพันธ์ประกอบขึ้นมาจากข้อมูลพื้นฐา
นต่างประเภทกันรวมขึ้นมาเป็น 1 ระเบียน
จากการศึกษาความหมายของระเบียนของบุคคลต่างๆ
ดั ง ก ล่า ว ข้ า ง ต้ น ส รุ ป ไ ด้ ว่ า ร ะ เ บี ย น ห ม า ย ถึ ง
ก ลุ่ม ข อ ง เข ต ข้ อ มูล ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร ป ร ะ ม ว ล ผ ล ตั้ ง แ ต่ 1
เขตข้อมูลขึ้นไปมีความสัมพันธ์กันของข้อมูลแต่ละประเภท
- 19. 24
2.ฟิลด์
พ จ น า นุ ก ร ม ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ( 2550 :
43)ได้ให้ความหมายของฟิลด์ไว้ว่า กลุ่มของอักขระทีสัมพันธ์กัน
ตั้ ง แ ต่ 1
ตัวขึ้นไปที่นามารวมกันแล้วแสดงลักษณะหรือความหมายอย่างใด
อย่างหนึ่ง
พ จ น า นุ ก ร ม ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ( 2 5 5 2 :
2 0 5 ) ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ฟิ ล ด์ ไ ว้ ว่ า
อักขระที่เป็นตัวเลขซึ่งอาจเป็นเลขจานวนเต็มหรือทศนิยมและอาจ
มี เ ค รื่ อ ง ห ม า ย ล บ ห รื อ บ ว ก
เช่นยอดคงเหลือในบัญชีเป็นกลุ่มของตัวเลข
ศิ ริ ธ ร
พิมพ์ฝด(2547:24)ได้ให้ความหมายของฟิลด์ไว้ว่าอักขระที่เป็นตั
วอักษรหรือช่องว่าง (Blank) เช่น ชื่อลูกค้าเป็นกลุ่มของตัวอักษร
น ง ลั ก ษ ณ์ โ พ ธิ์ ค า ( 2 5 5 5 :
35) ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ฟิ ล ด์ ไ ว้ ว่ า
อักขระซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ที่อยู่ของลูกค้า
จากการศึกษาความหมายของฟิลด์ของบุคคลต่างๆ
ดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ฟิลด์ หมายถึง กลุ่มอักขระ ตัวอักษร
ตัวเลข ที่สามารถนามาแสดงรวมกันได้
3.ส่วนในระบบฐานข้อมูล มีคาศัพท์ต่าง ๆที่เกี่ยวข้องดังนี้
พ จ น า นุ ก ร ม ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ( 2 5 4 7 :
63)ได้ให้ความหมายของอินทิตี้ไว้ว่าชื่อสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้แก่
คน สถานที่สิ่งของ การกระทา ซึ่งต้องการจัดเก็บข้อมูลไว้ เช่น
เอนทิตี้ลูกค้า เอนทิตี้พนักงาน
เ อ น ทิ ตี้ ช นิ ด อ่ อ น แ อ ( Weak Entity)
เป็นเอนทิตี้ที่ไม่มีความหมายหากขาดเอนทิตี้อื่นในฐานข้อมูล
- 20. 25
1. ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
รูปสัญลักษณ์ของเอนทิตี้ คือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ตัวอย่างเช่น
รูปภาพที่ 4 เอนทิตี้
1.1. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-To-One
Relationships)
เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้หนึ่งที่มีความสัมพั
นธ์กับข้อมูลในอีกเอนทิตี้หนึ่งในลักษณะหนึ่งต่อหนึ่ง (1 : 1)
1.2 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-To-Many
Relationships)
เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้หนึ่งที่มีความสัมพั
นธ์กับข้อมูลหลายๆ ข้อมูลในอีกเอนทิตี้หนึ่ง ในลักษณะ (1:?)
ตัวอย่างเช่น
1.3 ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many-To-Many
Relationships)
เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลสองเอนทิตี้ในลักษณะกลุ่มต่
อกลุ่ม (M:N)
ส า ร า นุ ก ร ม เ ส รี ( 2 5 4 1 :
วิกิพีเดีย)ได้ให้ความหมายของแอททริบิวต์ไว้ว่ารายละเอียดข้อมูล
ที่แสดงลักษณะและคุณสมบัติของเอนทิตี้หนึ่งๆ เอนทิตี้นักศึกษา
ประกอบด้วย
1. แอทริบิวต์รหัสนักศึกษา
- 21. 26
2. แอททริบิวต์ชื่อนักศึกษา
3. แอททริบิวต์ที่อยู่นักศึกษา
รูปสัญลักษณ์ของ แอททริบิวต์คือ
รูปวงรีโดยที่จะมีเส้นเชื่อมต่อกับเอนทิตี้ ตัวอย่างเช่น
รูปภาพที่ 5 แอททรีบิว
2.ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
เอนทิตี้แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ร่วมกันโดยจะมีชื่อแสดงค
วามสัมพันธ์ร่วมกันซึ่งจะใช้รูปภาพสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมรูปว่าวแสด
ง ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง เ อ น ทิ ตี้
และระบุชื่อความสัมพันธ์ลงในสี่เหลี่ยมดังตัวอย่างเช่นภาพนี้แสดง
ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้อาจารย์กับกลุ่มเรียน
รูปภาพที่ 6 แอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์ร่วมกัน
- 22. 27
ระดับชั้นของความสัมพันธ์ (Relationships Degree)
จะบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ มีดังนี้
2.1 ความสัมพันธ์เอนทิตี้เดียว (Unary Relationships)
หมายถึง เอนทิตี้หนึ่ง ๆ จะมีความสัมพันธ์กับตัวมันเอง
2.2 ความสัมพันธ์สองเอนทิตี้ (Binary Relationships)
หมายถึง เอนทิตี้สองเอนทิตี้จะมีความสัมพันธ์กัน
2.3 ความสัมพันธ์สามเอนทิตี้ (Ternary Relationships)
หมายถึง เอนทิตี้สามเอนทิตี้มีความสัมพันธ์กัน
รูปภาพที่ 7 แสดงตัวอย่างของระดับชั้นของข้อความ
ก า ร ร ะ บุต าแ ห น่ง ค ว าม สัม พัน ธ์ร ะ ห ว่าง เอ น ทิตี้
(Connectivity) ว่า เ ป็ น แ บ บ ห นึ่ ง ต่ อ ห นึ่ ง (One To One
- 23. 28
Relationships), แ บ บ ห นึ่ ง ต่ อ ก ลุ่ ม (One To Many
Relationships) ห รือ แ บ บ ก ลุ่ม ต่ อ ก ลุ่ม (Many To Many
Relationships) นั้น จะใช้ Connectivity เพื่อระบุตาแหน่ง 1, M
หรือ N ไว้ข้างใดของเอนทิตี้
รูปภาพที่ 8 แสดงความสัมพันธ์แบบ One To One Relationships
จ า ก ภ า พ ที่ 8
จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับสัญญาเงินกู้โดยที่นักศึก
ษาหนึ่งคนทาสัญญาเงินกู้ได้เพียงครั้งเดียวสัญญาการกู้เงินแต่ละ
ฉบับถูกลงชื่อกู้ได้จากหนักศึกษาเพียงคนเดียวเท่านั้นความสัมพัน
ธ์การกู้เงินที่เชื่อมระหว่างนักศึกษาและสัญญากู้เงินจึงเป็นแบบ 1-
1
รูปภาพที่ 9 แสดงความสัมพันธ์แบบOne To Many Relationships
จ า ก ภ า พ ที่ 9
จะประกอบด้วยเอนทิตี้อาจารย์กับเอนทิตี้กลุ่มเรียนมีความสัมพันธ์
แ บ บ ห นึ่ ง ต่ อ ก ลุ่ ม ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
- 24. 29
อาจารย์จะสอนได้หลายกลุ่มเรียนแต่ละกลุ่มเรียนจะมีอาจารย์สอน
ไ ด้เพีย ง ค น เดีย ว ไ ว้ด้า น เอ น ทิตี้ อ า จ า ร ย์แ ล ะ ตัว อัก ษ ร M
ไว้ด้านเอนทิตี้กลุ่มเรียน
รูปภาพที่ 10 แสดงความสัมพันธ์แบบ Many To Many Relationships
จ า ก ภ า พ ที่ 10
ประกอบด้วยเอนทิตี้นักเรียนกับเอนทิตี้วิชาเรียนโดยที่นักศึกษาแต่
ล ะ ค น ล ง ท ะ เ บี ย น เ รี ย น วิ ช า ไ ด้ ม า ก ก ว่ า 1
วิช าแต่ละ วิช ามีนัก ศึก ษ าได้ม ากก ว่า 1 ค น คว ามสัมพัน ธ์ข อ ง
การลงทะเบียนของนักศึกษากับวิชาเป็นแบบ N: M
รูปภาพที่ 11 ตัวอย่างของระบบจัดการร้านเบเกอรี่
- 25. 30
รูปภาพที่ 12 สัญลักษณ์ความหมายสัญลักษณ์ความหมาย
3.ความสาคัญของการประมวลผลแบบระบบฐานข้อมูล
3.1.สามารถลดความซ้าซ้อนของข้อมูลได้
ก า ร เ ก็ บ ข้ อ มู ล ช นิ ด เ ดี ย ว กั น ไ ว้ ห ล า ย ๆ ที่
ท า ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม ซ้า ซ้ อ น ( Redundancy)
ดั ง นั้ น ก า ร น า ข้ อ มู ล ม า ร ว ม เ ก็ บ ไ ว้ ใ น ฐ า น ข้ อ มู ล
จะช่วยลดปัญหาการเกิดความซ้าซ้อนของข้อมูลได้โดยระบบจัดก
า ร ฐ า น ข้ อ มูล (Database Management System : DBMS)
จะช่วยควบคุมความซ้าซ้อนได้เนื่องจากระบบจัดการฐานข้อมูลจะ
ทราบได้ตลอดเวลาว่ามีข้อมูลซ้าซ้อนกันอยู่ที่ใดบ้าง
3.2.หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้
- 26. 31
หากมีการเก็บข้อมูลชนิดเดียวกันไว้หลายๆ
ที่และมีการปรับปรุงข้อมูลเดียวกันนี้แต่ปรับปรุงไม่ครบทุกที่ที่มีข้อ
มูลเก็บอยู่ก็จะทาให้เกิดปัญหาข้อมูลชนิดเดียวกันอาจมีค่าไม่เหมือ
นกันในแต่ละที่ที่เก็บข้อมูลอยู่
จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลขึ้น (Inconsistency)
3.3.สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
ฐานข้อมูลจะเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน
ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลที่มาจากแฟ้มข้อมูล
ต่างๆก็จะทาได้โดยง่าย
3.4.สามารถรักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
บางครั้งพบว่าการจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอาจมีข้อผิ
ดพลาดเกิดขึ้นเช่นจากการที่ผู้ป้อนข้อมูลป้อนข้อมูลผิดพลาดคือป้
อนจากตัวเลขหนึ่งไปเป็นอีกตัวเลขหนึ่งโดยเฉพาะกรณีมีผู้ใช้หลา
ยคนต้องใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลร่วมกันหากผู้ใช้คนใดคนหนึ่งแก้
ไขข้อมูลผิดพลาดก็ทาให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบตามไปด้วยในระบบ
จัดการฐานข้อมูล
(DBMS)จะสามารถใส่กฎเกณฑ์เพื่อควบคุมความผิดพลาดที่เกิดขึ้
น
แบบจาลอง (CIPP Model)
- 27. 32
วิ ธี ก า ร สื่ อ ส า ร ท า ง ค ว า ม คิ ด ค ว า ม เ ข้ า ใ จ
ตล อ ด จน จิน ต น าก ารที่มีต่อ ปร าก ฏ ก าร ณ์ ห รือ เรื่อ งร าว ใ ด ๆ
ให้ปรากฏโดยใช้การสื่อในลักษณ ะต่างๆ เช่น แผนภูมิ แผนผัง
ระ บ บ ส ม ก าร แ ล ะรูป แ บ บ อื่ น เป็น ต้น เพื่ อ ใ ห้เข้าใ จ ไ ด้ง่าย
แ ล ะ ส า ม า ร ถ น า เ ส น อ เ รื่ อ ง ร า ว ไ ด้ อ ย่ า ง มี ร ะ บ บ
การประเมินผลโครงการนั้น มีแนวคิดและโมเดลหลายอย่าง ณ ที่นี้
ขอ เสน อ แน วคิด แล ะโม เดล ก ารป ร ะเมิน แ บบ ซิปป์ ห รือ CIPP
Model ข อ ง ส ตั ฟ เ ฟิ ล บี ม ( Danial . L. Stufflebeam)
เพราะเป็นโมเดลที่ได้รับการยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบัน (สุภาพร
พิศาลบุตร, 2543 :227-228)
แน วคิด การป ระเมิน ขอ งส ตัฟเฟิล บีม (Stufflebeam’s
CIPP Model) ใ น ปี ค . ศ . 1 9 7 1 ส ตั ฟ เ ฟิ ล บี ม
และคณ ะได้เขียนห นังสือท างการป ระเมิน ออก มาหนึ่งเล่ม ชื่อ
“Educational Evaluation And Decision Making” หนังสือเล่มนี้
ไ ด้ เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ กั น อ ย่ า ง ก ว้ า ง ข ว า ง
เพ ร า ะ ใ ห้แ น ว คิด แ ล ะ วิธีก าร ท าง ก าร วัด แ ล ะ ป ร ะ เมิน ผ ล
ไ ด้ อ ย่ า ง น่ า ส น ใ จ แ ล ะ ทั น ส มั ย ด้ ว ย น อ ก จ า ก นั้ น
สตัฟเฟิลบีมก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการประเมินและรูปแบบของ
ก า ร ป ร ะ เมิน อีก ห ล า ย เล่ม อ ย่า ง ต่อ เนื่ อ ง จึง ก ล่า ว ไ ด้ว่า
ท่านผู้นี้เป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาทฤษฎีการประเมินจนเ
ป็น ที่ ยอ ม รับ กัน ทั่ ว ไ ป ใ น ปัจ จุบัน เรีย ก ว่า CIPP Model
เป็นการประเมินที่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง มีจุดเน้นที่สาคัญ คือ
ใ ช้ ค ว บ คู่ กั บ ก า ร บ ริ ห า ร โ ค ร ง ก า ร
เพื่อ ห าข้อ มูลป ร ะก อบ ก าร ตัด สิน ใ จอ ย่างต่อ เนื่อง ตล อ ดเว ล า
วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ก า ร ป ร ะ เ มิ น คื อ
การให้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเน้นการแบ่งแยกบทบาทของก
า ร ท า ง า น ร ะ ห ว่ า ง
ฝ่า ย ป ร ะ เมิน กั บ ฝ่า ย บ ริห า ร อ อ ก จ า ก กัน อ ย่า ง เด่น ชั ด
ก ล่ า ว คื อ ฝ่ า ย ป ร ะ เ มิ น มี ห น้ า ที่ ร ะ บุ จั ด ห า
- 28. 33
แ ล ะ น า เ ส น อ ส า ร ส น เ ท ศ ใ ห้ กั บ ฝ่ า ย บ ริ ห า ร
ส่ ว น ฝ่ า ย บ ริ ห า ร มี ห น้ า ที่ เ รี ย ก ห า ข้ อ มู ล
แ ล ะ น าผ ล ก าร ป ร ะ เมิน ที่ ไ ด้ไ ป ใ ช้ป ร ะ ก อ บ ก าร ตัด สิน ใ จ
เพื่ อ ด า เนิ น กิ จ ก ร ร ม ใ ด ๆ ที่ เกี่ ย ว ข้ อ ง แ ล้ว แ ต่ ก ร ณี
ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ป้ อ ง กั น ก า ร มี อ ค ติ ใ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น แ ล ะ
เขาได้แบ่งประเด็นการประเมินผลออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. การประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context
Evaluation : C)
เ ป็ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น ใ ห้ ไ ด้ ข้ อ มู ล ส า คั ญ
เพื่ อ ช่ ว ย ใ น ก า ร ก า ห น ด วัต ถุป ร ะ ส ง ค์ข อ ง โ ค ร ง ก า ร
ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ไ ด้ ข อ ง โ ค ร ง ก า ร
เป็นการตรวจสอบว่าโครงการที่จะทาสนองปัญหาหรือความต้องก
ารจ าเป็น ที่แท้จ ริงห รือ ไม่ วัตถุป ระส งค์ขอ งโค รง การชัดเจ น
เห ม า ะ ส ม ส อ ด ค ล้อ ง กั บ น โ ย บ า ย ข อ ง อ ง ค์ก า ร ห รือ
น โ ย บ า ย ห น่ ว ย เ ห นื อ ห รื อ ไ ม่
เป็นโครงการที่มีความเป็นไปได้ในแง่ของโอกาสที่จะได้รับการสนั
บสนุนจากองค์กรต่างๆ หรือไม่ เป็นต้น
การประเมินสภาวะแวดล้อมจะช่วยในการตัดสินเกี่ยวกับเ
รื่ อ ง โ ค ร ง ก า ร ค ว ร จ ะ ท า ใ น ส ภ า พ แ ว ด ล้อ ม ใ ด
ต้ อ ง ก า ร จ ะ บ ร ร ลุ เ ป้ า ห ม า ย อ ะ ไ ร
หรือต้องการบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะอะไร เป็นต้น
2. ก าร ป ระ เมิน ปัจ จัยเบื้อง ต้น ห รือ ปัจ จัยป้อ น ( Input
Evaluation: I)
เ ป็ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น เ พื่ อ พิ จ า ร ณ า ถึ ง
ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ไ ด้ ข อ ง โ ค ร ง ก า ร ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม
และความพอเพียงของทรัพยากรที่จะใช้ในการดาเนินโครงการ
เ ช่ น ง บ ป ร ะ ม า ณ บุ ค ล า ก ร วั ส ดุ อุ ป ก ร ณ์ เ ว ล า
- 29. 34
รวมทั้งเทคโนโลยีและแผนการดาเนินงานเป็นต้นการประเมินผลแ
บบนี้จะทาโดยใช้เอกสารหรืองานวิจัยที่มีผู้ทาไว้แล้วหรือใช้วิธีกา
ร วิ จั ย น า ร่ อ ง เชิ ง ท ด ล อ ง ( Pilot Experimental Project)
ต ล อ ด จ น อ าจ ใ ห้ผู้ เชี่ ยว ช าญ ม าท าง าน ใ ห้ อ ย่าง ไ ร ก็ต าม
การประเมิน ผลนี้จะต้องส ารวจสิ่งที่มีอยู่เดิมก่อนว่ามีอะไรบ้าง
และตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใด ใช้แผนการดาเนินงานแบบไหน
และต้องใช้ทรัพยากรจากภายนอกหรือไม่
3.การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation: P)
เป็น ก ารป ร ะเมิน ระ ห ว่างก าร ด าเนิน งาน โค ร งก าร
เ พื่ อ ห า ข้ อ บ ก พ ร่ อ ง ข อ ง ก า ร ด า เ นิ น โ ค ร ง ก า ร
ที่ จ ะ ใ ช้ เ ป็ น ข้ อ มู ล ใ น ก า ร พั ฒ น า แ ก้ ไ ข ป รั บ ป รุ ง
ใ ห้ ก า ร ด า เนิ น ก า ร ช่ ว ง ต่อ ไ ป มีป ร ะ สิท ธิภ า พ ม า ก ขึ้ น
และเป็นการตรวจสอบกิจกรรม เวลา ทรัพยากรที่ใช้ในโครงการ
ภ า ว ะ ผู้ น า ก า ร มีส่ว น ร่ว ม ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ใ น โ ค ร ง ก า ร
โ ด ย มี ก า ร บั น ทึ ก ไ ว้ เ ป็ น ห ลัก ฐ า น ทุ ก ขั้ น ต อ น
ก า ร ป ร ะ เ มิ น ก ร ะ บ ว น ก า ร นี้
จะเป็น ป ระโ ยช น์อ ย่างม าก ต่อ ก ารค้น ห าจุด เด่น ห รือ จุด แ ข็ง
( Strengths) แ ล ะ จุ ด ด้ อ ย ( Weakness)
ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการมักจะไม่สามารถศึกษาได้ภายหลั
งจากสิ้นสุดโครงการแล้ว
4.การประเมินผลผลิต (Product Evaluation: P)
เป็นการประเมินเพื่อเปรียบเทียบผลผลิตที่เกิดขึ้นกับวัต
ถุประสงค์ของโครงการ หรือความต้องการ/ เป้าหมายที่กาหนดไว้
ร ว ม ทั้ ง ก า ร พิ จ า ร ณ า ใ น ป ร ะ เด็น ข อ ง ก า ร ยุบ เลิก ข ย า ย
หรือ ปรับ เปลี่ยนโค รงก ารแ ละการปร ะเมินผ ล เรื่องผ ลก ระท บ
(Impact) แ ละ ผ ลลัพ ธ์ (Outcomes)ข อ งน โยบาย / แผ น งาน /
โค ร ง ก าร โ ด ยอ าศัยข้อ มูล จ าก ก าร ป ร ะเมิน ส ภ าว ะ แ วด ล้อ ม
- 30. 35
ปัจ จัย เบื้ อ ง ต้น แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ร่ว ม ด้ว ย จ ะ เห็น ไ ด้ว่า
ก า ร ป ร ะ เ มิ น แ บ บ CIPP
เป็น ก ารป ร ะเมิน ที่ค รอ บ ค ลุม อ งค์ป ระ ก อ บข อ ง ระ บบ ทั้ง ห ม ด
ซึ่งผู้ประเมินจะต้องกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินที่ครอบคลุ
ม ทั้ ง 4 ด้า น ก า ห น ด ป ร ะ เด็น ข อ ง ตัว แ ป ร ห รือ ตัว ชี้ วัด
กาห น ดแ หล่งข้อมูลผู้ให้ข้อ มูล ก าห นด เครื่องมือก ารป ระเมิน
วิ ธี ก า ร ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล
ก า ห น ด แ น ว ท า ง ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล
และเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน
งานวิจัยทเี่กยี่วข้อง
เยาวเรศ เชาวนพู นผล (2536) ได
ศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคอาหารนอกบานของ
ครัวเรือน ผูบริโภคในเขตเมืองเชียงใหม
ในการศึกษาครอบคลุมเฉพาะครัวเรือนในเขตเมืองเชียงใหม
โดยเลือกตัว อยางครัวเรือนทั้งหมด 240 ครัวเรือน
การเก็บขอมูลใชวิธีสัมภาษณหัวหนาครั วเรือน
เกี่ยวกับการใชจายในการบริโภคอาหารนอกบานของหัวหนาครัว
เรือนและของครัวเรือน และทัศนคติ
ในการบริโภคอาหารนอกบานของหัวหนาครัวเรือนใชการวิเคราะ
หความถดถอยแบบ OSL
ผลการศึกษาแบงเปนของหัวหนาครัวเรือนและของทั้งครัวเรือน
ซึ่งพบวาคาใชจายในการบริโภคอาหารนอกบานโดยเฉลี่ยรวมทั้ง
อาหารมื้อกลางวันของหัวหนาครัวเรือนเทากับ 266.9 บาท
- 31. 36
ตอสัปดาห คิดเปนรอยละ 10.4
ของรายไดตอสัปดาหของหัวหนาครัวเรือนและคาใชจายในการบ
ริโภคอาหารนอกบานโดยเฉลี่ยของทั้งครัวเรือนเทากับ 654.9
บาทตอสัปดาห คิดเปนรอยละ 15.2
ของรายไดตอสัปดาหของทั้งครัวเรือน
สวนพฤติกรรมการบริโภคอาหารนอกบานที่นอกเหนือจาก
มื้อกลางวันนั้น หัวหนา
ครัวเรือนที่เปนโสดจะออกไปบริโภคอาหารนอกบานเกือบทุกวันโ
ดยเปนการบริโภคมื้อเชาหรืออาจ
เปนมื้อเย็น สวนหัวหนาครัวเรือนที่มีครัวเรือนแลว
จะพาครัวเรือนของตนออกไปบริโภคอาหารนอก
บานสัปดาหละ 1 ครั้ง ซึ่งมักจะเปนวันสุดสัปดาห
สวนทัศนคติในการบริโภคอาหารนอกบานของ
หัวหนาครัวเรือนพบวา
ปจจัยที่มีผลกระทบตการบริโภคอาหารนอกบานของหัวหนาครัวเรื
อนและ
ครัวเรือนมากที่สุด คือ รายไดรวมทั้งหมดของครัวเรือน
ยิ่งกวานั้นหัวหนาครัวเรือนกวารอยละ 60
เห็นวาการบริโภคอาหารนอกบานเปนสิ่งฟุมเฟอย
จึงไมพาครัวเรือนออกไปบริโภคอาหารนอกบานเมื่อรายไดเพิ่มขึ้น
การเลือกสถานที่จะไดขอมูลมาจากเพื่อหรือคนที่ทางาน
สิ่งที่หัวหนาครัวเรือนคิดวา
สาคัญที่สุดที่ตองคานึงถึงในการพาครัวเรือนไปบริโภคอาหารนอ
กบานคือ ความสะอาดของสถานที่
รองลงมาคือรสชาติของอาหาร
ความสะดวกในการไปบริโภคและราคาอาหารตามลาดับดังนั้น
หัวหนาครัวเรือนสวนใหญจึงเห็นวา
สิ่งที่รานอาหารในเชียงใหมความปรับปรุงมากที่สุดคือ
ความสะอาดของรานและอาหาร รองลงมาคือ รสชาติอาหาร
มารยาทของพนักงานในรานและสถานที่
หทัยรัตน ปาลีเรียม (2545) ได
- 32. 37
ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของฝากประเภท
อาหารของนักทองเที่ยวชาวไทยในเขตเทศบาลนครเชียงใหม
โดยเก็บขอมูลจากการออกแบบสอบถามเปนจานวน 370 ตัวอยาง
พบวากลุมตัวอยางที่ซื้อของฝากสวนใหญเปนหญิง อายุระ
หวาง 25-30 ปอาชีพสวนใหญคือ พนักงานบริษัทเอกชน
และมีรายไดอยูในชวง 10,000-30,000 บาท
การศึกษาอยูในระดับปริญญาตรี
ในดานพฤติกรรมการซื้อของฝากประเภทอาหาร
กลุมตัวอยางสวนใหญซื้อของฝากในประเภทของแหงมากที่สุด
และอาหารที่นิยมซื้อมากที่สุดคือ แคบหมู วัตถุประสงคในการซื้อ
คือเปนของฝาก และซื้อของฝากทุกครั้งที่มาเที่ยวเชียงใหม
แหลงที่นิยมซื้อของฝากมากที่สุด คือ ตลาดวโรรส
เนื่องจากมีสินคาใหเลือกหลากหลายชนิด
สวนการรับรูขอมูลเกี่ยวกับของฝากแตละประเภทนั้นสวนใหญไดรั
บขอมูลมาจากเพื่อน
และคาใชจายในการซื้อของฝากแตละครั้งอยูระหวาง 501-
1,500บาท
ปจจัยที่มีอิทธิพลตอการเลือกซื้อของฝากประเภทอาหารนั้นพบวา
ปจจัย
ดานผลิตภัณฑ ปจจัยดานราคา
ปจจัยดานชองทางการจัดจาหนายมีผลตอการตัดสินใจเลือกซื้อข
องฝากประเภทอาหารในระดับมาก
ผลการวิจัยพบวากลุมตัวอยางมีความพึงพอใจในปจจัยดานผลิตภั
ณฑ ปจจัยดานชองทางการจัดจาหนาย
ในการซื้อของฝากประเภทอาหารในระดับมาก ปจจัยดานราคา
และปจจัยดานการสงเสริม.