SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  20
Télécharger pour lire hors ligne
ธรรมชาติของภาษา
         ภาษาเป็ นสิ่งที่สาคัญต่อมนุษย์ เพราะเป็ นเครื่ องมือในการสื่อสาร เป็ นหัวใจของการ
ถ่ายทอดความรู้ ความเชื่อ คติธรรม และวัฒนธรรมของมนุษย์ มีข้อควรสังเกตเกี่ยวกับ
ภาษาดังนี ้
1. ภาษาใช้ เสียงสื่อความหมาย เป็ นการพูดเพื่อสื่อความหมายอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่
เข้ าใจกันทังสองฝ่ าย โดยใช้ เสียง สัญลักษณ์เป็ นสื่อ สาหรับในความหมายแคบ ให้ ถือว่า
            ้
เสียงพูด เป็ นสื่อความหมาย ทังนี ้ เสียงกับความหมาย ต้ องขึ ้นอยูกบการตกลงกันของแต่
                                 ้                                 ่ ั
ละกลุม เช่น คนญี่ปน เรี ยกบ้ านว่า คน, คนเขมร เรี ยก ผะผทะ (เผ-ตี-ยะห์) คนฝรั่งเศส
       ่               ุ่
เรี ยก เมซอง แต่คากับภาษาก็ยงมีสวนสัมพันธ์กน เช่น คาที่เลียนเสียงธรรมชาติ
                                   ั ่            ั
• 2. การประกอบกันของหน่วยในภาษา หน่วยภาษาของมนุษย์สามารถ
  เพิ่มจานวนคา หรื อเปลี่ยนการเรี ยงคาได้ เช่น ใครไปหาให้ หาใครไปให้
  ให้ ใครไปหา ไปหาให้ ใคร ใครหาไปให้ ให้ หาใครไป ไปให้ ใครหา หาให้
  ใครไป ไปหาใครให้ ใครให้ ไปหา ฯลฯ หรื อเพิ่มการรวม ซ้ อนกันของ
  ประโยค เช่น
  - แม่ซื ้อแหวน
  - แม่ซื ้อแหวนอยูที่ร้าน
                     ่
  - แม่ซื ้อแหวนอยูที่ร้านที่ร้านขายเครื่ องประดับ
                       ่
• 3. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนความหมาย
  เปลี่ยนคาที่ใช้ ร่วมกัน การได้ รับอิทธิพลของภาษาอื่น เป็ นต้ น
4. ภาษาทัวโลก มีลกษณะที่คล้ ายคลึง และแตกต่างกันดังนี ้
              ่       ั
            ลักษณะที่เหมือนกัน                              ลักษณะที่ต่างกัน

- ทุกภาษาใช้ เสียงสื่อความหมาย โดยมีทงเสียง -
                                      ั้           ด้ านเสียง เช่นภาษาอังกฤษ มีเสียง z, th
สระ และเสียงพยัญชนะ                                ซึงภาษาไทยไม่มี
                                                     ่
- สามารถสร้ างศัพท์ใหม่ จากการประสมของ         -   - ด้ านเสียง ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ เอก
ศัพท์เดิม                                          โท ตรี จัตวา แต่ภาษาอื่น อาจจะมีหรื อไม่มี
- แต่ละภาษามีสานวนใช้                          -   - ด้ านไวยากรณ์ ภาษาไทย อังกฤษ มีการ
- แต่ละภาษามีคาชนิดต่าง ๆ คล้ ายกัน เช่น มี        เรี ยงประโยคแบบ ประธาน กริ ยา กรรม แต่
คานาม คากริ ยา คาขยายนาม                           ในภาษาอื่นเช่น ภาษาญี่ปน เรี ยงแบบ
                                                                            ุ่
- แต่ละภาษา มีวิธีขยายประโยคให้ ยาวไปเรื่ อย ๆ     ประธาน กรรม กริ ยา
- แต่ละภาษามีวิธีแสดงความคิดล้ าย ๆ กัน มี
ประโยคคาถาม คาสัง    ่
- แต่ละภาษามีการเปลี่ยนไปตามกาล เวลา
ธรรมชาติของภาษา(The Natural of Language) มีดงนี ้               ั
๑. ภาษาประกอบด้ วย เสียงและความหมาย
เสียง หมายถึงเสียงในภาษา ได้ แก่ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ ส่วนในภาษาไทยมีเสียง
วรรณยุกต์ด้วย (ภาษาอื่นไม่ปรากฏว่ามีวรรณยุกต์) เช่น
พ่อ(ภาษาไทย) = เสียงพยัญชนะ /ป/ + เสียงสระ /ออ/ + เสียงวรรณยุกต์ /โท/
father(ภาษาอังกฤษ) = เสียงพยัญชนะ /f/ + เสียงสระ /a:/(สระอา) +เสียง
พยัญชนะ/th/ +เสียงสระ/ɘ/(สระเออ) + เสียงพยัญชนะ /r/
père (ภาษาฝรั่งเศส) = เสียงพยัญชนะ /p/ + เสียงสระ /æ/ + เสียงพยัญชนะ /r/
bapa(ภาษามาเลย์) = เสียงพยัญชนะ /b/ + เสียงสระ /a:/(สระอา) + เสียง
พยัญชนะ/p/ + เสียงสระ /a:/(สระอา)
คาข้ างต้ นแต่ละภาษามีความหมายเหมือนกัน คือ แปลว่า “พ่อ”
จะเห็นว่าคาข้ างต้ นประกอบด้ วยเสียงและความหมาย เสียงและความหมายในภาษา
ส่วนใหญ่จะไม่สมพันธ์
                 ั
กัน เช่น เสียงไก่ขน ภาษาไทยใช้ คาว่า “เอ๊ กอีเอ๊ กเอ๊ ก” ส่วนในภาษาอังกฤษใช้ คาว่า
                   ั
“crook coo dun do”
๒. ภาษาสื่อความหมายได้ โดยไม่ มีท่ ีสนสุด  ิ้
ภาษามีความหมาย มีโครงสร้ าง ดังนัน การนาคาที่มีความหมายมาจัดโครงสร้ างเพื่อสื่อ
                                       ้
ความหมายจากคนหนึงไปยังอีกคนหนึง จากคนหนึงไปยังอีกกลุมหนึง หรื อจากกลุมหนึง
                        ่                ่            ่             ่ ่              ่ ่
ไปยังอีกกลุมหนึงมนุษย์จงสามารถสื่อความหมายได้ ไม่มีที่สิ ้นสุด และขยายประโยค
              ่ ่         ึ
ออกไปได้ อย่างไม่สิ ้นสุดอีกด้ วย ต่างจากสัตว์ที่เลียนเสียงพูดที่พดได้ จากัดเนื่องจากสัตว์
                                                                  ู
พูดได้ เพราะเลียนเสียงมนุษย์
๓. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
ภาษามีคณสมบัติอย่างหนึ่ง คือ มีการเปลี่ยนแปลง มีการสร้ างคาใหม่ มีการเปลี่ยนและมี
          ุ
การเลิกใช้ ไม่มีการคงที่
การเปลี่ยนแปลงมีหลายลักษณะ เช่น เปลี่ยนแปลงเสียง เปลี่ยนแปลงคา เปลี่ยนแปลง
ประโยค เปลี่ยนแปลงสานวน
ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการคงที่ ภาษาใดไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาษานันก็จะ        ้
สูญหาย ไป คือ เลิกใช้ เรี ยกว่า ภาษาตาย เช่น ภาษาละติน มีใช้ เฉพาะในการ
บัญญัติศพท์วิชาการทางวิทยาศาสตร์ )ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ใช้ เฉพาะวงการ
            ั
วิชาการและวงการศาสนา ภาษากุโบสเลิกใช้ (เรี ยกว่าภาษาตาย)
ธรรมชาติของภาษา
ภาษาคือเครื่ องมือสื่อความเข้ าใจ ภาษาตามความหมายอย่ างกว้ างคือการสื่อ
ความหมายโดยมีระบบกฎเกณฑ์ที่เข้ าใจกัน 2 ฝ่ ายระหว่างมนุษย์หรื อระหว่างสัตว์ก็ได้
จะใช้ เสียง ท่าทาง หรื อสัญลักษณ์อื่นใดก็ได้ ฉะนันจึงมีภาษาคน ภาษาสัตว์
                                                  ้
ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาใบ้ เป็ นต้ น ส่วนภาษาตามความหมายอย่ างแคบนันคือ      ้
ถ้ อยคา ที่มนุษย์ใช้ พดสื่อความหมายกันบางภาษามีตวอักษรถ่ายทอดเสียงจึงเรี ยกว่า
                         ู                              ั
ภาษาเขียน
ภาษาของมนุษย์ ท่ ัวไปมีลักษณะร่ วมกันที่สาคัญมี 4 ประการ ดังนี ้
1. ใช้ เสียงสื่อความหมาย บางภาษามีตวอักษรเป็ นเครื่ องถ่ายเสียง ภาษาคือเครื่ องมือที่
                                          ั
สื่อความเข้ าใจ มีดงนี ้
                       ั
- เสียงสัมพันธ์กบความหมาย คา ไทยบางคา อาศัยเลียนเสียงธรรมชาติและเสียงสัตว์
                     ั
เช่น โครม เพล้ ง ปั งกริ๊ง หวูด ออด ตุ๊กๆ กา แมว จิ ้งจก อึงอ่าง ตุ๊กแก
                                                           ่
- เสียงไม่สมพันธ์กบความหมาย คือ การตกลงกันของกลุมแต่ละกลุมว่าจะใช้ คา ใด
                 ั           ั                                 ่        ่
      ตรงกับความหมายนันๆฉะนันแต่ละชาติจึงใช้ คา ไม่เหมือนกันส่วนมากเสียงกับ
                               ้   ้
      ความหมายไม่สมพันธ์กน ถ้ าเสียงกับความหมายสัมพันธ์กนทังหมดแล้ วคน
                           ั     ั                                  ั ้
      ต่างชาติตางภาษาก็จะใช้ คา ตรงกัน
                   ่
2. ภาษาประกอบกันจากหน่วยเล็กเป็ นหน่วยใหญ่ เช่น เสียง (พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์) คา ประโยค
ข้ อความเรื่ องราว ภาษาแต่ละภาษามีคา จานวนจา กัดแต่สามารถประกอบกันขึ ้นโดยไม่จา กัดจานวน เช่น
มีคา ว่า ใคร ใช้ ให้ ไป หาสามารถสร้ างเป็ นประโยคได้ หลายประโยคและต่อประโยคให้ ยาวออกไปได้ เรื่ อยๆ
3. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง ซึงมีสาเหตุดงนี ้
                                ่       ั
- การพูดจาในชีวิตประจา วัน เสียงอาจกลายหรื อกร่อนไป เช่น อย่างไร เป็ นยังไง อันหนึง เป็ นอนึง เป็ นต้ น
                                                                                     ่      ่
- อิทธิพลของภาษาอื่น เช่น ภาษาอังกฤษ มักมีคา ที่ไม่กะทัดรัด เช่น คา ว่า ได้ รับ ต่อการ นา มาซึง พร้ อม
                                                                                              ่
กับสาหรับ มัน ในความคิด สังเข้ า ส่งออก ใช้ ชีวิต ไม่มีลกษณนาม เช่น เขาได้ รับความพอใจ, เลขข้ อนี ้ง่ าย
                              ่                         ั
ต่ อการคิด, ความเพียรจะนา มาซึ่งความสาเร็จ, นักกีฬากลับมาพร้ อมกับชัยชนะ, สา หรับข้ าพเจ้ าไม่ขอ
แสดงความเห็น, มันเป็ นการง่ายที่จะกล่าวเช่นนัน, ประเทศไทยสั่ งเข้ าน ้ามันปี ละหลายหมื่นล้ านบาท, เขา
                                                  ้
ใช้ ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเป็ นส่วนใหญ่,สามผู้ร้ายบุกปล้ นธนาคาร
- ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้ อม เช่น คนไทยไปเติบโตที่ต่างประเทศกลับมาเมืองไทยพูดภาษาไทยไม่
ค่อยชัด เป็ นต้ น - การเรี ยนภาษาของเด็ก
4. ภาษาต่างๆ มีลกษณะที่ต่างและเหมือนกันที่ต่างกันคือ การใช้ คา เสียง ลักษณนาม ไวยากรณ์ การ
                    ั
เรี ยงคาที่เหมือนกันคือ
- ใช้ เสียงสื่อความหมายกัน - มีวิธีสร้ างศัพท์ใหม่ เช่น เอาคา เดิมมารวมกันเป็ นคา ประสม เป็ นต้ น
- มีสานวน - มีชนิดของคา เช่น คา นาม สรรพนาม กริ ยา วิเศษณ์ เป็ นต้ น
- มีการขยายประโยคให้ ยาวออกไปได้ เรื่ อยๆ- มีประโยคบอกเจตนาคล้ ายกัน เช่น แจ้ งให้ ทราบ ถามให้ ตอบ
หรื อสังให้ ทา - มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
        ่
ลักษณะที่ควรสังเกตบางประการในภาษาไทย
อักษรไทย คือ เครื่ องหมายที่ใช้ แทนเสียงในภาษาไทย ประกอบด้ วย
1. พยัญชนะ
2. สระ
3. วรรณยุกต์
1. พยัญชนะมี 44 รู ป 21 เสียง หน้ าที่ของพยัญชนะ คือ
เป็ นพยัญชนะต้ น มี 21 เสียง ดังนี ้
1. ก 12. บ                   2. ค ข ฃ ฅ ฆ 13. ป
3. ง 14. พ ผ ภ               4. จ 15. ฟ ฝ
5. ช ฉ ฌ 16. ม               6. ซ ศ ษ ส 17. ร (ฤ)
7. ย ญ 18. ล ฬ               8. ด ฎ (ฑ) 19. ว
9. ต ฏ 20. อ                 10. ท ฐ ฑ ฒ ถ ธ 21. ฮ ห
11. น ณ
- พยัญชนะต้ นประสม คือ พยัญชนะควบกล ้า เช่น เกรง กลัว กวาง
- พยัญชนะต้ นเดี่ยว คือ พยัญชนะไม่ควบกล ้า หรื อควบไม่แท้ เช่น กอง แผน หมาย จริ ง สร้ าง ทราบ
เป็ นพยัญชนะท้ าย (สะกด) มี 8 เสียง รวม 35 ตัว (สะกดไม่ได้ 9 ตัว ฃ ฅ ฉ ฌ ผ ฝ อ ห ฮ)
1. เสียงแม่กก ได้ แก่ ก ข ค ฆ
2. เสียงแม่กง ได้ แก่ ง
3. เสียงแม่กด ได้ แก่ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ถ ต ท ธ ศ ษ ส
4. เสียงแม่กบ ได้ แก่ บ ป พ ฟ ภ
5. เสียงแม่กน ได้ แก่ น ณ ญ ร ล ฬ
6. เสียงแม่กม ได้ แก่ ม
7. เสียงแม่เกย ได้ แก่ ย
8. เสียงแม่เกอว ได้ แก่ ว
- พยัญชนะบางตัวไม่ออกเสียง เช่นองค์ สังข ์ สามารถ ปรารถนา พรหม พุทธ สมุทร จริง สร้ าง ทราย
                                             ์
อยู ่่ หวาน
- บางคา มีเสียงพยัญชนะแต่ไม่มีรูป ได้ แก่ คา ที่ประสมด้ วยสระอา (อะม) ใอ ไอ (อะย) เอา (อะว) เช่น จา
ใจไกลเขา
2. สระ มี 21 รู ป 32 เสียง แบ่งเป็ นดังนี ้
สระแท้ (เดี่ยว) รัสสระ (สัน) ทีฆสระ (ยาว)
                          ้
อะ        อิ        อึ        อุ      เอะ      แอะ โอะ         เอาะ เออะ
อา (อะม)            ใอ (อะย)          ไอ (อะย)        เอา (อะว) ฤ ฦ
อา        อี        อือ       อู      เอ       แอ     โอ       ออ      เออ
ฤๅ        ฦๅ
สระประสม (เลื่อน)
อัวะ อัว            เอียะ เอีย เอือะ เอือ
สระในบางคา รูปไม่เหมือนกัน
- คา ที่มาจากสระอะ เช่น รัก (ระก) จา (จะม) สรรค์ (สะน) ไป (ปะย) ใน (นะย) เรา
(ระว)
- คา ที่มาจากสระเออ เช่น เทอม เดิน เลย
- คา ที่มาจากสระอัว เช่น บัว ชวน
- คา ที่มาจากสระออ เช่น รอ กร บวร
สระในบางคา ออกเสียงไม่ตรงรูป
- สระเสียงสันแต่ออกเสียงยาว เช่น เก้ า เท้ า เช้ า น ้า ได้
               ้
- สระเสียงยาวแต่ออกเสียงสัน เช่น ท่าน เงิน สอย น่อง แหม่ม แว่ว เก่ง เล่น
                                ้
- สระในบางคา ไม่ออกเสียง เช่น กษัตริย์ เหตุการณ์ ภูมลา เนา จักรพรรดิ
                                                            ิ
วรรณยุกต์ มี 4 รูป 5 เสียง การผันวรรณยุกต์ มีหลักสังเกตดังนี ้
- อักษรกลาง ผันได้ ครบ 5 เสียง เช่น กา ก่า ก้ า ก๊ า ก๋า
- อักษรกลางและสูง รูปกับเสียงวรรณยุกต์ตรงกัน (ใส่วรรณยุกต์เอกก็เป็ นเสียงเอก
เป็ นต้ น) เช่น ไก่แจ้ กระต๊ าก
- อักษรต่ารูปกับเสียงไม่ตรงกัน (ใส่วรรณยุกต์เอกเป็ นเสียงโท เป็ นต้ น) เช่น พ่อ แม่
น้ อง รู้
- รูปวรรณยุกต์ตรี ใช้ ได้ กบอักษรกลางเท่านัน
                           ั                ้
โครงสร้ างหรื อองค์ ประกอบของพยางค์ ได้ แก่
1. เสียงพยัญชนะต้ น ให้ ดวาคา นันเป็ นพยัญชนะต้ นประสม (ควบแท้ ) หรื อ
                            ู่    ้
พยัญชนะต้ นเดี่ยว (ไม่ควบแท้ )
2. เสียงสระ ให้ ดวาคา นันมีสระออกเสียงสันหรื อออกเสียงยาว (สระบางคา รูปกับ
                 ู่       ้               ้
เสียงสันยาวไม่ตรงกัน)
       ้
3. เสียงวรรณยุกต์ ให้ ดวาเป็ นเสียงอะไร (สามัญ เอก โท ตรี หรื อจัตวา)
                       ู่
4. เสียงพยัญชนะท้ าย (ตัวสะกด) ให้ ดวาคา นันมีตวสะกดหรื อไม่มี
                                      ู่     ้ ั
ระดับภาษา
ระดับภาษา คือ การแบ่งการใช้ ภาษาออกเป็ นระดับต่างๆ ให้ เหมาะสมกับบุคคล โอกาส
และสถานที่ มี 5 ระดับ
คือ
1. ระดับพิธีการ ใช้ สื่อสารในที่ประชุมที่เป็ นพิธีการ
2. ระดับทางการ ใช้ บรรยายหรื ออภิปรายอย่างเป็ นทางการ หรื อใช้ ในการเขียนข้ อความให้
ปรากฏต่อสาธารณชน
3. ระดับกึงทางการ ใช้ ภาษาที่ลดความเป็ นการเป็ นงานลงบ้ างเพื่อความใกล้ ชิดกัน เช่น
          ่
การประชุมกลุมหรื อ
               ่
อภิปรายเป็ นกลุมเล็ก หรื อบทความในหนังสือพิมพ์
                 ่
4. ระดับไม่เป็ นทางการ ใช้ สนทนาของบุคคลหรื อกลุมคน 4-5 คน หรื อการเขียนจดหมาย
                                                      ่
ระหว่างเพื่อน
5. ระดับกันเอง ใช้ สื่อสารกันในวงจา กัด เช่น ในครอบครัว เพื่อนสนิทในสถานที่ที่เป็ น
ส่วนตัว
ราชาศัพท์
ราชาศัพท์ แปลว่า คา พูดสา หรับพระเจ้ าแผ่นดิน ปั จจุบนหมายถึงการใช้ คา พูด
                                                     ั
กับบุคคลดังต่อไปนี ้
1. พระเจ้ าแผ่นดิน
2. พระบรมวงศานุวงศ์
3. พระภิกษุ
4. ข้ าราชการ
5. สุภาพชน
คา ราชาศัพท์ที่ตกแต่งขึ ้นจากภาษาต่างๆ ดังนี ้
- คา ไทยดังเดิม เช่น พระเจ้ าลูกยาเธอ พระยอด ทรงถาม ทรงช้ าง
           ้
- คา บาลี เช่น พระอัฐิ พระหัตถ์ พระอุทร
- คา สันสกฤต เช่น พระเนตร พระจักษุ ทรงพระอักษร
- คา เขมร เช่น พระขนง ตรัส เสวย โปรด บรรทม
การใช้ คา ว่า "ทรง"
1. นา หน้ าคา นาม และคา กริยาสามัญ เช่น ทรงม้ า ทรงช้ าง ทรงธรรม ทรงกีฬา ทรงฟั ง
ทรงยินดี ทรงขอบใจ
2. นา หน้ าคา นามราชาศัพท์ เช่น ทรงพระเมตตา ทรงพระประชวร ทรงพระดา ริ ทรงพระ
สุบิน
3. ห้ ามนา หน้ าคา ที่เป็ นกริยาราชาศัพท์อยูแล้ ว เช่น ตรัส เสด็จ ประทับ พระราชทาน
                                             ่
ทอดพระเนตร โปรด ฯลฯ
การใช้ คา ว่า "เสด็จ"
- ใช้ นา หน้ าคา กริยาบางคา ให้ เป็ นกริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จไป เสด็จกลับ เสด็จขึ ้น
เสด็จลง
- นา หน้ าคา นามให้ เป็ นกริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จพระราชดา เนิน เสด็จพระราชสมภพ
การใช้ คา ว่า "พระบรม"
ใช้ กบสิงสา คัญของพระมหากษัตริย์เท่านัน เช่น พระบรมเดชานุภาพ พระบรมราชสมภพ
      ั ่                                  ้
พระบรมราชโองการ
พระปรมาภิไธย พระบรมมหาราชวัง พระบรมราชชนนี ฯลฯ
การใช้ คา ว่า "อาคันตุกะ" (แขกผู้มาเยือน)
แขกของกษัตริย์ให้ ใช้ พระราชอาคันตุกะ เช่น
- ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็ นพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูหว         ่ ั
- พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูหวทรงเป็ นอาคันตุกะของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
                               ่ ั
วิธีคิดของมนุษย์มีดงนี ้
                       ั
1. คิดเชิงวิเคราะห์ คือ การพิจารณาแยกสิงใดสิงหนึงออกเป็ นส่วนๆ และแต่ละส่วนนัน
                                            ่ ่ ่                                      ้
สัมพันธ์กนอย่างไร
           ั
2. คิดเชิงสังเคราะห์ คือ การคิดรวบรวมส่วนต่างๆ เข้ าด้ วยกันด้ วยวิธีที่เหมาะสมจนเกิด
เป็ นสิ่งใหม่ขึ ้นสาหรับจะได้ นา ไปใช้ ประโยชน์ตอไป
                                                ่
3. คิดเชิงประเมินค่า คือ การใช้ ดลพินิจตัดสินคุณค่าของสิงใดสิงหนึงซึงอาจเป็ นวัตถุ
                                   ุ                     ่ ่ ่ ่
ผลงาน การกระทากิจกรรมก็ได้ ว่าสิ่งนันดีเลว มีคณหรื อมีโทษ คุ้มหรื อไม่ค้ ม เป็ นต้ น
                                          ้       ุ                        ุ
การอธิบาย การบรรยายและการพรรณนา
การอธิบาย คือ การทา ให้ ผ้ อื่นเข้ าใจความจริ งในเรื่ องใดเรื่ องหนึง มี 5 วิธี
                               ู                                     ่
1. อธิบายตามลา ดับขัน ใช้ อธิบายสิ่งที่เป็ นกระบวนการ หรื อกรรมวิธี เช่น วิธีทา อาหาร
                           ้
2. ใช้ ตวอย่าง ใช้ อธิบายในสิ่งที่เข้ าใจยาก เช่น วิชาคณิตศาสตร์
         ั
3. เปรี ยบเทียบความเหมือนและต่างกัน ใช้ อธิบายในสิ่งที่แปลกใหม่หรื อสิ่งที่ยงไม่ค้ นเคย
                                                                                   ั ุ
4. ชี ้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สมพันธ์กน ใช้ อธิบายเพื่อบอกเหตุผลหรื อสาเหตุ
                             ั         ั
5. นิยามหรื อให้ คา จา กัดความ ใช้ อธิบายความหมายของคา ศัพท์หรื อข้ อความ
การบรรยาย คือ การเล่าเรื่ องราวให้ ผ้ ฟังหรื อผู้อานได้ ร้ ูว่าใคร ทา อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เพื่ออะไร
                                         ู
อาจเป็ น เรื่ องจริ งเช่น ประวัติของบุคคล หรื อเรื่ องสมมติก็ได้ เช่น นิทาน นิยาย เป็ นต้ น
การพรรณนา คือ การให้ รายละเอียดสิ่งใดสิ่งหนึงจะมีชีวิตหรื อไม่ก็ได้ โดยมุ่งให้ ผ้ อ่านหรื อผู้ฟังนึกเห็น
                                                     ่                                 ู
ภาพเกิดจินตนาการตามที่ผ้ สงสารต้ องการ มักใช้ คา อุปมาเปรี ยบเทียบมีคา ว่า ดุจ ดัง เหมือน ราว
                                 ู่
กับ ฯลฯทัง้ 3 อย่างนี ้อาจใช้ รวมกันได้ เช่น ในบทความหรื อนิทานเรื่ องหนึงอาจมีทงการอธิบาย
                                                                               ่         ั้
บรรยายและพรรณนาคละกันได้
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา

Contenu connexe

Tendances

หน่วยที่ 2 โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษา
หน่วยที่ 2  โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษาหน่วยที่ 2  โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษา
หน่วยที่ 2 โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษาขนิษฐา ทวีศรี
 
แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ
แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความแบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ
แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความsripayom
 
คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]
คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]
คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]Nongkran Jarurnphong
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิSurapong Klamboot
 
โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์krubuatoom
 
โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนkrubuatoom
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์Jariya Huangjing
 
PPT โน้มน้าวใจ
PPT โน้มน้าวใจPPT โน้มน้าวใจ
PPT โน้มน้าวใจKruBowbaro
 
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์niralai
 
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทย
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทย
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยพัน พัน
 
ประโยคที่ซับซ้อน
ประโยคที่ซับซ้อนประโยคที่ซับซ้อน
ประโยคที่ซับซ้อนพัน พัน
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1suchinmam
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาพัน พัน
 
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทยอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทยครูเจริญศรี
 

Tendances (20)

หน่วยที่ 2 โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษา
หน่วยที่ 2  โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษาหน่วยที่ 2  โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษา
หน่วยที่ 2 โครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคและการใช้สำนวนภาษา
 
แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ
แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความแบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ
แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ
 
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดแบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
 
คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]
คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]
คำสมาส [โหมดความเข้ากันได้]
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
 
โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์
 
โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียน
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
การสร้างคำ
การสร้างคำการสร้างคำ
การสร้างคำ
 
PPT โน้มน้าวใจ
PPT โน้มน้าวใจPPT โน้มน้าวใจ
PPT โน้มน้าวใจ
 
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
คำขอขมาพระอาจารย์และครูอาจารย์
 
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทย
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทย
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาไทย
 
ระดับของภาษา
ระดับของภาษาระดับของภาษา
ระดับของภาษา
 
ประโยคที่ซับซ้อน
ประโยคที่ซับซ้อนประโยคที่ซับซ้อน
ประโยคที่ซับซ้อน
 
คำบุพบท
คำบุพบทคำบุพบท
คำบุพบท
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทยอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
 
คำประสม
คำประสมคำประสม
คำประสม
 
การสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทยการสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทย
 

En vedette

บทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคลบทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคลwattanaka
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาwattanaka
 
การเปลี่ยนแปลงของภาษา
การเปลี่ยนแปลงของภาษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา
การเปลี่ยนแปลงของภาษาPpor Elf'ish
 
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษาหน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษาWilawun Wisanuvekin
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาkingkarn somchit
 
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทยบทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทยAj.Mallika Phongphaew
 

En vedette (10)

ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคลบทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
ธรรมชาติของภาษาออนไลน์
ธรรมชาติของภาษาออนไลน์ธรรมชาติของภาษาออนไลน์
ธรรมชาติของภาษาออนไลน์
 
การเปลี่ยนแปลงของภาษา
การเปลี่ยนแปลงของภาษาการเปลี่ยนแปลงของภาษา
การเปลี่ยนแปลงของภาษา
 
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษาหน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
 
การใช้คำและกลุ่มคำในภาษาไทย
การใช้คำและกลุ่มคำในภาษาไทยการใช้คำและกลุ่มคำในภาษาไทย
การใช้คำและกลุ่มคำในภาษาไทย
 
ใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำ
ใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำ
ใบความรู้ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยการสร้างคำ
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทยบทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
 

Similaire à ธรรมชาติของภาษา

โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทยโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทยNook Kanokwan
 
สรุปย่อ หลักภาษาไทย
สรุปย่อ หลักภาษาไทย สรุปย่อ หลักภาษาไทย
สรุปย่อ หลักภาษาไทย Kun Cool Look Natt
 
หลักภาษา
หลักภาษาหลักภาษา
หลักภาษาsukuman139
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทยguestd57bc7
 

Similaire à ธรรมชาติของภาษา (20)

ลักษณะภาษาไทย
ลักษณะภาษาไทยลักษณะภาษาไทย
ลักษณะภาษาไทย
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทยโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
 
สรุปย่อ หลักภาษาไทย
สรุปย่อ หลักภาษาไทย สรุปย่อ หลักภาษาไทย
สรุปย่อ หลักภาษาไทย
 
สรุปเนื้อหา ติว
สรุปเนื้อหา ติวสรุปเนื้อหา ติว
สรุปเนื้อหา ติว
 
ใบความรู้ ลักษณะภาษาไทย
ใบความรู้ ลักษณะภาษาไทยใบความรู้ ลักษณะภาษาไทย
ใบความรู้ ลักษณะภาษาไทย
 
การสร้างคำ
การสร้างคำการสร้างคำ
การสร้างคำ
 
ภาษาถิ่นตะโหมด
ภาษาถิ่นตะโหมดภาษาถิ่นตะโหมด
ภาษาถิ่นตะโหมด
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
Intro computer
Intro  computerIntro  computer
Intro computer
 
ใบงาน
ใบงานใบงาน
ใบงาน
 
ใบงาน
ใบงานใบงาน
ใบงาน
 
ใบงาน
ใบงานใบงาน
ใบงาน
 
ใบงาน
ใบงานใบงาน
ใบงาน
 
หลักภาษา
หลักภาษาหลักภาษา
หลักภาษา
 
Week 2 of WS4T
Week 2 of WS4T Week 2 of WS4T
Week 2 of WS4T
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
thai Research
thai  Researchthai  Research
thai Research
 
Thai
ThaiThai
Thai
 
Thai
ThaiThai
Thai
 
นุกูล
นุกูลนุกูล
นุกูล
 

ธรรมชาติของภาษา

  • 1. ธรรมชาติของภาษา ภาษาเป็ นสิ่งที่สาคัญต่อมนุษย์ เพราะเป็ นเครื่ องมือในการสื่อสาร เป็ นหัวใจของการ ถ่ายทอดความรู้ ความเชื่อ คติธรรม และวัฒนธรรมของมนุษย์ มีข้อควรสังเกตเกี่ยวกับ ภาษาดังนี ้ 1. ภาษาใช้ เสียงสื่อความหมาย เป็ นการพูดเพื่อสื่อความหมายอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่ เข้ าใจกันทังสองฝ่ าย โดยใช้ เสียง สัญลักษณ์เป็ นสื่อ สาหรับในความหมายแคบ ให้ ถือว่า ้ เสียงพูด เป็ นสื่อความหมาย ทังนี ้ เสียงกับความหมาย ต้ องขึ ้นอยูกบการตกลงกันของแต่ ้ ่ ั ละกลุม เช่น คนญี่ปน เรี ยกบ้ านว่า คน, คนเขมร เรี ยก ผะผทะ (เผ-ตี-ยะห์) คนฝรั่งเศส ่ ุ่ เรี ยก เมซอง แต่คากับภาษาก็ยงมีสวนสัมพันธ์กน เช่น คาที่เลียนเสียงธรรมชาติ ั ่ ั
  • 2. • 2. การประกอบกันของหน่วยในภาษา หน่วยภาษาของมนุษย์สามารถ เพิ่มจานวนคา หรื อเปลี่ยนการเรี ยงคาได้ เช่น ใครไปหาให้ หาใครไปให้ ให้ ใครไปหา ไปหาให้ ใคร ใครหาไปให้ ให้ หาใครไป ไปให้ ใครหา หาให้ ใครไป ไปหาใครให้ ใครให้ ไปหา ฯลฯ หรื อเพิ่มการรวม ซ้ อนกันของ ประโยค เช่น - แม่ซื ้อแหวน - แม่ซื ้อแหวนอยูที่ร้าน ่ - แม่ซื ้อแหวนอยูที่ร้านที่ร้านขายเครื่ องประดับ ่ • 3. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนความหมาย เปลี่ยนคาที่ใช้ ร่วมกัน การได้ รับอิทธิพลของภาษาอื่น เป็ นต้ น
  • 3. 4. ภาษาทัวโลก มีลกษณะที่คล้ ายคลึง และแตกต่างกันดังนี ้ ่ ั ลักษณะที่เหมือนกัน ลักษณะที่ต่างกัน - ทุกภาษาใช้ เสียงสื่อความหมาย โดยมีทงเสียง - ั้ ด้ านเสียง เช่นภาษาอังกฤษ มีเสียง z, th สระ และเสียงพยัญชนะ ซึงภาษาไทยไม่มี ่ - สามารถสร้ างศัพท์ใหม่ จากการประสมของ - - ด้ านเสียง ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ เอก ศัพท์เดิม โท ตรี จัตวา แต่ภาษาอื่น อาจจะมีหรื อไม่มี - แต่ละภาษามีสานวนใช้ - - ด้ านไวยากรณ์ ภาษาไทย อังกฤษ มีการ - แต่ละภาษามีคาชนิดต่าง ๆ คล้ ายกัน เช่น มี เรี ยงประโยคแบบ ประธาน กริ ยา กรรม แต่ คานาม คากริ ยา คาขยายนาม ในภาษาอื่นเช่น ภาษาญี่ปน เรี ยงแบบ ุ่ - แต่ละภาษา มีวิธีขยายประโยคให้ ยาวไปเรื่ อย ๆ ประธาน กรรม กริ ยา - แต่ละภาษามีวิธีแสดงความคิดล้ าย ๆ กัน มี ประโยคคาถาม คาสัง ่ - แต่ละภาษามีการเปลี่ยนไปตามกาล เวลา
  • 4. ธรรมชาติของภาษา(The Natural of Language) มีดงนี ้ ั ๑. ภาษาประกอบด้ วย เสียงและความหมาย เสียง หมายถึงเสียงในภาษา ได้ แก่ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ ส่วนในภาษาไทยมีเสียง วรรณยุกต์ด้วย (ภาษาอื่นไม่ปรากฏว่ามีวรรณยุกต์) เช่น พ่อ(ภาษาไทย) = เสียงพยัญชนะ /ป/ + เสียงสระ /ออ/ + เสียงวรรณยุกต์ /โท/ father(ภาษาอังกฤษ) = เสียงพยัญชนะ /f/ + เสียงสระ /a:/(สระอา) +เสียง พยัญชนะ/th/ +เสียงสระ/ɘ/(สระเออ) + เสียงพยัญชนะ /r/ père (ภาษาฝรั่งเศส) = เสียงพยัญชนะ /p/ + เสียงสระ /æ/ + เสียงพยัญชนะ /r/ bapa(ภาษามาเลย์) = เสียงพยัญชนะ /b/ + เสียงสระ /a:/(สระอา) + เสียง พยัญชนะ/p/ + เสียงสระ /a:/(สระอา) คาข้ างต้ นแต่ละภาษามีความหมายเหมือนกัน คือ แปลว่า “พ่อ” จะเห็นว่าคาข้ างต้ นประกอบด้ วยเสียงและความหมาย เสียงและความหมายในภาษา ส่วนใหญ่จะไม่สมพันธ์ ั กัน เช่น เสียงไก่ขน ภาษาไทยใช้ คาว่า “เอ๊ กอีเอ๊ กเอ๊ ก” ส่วนในภาษาอังกฤษใช้ คาว่า ั “crook coo dun do”
  • 5. ๒. ภาษาสื่อความหมายได้ โดยไม่ มีท่ ีสนสุด ิ้ ภาษามีความหมาย มีโครงสร้ าง ดังนัน การนาคาที่มีความหมายมาจัดโครงสร้ างเพื่อสื่อ ้ ความหมายจากคนหนึงไปยังอีกคนหนึง จากคนหนึงไปยังอีกกลุมหนึง หรื อจากกลุมหนึง ่ ่ ่ ่ ่ ่ ่ ไปยังอีกกลุมหนึงมนุษย์จงสามารถสื่อความหมายได้ ไม่มีที่สิ ้นสุด และขยายประโยค ่ ่ ึ ออกไปได้ อย่างไม่สิ ้นสุดอีกด้ วย ต่างจากสัตว์ที่เลียนเสียงพูดที่พดได้ จากัดเนื่องจากสัตว์ ู พูดได้ เพราะเลียนเสียงมนุษย์ ๓. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง ภาษามีคณสมบัติอย่างหนึ่ง คือ มีการเปลี่ยนแปลง มีการสร้ างคาใหม่ มีการเปลี่ยนและมี ุ การเลิกใช้ ไม่มีการคงที่ การเปลี่ยนแปลงมีหลายลักษณะ เช่น เปลี่ยนแปลงเสียง เปลี่ยนแปลงคา เปลี่ยนแปลง ประโยค เปลี่ยนแปลงสานวน ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการคงที่ ภาษาใดไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาษานันก็จะ ้ สูญหาย ไป คือ เลิกใช้ เรี ยกว่า ภาษาตาย เช่น ภาษาละติน มีใช้ เฉพาะในการ บัญญัติศพท์วิชาการทางวิทยาศาสตร์ )ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ใช้ เฉพาะวงการ ั วิชาการและวงการศาสนา ภาษากุโบสเลิกใช้ (เรี ยกว่าภาษาตาย)
  • 6. ธรรมชาติของภาษา ภาษาคือเครื่ องมือสื่อความเข้ าใจ ภาษาตามความหมายอย่ างกว้ างคือการสื่อ ความหมายโดยมีระบบกฎเกณฑ์ที่เข้ าใจกัน 2 ฝ่ ายระหว่างมนุษย์หรื อระหว่างสัตว์ก็ได้ จะใช้ เสียง ท่าทาง หรื อสัญลักษณ์อื่นใดก็ได้ ฉะนันจึงมีภาษาคน ภาษาสัตว์ ้ ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาใบ้ เป็ นต้ น ส่วนภาษาตามความหมายอย่ างแคบนันคือ ้ ถ้ อยคา ที่มนุษย์ใช้ พดสื่อความหมายกันบางภาษามีตวอักษรถ่ายทอดเสียงจึงเรี ยกว่า ู ั ภาษาเขียน ภาษาของมนุษย์ ท่ ัวไปมีลักษณะร่ วมกันที่สาคัญมี 4 ประการ ดังนี ้ 1. ใช้ เสียงสื่อความหมาย บางภาษามีตวอักษรเป็ นเครื่ องถ่ายเสียง ภาษาคือเครื่ องมือที่ ั สื่อความเข้ าใจ มีดงนี ้ ั - เสียงสัมพันธ์กบความหมาย คา ไทยบางคา อาศัยเลียนเสียงธรรมชาติและเสียงสัตว์ ั เช่น โครม เพล้ ง ปั งกริ๊ง หวูด ออด ตุ๊กๆ กา แมว จิ ้งจก อึงอ่าง ตุ๊กแก ่ - เสียงไม่สมพันธ์กบความหมาย คือ การตกลงกันของกลุมแต่ละกลุมว่าจะใช้ คา ใด ั ั ่ ่ ตรงกับความหมายนันๆฉะนันแต่ละชาติจึงใช้ คา ไม่เหมือนกันส่วนมากเสียงกับ ้ ้ ความหมายไม่สมพันธ์กน ถ้ าเสียงกับความหมายสัมพันธ์กนทังหมดแล้ วคน ั ั ั ้ ต่างชาติตางภาษาก็จะใช้ คา ตรงกัน ่
  • 7. 2. ภาษาประกอบกันจากหน่วยเล็กเป็ นหน่วยใหญ่ เช่น เสียง (พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์) คา ประโยค ข้ อความเรื่ องราว ภาษาแต่ละภาษามีคา จานวนจา กัดแต่สามารถประกอบกันขึ ้นโดยไม่จา กัดจานวน เช่น มีคา ว่า ใคร ใช้ ให้ ไป หาสามารถสร้ างเป็ นประโยคได้ หลายประโยคและต่อประโยคให้ ยาวออกไปได้ เรื่ อยๆ 3. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง ซึงมีสาเหตุดงนี ้ ่ ั - การพูดจาในชีวิตประจา วัน เสียงอาจกลายหรื อกร่อนไป เช่น อย่างไร เป็ นยังไง อันหนึง เป็ นอนึง เป็ นต้ น ่ ่ - อิทธิพลของภาษาอื่น เช่น ภาษาอังกฤษ มักมีคา ที่ไม่กะทัดรัด เช่น คา ว่า ได้ รับ ต่อการ นา มาซึง พร้ อม ่ กับสาหรับ มัน ในความคิด สังเข้ า ส่งออก ใช้ ชีวิต ไม่มีลกษณนาม เช่น เขาได้ รับความพอใจ, เลขข้ อนี ้ง่ าย ่ ั ต่ อการคิด, ความเพียรจะนา มาซึ่งความสาเร็จ, นักกีฬากลับมาพร้ อมกับชัยชนะ, สา หรับข้ าพเจ้ าไม่ขอ แสดงความเห็น, มันเป็ นการง่ายที่จะกล่าวเช่นนัน, ประเทศไทยสั่ งเข้ าน ้ามันปี ละหลายหมื่นล้ านบาท, เขา ้ ใช้ ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเป็ นส่วนใหญ่,สามผู้ร้ายบุกปล้ นธนาคาร - ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้ อม เช่น คนไทยไปเติบโตที่ต่างประเทศกลับมาเมืองไทยพูดภาษาไทยไม่ ค่อยชัด เป็ นต้ น - การเรี ยนภาษาของเด็ก 4. ภาษาต่างๆ มีลกษณะที่ต่างและเหมือนกันที่ต่างกันคือ การใช้ คา เสียง ลักษณนาม ไวยากรณ์ การ ั เรี ยงคาที่เหมือนกันคือ - ใช้ เสียงสื่อความหมายกัน - มีวิธีสร้ างศัพท์ใหม่ เช่น เอาคา เดิมมารวมกันเป็ นคา ประสม เป็ นต้ น - มีสานวน - มีชนิดของคา เช่น คา นาม สรรพนาม กริ ยา วิเศษณ์ เป็ นต้ น - มีการขยายประโยคให้ ยาวออกไปได้ เรื่ อยๆ- มีประโยคบอกเจตนาคล้ ายกัน เช่น แจ้ งให้ ทราบ ถามให้ ตอบ หรื อสังให้ ทา - มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ่
  • 8. ลักษณะที่ควรสังเกตบางประการในภาษาไทย อักษรไทย คือ เครื่ องหมายที่ใช้ แทนเสียงในภาษาไทย ประกอบด้ วย 1. พยัญชนะ 2. สระ 3. วรรณยุกต์ 1. พยัญชนะมี 44 รู ป 21 เสียง หน้ าที่ของพยัญชนะ คือ เป็ นพยัญชนะต้ น มี 21 เสียง ดังนี ้ 1. ก 12. บ 2. ค ข ฃ ฅ ฆ 13. ป 3. ง 14. พ ผ ภ 4. จ 15. ฟ ฝ 5. ช ฉ ฌ 16. ม 6. ซ ศ ษ ส 17. ร (ฤ) 7. ย ญ 18. ล ฬ 8. ด ฎ (ฑ) 19. ว 9. ต ฏ 20. อ 10. ท ฐ ฑ ฒ ถ ธ 21. ฮ ห 11. น ณ
  • 9. - พยัญชนะต้ นประสม คือ พยัญชนะควบกล ้า เช่น เกรง กลัว กวาง - พยัญชนะต้ นเดี่ยว คือ พยัญชนะไม่ควบกล ้า หรื อควบไม่แท้ เช่น กอง แผน หมาย จริ ง สร้ าง ทราบ เป็ นพยัญชนะท้ าย (สะกด) มี 8 เสียง รวม 35 ตัว (สะกดไม่ได้ 9 ตัว ฃ ฅ ฉ ฌ ผ ฝ อ ห ฮ) 1. เสียงแม่กก ได้ แก่ ก ข ค ฆ 2. เสียงแม่กง ได้ แก่ ง 3. เสียงแม่กด ได้ แก่ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ถ ต ท ธ ศ ษ ส 4. เสียงแม่กบ ได้ แก่ บ ป พ ฟ ภ 5. เสียงแม่กน ได้ แก่ น ณ ญ ร ล ฬ 6. เสียงแม่กม ได้ แก่ ม 7. เสียงแม่เกย ได้ แก่ ย 8. เสียงแม่เกอว ได้ แก่ ว - พยัญชนะบางตัวไม่ออกเสียง เช่นองค์ สังข ์ สามารถ ปรารถนา พรหม พุทธ สมุทร จริง สร้ าง ทราย ์ อยู ่่ หวาน - บางคา มีเสียงพยัญชนะแต่ไม่มีรูป ได้ แก่ คา ที่ประสมด้ วยสระอา (อะม) ใอ ไอ (อะย) เอา (อะว) เช่น จา ใจไกลเขา
  • 10. 2. สระ มี 21 รู ป 32 เสียง แบ่งเป็ นดังนี ้ สระแท้ (เดี่ยว) รัสสระ (สัน) ทีฆสระ (ยาว) ้ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ เออะ อา (อะม) ใอ (อะย) ไอ (อะย) เอา (อะว) ฤ ฦ อา อี อือ อู เอ แอ โอ ออ เออ ฤๅ ฦๅ สระประสม (เลื่อน) อัวะ อัว เอียะ เอีย เอือะ เอือ สระในบางคา รูปไม่เหมือนกัน - คา ที่มาจากสระอะ เช่น รัก (ระก) จา (จะม) สรรค์ (สะน) ไป (ปะย) ใน (นะย) เรา (ระว) - คา ที่มาจากสระเออ เช่น เทอม เดิน เลย - คา ที่มาจากสระอัว เช่น บัว ชวน - คา ที่มาจากสระออ เช่น รอ กร บวร สระในบางคา ออกเสียงไม่ตรงรูป
  • 11. - สระเสียงสันแต่ออกเสียงยาว เช่น เก้ า เท้ า เช้ า น ้า ได้ ้ - สระเสียงยาวแต่ออกเสียงสัน เช่น ท่าน เงิน สอย น่อง แหม่ม แว่ว เก่ง เล่น ้ - สระในบางคา ไม่ออกเสียง เช่น กษัตริย์ เหตุการณ์ ภูมลา เนา จักรพรรดิ ิ วรรณยุกต์ มี 4 รูป 5 เสียง การผันวรรณยุกต์ มีหลักสังเกตดังนี ้ - อักษรกลาง ผันได้ ครบ 5 เสียง เช่น กา ก่า ก้ า ก๊ า ก๋า - อักษรกลางและสูง รูปกับเสียงวรรณยุกต์ตรงกัน (ใส่วรรณยุกต์เอกก็เป็ นเสียงเอก เป็ นต้ น) เช่น ไก่แจ้ กระต๊ าก - อักษรต่ารูปกับเสียงไม่ตรงกัน (ใส่วรรณยุกต์เอกเป็ นเสียงโท เป็ นต้ น) เช่น พ่อ แม่ น้ อง รู้ - รูปวรรณยุกต์ตรี ใช้ ได้ กบอักษรกลางเท่านัน ั ้
  • 12. โครงสร้ างหรื อองค์ ประกอบของพยางค์ ได้ แก่ 1. เสียงพยัญชนะต้ น ให้ ดวาคา นันเป็ นพยัญชนะต้ นประสม (ควบแท้ ) หรื อ ู่ ้ พยัญชนะต้ นเดี่ยว (ไม่ควบแท้ ) 2. เสียงสระ ให้ ดวาคา นันมีสระออกเสียงสันหรื อออกเสียงยาว (สระบางคา รูปกับ ู่ ้ ้ เสียงสันยาวไม่ตรงกัน) ้ 3. เสียงวรรณยุกต์ ให้ ดวาเป็ นเสียงอะไร (สามัญ เอก โท ตรี หรื อจัตวา) ู่ 4. เสียงพยัญชนะท้ าย (ตัวสะกด) ให้ ดวาคา นันมีตวสะกดหรื อไม่มี ู่ ้ ั
  • 13. ระดับภาษา ระดับภาษา คือ การแบ่งการใช้ ภาษาออกเป็ นระดับต่างๆ ให้ เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และสถานที่ มี 5 ระดับ คือ 1. ระดับพิธีการ ใช้ สื่อสารในที่ประชุมที่เป็ นพิธีการ 2. ระดับทางการ ใช้ บรรยายหรื ออภิปรายอย่างเป็ นทางการ หรื อใช้ ในการเขียนข้ อความให้ ปรากฏต่อสาธารณชน 3. ระดับกึงทางการ ใช้ ภาษาที่ลดความเป็ นการเป็ นงานลงบ้ างเพื่อความใกล้ ชิดกัน เช่น ่ การประชุมกลุมหรื อ ่ อภิปรายเป็ นกลุมเล็ก หรื อบทความในหนังสือพิมพ์ ่ 4. ระดับไม่เป็ นทางการ ใช้ สนทนาของบุคคลหรื อกลุมคน 4-5 คน หรื อการเขียนจดหมาย ่ ระหว่างเพื่อน 5. ระดับกันเอง ใช้ สื่อสารกันในวงจา กัด เช่น ในครอบครัว เพื่อนสนิทในสถานที่ที่เป็ น ส่วนตัว
  • 14. ราชาศัพท์ ราชาศัพท์ แปลว่า คา พูดสา หรับพระเจ้ าแผ่นดิน ปั จจุบนหมายถึงการใช้ คา พูด ั กับบุคคลดังต่อไปนี ้ 1. พระเจ้ าแผ่นดิน 2. พระบรมวงศานุวงศ์ 3. พระภิกษุ 4. ข้ าราชการ 5. สุภาพชน คา ราชาศัพท์ที่ตกแต่งขึ ้นจากภาษาต่างๆ ดังนี ้ - คา ไทยดังเดิม เช่น พระเจ้ าลูกยาเธอ พระยอด ทรงถาม ทรงช้ าง ้ - คา บาลี เช่น พระอัฐิ พระหัตถ์ พระอุทร - คา สันสกฤต เช่น พระเนตร พระจักษุ ทรงพระอักษร - คา เขมร เช่น พระขนง ตรัส เสวย โปรด บรรทม
  • 15. การใช้ คา ว่า "ทรง" 1. นา หน้ าคา นาม และคา กริยาสามัญ เช่น ทรงม้ า ทรงช้ าง ทรงธรรม ทรงกีฬา ทรงฟั ง ทรงยินดี ทรงขอบใจ 2. นา หน้ าคา นามราชาศัพท์ เช่น ทรงพระเมตตา ทรงพระประชวร ทรงพระดา ริ ทรงพระ สุบิน 3. ห้ ามนา หน้ าคา ที่เป็ นกริยาราชาศัพท์อยูแล้ ว เช่น ตรัส เสด็จ ประทับ พระราชทาน ่ ทอดพระเนตร โปรด ฯลฯ การใช้ คา ว่า "เสด็จ" - ใช้ นา หน้ าคา กริยาบางคา ให้ เป็ นกริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จไป เสด็จกลับ เสด็จขึ ้น เสด็จลง - นา หน้ าคา นามให้ เป็ นกริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จพระราชดา เนิน เสด็จพระราชสมภพ การใช้ คา ว่า "พระบรม" ใช้ กบสิงสา คัญของพระมหากษัตริย์เท่านัน เช่น พระบรมเดชานุภาพ พระบรมราชสมภพ ั ่ ้ พระบรมราชโองการ พระปรมาภิไธย พระบรมมหาราชวัง พระบรมราชชนนี ฯลฯ
  • 16. การใช้ คา ว่า "อาคันตุกะ" (แขกผู้มาเยือน) แขกของกษัตริย์ให้ ใช้ พระราชอาคันตุกะ เช่น - ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็ นพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูหว ่ ั - พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูหวทรงเป็ นอาคันตุกะของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ่ ั วิธีคิดของมนุษย์มีดงนี ้ ั 1. คิดเชิงวิเคราะห์ คือ การพิจารณาแยกสิงใดสิงหนึงออกเป็ นส่วนๆ และแต่ละส่วนนัน ่ ่ ่ ้ สัมพันธ์กนอย่างไร ั 2. คิดเชิงสังเคราะห์ คือ การคิดรวบรวมส่วนต่างๆ เข้ าด้ วยกันด้ วยวิธีที่เหมาะสมจนเกิด เป็ นสิ่งใหม่ขึ ้นสาหรับจะได้ นา ไปใช้ ประโยชน์ตอไป ่ 3. คิดเชิงประเมินค่า คือ การใช้ ดลพินิจตัดสินคุณค่าของสิงใดสิงหนึงซึงอาจเป็ นวัตถุ ุ ่ ่ ่ ่ ผลงาน การกระทากิจกรรมก็ได้ ว่าสิ่งนันดีเลว มีคณหรื อมีโทษ คุ้มหรื อไม่ค้ ม เป็ นต้ น ้ ุ ุ
  • 17. การอธิบาย การบรรยายและการพรรณนา การอธิบาย คือ การทา ให้ ผ้ อื่นเข้ าใจความจริ งในเรื่ องใดเรื่ องหนึง มี 5 วิธี ู ่ 1. อธิบายตามลา ดับขัน ใช้ อธิบายสิ่งที่เป็ นกระบวนการ หรื อกรรมวิธี เช่น วิธีทา อาหาร ้ 2. ใช้ ตวอย่าง ใช้ อธิบายในสิ่งที่เข้ าใจยาก เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ั 3. เปรี ยบเทียบความเหมือนและต่างกัน ใช้ อธิบายในสิ่งที่แปลกใหม่หรื อสิ่งที่ยงไม่ค้ นเคย ั ุ 4. ชี ้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สมพันธ์กน ใช้ อธิบายเพื่อบอกเหตุผลหรื อสาเหตุ ั ั 5. นิยามหรื อให้ คา จา กัดความ ใช้ อธิบายความหมายของคา ศัพท์หรื อข้ อความ การบรรยาย คือ การเล่าเรื่ องราวให้ ผ้ ฟังหรื อผู้อานได้ ร้ ูว่าใคร ทา อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เพื่ออะไร ู อาจเป็ น เรื่ องจริ งเช่น ประวัติของบุคคล หรื อเรื่ องสมมติก็ได้ เช่น นิทาน นิยาย เป็ นต้ น การพรรณนา คือ การให้ รายละเอียดสิ่งใดสิ่งหนึงจะมีชีวิตหรื อไม่ก็ได้ โดยมุ่งให้ ผ้ อ่านหรื อผู้ฟังนึกเห็น ่ ู ภาพเกิดจินตนาการตามที่ผ้ สงสารต้ องการ มักใช้ คา อุปมาเปรี ยบเทียบมีคา ว่า ดุจ ดัง เหมือน ราว ู่ กับ ฯลฯทัง้ 3 อย่างนี ้อาจใช้ รวมกันได้ เช่น ในบทความหรื อนิทานเรื่ องหนึงอาจมีทงการอธิบาย ่ ั้ บรรยายและพรรณนาคละกันได้