SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  19
Télécharger pour lire hors ligne
ธาตุธรรม ๓ ฝาย
                         ประสบการณในการปฏิบัติภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย
                              จากบันทึกของพระครูวินยธร (ชัว โอภาโส)1
                                                   ั      ้

                                                การที่พระหมผามวนขวามวนซายนี้ เปนของลึกลับอยู ขาพเจา
                                       เที่ยวสืบถามดูนักตอนักแลว วาขางไหนถูก ขางไหนผิดกันแน ไมมีใคร
                                       บอกไดเลย กระทั่งเปรียญเกาประโยค เปนแตบอกวาใหทําเหมือนๆ กัน
                                       ขาพเจาก็นึกวา แบบหลับตาคลําทางกันอยางนี้จะไปไดเรื่องราวอะไรกัน
                                       จนเขาไปเรียนวิปสสนากับหลวงพอวัดปากน้ํา ภาษีเจริญ ที่จังหวัดธนบุรี
                                       อยูหลายปกวาจะรูเรื่อง ออกมาบานนอก แลวก็เขาไปในกรุง แตเขาๆ
                                       ออกๆ อยูอยางนี้สิบหกป จึงรูเรื่องวาหมผามวนขวามวนซายเปนอยางไร

                                              คือ มีพระพุทธเจา อยูสามภาคที่ไมถูกกัน เปนขาศึกกันจริงๆ
                                       เขากันไมไดอยางเด็ดขาด เพราะผิดธาตุผิดธรรมกัน พระพุทธเจา
                                       สามภาคนี้ ขาวภาคหนึง ดําภาคหนึ่ง ไมดําไมขาวภาคหนึง
                                                             ่                             ่

      ภาคขาวนัน คือ กุสลาธัมมา พระพุทธเจาภาคนีพระกายขาวใสเหมือนแกวขาว
              ้                                      ้
เกตุแหลมเปนดอกบัวตูม ใหสุขแกสัตวแตฝายเดียว ไมมใหทุกขเลย
                                                       ี

      อีกภาคหนึง อกุสลาธัมมา พระพุทธเจาภาคนีพระกายดําใสเหมือนแกวดํา หรือ นิล
               ่                                  ้
เกตุแหลมเปนดอกบัวตูม ใหทุกขแกสัตวฝายเดียว ไมมีใหสุขเลยเหมือนกัน
                                       

       อีกภาคหนึง อัพยากตาธัมมา พระพุทธเจาภาคนี้พระกายไมขาวไมดํา ใสเปนสีกลาง ใสเหมือน
                ่
แกวสีตะกัวตัด จะวาขาวก็อมดํา จะวาดําก็อมขาว เกตุแหลมเปนดอกบัวตูมเหมือนกัน ใหไมสขไมทุกข
          ่                                                                          ุ
แกสัตว

     ตนธาตุตนธรรม2 สําหรับตนธาตุตนธรรมของภาคขาวสายของพระสมณโคดม มีฤทธิ์มากกวา
ภาคขาว ตองคอยชวยภาคขาวอยูเหมือนกัน ใหสุขแกสตวเหมือนภาคขาว ภาคนีพระกายสีเหลือง
                                                ั                    ้



1
   เปนศิษยใกลชิดพระเดชพระคุณ หลวงพอวัดปากน้ํา (พระมงคลเทพมุน) ตามประวัติวาทานเปนพระสุปฏิปนโนองคหนึ่ง ซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ
                                                                                      
                                                                           ี
ดวย ในระหวางที่ยังมีชีวิตอยู ทานไดเปนกําลังสําคัญในการเผยแพรธรรมปฏิบตตามแนววิชชาธรรมกาย
                                                                             ัิ
2
  ตนธาตุตนธรรมนี้มีทงสามภาค ซึ่งตางก็คอยสอดสอดละเอียดชวยภาคของตัวในการปกครองธาตุธรรมของสัตวใหเปนไปตามปฎกของตัว
                         ั้
และตางก็ประมูลฤทธิ์เพื่อแยงกันปกครองธาตุธรรมอยูตลอดเวลา
2

เหมือนแกวสีเหลือง หมผาคาดรัดประคด หรือบางทีหมบังเฉวียง คือหมจีบพาดบาเอาชายขางหนึ่งขึน
                                                                                           ้
เหน็บชนบาซาย

       มีพระรัศมีทั้งหกประการดวยกันทั้งนั้น พระรัศมีตนธาตุตนธรรมกับของภาคขาวนิมตานวลตา
                                                                                 ่
เหมือนกัน แตพระรัศมีภาคดํานันบาดตาเคืองตา พระรัศมีภาคกลางไมบาดตาเคืองตา ไมนิ่มตานวลตา
                             ้
แลวก็เขากันไมได

      พระพุทธเจาขาว กลาง ดํา สามภาค นี้คอยประมูลฤทธิ์กนอยูเสมอ แยงกันปกครอง
                                                            ั
ธาตุธรรม ภาคขาวก็คอยจะสอดสุขใหแกสัตวโลก ภาคกลางกับภาคดําคอยกีดกันไว ภาคดําก็คอยจะ
สอดทุกขใหแกสัตวโลก ภาคขาวกับภาคกลางก็คอยกันไว ถาภาคกลางจะสอดไมสุขไมทุกขใหแกสตวโลก
                                                                                       ั
ภาคขาวกับภาคดําก็คอยกันไวเหมือนกัน ไมใหความสะดวกแกกนได ไมงั้นเสียอํานาจกัน
                                                        ั

     ภาคขาวเห็นวาทําดี ใหสุขแกสัตวจงจะถูก ภาคดําเห็นวาทําชัว ใหทุกขแกสัตวจึงจะถูก
                                           ึ                    ่
ภาคกลางเห็นวาทําไมดีไมชว ใหไมสุขไมทกขแกสัตวจึงจะถูก
                          ั่             ุ

                   สวนนี้ เปนตอนที่ พระครูวินัยธร (ชัว) ไดกลาวถึงลักษณะของการครองผาจีวรของ
                                                       ้
           พระพุทธเจา และตนธาตุตนธรรมทัง ๓ ภาค คือ ทังภาคขาว ภาคกลาง และภาคดํา วาครองผา
                                               ้              ้
           จีวรตางกันอยางไร ตามทีทานเห็นดวยตาพระธรรมกาย และรูดวยญาณของพระธรรมกายของ
                                      ่
           ทาน นอกจากนี้เรื่องการครองผาจีวรนี้ยงมีกลาวไวในสวนอืนๆ อีก แตมิไดนํามาลงพิมพไว ทั้งนี้
                                                    ั                   ่
           ก็เพื่อใหทานผูปฏิบัติธรรมที่ไดถึงธรรมกายแลวตรวจดูใหรูเห็น ดวยตนเอง - มงคลบุตร
                      

        แตพระพุทธเจาทานก็ยงแยงกัน แลวมนุษยลวนแตมีธาตุธรรมปนเปนอยูทงนันทําไมจะไมแยงกัน
                                 ั                                         ั้ ้
เขากันไมไดเหมือนเชือกสามเกลียวบิดขวาเสียเกลียวหนึง บิดซายเสียเกลียวหนึง ไมบิดอีกเกลียวหนึง
                                                    ่                     ่                   ่
ฟนเขาก็ไมกนเกลียวกัน เพราะบิดคนละทาง แลวตางก็เอาพระไตรปฎกบังคับ กาย วาจา ใจของสัตว
              ิ
เอาพระวินยปฎกก็วนัยปฎกดวยกัน บังคับกายสัตวไวสําหรับทํา เอาพระสุตตันตปฎกก็สุตตันตปฎก
            ั       ิ
ดวยกัน บังคับวาจาสัตวไวสาหรับพูด เอาพระปรมัตถปฎกก็ปรมัตถปฎกดวยกัน บังคับใจสัตวไวสําหรับ
                           ํ
คิด แลวก็คอยแยงกันสอดญาณเขาไปในไสญาณสุดละเอียดของตัว3 บังคับสัตวเอาตามอํานาจ
พระไตรปฎกของตัว ถาภาคขาวสอดเขาไสญาณสุดละเอียดของตัวได ก็บังคับ กาย วาจา ใจ ของสัตว
จะทําจะพูดจะคิด ก็ลวนแตดเปนบุญเปนกุศลไปทั้งนั้น ถาภาคดําสอดเขาไปในไสญาณสุดละเอียดของ
                               ี
ตัวได ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว จะทําจะพูดจะคิด ก็ลวนแตชวเปนบาปอกุศลไปทั้งนั้น ถาภาคกลาง
                                                              ั่
สอดเขาไปในไสญาณสุดละเอียดของตัวได ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว จะทําจะพูดจะคิด ก็เปนแต
กลางๆ ไมบุญไมบาปไปทั้งนัน  ้

3
    ไส คือ ใจกลางของธาตุธรรม หรือญาณ
3

      สุดแทแตวาภาคใดเขาในไสญาณสุดละเอียดได ภาคอื่นก็เขาไมได เปรียบเสมือนตอไมที่นั่งได
คนเดียว ถาขึ้นนั่งไดเสียคนหนึ่งแลว คนอื่นก็ขึ้นไปนั่งไมได แลวก็แยงกันปกครองธาตุธรรมตลอด
หมด ทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต ไมมที่วางดินฟาอากาศ ลวนแตอยูในปกครองของสามภาคนี้เทานั้น
                                   ี
ภาคขาวคอยเปด ภาคดําคอยปด ภาคกลางไมเปดไมปด      

                         คอยเปด เห็น จํา คิด รู ของสัตว ใหเห็นวานิพพานมี
        ภาคขาว

                         คอยปด เห็น จํา คิด รู ของสัตว ใหเห็นวานิพพานสูญ
        ภาคดํา

                         ก็ใหสัตวเห็นวานิพพานไมมไมสูญ
                                                    ี
        ภาคกลาง

       หนทางของภาคขาวลวนแตดีเปนสุขทั้งนั้น ก็เปดใหสัตวเห็นจะไดสรางแตความดี ไปแตในทางสุข
หนทางของภาคดํา ลวนแตชั่วเปนทุกขทั้งนั้น ก็ตองปด ไมใหสัตวเห็น จะไดสรางแตความชั่ว ไปแตในทาง
ทุกข สวนภาคกลาง ไมดี ไมชั่ว ก็ไมปดไมเปดใหสัตวเห็น จะไดทาไมดีไมชั่ว ไปในทางไมสุขไมทุกข ทัง
                                                                  ํ                                     ้
สามทางนี้ตรงกันขามทุกอยาง จึงลงรอยกันไมไดเสียเลย ที่โลกเดือดรอนอยูวนนี้ เดียวสุข เดี๋ยวทุกข เดี๋ยว
                                                                                ั    ๋
ไมสุขไมทุกข ก็เพราะฤทธิ์สามภาคนี้แหละ ประมูลฤทธิไมแพกน แยงกันปกครองธาตุธรรม ปกครองกัน
                                                         ์     ั
ตลอดทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต ไมผิดอะไรกันกับมนุษยแลสัตว ทีแยงเขตแยงแดนกันปกครอง แต
                                                                    ่
พระพุทธเจาปกครองขั้นละเอียด เทวดา มนุษย สัตว ปกครองกันแตทหยาบ แตก็อยูในปกครองของ
                                                                      ี่
พระพุทธเจาทังสามภาคนี้ทงนัน
               ้            ั้ ้

                                   ถาประเทศใด บานใด เมืองใด หมูใด ตําบลใด ภาคขาวปกครองได
                                                                       
                            มากกวาภาคอื่น ก็บังคับ เห็น จํา คิด รู ของมนุษยและสัตวในที่นนใหทาแต
                                                                                             ั้      ํ
                            ความดีกนทังนั้น เปนตนวา ไมฆาสัตว ไมลักทรัพย ไมทําผิดกาเม ไมโกหก ไม
                                     ั้
                            กินเหลา ทําแตความดีกนทังนัน เมตตากรุณาแกกัน ใหความสุขแกกน ไม
                                                   ั้้                                             ั
                            เบียดเบียนกัน ใหแตความสุขสบายแกกนทั้งนั้น ภาคขาวก็เก็บเหตุทมนุษยแล
                                                                     ั                          ี่
สัตวทําดีนั้นไวแลวก็สงผลลงมาให ก็ลวนแตดท้งนัน เปนตนวาใหฟาฝนตกตองตามฤดูกาล ขาวปลา
                                               ีั ้                      
อาหารก็ใหบริบรณ ไมฝดเคือง ผูคนพลเมืองก็ลวนแตสุขสบาย เมื่อตายแลวก็สงผลใหไปเกิดในสุขสมบัติ
                   ู                                                             
เปนเทวบุตรเทวธิดาอินทรพรหมบรมจักรพรรดิตรา ถาจุติจากนั้นมา ถาจะเกิดเปนมนุษยก็สงผลใหเปนคน
บริสุทธิ์ชั้นสูง เชน นายกรัฐมนตรี เศรษฐี ทาวพระยามหากษัตริย ถาเกิดเปนพอคา ชาวนา ก็เปนคนที่มี
ทรัพยสนสมบัติศฤงคาร บริวาร ลวนแตเปนสุขสบายทั้งนั้น
         ิ
4

                                 ถาประเทศใด บานใด เมืองใด หมูใด ตําบลใด ถูกภาคดําปกครองได
                                                                     
                         มากกวาภาคอื่น ก็บงคับ เห็น จํา คิด รู ของมนุษยแลสัตวในทีนนใหทาแตความ
                                               ั                                         ่ ั้   ํ
                         ชั่วทุกอยางทั้งนั้น เปนตนวาฆาสัตว ลักทรัพย ทําผิด กาเม โกหก กินเหลา ให
                         เกลียดชังกัน ใหอิจฉาริษยา เบียดเบียนกัน ฉก ลัก ปลน สะดม ชกตอย เตะตี
                         รบราฆาฟนกัน ทําแตทุกขใหกนทังนัน ภาคดําก็เก็บเหตุชั่วๆ ทีมนุษยและสัตว
                                                          ั้้                             ่
                         ทําไว แลวก็สงลงมาเปนผลชั่วทังนัน เปนตนวาใหฟาฝนแหงแลง ขาวยาก
                                                          ้้                   
หมากแพง อดอยาก ลําบาก เจ็บไข ลมตาย เมื่อตายแลวก็เอาไปลงโทษในนรก ๔๕๖ ขุม ทนทุกขเวทนา
แสนสาหัส รองไหครวญครางไมมีขาดเสียงมีแตทุกขลวนๆ พนจากนันใหเปนเปรต อดอยากขาวน้ําอยูเ ปน
                                                                      ้
นิจ แลวใหมาเปนอสุรกาย แลใหมาเปนสัตวเดรัจฉาน ถาใหมาเกิดเปนมนุษยก็ใหเปนคนเลวทรามต่ําชา
ยากจนอนาถาไรทรัพย อับปญญา ใจบาปหยาบชา เอาดีไมได ลวนแตทกขทั้งนัน ุ        ้

                               ถาประเทศใด บานใด เมืองใด หมูใด ตําบลใด ภาคกลางแยงเขาปกครอง
                                                                 
                         ไดมากกวาภาคอื่น ก็บงคับ เห็น จํา คิด รู ของมนุษยและสัตวในที่นน ใหทาแต
                                                  ั                                         ั้     ํ
                         กลางๆ ไมดีไมชั่ว ที่ไมเปนบุญเปนบาป ภาคกลางก็เก็บเหตุที่ไมดีไมชว ที่มนุษย
                                                                                               ั่
                         และสัตวทําไวนั้นแลวก็สงผลลงมาใหเปนแตกลางๆ ไมดีไมชั่ว

                                  แตวา ทานผูใดไดอานหรือไดฟงหนังสือเรื่องนี้แลวก็อยาเพิงเชื่อกอน
                                                                                                ่
เพราะไมใชโฆษณาชวนเชื่อหรอก ขาพเจาก็ไมอยากใหทานเชื่อขาพเจาเหมือนกัน ใหทานเชื่อตัวของทาน
                                                                                           
เองดีกวา ทานตองทําใหมี ใหเปน ใหเห็นขึ้นเองแลว นันแหละจึงคอยเชื่อ
                                                        ่

        ถาทานจะทําใหมี ใหเปน ใหเห็นนั้น ตองทําตามสติปฏฐานทังสี่ ดังที่ขาพเจาจะบอกตอไปดังนี้
                                                                   ้
แตวา อยาเอาคาถาบาลีมาใสดวยเลย เพราะขาพเจาไมไดเรียนพระปริยัติเรื่องอรรถแปลแกไขแลวขาพเจา
โงจริงๆ ตังแตบวชก็เรียนทําแตภาวนาทางวิปสสนาเทานัน อาจารยทานสอนแตทางภาวนา จึงไมรทาง
           ้                                             ้                                      ู
พระปริยัติ พูดกันแตภาษาไทยลวนๆ ดีกวา ฟงก็งายดวย
                                                   

       ถาผูใดจะทําทางวิปสสนา ใหตั้งกายใหตรง ทําสติไวเฉพาะหนา ไมใหเผลอ เทาขวาทับ
            
เทาซาย มือขวาทับมือซาย อยาใหเกยกันมาก แตพอหัวแมมือซายกับนิ้วชี้ขวาจรดกัน แลวหลับตาภาวนา
วา “สัมมาอะระหัง” หลับตาแลวมันมีกลเม็ดอยูอยางหนึ่ง คือ เหลือบตาขึ้นขางบนเหมือนอยางไปขาง
หลัง กลับมองลงไปในกลางตัว ตามหลอดลมหายใจ เพราะมันเปนรูกลวงลงไปตั้งแตเพดานจนถึงสะดือ
สุดลมหายใจที่อยูเพียงสะดือตรงนั้น เรียกวา “ที่สิบ” เหนือสะดือขึนมาสองนิ้วมือ เรียกวา “ที่ศูนย”
                                                                        ้
เปนที่ตงสติ เอา เห็น จํา คิด รู ทั้งสีนี้ลงไปหยุดนิงอยูที่นน เพราะที่ตรงนันมีดวงธรรมประจําอยูทกคน
        ั้                              ่            ่  ั่                 ้                  ุ
ธรรมดวงนี้สาหรับทําใหเกิดเปนกายมนุษย ใสบริสทธิเ์ ทาฟองไขแดงจากไก สวางเหมือนแสงไฟ ใหลงไป
              ํ                                       ุ
นิ่งนึกอยู แตตรงนันอยาไปทางไหน ดินถลมฟาทลาย คอขาดบาดตายก็อยาตกใจ ใหนงแนนอยูเหนือ
                    ้                                                                   ิ่
5

สะดือสองนิวมือนั้นใหได ซายขวาหนาหลัง ไมไป ลางบน ไมไป นิ่งอยูกึ่งกลางกาย ขางใน ขางนอก
            ้
อยาออกไป ถาออกขางนอก ถึงธรรมเกิดขึ้น สวางได ก็เปนวิปสสนูปกิเลส ไมใชวิปสสนา    
วิปสสนูปกิเลสนี้ เปนของภาคดํา ไมใชของภาคขาว

          เมื่อกายสงบดีแลว หรือเกิดตัวเบาขึ้น นันเปนกายานุปสสนาสติปฏฐาน เมื่อเกิดความสุขกายขึ้น
                                                 ่           
เปนเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ถาเกิดแสงสวางขึ้นที่เหนือสะดือสองนิ้วมือ จะเล็กหรือจะใหญกตาม
                                                                                            ็
ประมาณสักเทาดวงดาวหรือไขแดงของไก เปนอุคคหนิมิตขึ้นอยางนันแลว รักษาไว นี่เรียกวา
                                                                  ้
“ปฐมมรรค” ถาใสอยางกระจกสองหนาอยางนันหละเปน ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ถาขยายเปน
                                                    ้
ปฏิภาคออกไปใหญเทาดวงจันทรดวงอาทิตยได ก็จะเห็นกายในกายผุดขึ้นในกลางดวงนั้นเหมือนอยาง
กายมนุษยเราไมผิดเพี้ยน เรียกวา กายมนุษยละเอียด (ในกลางกายมนุษยละเอียด มีกายทิพย) กายนี้
สําหรับไปเกิดมาเกิด กายนีถาหลุดจากกายมนุษยหยาบ (กายเนื้อ) เมื่อไร ก็ตายเมือนั้น แตตองพูดถึงกาย
                              ้                                                  ่
นี้ใหรเรื่องกันเสียกอน เพราะเปนกายไปเกิดมาเกิด เปนกายสมุทัย กายนี้เมื่อมาเกิดเขาครรภบิดามารดา
        ู
นั้น สูงถึงแปดศอก มาเขาครรภบิดากอน ถาจะเปนหญิงก็เขาทางชองจมูกซาย ถาจะเปนชายก็เขาทาง
ชองจมูกขวา เขาไปอยูเหนือศูนยสะดือสองนิวมือของบิดากอน แลวมารดาจึงตั้งครรภขึ้นทีหลัง ตั้งครรภ
                                               ้
ดวยกันทังสองคนจึงรักบุตรดวยกันทังคู บิดามารดารวมประเวณีกนเขา ถายังไมตกสูญก็ยงไมเกิด ถาตก
             ้                         ้                        ั                       ั
สูญเมื่อไรก็เกิดเมื่อนั้น

          ที่เรียกวาตกสูญนั้นคือ บิดามารดาทั้งสองสนุกเพลิดเพลินนั้น มันนิงแนน ดึงดูดเหมือนเหล็กตาปู
                                                                           ่
ตอก เพลิดเพลินจนตากลับดวยกันทังสองขาง นั่นแหละมันตกสูญหละ คือ อายตนะในมดลูกของมารดา
                                       ้
มันดึงดูดเอากายแปดศอกออกจากชองจมูกของบิดา เขาไปในชองจมูกของมารดา เขาไปติดอยูใน
แองมดลูก แลวก็นาเลี้ยงหัวใจของบิดามารดา ขางพอนิดหนึงขางแมนิดหนึ่งประสมกันเขาประมาณเทา
                      ้ํ                                    ่
เมล็ดโพธิ์เมล็ดไทร แลวกายแปดศอกนั้นก็เขาไปอยูในนั้นได เหมือนอยางพระพุทธเจาเขาไปเดินจงกรมใน
เมล็ดพันธุผักกาดได กายพระพุทธเจาก็ไมเล็กลงไป เมล็ดพันธุผัดกาดก็ไมใหญขึ้น วิธีนนทีเดียว หรืออีก
                                                                                       ั้
นัยหนึง เชนกระจกวงเดือนเล็กเทาแวนตา สองภูเขาใหญๆ เขาไปอยูในนันได ภูเขาก็ไมเล็กลงไป กระจกก็
        ่                                                                ้
ไมใหญขึ้น แตอยูในกระจกนันได วิธีเดียวกับที่เรามาเกิดในครรภบิดามารดา เมื่อสายเลือดของบิดา
                                 ้
มารดาขนแข็งเปนกอนเขา ก็แตกออกเปนปญจสาขา หาแหงเปนกายมนุษยขึ้น เปนศีรษะ เปนมือทั้งสอง
เทาทั้งสอง กายสัมภเวสีทมาเกิดนั้นก็เล็งลงเทากายมนุษย ตาตรงกัน หูตรงกัน จมูก ปาก แขนขา ตรงกัน
                              ี่
หมด เชื่อมติดเปนกายเดียวกันกับกายมนุษย (กายเนื้อ) แลวก็เจริญใหญขึ้นมาจนคลอดออกจากครรภ
มารดา อยางนี้เรียกวา กายมาเกิด

        วิธีไปเกิด เมื่อเวลาใกลจะตายนัน ธาตุธรรมก็ดึงดูดเอากายมนุษยกับกายมนุษยละเอียด (ซึ่งมีกาย
                                       ้
ทิพยซอนอยู) ใหหลุดจากกัน คนไขกายมนุษยก็บิดตัว สะดุง หรือสยิวหนา พอกายหลุดจากกัน กายทิพย
                                                                  ้
ก็ตกสูญอยูที่เหนือสะดือสองนิวมือของกายมนุษยเทาไขแดงของไก แลวเกิดขึ้นเปนกายสูงแปดศอกเดิน
                                ้
6

ออกทางชองจมูกเทียวหาที่เกิดตอไป ทิ้งกายมนุษยไวใหเนาไป ถาผูใดเขาถึงธรรมกายแลวจะเห็นได
                     ่
อยางชัดเจน ผูที่ไมรูเรื่องก็เดาเอาวาวิญญาณไปเกิด วิญญาณอยางเดียวไปเกิดไมได ตองไปเกิดทั้งกาย
จึงจะได เพราะกายเราทุกกายทีซอนกันอยูนน กายหนึงๆ ตองมีหวใจสําหรับจํา ในหัวใจตองมีดวงจิตเทา
                                    ่        ั้       ่         ั
ดวงตาดํา ลอยอยูในน้ําเลียงหัวใจสําหรับคิด วิญญาณซอนอยูในดวงจิตเทาแววตาดําหรือหัวไมขีดไฟ
                               ้
สําหรับรู เหมือนกันหมดทุกอาย เมื่อรูเรื่องกายซอนกันแลว ก็ฟงงายเขา เมื่อรูเรื่องกายทิพยนี้แลวก็จะได
ดําเนินตอไป

        กายในกายนับ ตังแตกายมนุษยหยาบหรือกายเนือ ก็มีกายมนุษยละเอียด กายทิพยหยาบ
                       ้                               ้
กายทิพยละเอียด ซึ่งเปนกายที่สนับจากกายมนุษย ถึงกายนี้แลวก็จะสามารถทํากัมมัฏฐานได ๓๐ ที่ตั้ง
                               ี่
ตั้งแตกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ และอนุสสติ ๑๐ ตาของกายนี้ (นับแตตาของกายมนุษยละเอียดเปนตนไป)
เปนทิพยจักษุ4 สามารถเห็นสวรรค นรก เปรต อสุรกาย แลวเอากายทิพยนี้แหละไปนรก สวรรค เปรต
อสุรกาย ไดทกแหง ไปพูดจาปราศรัยกันกับพวกเหลานันได ถามถึงบุรพกรรมทุกขสขกันไดทั้งนัน แตวา
              ุ                                      ้                           ุ          ้
ยังไมเห็นพรหมโลกเพราะละเอียดกวาสวรรคมาก ดวงธรรมในกายทิพยนี้เรียกวา ทุติยมรรค พอขยาย
ออกเปนปฏิภาคใหญเทาดวงจันทรดวงอาทิตยก็จะเห็นกายที่ ๕ ขึ้นอีก ผุดขึ้นที่กลางดวงทุตยมรรค
                                                                                         ิ
เรียกวา กายรูปพรหมหยาบ และในกลางกายรูปพรหมหยาบก็มกายรูปพรหมละเอียด เปนกายที่ ๖ กายนี้
                                                              ี
สวยงามประดับประดาอาภรณยิ่งกวาเทวดา (กายทิพย) กายนี้ทากัมมัฏฐานได ๔ ทีตั้ง คือรูปฌาน ๔
                                                                ํ                  ่
ดวงตาของกายนี้เปนปญญาจักษุ สามารถเห็นพรหมโลกทัง ๑๖ ชั้น แลวเอากายนี้ไปพรหมโลก
                                                         ้
ทั้ง ๑๖ ชันได ไปไตถามทุกขสขกับรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นได แตวายังไมเห็นอรูปพรหม ๔ ชั้น เพราะละเอียด
          ้                  ุ
กวารูปพรหมมาก

       ตองเอา เห็น จํา คิด รู เขาไปหยุดนิ่งอยูเ หนือสะดือสองนิ้วมือในกลางกายรูปพรหมที่ ๖ นี้อก
                                                                                                 ี
ดวงธรรมในกายนีเ้ รียกวา ตติยมรรค พอขยายเปนปฏิภาคใหญออกไปเทาดวงจันทรดวงอาทิตย ก็จะเห็น
กายอรูปพรหมหยาบ ในกลางกายอรูปพรหมหยาบก็จะเห็นกายอรูปพรหมละเอียดเปนกายที่ ๘
กายรูปพรหมนี้สวยงามยิงขึ้นไปอีก กายนีทํากัมมัฏฐานได ๖ ที่ตั้ง คือ อรูปฌาน ๔ และ อาหาเรปฏิกูล-
                         ่                ้
สัญญา กับจตุธาตุววัตถานะ รวมเปน ๔๐ กัมมัฏฐานดวยกัน ดวงตาของกายนี้เปนสมันตจักษุ สามารถ
เห็น อรูปพรหม ๔ ชัน แลวเอากายนี้ไปอรูปพรหม ๔ ชันได ไปไตถามทุกขสุขกันได แตยังไมเห็นนิพพาน
                   ้                                     ้

      ตองเขาไปนิ่งอยูเหนือศูนยสะดือสองนิวมือ ในกลางกายอรูปพรหมละเอียดซึงเปนกายที่ ๘ นี้อีก
                                            ้                              ่
ดวงธรรมในกายนีเ้ รียกวา จตุตถมรรค พอขยายเปนปฏิภาคใหญเทาดวงจันทรดวงอาทิตย ก็จะเห็นกาย
อีกกายหนึ่งเปนกายที่ ๙ กายนี้เรียกวา “ธรรมกาย” เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเหมือนดอกบัวตูม
สวยงาม ใสเหมือนแกว ดวงตาของกายนีเ้ รียกวา พุทธจักษุ เห็นนิพพาน แลวเอากายนี้แหละไปนิพพานได


4
    เห็นหยาบละเอียดเขาไปเปนลําดับของกาย
7

พระพุทธเจาอยูที่ไหนก็เห็นหมด ทังขาว กลาง ดํา ไปพบปะเห็นทังนั้น เรื่องหมผามวนขวา มวนซายจะไปรู
                                     ้                          ้
เรื่องไดหมด ถาทานผูใดทําไดถึงพระธรรมกายนี้แลวจึงคอยเชื่อ หรือจะไมเชื่อก็ตามใจทานเถอะ เพราะ
คนเรามีอยูสามพวก ขาวพวกหนึ่ง ดําพวกหนึ่ง กลางพวกหนึง ถาพวกขาวก็เชื่อ ถาพวกดําก็ไม
                                                                 ่
เชื่อ ถาพวกกลางก็เฉยๆ ถาอยากจะรูวาเปนพวกขาว กลาง หรือดํา ก็สงเกตดูเอา ถาซื่อตรง
                                                                       ั
นักปราชญ ฉลาดใจบุญ ก็ใหรวาเปนเครื่องหมายของภาคขาว ถาคดโกง เกงกาจ ฉลาดใจพาล
                                  ู
ก็ใหรวาเปนเครื่องหมายของภาคดํา ถาไมตรง ไมโกง นั่นก็เปนเครื่องหมายของภาคกลาง
       ู

        ธรรมกาย นี้กมีหยาบละเอียดกวากันเขาไปตามลําดับ กายธรรมกายแรกซึงเปนกายที่ ๙ นัน
                    ็                                                   ่              ้
เรียกวา ธรรมกายโคตรภูหยาบ ในธรรมกายโคตรภูหยาบก็มีธรรมกายโคตรภูละเอียด ในกายโคตรภู
ละเอียดก็มกายพระโสดาปตติมรรค ในกายพระโสดาปตติมรรคก็มกายพระโสดาปตติผล ในกาย
            ี                                               ี
พระโสดาปตติผลก็มีกายพระสกิทาคามิมรรค ในกายพระสกิทาคามิมรรคก็มีกายพระสกิทาคามิผล
ในกายพระสกิทาคามิผลก็มกายพระอนาคามิมรรค ในกายพระอนาคามิมรรคก็มกายพระอนาคามิผล
                          ี                                           ี
ในกายพระอนาคามิผลก็มีกายพระอรหัตมรรค ในกายพระอรหัตมรรคก็มกายพระอรหัตผล เปน ๑๘ กาย
                                                                ี
ดวยกัน

       กายตังแตกายมนุษย กายทิพย กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทังหยาบทั้งละเอียดหมดทัง ๘ กายนี้
             ้                                                      ้                       ้
เปนกาย ปญจขันธ เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไมใชตัวตน บุคคล เราเขา ไมใชตัวเรา ไมใชของเรา แตกาย
ทั้ง ๑๐ นับตั้งแตกายธรรมโคตรภูขึ้นไปจนถึงธรรมกายพระโสดา ธรรมกายพระสกิทาคา ธรรมกายพระ
อนาคา ธรรมกายพระอรหัต ทังหยาบทั้งละเอียด นี้เปนกายธรรมขันธ เปนนิจจัง เปนสุขัง เปนอัตตา นิจจัง
                              ้
เปนของเที่ยง สุขังเปนสุข อัตตาเปนตัวของเรา เปนกายของเราแทไมยกเยื้องแปรผัน กายปญจขันธเปน
                                                                  ั
กายโลกีย กายธรรมขันธเปนกายโลกุตตระ กายปญจขันธสําหรับทําภูมิสมถะ คือ กัมมัฏฐาน ๔๐ กาย
โลกุตตระสําหรับทําภูมิวิปสสนาไมมท่สิ้นสุด
                                    ีี

สมถกัมมัฏฐาน ๔๐
       แตนี้ตอไปจะกลาวถึงกัมมัฏฐาน ๔๐ กอน ซึ่งจะใชแตเฉพาะกายโลกียทั้ง ๘ คือ กายมนุษย
                                                                           
กายมนุษยละเอียด กายทิพย กายทิพยละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม
กายอรูปพรหมละเอียด ถาจะทํากัมมัฏฐาน ๔๐ ตองสับกายซอนกายเสียกอนจึงจะทําไดคลองแคลว คือ
ใหถอยกลับออกมาจากกายที่ ๘ ออกมากายที่ ๗ แลวก็ออกมากายที่ ๖ แลวก็ออกมากายที่ ๕ ....แลวก็
ออกมากายที่ ๑ แลวกลับเขากายที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ....ถึงกายที่ ๘ แลวก็กลับออกมาจากกายที่ ๘ ....ออกมา
กายที่ ๑ ใหฝกสับกายซอนกายอยางนี้สก ๗ เที่ยว หรือใหมากกวา ๗ เที่ยวก็ได ใหเปนวสี และก็ใหกาย
                                      ั
มันใสนันเอง ใหใสเปนแกวทุกกาย
        ่
8

        เมื่อ กาย ใสดีแลว ใหเขาตั้งกสิณในดวงทุตยมรรคของกายทิพย พอดวงทุติยมรรคใสและใหญเทา
                                                  ิ
ดวงจันทรดวงอาทิตย นึกบริกรรมวา ปฐวีกสิณัง ดินก็เกิดขึ้นในดวงนันเปนปฐวีกสิณ ใสเหมือนแกว
                                                                    ้
พอจิตละเอียดนิ่งแนนเลยดินลงไป น้าก็ผุดขึ้นเปนอาโปกสิณในกลางดวงดินนัน ดินก็เพิกหายไป เมื่อจิต
                                       ํ                                     ้
ละเอียดเลยน้าลงไป ลมก็ผดขึ้นเปนวาโยกสิณในกลางดวงอาโปกสิณนั้น อาโปกสิณก็เพิกหายไป ผุดขึ้น
               ํ             ุ
แลวก็เพิกหายไปเปนลําดับ คือ ที่ ๔ ก็เตโชกสิณ ที่ ๕ ก็นิลกสิณ (สีเขียว) ที่ ๖ ปตกสิณ (สีเหลือง)
ที่ ๗ โลหิตกสิณ (สีแดง) ที่ ๘ โอทาตกสิณ (สีขาว) ที่ ๙ อาโลกกสิณ (แสงสวาง) ที่ ๑๐ อากาสกสิณ
(วางเปลา) พอจิตละเอียดเลยกสิณลงไปหนักเขา กสิณก็เพิกหายไป ทีนี้อสุภะ ๑๐ ก็เกิดขึ้น

         คือกายเรานันเองเกิดขึ้นเปนศพ ที่ ๑ เปนศพที่ขนพอง ที่ ๒ เปนศพที่ขึ้นสีเขียว ที่ ๓ เปนศพที่ขึ้น
                    ้                                  ึ้
อืดเต็มที่มีนาหนองไหล ที่ ๔ เปนศพที่ขาดปริ ที่ ๕ เปนศพที่ฝูงสัตวกัดกิน ที่ ๖ เปนศพที่หลุดจากกัน
             ้ํ
ที่ ๗ เปนศพทีขาดหลุดกระจัดกระจาย ที่ ๘ เปนศพทีเ่ ต็มไปดวยเลือด ที่ ๙ เปนศพที่เต็มไปดวยหมู
                ่
หนอน ที่ ๑๐ เปนศพที่เหลือแตรางกระดูก เมื่อจิตละเอียดนิ่งแนนเลยอสุภะลงไป อสุภะก็เพิกหายไป
อนุสสติ ๑๐ ก็เกิดขึ้น

         พอจิตละเอียดเขา ถึงพุทธานุสสติ คุณพระพุทธเจาก็เกิดขึ้น พอจิตเขาถึงธัมมานุสสติ
คุณพระธรรมก็เกิดขึ้น พอจิตเขาถึงสังฆานุสสติ คุณพระสงฆก็เกิดขึ้น แลวก็เกิดขึ้นตามลําดับไป ที่ ๔
ระลึกถึงคุณของศีล คุณศีลก็เกิดขึ้น ที่ ๕ ระลึกถึงคุณทาน คุณทานก็เกิดขึ้น ที่ ๖ ระลึกถึงคุณทีทาใหเกิด
                                                                                             ่ํ
เปนเทวดา คุณที่ทาใหเปนเทวดาก็เกิดขึ้น ที่ ๗ ระลึกถึงกาย คุณที่ทําใหระลึกถึงกายก็เกิดขึ้น ที่ ๘
                    ํ
ระลึกถึงลมหายใจเขาออก คุณที่ทําใหระลึกถึงลมหายใจเขาออกก็เกิดขึ้น ที่ ๙ ระลึกถึงความตาย
คุณที่ทําใหระลึกถึงความตายก็เกิดขึ้น ที่ ๑๐ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน คุณที่ทาใหระลึกถึงความดับทุกข
                                                                            ํ
ก็เกิดขึ้น กายทิพยนทําได ๓๐ ที่ตั้งดังนีแล
                      ี้               ่้

      พอจิตละเอียดนิงแนนเลยอนุสสติ ๑๐ ลงไป เขาถึงเมตตาพรหมวิหาร พอจิตคิดรักใครในสัตวทั่วไป
                     ่
(ปรารถนาจะใหสตวทั่วไปมีความสุข) ปฐมฌานก็เกิดขึนในกลางกายทิพย พรอมกับรูปพรหมนั่งอยูบน
              ั                                 ้
ดวงฌาน ประกอบดวย วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตารมณ ดวงฌานนันกวางสองวาหนาหนึ่งคืบ
                                                           ้
กลมเหมือนดวงจันทร ใสเหมือนกระจกสองหนา

        พอจิตนิ่งแนนละเอียดหนักเขาถึงกรุณา พรหมวิหาร อยากจะใหสัตวพนทุกข ทุติยฌานดวงที่ ๒
                                                                      
ก็ผดขึ้นในกลางดวงปฐมฌาน ปฐมฌานก็เพิกหายไป วิตก วิจาร ก็หายไปดวย เหลืออยูแตปติ สุข
   ุ
เอกัคคตารมณ พอจิตละเอียดนิ่งแนน หนักเขาไป ถึงมุทิตาพรหมวิหาร ความพลอยดีใจเมื่อผูอ่นไดดี
                                                                                      ื
ตติยฌานก็ผดขึ้นในกลางดวงทุติยฌาน ทุตยฌานก็เพิกหายไป ปติก็ละหายไปดวย
             ุ                            ิ
9

      พอจิตละเอียดนิงแนนเขาไปถึงอุเบกขาพรหมวิหาร ไมดีใจ ไมเสียใจเมื่อผูอื่นไดทุกข จตุตถฌาน
                     ่
ฌานที่ ๔ ก็ผุดขึ้นมากลางดวงฌานที่ ๓ ฌานที่ ๓ ก็เพิกหายไป สุขก็หายติดไปดวย เหลืออยูแต
เอกัคคตารมณกับอุเบกขาที่ผุดขึ้นมากับฌานที่ ๔

       กายรูปพรหมนี้ทาไดอีก ๔ ที่ตั้ง รวมเปน ๓๔ กัมมัฏฐาน พอจิตละเอียดนิงแนนหนักเขา เลย
                       ํ                                                   ่
รูปฌานทัง ๔ เขาไป กายอรูปพรหมก็ผุดขึ้นในดวงตติยมรรคในกลางกายรูปพรหม อรูปพรหมนังอยูบน
          ้                                                                              ่
อากาศ (อากาสานัญจายตนะ) เห็นอากาศมีอยูเต็มวางกวางสองวา หนาหนึงคืบ กลมเหมือนดวงจันทร
                                                                       ่
ถาวัดกลมรอบตัวก็หกวา ถึงรูปฌาน ๔ วัดกลมรอบตัวก็หกวาเหมือนกัน พอจิตละเอียดเลยอากาศหนัก
เขาไป ก็คดวาอากาศนี้ยงหยาบนัก วิญญาณัญจายตนะก็ผุดขึ้นในกลางดวงอากาศ เปนอรูปฌานที่สอง
            ิ            ั
กวางสองวา หนาหนึ่งคืบเหมือนกัน อากาศนันก็เพิกหายไป พอจิตละเอียดนิงแนนหนักเขาเลย
                                             ้                           ่
วิญญาณัญจายตนะเขาไป ก็คิดวาวิญญาณนี้ยงหยาบนัก อากิญจัญญายตนะ คือ ความวางเปลา
                                               ั
ไมมีอะไรที่ละเอียดหนักยิงขึ้นไปอีกก็ผุดขึนในกลาง ดวงวิญญาณัญจายตนะ เปนอรูปฌานที่สาม
                           ่              ้
วิญญาณัญจายตนะก็เพิกหายไป

       ตรงอรูปฌานที่ ๓ นีที่พระพุทธเจาไปติดอยูที่สํานักของอาฬารดาบส ตองไปเรียนตอที่สานักของ
                          ้                                                              ํ
อุทกดาบส อุทกดาบสก็บอกใหทาจิตใหละเอียดใหยงขึน จนไดเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเกิดขึ้นอีก
                                ํ                   ิ่ ้
เปนกัมมัฏฐาน ๓๘ ที่ตง ที่ ๓๙ อาหาเรปฏิกูลสัญญา เห็นอาหารที่เขาบริโภค อาหารนั้นเปนของละเอียด
                       ั้
นัก ซึมซาบอยูในขาวในน้ํา เหมือนเค็มซึมอยูในเกลือ หวานซึมอยูในน้าตาล หลอเลี้ยงรางกายเราอยูทว
                                                                   ํ                               ั่
เบื้องบนถึงปลายผม เบื้องต่าถึงปลายเทา ขาวน้านันก็กลั่นเปนมูตรคูถไป ที่ ๔๐ จตุธาตุววัตถานะ เห็น
                            ํ                  ํ้
ธาตุหลอเลียงอาหารและรางกายเรา เบื้องบนถึงปลายผม เบื้องต่ําถึงปลายเทา ขนเสนหนึ่ง ผมเสนหนึง
           ้                                                                                     ่
ยาวไปแคไหน ธาตุก็รักษาไปตลอดแคนั้น เปน ๔๐ กัมมัฏฐานดวยกัน เรียกวา สมถะภูมิ แตขางในกาย
เราจึงจะเอา ถาเกิดขางนอกเปนทัศนูปกิเลส ใชไมได

        เมื่อพระพุทธเจาทําจบหมดแลว ก็รูชัดวาไมใชหนทางตรัสรู เพราะพระองคยงทําไมถงพระธรรมกาย
                                                                                ั       ึ
เวลานั้นพระองคทําไดเพียงกายมนุษยละเอียด ทิพย รูปพรหม และอรูปพรหมเทานัน ก็รูแนวาไมใชหนทาง
                                                                                  ้
ตรัสรูพระสัมมาสัมโพธิญาณ

       จึงตองเสด็จไปบําเพ็ญโดยลําพังพระองคเองอยูถึงหกป ที่พระองคทาโดยยากลําบากนั้น ก็เพราะ
                                                                    ํ
พระพุทธเจาภาคกลาง และภาคดํานันคอยเปนมารขัดขวางอยู ไมใชแตจะขัดขวางพอดีพอราย
                                      ้
ขัดขวางกันอยางฉกาจฉกรรจ ถาไมมพระพุทธเจาภาคอื่นคอยขัดขวางแลวพระองคก็ทาไดงาย
                                         ี                                      ํ
แลวก็ไมรูเรื่องดวยวามีมารคอยขัดขวาง

      ตอเมื่อไดสําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณแลว จึงรูเรื่องมาร พระองคบําเพ็ญบารมีอยูชานาน ถึงกับ
ตองอดอาหารและกลั้นหายใจ เพราะมารคอยขัดขวางไว แตอาศัยที่พระองคมีความเพียรกลา กับทรง
10

พระปญญา รูจักเปลี่ยนแปลงหนทางปฏิบัติ ภายหลังกลับฉันจังหันใหพระวรกายมีกําลัง จนกระทั่งไดฉัน
ขาวมธุปายาสของนางสุชาดา แลวเอาถาดทองลงลอยในแมนาเนรัญชรา ทรงอธิษฐานทดลองดูพระบารมี
                                                         ้ํ
ของพระองควาจะสําเร็จพระโพธิญาณหรือไม ถาพระองคจะไดสาเร็จแกพระโพธิญาณก็ขอใหถาดทอง
                                                           ํ
ลอยทวนกระแสน้ํานี้ขนไป ถาจะไมสาเร็จแกพระโพธิญาณก็ขอใหถาดทองลอยตามน้ํา พอทรงอธิษฐาน
                     ึ้          ํ
แลวก็ทรงวางถาดทองลงในแมนําเนรัญชรา ถาดทองก็ลอยทวนน้ําขึ้นไปไกลได ๒๐ วาของพระองคแลว
                            ้
จมลง พระองคเห็นประจักษ ก็แนพระทัยวาจะไดตรัสรูพระสัมมาสัมโพธิญาณ

       ครั้นเวลาเย็นไดทรงรับหญาคาแปดกํามือที่พราหมณชื่อ โสตถิยพราหมณ นอมนํามาถวาย แลวเอา
ไปทรงลาดลงที่โคนไมศรีมหาโพธิที่จะตรัสรู ก็ทรงอธิษฐานทดลองดูอกวา ถาจะไดตรัสรูเปนพระพุทธเจา
                                                                  ี
แนแลว ก็ขอใหเกิดเปนบัลลังกแกวขึ้นเหมือนอยางคําอธิษฐาน พอสิ้นคําอธิษฐานแลวก็เกิดเปนบัลลังก
แกวสูง ๑๔ ศอกเหมือนคําอธิษฐาน เมื่อพระองคเห็นประจักษดังนั้นก็หมดความสงสัย ก็เสด็จขึนนัง้่
บัลลังก ตั้งพระทัยวาถึงเลือดเนื้อและดวงใจจะเหือดแหง หรือกระดูกจะกองอยูทนก็ตามเถิด ถาพระ
                                                                            ี่ ี้
โพธิญาณไมบงเกิด เปนไมลุกจากบัลลังกนี้เปนอันขาด ที่พระองคจะปกพระทัยหมายมันปลอยชีวิตลงได
               ั                                                                  ่
ก็เพราะเห็นความอธิษฐานของ พระองคปรากฏขึ้นแนแทวาจะไดตรัสรูแนโดยไมตองสงสัย

      เหตุวา พระองคมนพระทัยแนแลวก็หลับพระเนตร เขากายในกายตั้งแตกายมนุษย กายทิพย
                    ั่
กายรูปพรหม กายอรูปพรหม สับกายซอนกายจนใสเปนแกวดีแลวหมดทุกกาย แลวเขาไปนิงอยูในกลาง
                                                                               ่
ดวงจตุตถมรรคของกลางกายอรูปพรหม

     ตอนเมือ ธรรมกายจะเกิดขึ้นเปนพระพุทธเจาขึนนั้น มารลุกพรึบทีเดียวพรอมกันหมดทังพระยามาร
           ่                                   ้                                   ้
และเสนามาร พระพุทธเจาภาคมารขัดขวางกันอยางฉกาจฉกรรจ

       ตอนนี้เปนตอนสําคัญที่พระอาจารยบางทานตัดออกเสียหมด เพราะทานไมรเรืองกายใน ู ่
กายวามีกันอยางไร ทานก็คิดเอากายมนุษยของพระสิทธัตถราชกุมาร ที่นั่งอยูโคนไมศรีมหาโพธิ
ไมพอกับชางของพระยามารซึ่งสูงตัง ๑๕๐ โยชน ทานก็เลยตัดเรื่องมารประจญออกหมด หาวาพระอรรถ
                                 ้
กถาจารยแตกอนยกยองพระพุทธเจาเกินความเปนจริงไป เห็นวาพระพุทธเจาก็คนอยางเรา ไมมอภินิหาร
                                                                                        ี
วิเศษอะไร ทานก็คิดเปนปุคคลาธิษฐานธัมมาธิษฐานอะไรของทานไป หาวาลูกสาวพระยามาร ๓ คนนั้น
เปนจิตของพระองคคิดขึ้นตางหาก เมื่อนางตัณหาเขามาประเลาประโลมนั้น หาวาเปนจิตของพระองคที่
คิดอยากจะกลับเขาไปครอบบานครองเมือง เมื่อนางราคาเขามาประเลาประโลมนั้น ก็หาวาจิตของ
พระองคหวนคิดถึงพิมพา ราหุล เมื่อนางอรตีเขามาประเลาประโลมนั้น ก็หาวาจิตของพระองคคด     ิ
อยากจะเปนอยางนันอยางนี้ เมื่อพระองคไดขับไลนางทังสามใหหนีไปแลวก็วาเทากับพระองคเลิกคิด
                   ้                                 ้                  
เมื่อนางทั้งสามกลับไปกันแลว พระยามารก็ยกกองทัพเขามา ก็ (วา) เทากับจิตของพระองคเกิดฟุงซาน
                                                                                             
ดวยนิวรณ ๕ ประการ
11

       ของทาน ก็เขาที นาใหคิดแบบนั้นเหมือนกันสําหรับคนที่ไมรูเรื่องกายในกายก็ตองคิดไป อยางนัน
                                                                                                    ้
เพราะชางคิริเมขลมหาคชสารนั้นสูงถึง ๑๕๐ โยชน และตนโพธิทพระองคนั่งสูงเพียง ๑๒๐ ศอก เปนเสน
                                                                  ี่
หนึงกับสิบวาเทานั้น จึงไมพอกัน ขาพเจา (พระครูวินัยธร ชั้ว) จึงลองยนสเกลดู ยนโยชนลงเปนเซนติเมตร
    ่
เขียนรูปชางสูง ๑๕๐ เซนติเมตร เฉพาะเล็บชางวัดได ๕ เซนติเมตร แลวชางคิริเมขสูงถึง ๑๕๐ โยชน
ขยายเล็บออกไปได ๕ โยชน เมื่อพระยามารขี่แลวไส (ชาง) เขามาจะชิงบัลลังกนน ถาพระองคแลดวย
                                                                               ั้
มังสะจักษุ (ตากายมนุษย) ของพระองคแลว อยาวาแตเห็นหนาพระยามารหรือหนาชางเลย เพียงแตครึ่ง
เล็บชางก็ยงมองไมเห็นเลย เพราะตากายมนุษยแลเห็นเพียงโยชนเดียวเทานัน เล็บชางตั้ง ๕ โยชน
           ั                                                                ้
แลวเปนของทิพยดวยจะไปแลเห็นไดอยางไร

       ความจริงไมเปนอยางนัน พระองคไมไดแลเห็นดวยตากายมนุษย พระองคเห็นดวยตากาย
                               ้
อรูปพรหม เปนสมันตจักษุ เลยทิพยจักษุ เลยปญญาจักษุ เขาไปจวนถึงพุทธจักษุ เปนอจินไตยอยูแลว
อยาวาแตชางคิริเมขตัวเดียวเลย ถึงจะซอนกันขึ้นไปอีกสักกี่ตัว ก็ยังต่ากวาบัลลังกที่พระองคนงเสียอีก
                                                                       ํ                       ั่
เพราะพระยามารและเสนามารที่เขามาประจญนั้น ลวนแตเปนกายทิพยกนทังนัน พระพุทธเจาปะทะดวย
                                                                           ั้้
กายอรูปพรหม เปนอจินไตยกวา ละเอียดกวา สูงกวา พวกกายทิพยก็สูไมได ถึงพระพุทธเจาภาคดําจะ
ขัดขวางอยางไร พระพุทธเจาภาคขาว (ตนธาตุตนธรรม) ของพระพุทธเจาก็คอยปะทะไวเหมือนกัน
                                                
ของมีตัวจริงทังนัน เชนพระยามาร เสนามาร ลูกสาวพระยามาร ก็ลวนมีตัวตนอยูทงนัน แตเปนกายทิพย
              ้้                                                                   ั้ ้
ตามนุษยเรามองไมเห็น ตองทําใหถึงทิพยจักษุ ปญญาจักษุ หรือสมันตจักษุ จึงจะแลเห็น เพราะ
เปนของละเอียด ยิงกายพระพุทธเจา (ธรรมกาย) ดวยแลว ตองมองดวยพุทธจักษุจงจะเห็น
                    ่                                                                 ึ

        ที่อาจารยบางทานแตงกันขึ้นใหมๆ ประมาณสัก ๔๐ ป มาตังแต พ.ศ. ๒๔๖๐ มานี้ไดตัดอภินิหาร
                                                                    ้
ปาฏิหาริยของพระพุทธเจาออกหมดนั้น เพราะไมรูเรื่องกายในกายนันเอง จึงไดตัดบารมีอภินิหารออกหมด
                                                                      ่
ทําเอาแบบแผนของจริงเลอะเลือนไปไมใชนอย ความจริงทีพระอรรถกถาจารยกลาวไวนั้น ก็ยังไมละเอียด
                                                            ่
เทาความเปนจริงเสียอีก ทานยอๆ ไวเทานัน ถึงขาพเจาผูเขียนนีก็ตองยอไวเหมือนกัน จะเขียนใหละเอียด
                                          ้                      ้
เต็มที่ก็ไมไหว เรื่องของทานละเอียดนัก

        ทีนี้ จะกลาวเมื่อพระยามารพายแพไปแลว กายธรรมกายก็เกิดขึ้นในกลางดวงจตุตถมรรค ในกลาง
กายอรูปพรหม (กายที่ ๘) ของพระสิทธัตถะราชกุมาร กายนี้เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเปนดอกบัวตูม
ใสเปนแกว กายนี้เปนกายที่ ๙ ของพระสิทธัตถะราชกุมาร กายนี้แลเปนกายพระพุทธเจา พอเขาถึงกายนี้
เรียกวา โคตรภูญาณ ระลึกชาติหนหลังไดแลว เขากายไปรอยกายพันกาย ก็ระลึกชาติไดรอยชาติพันชาติ
เขาไปไดหมื่นกายแสนกาย ก็ระลึกชาติไดรอยชาติพนชาติ เขาไปไดหมื่นกายแสนกาย ก็ระลึกชาติไดหมื่น
                                                 ั
ชาติแสนชาติ เขาไปจนนับกายไมถวนก็ระลึกชาติไดนับไมถวนเหมือนกัน พระพุทธเจาอยูที่ไหนก็ไปพบปะ
                                                                                
กันหมด ไปพูดจาปราศรัยกันไดหมดทังภาคขาว ภาคกลาง ภาคดํา
                                     ้
12

        เมื่อเขาถึงกายธรรมกายโคตรภูนี้แลว ก็พิจารณาเห็นอริยสัจทัง ๔ เห็นกายมนุษยเปนทุกขดวยเกิด
                                                                    ้                        
แก เจ็บ ตาย เห็นกายทิพยเปนสมุทัย เที่ยวหาที่เกิดไมสิ้นสุด เห็นกายรูปพรหมกับกายอรูปพรหมเปนนิโรธ
เพื่อดับทุกข5 เห็นธรรมกายเปนมรรคเพื่อหลีกออกจากทุกข แลวก็เดินสมาบัติพิจารณาอริยสัจทัง ๔้

       ที่เรียกวา “สมาบัติ” นั้น ก็คือรูปฌาน อรูปฌานนันเอง แตเดินคนละกาย รูปฌาน อรูปฌานนั้น
                                                       ่
เดินดวยกายรูปพรหมและกายอรูปพรหม ซึ่งเปนกายโลกีย จึงเรียกวาฌานโลกีย แตรูปสมาบัติ อรูป-
สมาบัตินน เดินดวยกายธรรมกาย เปนกายโลกุตตระ จึงเรียกวา ฌานโลกุตตระ แลวเอากายธรรมกาย
           ั้
โคตรภูเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เรื่อยไป จนธรรมกายตกสูญแลวเกิดธรรมกายขึนใหมใส
                    ิ                                                              ้
ละเอียดกวาเกา

      ที่เรียกวา “ตกสูญ” นั้น คือเดินสมาบัติหนักเขาจนธรรมกายนันใส แลวดับลงมาเปนดวงกลมใส
                                                                   ้
ขนาดเทาฟองไขแดงของไกอยูที่เหนือสะดือสองนิ้ว มือ อยางนี้เรียกวาตกสูญ แลวก็เกิดขึ้นเปนธรรมกาย
ใสสะอาดดีกวาเกา แลวก็เดินสมาบัติใหตกสูญ แลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงกายพระโสดาปตติมรรค
แลวเอากายพระโสดาปตติมรรคเดินสมาบัติพิจารณาอริยสัจทัง ๔ ใหตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึง
                                                          ้
กายพระโสดาปตติผล เปนพระอริยบุคคลชั้นทีหนึ่ง เห็นอริยสัจทัง ๔ ละเอียดชัดเจนยิงกวาปุถชนหรือ
                                            ่                 ้                    ่        ุ
โคตรภูบุคคล (เปนกิจ ๔)

       แลวเอาธรรมกายพระโสดาปตติผลเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทย นิโรธ มรรค จนตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม
                                                 ิ        ั
จนเขาถึงกายพระสกิทาคามิมรรค แลวเอาธรรมกายพระสกิทาคามิมรรคเดินสมาบัติดูทุกข สมุทัย นิโรธ
มรรค จนตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงกายพระสกิทาคามิผล เปนพระอริยบุคคลชั้นที่สอง เห็นอริยสัจ
ทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิงกวาพระโสดาบัน (รวมเปนกิจ ๘)
                      ่

       แลวเอากายพระ สกิทาคามิผลเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค จนตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม
                                             ิ
จนเขาถึงธรรมกายพระอนาคามิมรรค แลวเอาธรรมกายพระอนาคามิมรรคเดินสมาบัติดู ทุกข สมุทัย นิโรธ
มรรค ตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงธรรมกายพระอนาคามิผล เปนพระอริยบุคคลชั้นที่สาม เห็นอริยสัจ
ทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิงกวาพระสกิทาคามี (รวมเปนกิจ ๑๒)
                      ่

      แลวเอาธรรมกาย พระอนาคามิผลเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญเกิดขึ้นใหม
                                                ิ
จนเขาถึงธรรมกายพระอรหัตมรรค แลวเอาธรรมกายพระอรหัตมรรคเดินสมาบัติดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค
ตกสูญเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงธรรมกายพระอรหัตผล เปนพระอริยบุคคลชั้นที่ส่ี เห็นอริยสัจทั้ง ๔ ละเอียด
ชัดเจนยิงกวาพระอนาคามี (รวมเปนกิจ ๑๖) เรียกวา โสฬสกิจ อยูจบพรหมจรรย ไมตองทํากิจอีกตอไป
        ่


5
    นี้เปนนิโรธ เพือดับเหตุแหงทุกขหยาบ เมื่อเขาถึงธรรมกายแลว จึงเปนนิโรธเพือดับเหตุแหงทุกขละเอียดจริงๆ
                    ่                                                            ่
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส
ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส

Contenu connexe

Tendances

การพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆการพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆSirirat Pongpid
 
เครื่องมือเกษตร
เครื่องมือเกษตรเครื่องมือเกษตร
เครื่องมือเกษตรBenjapron Seesukong
 
การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์
การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์
การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์Tongsamut vorasan
 
การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)
การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)
การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)Dr.Kridsanapong Lertbumroongchai
 
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพการแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพพัน พัน
 
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้สรุปทฤษฎีการเรียนรู้
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้Mod DW
 
ຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍ
ຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍ
ຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍbounnao pathoumma
 
การพูดในสังคม
การพูดในสังคมการพูดในสังคม
การพูดในสังคมWilawun Wisanuvekin
 
คำกลอนสอนศิษย์
คำกลอนสอนศิษย์คำกลอนสอนศิษย์
คำกลอนสอนศิษย์PomPam Comsci
 
ตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าว
ตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าวตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าว
ตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าวNattakorn Sunkdon
 
TAEM10: Pediatric Emergency
TAEM10: Pediatric EmergencyTAEM10: Pediatric Emergency
TAEM10: Pediatric Emergencytaem
 

Tendances (20)

การพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆการพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆ
 
ระดับของภาษา
ระดับของภาษาระดับของภาษา
ระดับของภาษา
 
เครื่องมือเกษตร
เครื่องมือเกษตรเครื่องมือเกษตร
เครื่องมือเกษตร
 
P3.1
P3.1P3.1
P3.1
 
การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์
การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์
การศึกษาเรื่องการกในคัมภีร์โมคคัลลานไวยากรณ์
 
วิชา สัมพันธ์ไทย ๑
วิชา สัมพันธ์ไทย ๑วิชา สัมพันธ์ไทย ๑
วิชา สัมพันธ์ไทย ๑
 
บาลีไวยากรณ์ ๔ สมาส,ตัทธิต
บาลีไวยากรณ์ ๔ สมาส,ตัทธิตบาลีไวยากรณ์ ๔ สมาส,ตัทธิต
บาลีไวยากรณ์ ๔ สมาส,ตัทธิต
 
Script 05 2
Script 05 2Script 05 2
Script 05 2
 
5 step
5 step5 step
5 step
 
การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)
การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)
การวางแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Lesson Planning)
 
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพการแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
 
หลักการสัมพันธ์บทตติยาวิภัตติ
หลักการสัมพันธ์บทตติยาวิภัตติหลักการสัมพันธ์บทตติยาวิภัตติ
หลักการสัมพันธ์บทตติยาวิภัตติ
 
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้สรุปทฤษฎีการเรียนรู้
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้
 
ຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍ
ຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍ
ຫຼັກສູດມັດທະຍົມຕອນປາຍ
 
การพูดในสังคม
การพูดในสังคมการพูดในสังคม
การพูดในสังคม
 
คำกลอนสอนศิษย์
คำกลอนสอนศิษย์คำกลอนสอนศิษย์
คำกลอนสอนศิษย์
 
ปัญหาเฉลย-นักธรรมชั้นเอก (ปี 2549 - 2564).pdf
ปัญหาเฉลย-นักธรรมชั้นเอก (ปี 2549 - 2564).pdfปัญหาเฉลย-นักธรรมชั้นเอก (ปี 2549 - 2564).pdf
ปัญหาเฉลย-นักธรรมชั้นเอก (ปี 2549 - 2564).pdf
 
ตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าว
ตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าวตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าว
ตัวอย่างแผนธุรกิจการทำนมข้าว
 
TAEM10: Pediatric Emergency
TAEM10: Pediatric EmergencyTAEM10: Pediatric Emergency
TAEM10: Pediatric Emergency
 
วิชาบาลีเสริม ๑๑ ชื่อสัมพันธ์
วิชาบาลีเสริม ๑๑ ชื่อสัมพันธ์วิชาบาลีเสริม ๑๑ ชื่อสัมพันธ์
วิชาบาลีเสริม ๑๑ ชื่อสัมพันธ์
 

Plus de Touch Thanaboramat

Beurer february 11,2017 (thai post)
Beurer february 11,2017 (thai post)Beurer february 11,2017 (thai post)
Beurer february 11,2017 (thai post)Touch Thanaboramat
 
คู่มือวิปัสสนาจารย์ วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์
คู่มือวิปัสสนาจารย์	วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์คู่มือวิปัสสนาจารย์	วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์
คู่มือวิปัสสนาจารย์ วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์Touch Thanaboramat
 
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )Touch Thanaboramat
 
บทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติ
บทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติบทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติ
บทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติTouch Thanaboramat
 
Dhammakya Meditation Test English
Dhammakya Meditation Test EnglishDhammakya Meditation Test English
Dhammakya Meditation Test EnglishTouch Thanaboramat
 
ปราบมาร ภาค 4
ปราบมาร ภาค 4ปราบมาร ภาค 4
ปราบมาร ภาค 4Touch Thanaboramat
 
ปราบมาร ภาค 3
ปราบมาร ภาค 3ปราบมาร ภาค 3
ปราบมาร ภาค 3Touch Thanaboramat
 
ปราบมาร ภาค 2
ปราบมาร ภาค 2ปราบมาร ภาค 2
ปราบมาร ภาค 2Touch Thanaboramat
 
ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1
ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1
ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1Touch Thanaboramat
 
ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...
ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...
ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...Touch Thanaboramat
 
คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญคติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญTouch Thanaboramat
 

Plus de Touch Thanaboramat (11)

Beurer february 11,2017 (thai post)
Beurer february 11,2017 (thai post)Beurer february 11,2017 (thai post)
Beurer february 11,2017 (thai post)
 
คู่มือวิปัสสนาจารย์ วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์
คู่มือวิปัสสนาจารย์	วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์คู่มือวิปัสสนาจารย์	วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์
คู่มือวิปัสสนาจารย์ วิธีการและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย คู่มือวิปัสสนาจารย์
 
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ( หลวงพ่อสด )
 
บทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติ
บทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติบทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติ
บทท่องสอบวิทยากร เพื่อออกไปสอนธรรมภาคปฏิบัติ
 
Dhammakya Meditation Test English
Dhammakya Meditation Test EnglishDhammakya Meditation Test English
Dhammakya Meditation Test English
 
ปราบมาร ภาค 4
ปราบมาร ภาค 4ปราบมาร ภาค 4
ปราบมาร ภาค 4
 
ปราบมาร ภาค 3
ปราบมาร ภาค 3ปราบมาร ภาค 3
ปราบมาร ภาค 3
 
ปราบมาร ภาค 2
ปราบมาร ภาค 2ปราบมาร ภาค 2
ปราบมาร ภาค 2
 
ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1
ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1
ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือ ธรรมกาย Update1
 
ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...
ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...
ANYONE WHO ATTAINS DUANG DHARMA (THE SPHERE OF DHARMA), THAT ONE MEETS TATHAG...
 
คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญคติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
 

ธาตุธรรม 3 ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว โอภาโส

  • 1. ธาตุธรรม ๓ ฝาย ประสบการณในการปฏิบัติภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย จากบันทึกของพระครูวินยธร (ชัว โอภาโส)1 ั ้ การที่พระหมผามวนขวามวนซายนี้ เปนของลึกลับอยู ขาพเจา เที่ยวสืบถามดูนักตอนักแลว วาขางไหนถูก ขางไหนผิดกันแน ไมมีใคร บอกไดเลย กระทั่งเปรียญเกาประโยค เปนแตบอกวาใหทําเหมือนๆ กัน ขาพเจาก็นึกวา แบบหลับตาคลําทางกันอยางนี้จะไปไดเรื่องราวอะไรกัน จนเขาไปเรียนวิปสสนากับหลวงพอวัดปากน้ํา ภาษีเจริญ ที่จังหวัดธนบุรี อยูหลายปกวาจะรูเรื่อง ออกมาบานนอก แลวก็เขาไปในกรุง แตเขาๆ ออกๆ อยูอยางนี้สิบหกป จึงรูเรื่องวาหมผามวนขวามวนซายเปนอยางไร คือ มีพระพุทธเจา อยูสามภาคที่ไมถูกกัน เปนขาศึกกันจริงๆ เขากันไมไดอยางเด็ดขาด เพราะผิดธาตุผิดธรรมกัน พระพุทธเจา สามภาคนี้ ขาวภาคหนึง ดําภาคหนึ่ง ไมดําไมขาวภาคหนึง ่ ่ ภาคขาวนัน คือ กุสลาธัมมา พระพุทธเจาภาคนีพระกายขาวใสเหมือนแกวขาว ้ ้ เกตุแหลมเปนดอกบัวตูม ใหสุขแกสัตวแตฝายเดียว ไมมใหทุกขเลย ี อีกภาคหนึง อกุสลาธัมมา พระพุทธเจาภาคนีพระกายดําใสเหมือนแกวดํา หรือ นิล ่ ้ เกตุแหลมเปนดอกบัวตูม ใหทุกขแกสัตวฝายเดียว ไมมีใหสุขเลยเหมือนกัน  อีกภาคหนึง อัพยากตาธัมมา พระพุทธเจาภาคนี้พระกายไมขาวไมดํา ใสเปนสีกลาง ใสเหมือน ่ แกวสีตะกัวตัด จะวาขาวก็อมดํา จะวาดําก็อมขาว เกตุแหลมเปนดอกบัวตูมเหมือนกัน ใหไมสขไมทุกข ่ ุ แกสัตว ตนธาตุตนธรรม2 สําหรับตนธาตุตนธรรมของภาคขาวสายของพระสมณโคดม มีฤทธิ์มากกวา ภาคขาว ตองคอยชวยภาคขาวอยูเหมือนกัน ใหสุขแกสตวเหมือนภาคขาว ภาคนีพระกายสีเหลือง ั ้ 1 เปนศิษยใกลชิดพระเดชพระคุณ หลวงพอวัดปากน้ํา (พระมงคลเทพมุน) ตามประวัติวาทานเปนพระสุปฏิปนโนองคหนึ่ง ซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ  ี ดวย ในระหวางที่ยังมีชีวิตอยู ทานไดเปนกําลังสําคัญในการเผยแพรธรรมปฏิบตตามแนววิชชาธรรมกาย ัิ 2 ตนธาตุตนธรรมนี้มีทงสามภาค ซึ่งตางก็คอยสอดสอดละเอียดชวยภาคของตัวในการปกครองธาตุธรรมของสัตวใหเปนไปตามปฎกของตัว ั้ และตางก็ประมูลฤทธิ์เพื่อแยงกันปกครองธาตุธรรมอยูตลอดเวลา
  • 2. 2 เหมือนแกวสีเหลือง หมผาคาดรัดประคด หรือบางทีหมบังเฉวียง คือหมจีบพาดบาเอาชายขางหนึ่งขึน ้ เหน็บชนบาซาย มีพระรัศมีทั้งหกประการดวยกันทั้งนั้น พระรัศมีตนธาตุตนธรรมกับของภาคขาวนิมตานวลตา ่ เหมือนกัน แตพระรัศมีภาคดํานันบาดตาเคืองตา พระรัศมีภาคกลางไมบาดตาเคืองตา ไมนิ่มตานวลตา ้ แลวก็เขากันไมได พระพุทธเจาขาว กลาง ดํา สามภาค นี้คอยประมูลฤทธิ์กนอยูเสมอ แยงกันปกครอง ั ธาตุธรรม ภาคขาวก็คอยจะสอดสุขใหแกสัตวโลก ภาคกลางกับภาคดําคอยกีดกันไว ภาคดําก็คอยจะ สอดทุกขใหแกสัตวโลก ภาคขาวกับภาคกลางก็คอยกันไว ถาภาคกลางจะสอดไมสุขไมทุกขใหแกสตวโลก ั ภาคขาวกับภาคดําก็คอยกันไวเหมือนกัน ไมใหความสะดวกแกกนได ไมงั้นเสียอํานาจกัน ั ภาคขาวเห็นวาทําดี ใหสุขแกสัตวจงจะถูก ภาคดําเห็นวาทําชัว ใหทุกขแกสัตวจึงจะถูก ึ ่ ภาคกลางเห็นวาทําไมดีไมชว ใหไมสุขไมทกขแกสัตวจึงจะถูก ั่ ุ สวนนี้ เปนตอนที่ พระครูวินัยธร (ชัว) ไดกลาวถึงลักษณะของการครองผาจีวรของ ้ พระพุทธเจา และตนธาตุตนธรรมทัง ๓ ภาค คือ ทังภาคขาว ภาคกลาง และภาคดํา วาครองผา  ้ ้ จีวรตางกันอยางไร ตามทีทานเห็นดวยตาพระธรรมกาย และรูดวยญาณของพระธรรมกายของ ่ ทาน นอกจากนี้เรื่องการครองผาจีวรนี้ยงมีกลาวไวในสวนอืนๆ อีก แตมิไดนํามาลงพิมพไว ทั้งนี้ ั ่ ก็เพื่อใหทานผูปฏิบัติธรรมที่ไดถึงธรรมกายแลวตรวจดูใหรูเห็น ดวยตนเอง - มงคลบุตร  แตพระพุทธเจาทานก็ยงแยงกัน แลวมนุษยลวนแตมีธาตุธรรมปนเปนอยูทงนันทําไมจะไมแยงกัน ั  ั้ ้ เขากันไมไดเหมือนเชือกสามเกลียวบิดขวาเสียเกลียวหนึง บิดซายเสียเกลียวหนึง ไมบิดอีกเกลียวหนึง ่ ่ ่ ฟนเขาก็ไมกนเกลียวกัน เพราะบิดคนละทาง แลวตางก็เอาพระไตรปฎกบังคับ กาย วาจา ใจของสัตว ิ เอาพระวินยปฎกก็วนัยปฎกดวยกัน บังคับกายสัตวไวสําหรับทํา เอาพระสุตตันตปฎกก็สุตตันตปฎก ั ิ ดวยกัน บังคับวาจาสัตวไวสาหรับพูด เอาพระปรมัตถปฎกก็ปรมัตถปฎกดวยกัน บังคับใจสัตวไวสําหรับ ํ คิด แลวก็คอยแยงกันสอดญาณเขาไปในไสญาณสุดละเอียดของตัว3 บังคับสัตวเอาตามอํานาจ พระไตรปฎกของตัว ถาภาคขาวสอดเขาไสญาณสุดละเอียดของตัวได ก็บังคับ กาย วาจา ใจ ของสัตว จะทําจะพูดจะคิด ก็ลวนแตดเปนบุญเปนกุศลไปทั้งนั้น ถาภาคดําสอดเขาไปในไสญาณสุดละเอียดของ ี ตัวได ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว จะทําจะพูดจะคิด ก็ลวนแตชวเปนบาปอกุศลไปทั้งนั้น ถาภาคกลาง ั่ สอดเขาไปในไสญาณสุดละเอียดของตัวได ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว จะทําจะพูดจะคิด ก็เปนแต กลางๆ ไมบุญไมบาปไปทั้งนัน ้ 3 ไส คือ ใจกลางของธาตุธรรม หรือญาณ
  • 3. 3 สุดแทแตวาภาคใดเขาในไสญาณสุดละเอียดได ภาคอื่นก็เขาไมได เปรียบเสมือนตอไมที่นั่งได คนเดียว ถาขึ้นนั่งไดเสียคนหนึ่งแลว คนอื่นก็ขึ้นไปนั่งไมได แลวก็แยงกันปกครองธาตุธรรมตลอด หมด ทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต ไมมที่วางดินฟาอากาศ ลวนแตอยูในปกครองของสามภาคนี้เทานั้น ี ภาคขาวคอยเปด ภาคดําคอยปด ภาคกลางไมเปดไมปด  คอยเปด เห็น จํา คิด รู ของสัตว ใหเห็นวานิพพานมี ภาคขาว คอยปด เห็น จํา คิด รู ของสัตว ใหเห็นวานิพพานสูญ ภาคดํา ก็ใหสัตวเห็นวานิพพานไมมไมสูญ ี ภาคกลาง หนทางของภาคขาวลวนแตดีเปนสุขทั้งนั้น ก็เปดใหสัตวเห็นจะไดสรางแตความดี ไปแตในทางสุข หนทางของภาคดํา ลวนแตชั่วเปนทุกขทั้งนั้น ก็ตองปด ไมใหสัตวเห็น จะไดสรางแตความชั่ว ไปแตในทาง ทุกข สวนภาคกลาง ไมดี ไมชั่ว ก็ไมปดไมเปดใหสัตวเห็น จะไดทาไมดีไมชั่ว ไปในทางไมสุขไมทุกข ทัง ํ ้ สามทางนี้ตรงกันขามทุกอยาง จึงลงรอยกันไมไดเสียเลย ที่โลกเดือดรอนอยูวนนี้ เดียวสุข เดี๋ยวทุกข เดี๋ยว ั ๋ ไมสุขไมทุกข ก็เพราะฤทธิ์สามภาคนี้แหละ ประมูลฤทธิไมแพกน แยงกันปกครองธาตุธรรม ปกครองกัน ์ ั ตลอดทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต ไมผิดอะไรกันกับมนุษยแลสัตว ทีแยงเขตแยงแดนกันปกครอง แต ่ พระพุทธเจาปกครองขั้นละเอียด เทวดา มนุษย สัตว ปกครองกันแตทหยาบ แตก็อยูในปกครองของ ี่ พระพุทธเจาทังสามภาคนี้ทงนัน ้ ั้ ้ ถาประเทศใด บานใด เมืองใด หมูใด ตําบลใด ภาคขาวปกครองได  มากกวาภาคอื่น ก็บังคับ เห็น จํา คิด รู ของมนุษยและสัตวในที่นนใหทาแต ั้ ํ ความดีกนทังนั้น เปนตนวา ไมฆาสัตว ไมลักทรัพย ไมทําผิดกาเม ไมโกหก ไม ั้ กินเหลา ทําแตความดีกนทังนัน เมตตากรุณาแกกัน ใหความสุขแกกน ไม ั้้ ั เบียดเบียนกัน ใหแตความสุขสบายแกกนทั้งนั้น ภาคขาวก็เก็บเหตุทมนุษยแล ั ี่ สัตวทําดีนั้นไวแลวก็สงผลลงมาให ก็ลวนแตดท้งนัน เปนตนวาใหฟาฝนตกตองตามฤดูกาล ขาวปลา ีั ้  อาหารก็ใหบริบรณ ไมฝดเคือง ผูคนพลเมืองก็ลวนแตสุขสบาย เมื่อตายแลวก็สงผลใหไปเกิดในสุขสมบัติ ู  เปนเทวบุตรเทวธิดาอินทรพรหมบรมจักรพรรดิตรา ถาจุติจากนั้นมา ถาจะเกิดเปนมนุษยก็สงผลใหเปนคน บริสุทธิ์ชั้นสูง เชน นายกรัฐมนตรี เศรษฐี ทาวพระยามหากษัตริย ถาเกิดเปนพอคา ชาวนา ก็เปนคนที่มี ทรัพยสนสมบัติศฤงคาร บริวาร ลวนแตเปนสุขสบายทั้งนั้น ิ
  • 4. 4 ถาประเทศใด บานใด เมืองใด หมูใด ตําบลใด ถูกภาคดําปกครองได  มากกวาภาคอื่น ก็บงคับ เห็น จํา คิด รู ของมนุษยแลสัตวในทีนนใหทาแตความ ั ่ ั้ ํ ชั่วทุกอยางทั้งนั้น เปนตนวาฆาสัตว ลักทรัพย ทําผิด กาเม โกหก กินเหลา ให เกลียดชังกัน ใหอิจฉาริษยา เบียดเบียนกัน ฉก ลัก ปลน สะดม ชกตอย เตะตี รบราฆาฟนกัน ทําแตทุกขใหกนทังนัน ภาคดําก็เก็บเหตุชั่วๆ ทีมนุษยและสัตว ั้้ ่ ทําไว แลวก็สงลงมาเปนผลชั่วทังนัน เปนตนวาใหฟาฝนแหงแลง ขาวยาก  ้้  หมากแพง อดอยาก ลําบาก เจ็บไข ลมตาย เมื่อตายแลวก็เอาไปลงโทษในนรก ๔๕๖ ขุม ทนทุกขเวทนา แสนสาหัส รองไหครวญครางไมมีขาดเสียงมีแตทุกขลวนๆ พนจากนันใหเปนเปรต อดอยากขาวน้ําอยูเ ปน  ้ นิจ แลวใหมาเปนอสุรกาย แลใหมาเปนสัตวเดรัจฉาน ถาใหมาเกิดเปนมนุษยก็ใหเปนคนเลวทรามต่ําชา ยากจนอนาถาไรทรัพย อับปญญา ใจบาปหยาบชา เอาดีไมได ลวนแตทกขทั้งนัน ุ ้ ถาประเทศใด บานใด เมืองใด หมูใด ตําบลใด ภาคกลางแยงเขาปกครอง  ไดมากกวาภาคอื่น ก็บงคับ เห็น จํา คิด รู ของมนุษยและสัตวในที่นน ใหทาแต ั ั้ ํ กลางๆ ไมดีไมชั่ว ที่ไมเปนบุญเปนบาป ภาคกลางก็เก็บเหตุที่ไมดีไมชว ที่มนุษย ั่ และสัตวทําไวนั้นแลวก็สงผลลงมาใหเปนแตกลางๆ ไมดีไมชั่ว แตวา ทานผูใดไดอานหรือไดฟงหนังสือเรื่องนี้แลวก็อยาเพิงเชื่อกอน ่ เพราะไมใชโฆษณาชวนเชื่อหรอก ขาพเจาก็ไมอยากใหทานเชื่อขาพเจาเหมือนกัน ใหทานเชื่อตัวของทาน  เองดีกวา ทานตองทําใหมี ใหเปน ใหเห็นขึ้นเองแลว นันแหละจึงคอยเชื่อ ่ ถาทานจะทําใหมี ใหเปน ใหเห็นนั้น ตองทําตามสติปฏฐานทังสี่ ดังที่ขาพเจาจะบอกตอไปดังนี้ ้ แตวา อยาเอาคาถาบาลีมาใสดวยเลย เพราะขาพเจาไมไดเรียนพระปริยัติเรื่องอรรถแปลแกไขแลวขาพเจา โงจริงๆ ตังแตบวชก็เรียนทําแตภาวนาทางวิปสสนาเทานัน อาจารยทานสอนแตทางภาวนา จึงไมรทาง ้ ้  ู พระปริยัติ พูดกันแตภาษาไทยลวนๆ ดีกวา ฟงก็งายดวย  ถาผูใดจะทําทางวิปสสนา ใหตั้งกายใหตรง ทําสติไวเฉพาะหนา ไมใหเผลอ เทาขวาทับ  เทาซาย มือขวาทับมือซาย อยาใหเกยกันมาก แตพอหัวแมมือซายกับนิ้วชี้ขวาจรดกัน แลวหลับตาภาวนา วา “สัมมาอะระหัง” หลับตาแลวมันมีกลเม็ดอยูอยางหนึ่ง คือ เหลือบตาขึ้นขางบนเหมือนอยางไปขาง หลัง กลับมองลงไปในกลางตัว ตามหลอดลมหายใจ เพราะมันเปนรูกลวงลงไปตั้งแตเพดานจนถึงสะดือ สุดลมหายใจที่อยูเพียงสะดือตรงนั้น เรียกวา “ที่สิบ” เหนือสะดือขึนมาสองนิ้วมือ เรียกวา “ที่ศูนย” ้ เปนที่ตงสติ เอา เห็น จํา คิด รู ทั้งสีนี้ลงไปหยุดนิงอยูที่นน เพราะที่ตรงนันมีดวงธรรมประจําอยูทกคน ั้ ่ ่  ั่ ้ ุ ธรรมดวงนี้สาหรับทําใหเกิดเปนกายมนุษย ใสบริสทธิเ์ ทาฟองไขแดงจากไก สวางเหมือนแสงไฟ ใหลงไป ํ ุ นิ่งนึกอยู แตตรงนันอยาไปทางไหน ดินถลมฟาทลาย คอขาดบาดตายก็อยาตกใจ ใหนงแนนอยูเหนือ ้ ิ่
  • 5. 5 สะดือสองนิวมือนั้นใหได ซายขวาหนาหลัง ไมไป ลางบน ไมไป นิ่งอยูกึ่งกลางกาย ขางใน ขางนอก ้ อยาออกไป ถาออกขางนอก ถึงธรรมเกิดขึ้น สวางได ก็เปนวิปสสนูปกิเลส ไมใชวิปสสนา  วิปสสนูปกิเลสนี้ เปนของภาคดํา ไมใชของภาคขาว เมื่อกายสงบดีแลว หรือเกิดตัวเบาขึ้น นันเปนกายานุปสสนาสติปฏฐาน เมื่อเกิดความสุขกายขึ้น ่  เปนเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ถาเกิดแสงสวางขึ้นที่เหนือสะดือสองนิ้วมือ จะเล็กหรือจะใหญกตาม  ็ ประมาณสักเทาดวงดาวหรือไขแดงของไก เปนอุคคหนิมิตขึ้นอยางนันแลว รักษาไว นี่เรียกวา ้ “ปฐมมรรค” ถาใสอยางกระจกสองหนาอยางนันหละเปน ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ถาขยายเปน ้ ปฏิภาคออกไปใหญเทาดวงจันทรดวงอาทิตยได ก็จะเห็นกายในกายผุดขึ้นในกลางดวงนั้นเหมือนอยาง กายมนุษยเราไมผิดเพี้ยน เรียกวา กายมนุษยละเอียด (ในกลางกายมนุษยละเอียด มีกายทิพย) กายนี้ สําหรับไปเกิดมาเกิด กายนีถาหลุดจากกายมนุษยหยาบ (กายเนื้อ) เมื่อไร ก็ตายเมือนั้น แตตองพูดถึงกาย ้ ่ นี้ใหรเรื่องกันเสียกอน เพราะเปนกายไปเกิดมาเกิด เปนกายสมุทัย กายนี้เมื่อมาเกิดเขาครรภบิดามารดา ู นั้น สูงถึงแปดศอก มาเขาครรภบิดากอน ถาจะเปนหญิงก็เขาทางชองจมูกซาย ถาจะเปนชายก็เขาทาง ชองจมูกขวา เขาไปอยูเหนือศูนยสะดือสองนิวมือของบิดากอน แลวมารดาจึงตั้งครรภขึ้นทีหลัง ตั้งครรภ ้ ดวยกันทังสองคนจึงรักบุตรดวยกันทังคู บิดามารดารวมประเวณีกนเขา ถายังไมตกสูญก็ยงไมเกิด ถาตก ้ ้ ั ั สูญเมื่อไรก็เกิดเมื่อนั้น ที่เรียกวาตกสูญนั้นคือ บิดามารดาทั้งสองสนุกเพลิดเพลินนั้น มันนิงแนน ดึงดูดเหมือนเหล็กตาปู ่ ตอก เพลิดเพลินจนตากลับดวยกันทังสองขาง นั่นแหละมันตกสูญหละ คือ อายตนะในมดลูกของมารดา ้ มันดึงดูดเอากายแปดศอกออกจากชองจมูกของบิดา เขาไปในชองจมูกของมารดา เขาไปติดอยูใน แองมดลูก แลวก็นาเลี้ยงหัวใจของบิดามารดา ขางพอนิดหนึงขางแมนิดหนึ่งประสมกันเขาประมาณเทา ้ํ ่ เมล็ดโพธิ์เมล็ดไทร แลวกายแปดศอกนั้นก็เขาไปอยูในนั้นได เหมือนอยางพระพุทธเจาเขาไปเดินจงกรมใน เมล็ดพันธุผักกาดได กายพระพุทธเจาก็ไมเล็กลงไป เมล็ดพันธุผัดกาดก็ไมใหญขึ้น วิธีนนทีเดียว หรืออีก ั้ นัยหนึง เชนกระจกวงเดือนเล็กเทาแวนตา สองภูเขาใหญๆ เขาไปอยูในนันได ภูเขาก็ไมเล็กลงไป กระจกก็ ่ ้ ไมใหญขึ้น แตอยูในกระจกนันได วิธีเดียวกับที่เรามาเกิดในครรภบิดามารดา เมื่อสายเลือดของบิดา ้ มารดาขนแข็งเปนกอนเขา ก็แตกออกเปนปญจสาขา หาแหงเปนกายมนุษยขึ้น เปนศีรษะ เปนมือทั้งสอง เทาทั้งสอง กายสัมภเวสีทมาเกิดนั้นก็เล็งลงเทากายมนุษย ตาตรงกัน หูตรงกัน จมูก ปาก แขนขา ตรงกัน ี่ หมด เชื่อมติดเปนกายเดียวกันกับกายมนุษย (กายเนื้อ) แลวก็เจริญใหญขึ้นมาจนคลอดออกจากครรภ มารดา อยางนี้เรียกวา กายมาเกิด วิธีไปเกิด เมื่อเวลาใกลจะตายนัน ธาตุธรรมก็ดึงดูดเอากายมนุษยกับกายมนุษยละเอียด (ซึ่งมีกาย ้ ทิพยซอนอยู) ใหหลุดจากกัน คนไขกายมนุษยก็บิดตัว สะดุง หรือสยิวหนา พอกายหลุดจากกัน กายทิพย ้ ก็ตกสูญอยูที่เหนือสะดือสองนิวมือของกายมนุษยเทาไขแดงของไก แลวเกิดขึ้นเปนกายสูงแปดศอกเดิน ้
  • 6. 6 ออกทางชองจมูกเทียวหาที่เกิดตอไป ทิ้งกายมนุษยไวใหเนาไป ถาผูใดเขาถึงธรรมกายแลวจะเห็นได ่ อยางชัดเจน ผูที่ไมรูเรื่องก็เดาเอาวาวิญญาณไปเกิด วิญญาณอยางเดียวไปเกิดไมได ตองไปเกิดทั้งกาย จึงจะได เพราะกายเราทุกกายทีซอนกันอยูนน กายหนึงๆ ตองมีหวใจสําหรับจํา ในหัวใจตองมีดวงจิตเทา ่ ั้ ่ ั ดวงตาดํา ลอยอยูในน้ําเลียงหัวใจสําหรับคิด วิญญาณซอนอยูในดวงจิตเทาแววตาดําหรือหัวไมขีดไฟ ้ สําหรับรู เหมือนกันหมดทุกอาย เมื่อรูเรื่องกายซอนกันแลว ก็ฟงงายเขา เมื่อรูเรื่องกายทิพยนี้แลวก็จะได ดําเนินตอไป กายในกายนับ ตังแตกายมนุษยหยาบหรือกายเนือ ก็มีกายมนุษยละเอียด กายทิพยหยาบ ้ ้ กายทิพยละเอียด ซึ่งเปนกายที่สนับจากกายมนุษย ถึงกายนี้แลวก็จะสามารถทํากัมมัฏฐานได ๓๐ ที่ตั้ง ี่ ตั้งแตกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ และอนุสสติ ๑๐ ตาของกายนี้ (นับแตตาของกายมนุษยละเอียดเปนตนไป) เปนทิพยจักษุ4 สามารถเห็นสวรรค นรก เปรต อสุรกาย แลวเอากายทิพยนี้แหละไปนรก สวรรค เปรต อสุรกาย ไดทกแหง ไปพูดจาปราศรัยกันกับพวกเหลานันได ถามถึงบุรพกรรมทุกขสขกันไดทั้งนัน แตวา ุ ้ ุ ้ ยังไมเห็นพรหมโลกเพราะละเอียดกวาสวรรคมาก ดวงธรรมในกายทิพยนี้เรียกวา ทุติยมรรค พอขยาย ออกเปนปฏิภาคใหญเทาดวงจันทรดวงอาทิตยก็จะเห็นกายที่ ๕ ขึ้นอีก ผุดขึ้นที่กลางดวงทุตยมรรค ิ เรียกวา กายรูปพรหมหยาบ และในกลางกายรูปพรหมหยาบก็มกายรูปพรหมละเอียด เปนกายที่ ๖ กายนี้ ี สวยงามประดับประดาอาภรณยิ่งกวาเทวดา (กายทิพย) กายนี้ทากัมมัฏฐานได ๔ ทีตั้ง คือรูปฌาน ๔ ํ ่ ดวงตาของกายนี้เปนปญญาจักษุ สามารถเห็นพรหมโลกทัง ๑๖ ชั้น แลวเอากายนี้ไปพรหมโลก ้ ทั้ง ๑๖ ชันได ไปไตถามทุกขสขกับรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นได แตวายังไมเห็นอรูปพรหม ๔ ชั้น เพราะละเอียด ้ ุ กวารูปพรหมมาก ตองเอา เห็น จํา คิด รู เขาไปหยุดนิ่งอยูเ หนือสะดือสองนิ้วมือในกลางกายรูปพรหมที่ ๖ นี้อก ี ดวงธรรมในกายนีเ้ รียกวา ตติยมรรค พอขยายเปนปฏิภาคใหญออกไปเทาดวงจันทรดวงอาทิตย ก็จะเห็น กายอรูปพรหมหยาบ ในกลางกายอรูปพรหมหยาบก็จะเห็นกายอรูปพรหมละเอียดเปนกายที่ ๘ กายรูปพรหมนี้สวยงามยิงขึ้นไปอีก กายนีทํากัมมัฏฐานได ๖ ที่ตั้ง คือ อรูปฌาน ๔ และ อาหาเรปฏิกูล- ่ ้ สัญญา กับจตุธาตุววัตถานะ รวมเปน ๔๐ กัมมัฏฐานดวยกัน ดวงตาของกายนี้เปนสมันตจักษุ สามารถ เห็น อรูปพรหม ๔ ชัน แลวเอากายนี้ไปอรูปพรหม ๔ ชันได ไปไตถามทุกขสุขกันได แตยังไมเห็นนิพพาน ้ ้ ตองเขาไปนิ่งอยูเหนือศูนยสะดือสองนิวมือ ในกลางกายอรูปพรหมละเอียดซึงเปนกายที่ ๘ นี้อีก ้ ่ ดวงธรรมในกายนีเ้ รียกวา จตุตถมรรค พอขยายเปนปฏิภาคใหญเทาดวงจันทรดวงอาทิตย ก็จะเห็นกาย อีกกายหนึ่งเปนกายที่ ๙ กายนี้เรียกวา “ธรรมกาย” เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเหมือนดอกบัวตูม สวยงาม ใสเหมือนแกว ดวงตาของกายนีเ้ รียกวา พุทธจักษุ เห็นนิพพาน แลวเอากายนี้แหละไปนิพพานได 4 เห็นหยาบละเอียดเขาไปเปนลําดับของกาย
  • 7. 7 พระพุทธเจาอยูที่ไหนก็เห็นหมด ทังขาว กลาง ดํา ไปพบปะเห็นทังนั้น เรื่องหมผามวนขวา มวนซายจะไปรู ้ ้ เรื่องไดหมด ถาทานผูใดทําไดถึงพระธรรมกายนี้แลวจึงคอยเชื่อ หรือจะไมเชื่อก็ตามใจทานเถอะ เพราะ คนเรามีอยูสามพวก ขาวพวกหนึ่ง ดําพวกหนึ่ง กลางพวกหนึง ถาพวกขาวก็เชื่อ ถาพวกดําก็ไม  ่ เชื่อ ถาพวกกลางก็เฉยๆ ถาอยากจะรูวาเปนพวกขาว กลาง หรือดํา ก็สงเกตดูเอา ถาซื่อตรง  ั นักปราชญ ฉลาดใจบุญ ก็ใหรวาเปนเครื่องหมายของภาคขาว ถาคดโกง เกงกาจ ฉลาดใจพาล ู ก็ใหรวาเปนเครื่องหมายของภาคดํา ถาไมตรง ไมโกง นั่นก็เปนเครื่องหมายของภาคกลาง ู ธรรมกาย นี้กมีหยาบละเอียดกวากันเขาไปตามลําดับ กายธรรมกายแรกซึงเปนกายที่ ๙ นัน ็ ่ ้ เรียกวา ธรรมกายโคตรภูหยาบ ในธรรมกายโคตรภูหยาบก็มีธรรมกายโคตรภูละเอียด ในกายโคตรภู ละเอียดก็มกายพระโสดาปตติมรรค ในกายพระโสดาปตติมรรคก็มกายพระโสดาปตติผล ในกาย ี ี พระโสดาปตติผลก็มีกายพระสกิทาคามิมรรค ในกายพระสกิทาคามิมรรคก็มีกายพระสกิทาคามิผล ในกายพระสกิทาคามิผลก็มกายพระอนาคามิมรรค ในกายพระอนาคามิมรรคก็มกายพระอนาคามิผล ี ี ในกายพระอนาคามิผลก็มีกายพระอรหัตมรรค ในกายพระอรหัตมรรคก็มกายพระอรหัตผล เปน ๑๘ กาย ี ดวยกัน กายตังแตกายมนุษย กายทิพย กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทังหยาบทั้งละเอียดหมดทัง ๘ กายนี้ ้ ้ ้ เปนกาย ปญจขันธ เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไมใชตัวตน บุคคล เราเขา ไมใชตัวเรา ไมใชของเรา แตกาย ทั้ง ๑๐ นับตั้งแตกายธรรมโคตรภูขึ้นไปจนถึงธรรมกายพระโสดา ธรรมกายพระสกิทาคา ธรรมกายพระ อนาคา ธรรมกายพระอรหัต ทังหยาบทั้งละเอียด นี้เปนกายธรรมขันธ เปนนิจจัง เปนสุขัง เปนอัตตา นิจจัง ้ เปนของเที่ยง สุขังเปนสุข อัตตาเปนตัวของเรา เปนกายของเราแทไมยกเยื้องแปรผัน กายปญจขันธเปน ั กายโลกีย กายธรรมขันธเปนกายโลกุตตระ กายปญจขันธสําหรับทําภูมิสมถะ คือ กัมมัฏฐาน ๔๐ กาย โลกุตตระสําหรับทําภูมิวิปสสนาไมมท่สิ้นสุด ีี สมถกัมมัฏฐาน ๔๐ แตนี้ตอไปจะกลาวถึงกัมมัฏฐาน ๔๐ กอน ซึ่งจะใชแตเฉพาะกายโลกียทั้ง ๘ คือ กายมนุษย  กายมนุษยละเอียด กายทิพย กายทิพยละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด ถาจะทํากัมมัฏฐาน ๔๐ ตองสับกายซอนกายเสียกอนจึงจะทําไดคลองแคลว คือ ใหถอยกลับออกมาจากกายที่ ๘ ออกมากายที่ ๗ แลวก็ออกมากายที่ ๖ แลวก็ออกมากายที่ ๕ ....แลวก็ ออกมากายที่ ๑ แลวกลับเขากายที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ....ถึงกายที่ ๘ แลวก็กลับออกมาจากกายที่ ๘ ....ออกมา กายที่ ๑ ใหฝกสับกายซอนกายอยางนี้สก ๗ เที่ยว หรือใหมากกวา ๗ เที่ยวก็ได ใหเปนวสี และก็ใหกาย ั มันใสนันเอง ใหใสเปนแกวทุกกาย ่
  • 8. 8 เมื่อ กาย ใสดีแลว ใหเขาตั้งกสิณในดวงทุตยมรรคของกายทิพย พอดวงทุติยมรรคใสและใหญเทา ิ ดวงจันทรดวงอาทิตย นึกบริกรรมวา ปฐวีกสิณัง ดินก็เกิดขึ้นในดวงนันเปนปฐวีกสิณ ใสเหมือนแกว ้ พอจิตละเอียดนิ่งแนนเลยดินลงไป น้าก็ผุดขึ้นเปนอาโปกสิณในกลางดวงดินนัน ดินก็เพิกหายไป เมื่อจิต ํ ้ ละเอียดเลยน้าลงไป ลมก็ผดขึ้นเปนวาโยกสิณในกลางดวงอาโปกสิณนั้น อาโปกสิณก็เพิกหายไป ผุดขึ้น ํ ุ แลวก็เพิกหายไปเปนลําดับ คือ ที่ ๔ ก็เตโชกสิณ ที่ ๕ ก็นิลกสิณ (สีเขียว) ที่ ๖ ปตกสิณ (สีเหลือง) ที่ ๗ โลหิตกสิณ (สีแดง) ที่ ๘ โอทาตกสิณ (สีขาว) ที่ ๙ อาโลกกสิณ (แสงสวาง) ที่ ๑๐ อากาสกสิณ (วางเปลา) พอจิตละเอียดเลยกสิณลงไปหนักเขา กสิณก็เพิกหายไป ทีนี้อสุภะ ๑๐ ก็เกิดขึ้น คือกายเรานันเองเกิดขึ้นเปนศพ ที่ ๑ เปนศพที่ขนพอง ที่ ๒ เปนศพที่ขึ้นสีเขียว ที่ ๓ เปนศพที่ขึ้น ้ ึ้ อืดเต็มที่มีนาหนองไหล ที่ ๔ เปนศพที่ขาดปริ ที่ ๕ เปนศพที่ฝูงสัตวกัดกิน ที่ ๖ เปนศพที่หลุดจากกัน ้ํ ที่ ๗ เปนศพทีขาดหลุดกระจัดกระจาย ที่ ๘ เปนศพทีเ่ ต็มไปดวยเลือด ที่ ๙ เปนศพที่เต็มไปดวยหมู ่ หนอน ที่ ๑๐ เปนศพที่เหลือแตรางกระดูก เมื่อจิตละเอียดนิ่งแนนเลยอสุภะลงไป อสุภะก็เพิกหายไป อนุสสติ ๑๐ ก็เกิดขึ้น พอจิตละเอียดเขา ถึงพุทธานุสสติ คุณพระพุทธเจาก็เกิดขึ้น พอจิตเขาถึงธัมมานุสสติ คุณพระธรรมก็เกิดขึ้น พอจิตเขาถึงสังฆานุสสติ คุณพระสงฆก็เกิดขึ้น แลวก็เกิดขึ้นตามลําดับไป ที่ ๔ ระลึกถึงคุณของศีล คุณศีลก็เกิดขึ้น ที่ ๕ ระลึกถึงคุณทาน คุณทานก็เกิดขึ้น ที่ ๖ ระลึกถึงคุณทีทาใหเกิด ่ํ เปนเทวดา คุณที่ทาใหเปนเทวดาก็เกิดขึ้น ที่ ๗ ระลึกถึงกาย คุณที่ทําใหระลึกถึงกายก็เกิดขึ้น ที่ ๘ ํ ระลึกถึงลมหายใจเขาออก คุณที่ทําใหระลึกถึงลมหายใจเขาออกก็เกิดขึ้น ที่ ๙ ระลึกถึงความตาย คุณที่ทําใหระลึกถึงความตายก็เกิดขึ้น ที่ ๑๐ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน คุณที่ทาใหระลึกถึงความดับทุกข ํ ก็เกิดขึ้น กายทิพยนทําได ๓๐ ที่ตั้งดังนีแล ี้ ่้ พอจิตละเอียดนิงแนนเลยอนุสสติ ๑๐ ลงไป เขาถึงเมตตาพรหมวิหาร พอจิตคิดรักใครในสัตวทั่วไป ่ (ปรารถนาจะใหสตวทั่วไปมีความสุข) ปฐมฌานก็เกิดขึนในกลางกายทิพย พรอมกับรูปพรหมนั่งอยูบน ั ้ ดวงฌาน ประกอบดวย วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตารมณ ดวงฌานนันกวางสองวาหนาหนึ่งคืบ ้ กลมเหมือนดวงจันทร ใสเหมือนกระจกสองหนา พอจิตนิ่งแนนละเอียดหนักเขาถึงกรุณา พรหมวิหาร อยากจะใหสัตวพนทุกข ทุติยฌานดวงที่ ๒  ก็ผดขึ้นในกลางดวงปฐมฌาน ปฐมฌานก็เพิกหายไป วิตก วิจาร ก็หายไปดวย เหลืออยูแตปติ สุข ุ เอกัคคตารมณ พอจิตละเอียดนิ่งแนน หนักเขาไป ถึงมุทิตาพรหมวิหาร ความพลอยดีใจเมื่อผูอ่นไดดี ื ตติยฌานก็ผดขึ้นในกลางดวงทุติยฌาน ทุตยฌานก็เพิกหายไป ปติก็ละหายไปดวย ุ ิ
  • 9. 9 พอจิตละเอียดนิงแนนเขาไปถึงอุเบกขาพรหมวิหาร ไมดีใจ ไมเสียใจเมื่อผูอื่นไดทุกข จตุตถฌาน ่ ฌานที่ ๔ ก็ผุดขึ้นมากลางดวงฌานที่ ๓ ฌานที่ ๓ ก็เพิกหายไป สุขก็หายติดไปดวย เหลืออยูแต เอกัคคตารมณกับอุเบกขาที่ผุดขึ้นมากับฌานที่ ๔ กายรูปพรหมนี้ทาไดอีก ๔ ที่ตั้ง รวมเปน ๓๔ กัมมัฏฐาน พอจิตละเอียดนิงแนนหนักเขา เลย ํ ่ รูปฌานทัง ๔ เขาไป กายอรูปพรหมก็ผุดขึ้นในดวงตติยมรรคในกลางกายรูปพรหม อรูปพรหมนังอยูบน ้ ่ อากาศ (อากาสานัญจายตนะ) เห็นอากาศมีอยูเต็มวางกวางสองวา หนาหนึงคืบ กลมเหมือนดวงจันทร ่ ถาวัดกลมรอบตัวก็หกวา ถึงรูปฌาน ๔ วัดกลมรอบตัวก็หกวาเหมือนกัน พอจิตละเอียดเลยอากาศหนัก เขาไป ก็คดวาอากาศนี้ยงหยาบนัก วิญญาณัญจายตนะก็ผุดขึ้นในกลางดวงอากาศ เปนอรูปฌานที่สอง ิ ั กวางสองวา หนาหนึ่งคืบเหมือนกัน อากาศนันก็เพิกหายไป พอจิตละเอียดนิงแนนหนักเขาเลย ้ ่ วิญญาณัญจายตนะเขาไป ก็คิดวาวิญญาณนี้ยงหยาบนัก อากิญจัญญายตนะ คือ ความวางเปลา ั ไมมีอะไรที่ละเอียดหนักยิงขึ้นไปอีกก็ผุดขึนในกลาง ดวงวิญญาณัญจายตนะ เปนอรูปฌานที่สาม ่ ้ วิญญาณัญจายตนะก็เพิกหายไป ตรงอรูปฌานที่ ๓ นีที่พระพุทธเจาไปติดอยูที่สํานักของอาฬารดาบส ตองไปเรียนตอที่สานักของ ้ ํ อุทกดาบส อุทกดาบสก็บอกใหทาจิตใหละเอียดใหยงขึน จนไดเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเกิดขึ้นอีก ํ ิ่ ้ เปนกัมมัฏฐาน ๓๘ ที่ตง ที่ ๓๙ อาหาเรปฏิกูลสัญญา เห็นอาหารที่เขาบริโภค อาหารนั้นเปนของละเอียด ั้ นัก ซึมซาบอยูในขาวในน้ํา เหมือนเค็มซึมอยูในเกลือ หวานซึมอยูในน้าตาล หลอเลี้ยงรางกายเราอยูทว ํ ั่ เบื้องบนถึงปลายผม เบื้องต่าถึงปลายเทา ขาวน้านันก็กลั่นเปนมูตรคูถไป ที่ ๔๐ จตุธาตุววัตถานะ เห็น ํ ํ้ ธาตุหลอเลียงอาหารและรางกายเรา เบื้องบนถึงปลายผม เบื้องต่ําถึงปลายเทา ขนเสนหนึ่ง ผมเสนหนึง ้ ่ ยาวไปแคไหน ธาตุก็รักษาไปตลอดแคนั้น เปน ๔๐ กัมมัฏฐานดวยกัน เรียกวา สมถะภูมิ แตขางในกาย เราจึงจะเอา ถาเกิดขางนอกเปนทัศนูปกิเลส ใชไมได เมื่อพระพุทธเจาทําจบหมดแลว ก็รูชัดวาไมใชหนทางตรัสรู เพราะพระองคยงทําไมถงพระธรรมกาย ั ึ เวลานั้นพระองคทําไดเพียงกายมนุษยละเอียด ทิพย รูปพรหม และอรูปพรหมเทานัน ก็รูแนวาไมใชหนทาง ้ ตรัสรูพระสัมมาสัมโพธิญาณ จึงตองเสด็จไปบําเพ็ญโดยลําพังพระองคเองอยูถึงหกป ที่พระองคทาโดยยากลําบากนั้น ก็เพราะ  ํ พระพุทธเจาภาคกลาง และภาคดํานันคอยเปนมารขัดขวางอยู ไมใชแตจะขัดขวางพอดีพอราย ้ ขัดขวางกันอยางฉกาจฉกรรจ ถาไมมพระพุทธเจาภาคอื่นคอยขัดขวางแลวพระองคก็ทาไดงาย ี ํ แลวก็ไมรูเรื่องดวยวามีมารคอยขัดขวาง ตอเมื่อไดสําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณแลว จึงรูเรื่องมาร พระองคบําเพ็ญบารมีอยูชานาน ถึงกับ ตองอดอาหารและกลั้นหายใจ เพราะมารคอยขัดขวางไว แตอาศัยที่พระองคมีความเพียรกลา กับทรง
  • 10. 10 พระปญญา รูจักเปลี่ยนแปลงหนทางปฏิบัติ ภายหลังกลับฉันจังหันใหพระวรกายมีกําลัง จนกระทั่งไดฉัน ขาวมธุปายาสของนางสุชาดา แลวเอาถาดทองลงลอยในแมนาเนรัญชรา ทรงอธิษฐานทดลองดูพระบารมี ้ํ ของพระองควาจะสําเร็จพระโพธิญาณหรือไม ถาพระองคจะไดสาเร็จแกพระโพธิญาณก็ขอใหถาดทอง  ํ ลอยทวนกระแสน้ํานี้ขนไป ถาจะไมสาเร็จแกพระโพธิญาณก็ขอใหถาดทองลอยตามน้ํา พอทรงอธิษฐาน ึ้ ํ แลวก็ทรงวางถาดทองลงในแมนําเนรัญชรา ถาดทองก็ลอยทวนน้ําขึ้นไปไกลได ๒๐ วาของพระองคแลว ้ จมลง พระองคเห็นประจักษ ก็แนพระทัยวาจะไดตรัสรูพระสัมมาสัมโพธิญาณ ครั้นเวลาเย็นไดทรงรับหญาคาแปดกํามือที่พราหมณชื่อ โสตถิยพราหมณ นอมนํามาถวาย แลวเอา ไปทรงลาดลงที่โคนไมศรีมหาโพธิที่จะตรัสรู ก็ทรงอธิษฐานทดลองดูอกวา ถาจะไดตรัสรูเปนพระพุทธเจา ี แนแลว ก็ขอใหเกิดเปนบัลลังกแกวขึ้นเหมือนอยางคําอธิษฐาน พอสิ้นคําอธิษฐานแลวก็เกิดเปนบัลลังก แกวสูง ๑๔ ศอกเหมือนคําอธิษฐาน เมื่อพระองคเห็นประจักษดังนั้นก็หมดความสงสัย ก็เสด็จขึนนัง้่ บัลลังก ตั้งพระทัยวาถึงเลือดเนื้อและดวงใจจะเหือดแหง หรือกระดูกจะกองอยูทนก็ตามเถิด ถาพระ ี่ ี้ โพธิญาณไมบงเกิด เปนไมลุกจากบัลลังกนี้เปนอันขาด ที่พระองคจะปกพระทัยหมายมันปลอยชีวิตลงได ั ่ ก็เพราะเห็นความอธิษฐานของ พระองคปรากฏขึ้นแนแทวาจะไดตรัสรูแนโดยไมตองสงสัย เหตุวา พระองคมนพระทัยแนแลวก็หลับพระเนตร เขากายในกายตั้งแตกายมนุษย กายทิพย  ั่ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม สับกายซอนกายจนใสเปนแกวดีแลวหมดทุกกาย แลวเขาไปนิงอยูในกลาง ่ ดวงจตุตถมรรคของกลางกายอรูปพรหม ตอนเมือ ธรรมกายจะเกิดขึ้นเปนพระพุทธเจาขึนนั้น มารลุกพรึบทีเดียวพรอมกันหมดทังพระยามาร ่ ้ ้ และเสนามาร พระพุทธเจาภาคมารขัดขวางกันอยางฉกาจฉกรรจ ตอนนี้เปนตอนสําคัญที่พระอาจารยบางทานตัดออกเสียหมด เพราะทานไมรเรืองกายใน ู ่ กายวามีกันอยางไร ทานก็คิดเอากายมนุษยของพระสิทธัตถราชกุมาร ที่นั่งอยูโคนไมศรีมหาโพธิ ไมพอกับชางของพระยามารซึ่งสูงตัง ๑๕๐ โยชน ทานก็เลยตัดเรื่องมารประจญออกหมด หาวาพระอรรถ ้ กถาจารยแตกอนยกยองพระพุทธเจาเกินความเปนจริงไป เห็นวาพระพุทธเจาก็คนอยางเรา ไมมอภินิหาร  ี วิเศษอะไร ทานก็คิดเปนปุคคลาธิษฐานธัมมาธิษฐานอะไรของทานไป หาวาลูกสาวพระยามาร ๓ คนนั้น เปนจิตของพระองคคิดขึ้นตางหาก เมื่อนางตัณหาเขามาประเลาประโลมนั้น หาวาเปนจิตของพระองคที่ คิดอยากจะกลับเขาไปครอบบานครองเมือง เมื่อนางราคาเขามาประเลาประโลมนั้น ก็หาวาจิตของ พระองคหวนคิดถึงพิมพา ราหุล เมื่อนางอรตีเขามาประเลาประโลมนั้น ก็หาวาจิตของพระองคคด ิ อยากจะเปนอยางนันอยางนี้ เมื่อพระองคไดขับไลนางทังสามใหหนีไปแลวก็วาเทากับพระองคเลิกคิด ้ ้  เมื่อนางทั้งสามกลับไปกันแลว พระยามารก็ยกกองทัพเขามา ก็ (วา) เทากับจิตของพระองคเกิดฟุงซาน  ดวยนิวรณ ๕ ประการ
  • 11. 11 ของทาน ก็เขาที นาใหคิดแบบนั้นเหมือนกันสําหรับคนที่ไมรูเรื่องกายในกายก็ตองคิดไป อยางนัน ้ เพราะชางคิริเมขลมหาคชสารนั้นสูงถึง ๑๕๐ โยชน และตนโพธิทพระองคนั่งสูงเพียง ๑๒๐ ศอก เปนเสน ี่ หนึงกับสิบวาเทานั้น จึงไมพอกัน ขาพเจา (พระครูวินัยธร ชั้ว) จึงลองยนสเกลดู ยนโยชนลงเปนเซนติเมตร ่ เขียนรูปชางสูง ๑๕๐ เซนติเมตร เฉพาะเล็บชางวัดได ๕ เซนติเมตร แลวชางคิริเมขสูงถึง ๑๕๐ โยชน ขยายเล็บออกไปได ๕ โยชน เมื่อพระยามารขี่แลวไส (ชาง) เขามาจะชิงบัลลังกนน ถาพระองคแลดวย ั้ มังสะจักษุ (ตากายมนุษย) ของพระองคแลว อยาวาแตเห็นหนาพระยามารหรือหนาชางเลย เพียงแตครึ่ง เล็บชางก็ยงมองไมเห็นเลย เพราะตากายมนุษยแลเห็นเพียงโยชนเดียวเทานัน เล็บชางตั้ง ๕ โยชน ั ้ แลวเปนของทิพยดวยจะไปแลเห็นไดอยางไร ความจริงไมเปนอยางนัน พระองคไมไดแลเห็นดวยตากายมนุษย พระองคเห็นดวยตากาย ้ อรูปพรหม เปนสมันตจักษุ เลยทิพยจักษุ เลยปญญาจักษุ เขาไปจวนถึงพุทธจักษุ เปนอจินไตยอยูแลว อยาวาแตชางคิริเมขตัวเดียวเลย ถึงจะซอนกันขึ้นไปอีกสักกี่ตัว ก็ยังต่ากวาบัลลังกที่พระองคนงเสียอีก ํ ั่ เพราะพระยามารและเสนามารที่เขามาประจญนั้น ลวนแตเปนกายทิพยกนทังนัน พระพุทธเจาปะทะดวย ั้้ กายอรูปพรหม เปนอจินไตยกวา ละเอียดกวา สูงกวา พวกกายทิพยก็สูไมได ถึงพระพุทธเจาภาคดําจะ ขัดขวางอยางไร พระพุทธเจาภาคขาว (ตนธาตุตนธรรม) ของพระพุทธเจาก็คอยปะทะไวเหมือนกัน  ของมีตัวจริงทังนัน เชนพระยามาร เสนามาร ลูกสาวพระยามาร ก็ลวนมีตัวตนอยูทงนัน แตเปนกายทิพย ้้  ั้ ้ ตามนุษยเรามองไมเห็น ตองทําใหถึงทิพยจักษุ ปญญาจักษุ หรือสมันตจักษุ จึงจะแลเห็น เพราะ เปนของละเอียด ยิงกายพระพุทธเจา (ธรรมกาย) ดวยแลว ตองมองดวยพุทธจักษุจงจะเห็น ่ ึ ที่อาจารยบางทานแตงกันขึ้นใหมๆ ประมาณสัก ๔๐ ป มาตังแต พ.ศ. ๒๔๖๐ มานี้ไดตัดอภินิหาร ้ ปาฏิหาริยของพระพุทธเจาออกหมดนั้น เพราะไมรูเรื่องกายในกายนันเอง จึงไดตัดบารมีอภินิหารออกหมด ่ ทําเอาแบบแผนของจริงเลอะเลือนไปไมใชนอย ความจริงทีพระอรรถกถาจารยกลาวไวนั้น ก็ยังไมละเอียด ่ เทาความเปนจริงเสียอีก ทานยอๆ ไวเทานัน ถึงขาพเจาผูเขียนนีก็ตองยอไวเหมือนกัน จะเขียนใหละเอียด ้ ้ เต็มที่ก็ไมไหว เรื่องของทานละเอียดนัก ทีนี้ จะกลาวเมื่อพระยามารพายแพไปแลว กายธรรมกายก็เกิดขึ้นในกลางดวงจตุตถมรรค ในกลาง กายอรูปพรหม (กายที่ ๘) ของพระสิทธัตถะราชกุมาร กายนี้เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเปนดอกบัวตูม ใสเปนแกว กายนี้เปนกายที่ ๙ ของพระสิทธัตถะราชกุมาร กายนี้แลเปนกายพระพุทธเจา พอเขาถึงกายนี้ เรียกวา โคตรภูญาณ ระลึกชาติหนหลังไดแลว เขากายไปรอยกายพันกาย ก็ระลึกชาติไดรอยชาติพันชาติ เขาไปไดหมื่นกายแสนกาย ก็ระลึกชาติไดรอยชาติพนชาติ เขาไปไดหมื่นกายแสนกาย ก็ระลึกชาติไดหมื่น ั ชาติแสนชาติ เขาไปจนนับกายไมถวนก็ระลึกชาติไดนับไมถวนเหมือนกัน พระพุทธเจาอยูที่ไหนก็ไปพบปะ   กันหมด ไปพูดจาปราศรัยกันไดหมดทังภาคขาว ภาคกลาง ภาคดํา ้
  • 12. 12 เมื่อเขาถึงกายธรรมกายโคตรภูนี้แลว ก็พิจารณาเห็นอริยสัจทัง ๔ เห็นกายมนุษยเปนทุกขดวยเกิด ้  แก เจ็บ ตาย เห็นกายทิพยเปนสมุทัย เที่ยวหาที่เกิดไมสิ้นสุด เห็นกายรูปพรหมกับกายอรูปพรหมเปนนิโรธ เพื่อดับทุกข5 เห็นธรรมกายเปนมรรคเพื่อหลีกออกจากทุกข แลวก็เดินสมาบัติพิจารณาอริยสัจทัง ๔้ ที่เรียกวา “สมาบัติ” นั้น ก็คือรูปฌาน อรูปฌานนันเอง แตเดินคนละกาย รูปฌาน อรูปฌานนั้น ่ เดินดวยกายรูปพรหมและกายอรูปพรหม ซึ่งเปนกายโลกีย จึงเรียกวาฌานโลกีย แตรูปสมาบัติ อรูป- สมาบัตินน เดินดวยกายธรรมกาย เปนกายโลกุตตระ จึงเรียกวา ฌานโลกุตตระ แลวเอากายธรรมกาย ั้ โคตรภูเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เรื่อยไป จนธรรมกายตกสูญแลวเกิดธรรมกายขึนใหมใส ิ ้ ละเอียดกวาเกา ที่เรียกวา “ตกสูญ” นั้น คือเดินสมาบัติหนักเขาจนธรรมกายนันใส แลวดับลงมาเปนดวงกลมใส ้ ขนาดเทาฟองไขแดงของไกอยูที่เหนือสะดือสองนิ้ว มือ อยางนี้เรียกวาตกสูญ แลวก็เกิดขึ้นเปนธรรมกาย ใสสะอาดดีกวาเกา แลวก็เดินสมาบัติใหตกสูญ แลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงกายพระโสดาปตติมรรค แลวเอากายพระโสดาปตติมรรคเดินสมาบัติพิจารณาอริยสัจทัง ๔ ใหตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึง ้ กายพระโสดาปตติผล เปนพระอริยบุคคลชั้นทีหนึ่ง เห็นอริยสัจทัง ๔ ละเอียดชัดเจนยิงกวาปุถชนหรือ ่ ้ ่ ุ โคตรภูบุคคล (เปนกิจ ๔) แลวเอาธรรมกายพระโสดาปตติผลเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทย นิโรธ มรรค จนตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม ิ ั จนเขาถึงกายพระสกิทาคามิมรรค แลวเอาธรรมกายพระสกิทาคามิมรรคเดินสมาบัติดูทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค จนตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงกายพระสกิทาคามิผล เปนพระอริยบุคคลชั้นที่สอง เห็นอริยสัจ ทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิงกวาพระโสดาบัน (รวมเปนกิจ ๘) ่ แลวเอากายพระ สกิทาคามิผลเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค จนตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม ิ จนเขาถึงธรรมกายพระอนาคามิมรรค แลวเอาธรรมกายพระอนาคามิมรรคเดินสมาบัติดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญแลวเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงธรรมกายพระอนาคามิผล เปนพระอริยบุคคลชั้นที่สาม เห็นอริยสัจ ทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิงกวาพระสกิทาคามี (รวมเปนกิจ ๑๒) ่ แลวเอาธรรมกาย พระอนาคามิผลเดินสมาบัตดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญเกิดขึ้นใหม ิ จนเขาถึงธรรมกายพระอรหัตมรรค แลวเอาธรรมกายพระอรหัตมรรคเดินสมาบัติดู ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญเกิดขึ้นใหม จนเขาถึงธรรมกายพระอรหัตผล เปนพระอริยบุคคลชั้นที่ส่ี เห็นอริยสัจทั้ง ๔ ละเอียด ชัดเจนยิงกวาพระอนาคามี (รวมเปนกิจ ๑๖) เรียกวา โสฬสกิจ อยูจบพรหมจรรย ไมตองทํากิจอีกตอไป ่ 5 นี้เปนนิโรธ เพือดับเหตุแหงทุกขหยาบ เมื่อเขาถึงธรรมกายแลว จึงเปนนิโรธเพือดับเหตุแหงทุกขละเอียดจริงๆ ่ ่