Ce diaporama a bien été signalé.
Le téléchargement de votre SlideShare est en cours. ×

Luangpoo on

Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Chargement dans…3
×

Consultez-les par la suite

1 sur 13 Publicité

Plus De Contenu Connexe

Diaporamas pour vous (20)

Plus par MI (20)

Publicité

Plus récents (19)

Luangpoo on

  1. 1. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
  2. 2. ไม่มีหลักอันใดจะวิเศษเหมาะสมยิ่งไปกว่า "หลักโอวาทของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนไว้แล้ว" ไม่ว่าพระ ไม่ว่าฆราวาส ท่านสอนให้รู้บ้าง แล้วลงมือประพฤติปฏิบัติตามทันทีและ "อุบายวิธีที่พระองค์สอนไว้นั้น ล้วนแต่เป็นอุบายวิธี เพื่อที่จะถอดถอนกิเลสให้หลุดหายไปทั้งนั้น" แต่เราไม่ค่อยจะศึกษาสาเหนียกกันเท่านั้นเอง "ยกอัตภาพร่างกายของเราขึ้นมาบ้างสิ อย่ากอดขี้ กอดเยี่ยวเอาไว้เฉย ๆ" .. " " .. พวกท่านทั้งหลาย "อย่าได้นั่งเฝ้าร่างกายอยู่เฉย ๆ" มันไม่เกิดปัญญา "ปัญญามันเกิดจากการภาวนา" คือ "การอบรมจิต“ เพื่อจะทาลายกิเลสจริงๆจังๆ นั้น"จะต้องดาเนินตามหลักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนพวกเราเอาไว้" เพื่อให้ดาเนินตาม
  3. 3. ทาไมเราไปติดอยู่ในรูปที่ไม่มั่นคงอย่างนั้น รูปสวย รูปขี้เหร่ อัปลักษณ์อย่างไร มันก็ไม่อยู่กับเราตลอดไป เราไปติดมันทาไม มันไม่ได้ให้อะไรเลย ถ้าติดในรูปมันก็หยิบยื่นแต่ภพแต่ชาติให้เราเท่านั้นเอง
  4. 4. ส่วนใหญ่แล้วคนเราสมัยนี้หรือสมัยไหนๆก็ตาม ไม่ชอบความทุกข์ แต่ชอบสร้างทางให้เกิดทุกข์อยู่เสมอ เพราะอะไร เพราะไม่รู้จักทุกข์นั่นเอง
  5. 5. อะไรบ้างคือความทุกข์? คาตอบก็คงต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่างคือทุกข์ เวลานั่งสมาธิ เมื่อจิตสงบตัวลงจนถึงที่สุดที่สามารถจะทาได้ ให้ถอยอารมณ์ออกมาแล้วลองพิจารณาดูว่า ในโลกนี้มีอะไรบ้างที่มันเป็นความสุข ลองพิจารณาให้ดีๆ อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ลองวันละเล็กละน้อย ไม่ต้องรีบ
  6. 6. ถ้าไม่สามารถพิจารณาได้จริงๆว่า โลกนี้มันทุกข์อย่างไร ก็ให้เข้าสู่ความสงบต่อไป อย่าพึ่งพิจารณา เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบเต็ม อัตราแล้ว รู้สึกว่าพอแล้วค่อยถอยอารมณ์ลงมาพิจารณาต่อ แบบนี้จะไม่เครียดคือ สงบบ้าง พิจารณาบ้าง เป็นอนุโลมปฏิโลม อย่าลืมว่าถ้ายังเป็นฆราวาส ยังไม่ใช่นักบวชยังมีเรื่องต้องคิดอีกมาก จะให้ทาได้เลยคงเป็นไปไม่ได้ง่ายๆ ให้ค่อยๆทาไป พิจารณาไป เก็บสะสมความดีไปเรื่อย วันหนึ่งถ้ากาลังใจดีขึ้น ธรรมะจะมาเอง
  7. 7. ธรรมชาติของธรรมนั้น ผู้ปฏิบัติผู้บาเพ็ญเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านไม่เคยลดละในการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมที่เรากระทาอยู่เรื่อยๆเป็นนิจโดยไม่หยุดยั้ง ผลย่อมเกิดขึ้นได้ทุกครั้งไป และจะสืบเนื่องกันไม่ขาดระยะ ตราบเท่าที่เราไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรมนั้น
  8. 8. การปล่อยให้จิตคิดไปในแง่ต่างๆ ตามอารมณ์ของจิตนั้น ไม่สามารถที่จะทาให้เกิดอะไรขึ้นมา นอกจากไปเที่ยวเก็บรวบรวมเอาความทุกข์ ความร้อนจากอารมณ์ภายนอก มาเผาลนจิตใจของตนให้วุ่นวายเดือดร้อนไม่ขาดระยะ
  9. 9. ทุกข์เพราะการทาความเพียร มิใช่ทุกข์ที่ไม่ได้ผล เป็นทุกข์ที่ทาลงไปแล้วคุ้มค่า เราอย่าไปท้อถอย การปราบปรามกิเลส ก็คือการแก้ความไม่ดีที่สถิตอยู่ภายในตัว เรา จึงต้องทาด้วยความตั้งใจจริงๆ
  10. 10. ถ้าใครละความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือกาจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงเสีย ได้ ผู้นั้นจะพบเห็นพระนิพพาน พระนิพพานอยู่เหนือความโลภ โกรธ หลง ท่านว่าอย่างนี้. บางคนถ้าจะละมันออกไปก็ยังเสียดายมันอยู่ ถือว่ามันเป็นมิตรที่ดีต่อเราอยู่ ไม่ยอมให้มันตีตัวจากเราเลย อันนี้ก็ได้ชื่อว่า เราโง่กว่ากิเลส ปล่อยให้กิเลสเป็นนายเรา
  11. 11. ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นของเย็น เป็นของบริสุทธิ์ บุคคลผู้มีปัญญาจะไม่ปฏิเสธธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะธรรมถ้าอยู่ในจิตใจของผู้ใด ผู้นั้นย่อมมีความสุขความเจริญ
  12. 12. อย่าปล่อยให้วันคืนล่วงเลยไปเฉยๆ ต้องให้มันผ่านไปด้วยการปฏิบัติธรรม กาจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากจิต เหลือแต่ของจริง คือแก่นแท้ของธรรม
  13. 13. การทาภาวนาแรกๆ จิตของเราย่อมกวัดแกว่งดิ้นรน ล้มลุกคลุกคลานเป็นของธรรมดา เพราะจิตยังไม่เคยกับการภาวนามาก่อน จึงถือได้ว่า การภาวนาเป็นงานใหม่ของจิต ถึงจะยากลาบากแก่ไหน เราต้องฝืนเพื่อที่จะฉุดกระชากลากจิตที่กาลังถูกกิเลสย่ายีอยู่นั้นให้พ้นภัยอันตราย ให้เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จึงเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายควรทาอย่างยิ่ง

×