Contenu connexe
Similaire à Unit1-2_คุณธรรมของครูและนักเรียน (20)
Unit1-2_คุณธรรมของครูและนักเรียน
- 1. บทที่ ๑
หลักธรรมสำำหรับครู อำจำรย์ หรือผูแสดงธรรม
้
ผู้ ทำำ หน้ ำ ที่ สั่ ง สอน ให้ ก ำรศึ ก ษำแก่ ผู้ อื่ น โดยเฉพำะครู
อำจำรย์ พึงประกอบด้ วยคุณ สมบัติ และประพฤติต ำมหลั กปฏิ บัติ
ดังนี้
ก . เป็ น กั ล ย ำณมิ ต ร คือ ประกอบด้วยองค์คุณของกัลยำณมิตร
หรือ กั ล ยำณมิ ต รธรรม ๗ ประกำร ดังนี้
๑. ปิโย น่ ำ รั ก คือ มีเมตตำกรุณำ ใส่ใจคนและประโยชน์สุข
ของเขำ เข้ำถึงจิตใจ สร้ำงควำมรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเอง ชวนใจผู้
เรียนให้อยำกเข้ำไปปรึกษำไต่ถำม
๒. ครุ น่ ำ เคำรพ คือ เป็นผู้หนักแน่น ถือหลักกำรเป็นสำำคัญ
และมีควำมประพฤติสมควรแก่ฐำนะ ทำำให้เกิดควำมรู้สึกอบอุ่นใจ
เป็นที่พึ่งได้และปลอดภัย
๓. ภำวนี โย น ่ ำ เ จ ร ิ ญ ใ จ คื อ มีค วำมรู้ จ ริ ง ทรงภู มิ ปัญ ญำ
แท้จริง และเป็นผู้ฝึกฝนปรับปรุงตนอยู่เสมอ เป็นที่น่ำยกย่องควร
เอำอย่ำง ทำำ ให้ศิษย์เอ่ยอ้ำงและรำำ ลึกถึงด้วยควำมซำบซึ้ง มั่นใจ
และภำคภูมิใจ
๔. วตฺต ำ ร ู ้ จ ั ก พ ู ด ใ ห ้ ไ ด ้ ผ ล คือ รู้จั กชี้ แจงให้เ ข้ำใจ รู้ ว่ำ
เมื่ อ ไรควรพู ด อะไร อย่ ำ งไร คอยให้ คำำ แนะนำำ ว่ ำ กล่ ำ วตั ก เตื อ น
เป็นที่ปรึกษำที่ดี
๕ . วจนกฺ ข โม อ ด ท น ต ่ อ ถ ้ อ ย ค ำ ำ คื อ พร้ อ มที่ จ ะรั บ ฟั ง คำำ
ปรึ ก ษำซั ก ถำมแม้ จุ ก จิ ก ตลอดจนคำำ ล่ ว งเกิ น และคำำ ตั ก เตื อ น
วิพำกษ์วิจำรณ์ต่ำงๆ อดทน ฟังได้ ไม่เบื่อหน่ำย ไม่เสียอำรมณ์*
๖ .คมฺ ภี ร ญฺ จ กถำ กตฺ ต ำ แ ถ ล ง เ ร ื ่ อ ง ล ำ ้ ำ ล ึ ก ไ ด ้ คื อ กล่ ำ ว
ชี้ แจงเรื่อ งต่ ำงๆ ที่ยุ่ งยำกลึก ซึ้ งให้ เข้ ำใจได้ และสอนศิษย์ให้ได้
เรียนรู้เรื่องรำวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
๗. โน จฏฺฐำเน นิโยชเย ไม่ ช ั ก นำ ำ ใ นอ ฐ ำ น คือ ไม่ชักจูง
ไปในทำงที่เสื่อมเสีย หรือเรื่องเหลวไหลไม่สมควร
(อ งฺ .ส ตฺ ต ก .
๒๓/๓๔/๓๓)
ข . ต ั ้ ง ใ จ ป ร ะ ส ิ ท ธ ิ ์ ค ว ำ ม ร ู ้ โดยตั้ งตนอยู่ ในธรรมของผู้ แ สดง
ธรรม ที่เรียกว่ำ ธรรมเทศกธรรม ๕ ประกำร คือ
- 2. ๑ . อนุ บุ พ พิ ก ถำ ส อ น ใ ห ้ ม ี ข ั ้ น ต อ น ถ ู ก ล ำ ำ ด ั บ คื อ แสดง
หลั ก ธรรม หรื อ เนื้ อ หำตำมลำำ ดั บ ควำมง่ ำ ยยำกลุ่ ม ลึ ก มี เ หตุ ผ ล
สัมพันธ์ต่อเนื่องกันไปโดยลำำดับ
๒ . ปริ ย ำยทั ส สำวี จ ั บ จ ุ ด ส ำ ำ ค ั ญ ม ำ ข ย ำ ย ใ ห ้ เ ข ้ ำ ใ จ
เหตุ ผ ล คือ ชี้แจง ยกเหตุผลมำแสดง ให้เข้ำใจชัดเจนในแต่ละแง่
แต่ละประเด็น อธิบำยยักเยื้องไปต่ำงๆ ให้มองเห็นกระจ่ำงตำมแนว
เหตุผล
๓. อนุทยตำ ต ั ้ ง จ ิ ต เ ม ต ต ำ ส อ น ด ้ ว ย ค ว ำ ม ป ร ำ ร ถ น ำ ด ี
คือ สอนเขำด้วยจิตเมตตำ มุ่งจะให้เป็นประโยชน์แก้ผู้รับคำำสอน
๔ . อนำมิ สั นดร ไ ม ่ ม ี จ ิ ต เ พ ่ ง เ ล ็ ง เ ห ็ น แ ก ่ อ ำ ม ิ ส คือ สอน
เขำมิใช่มิใช่มุ่งที่ตนจะได้ลำภ สินจ้ำง หรือผลประโยชน์ตอบแทน
๕ . อนุ ป หั จ จ์ * ว ำ ง จ ิ ต ต ร ง ไ ม ่ ก ร ะ ท บ ต น แ ล ะ ผ ู ้ อ ื ่ น คื อ
สอนตำมหลักตำมเนื้อหำ มุ่งแสดงอรรถ แสดงธรรม ไม่ยกตน ไม่
เสียดสีข่มขี่ผู้อื่น
(อ งฺ .ป ญฺ จ ก .
๒๒/๑๕๙/๒๐๕)
ค . มี ล ี ล ำครู ค รบทั ้ ง สี ่ ครูที่สำมำรถมีลีลำของนักสอน ดังนี้
๑. สันทัสสนำ ช ี ้ ใ ห ้ ช ั ด จะสอนอะไร ก็ชี้แจงแสดงเหตุ ผล
แยกแยะอธิบำยให้ผู้ฟังเข้ำใจแจ่มแจ้ง ดังจูงมือไปดูเห็นกับตำ
๒. สมำทปนำ ชวน ใ ห ้ ป ฏ ิ บ ั ต ิ คือ สิ่งใดควรทำำ ก็บรรยำย
ให้มองเห็นควำมสำำคัญ และซำบซึ้งในคุณค่ำ เห็นสมจริง จนผู้ฟัง
ยอมรับ อยำกลงมือทำำ หรือนำำไปปฏิบัติ
๓. สมุตเตชนำ เร้ ำ ให้ ก ล ้ ำ คือ ปลุกใจให้คึกคัก เกิดควำม
กระตื อ รื อ ร้ น มี กำำ ลั ง ใจแข็ ง ขั น มั่ น ใจจะทำำ ให้ สำำ เร็ จ ไม่ ก ลั ว
เหน็ดเหนื่อยหรือยำกลำำบำก
๔. สัมปหังสนำ ป ล ุ ก ใ ห ้ ร ่ ำ เ ร ิ ง คือ ทำำ บรรยำกำศให้ สนุ ก
สดชื่น แจ่มใส เบิกบำนใจ ให้ผู้ฟังแช่มชื่น มีควำมหวัง มองเห็นผล
ดีและทำงสำำเร็จ
จำำง่ำยๆ ว่ำ สอนให้ แจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกล้ำ ร่ำเริง
(เ ช่ น ที .สี .
๙/๑๙๘/๑๖๑)
ง . มี ห ลั ก ตรวจสอ บถำม เมื่อพูดอย่ำงรวบรัดที่สุด ครูอำจตรวจ
สอบตนเอง ด้วยลักษณะกำรสอนของพระบรมครู ๓ ประกำร คือ
๑. สอนด้วยควำมรู้จริง รู้จริง ทำำได้จริง จึงสอนเขำ
- 3. ๒. สอนอย่ำงมีเหตุผล ให้เขำพิจำรณำเข้ำใจแจ้งด้วยปัญญำ
ของเขำเอง
๓. สอนให้ ไ ด้ ผ ลจริ ง สำำ เร็ จ ควำมมุ่ ง หมำยของเรื่ อ งที่ ส อน
นั้นๆ เช่น ให้เข้ำใจได้จริง เห็นควำมจริง ทำำ ได้จริง นำำ ไปปฏิบัติ
ได้ผลจริง เป็นต้น
(อ งฺ .ติ ก .
๒๐/๕๖๕/๓๕๖)
จ . ทำ ำ หน้ ำ ที ่ ค รู ต ่ อ ศิ ษ ย์ คือ ปฏิบัติต่อศิษย์ โดยอนุเครำะห์ตำม
หลักธรรมเสมือนเป็น ทิศเบื้องขวำ* ดังนี้
๑. แนะนำำฝึกอบรมให้เป็นคนดี
๒. สอนให้เข้ำใจแจ่มแจ้ง
๓. สอนศิลปวิทยำให้สิ้นเชิง
๔. ส่งเสริมยกย่องควำมดีงำมควำมสำมำรถให้ปรำกฏ
๕. สร้ำงเครื่องคุ้มภัย ในสำรทิศ คือ สอนฝึกศิษย์ให้ใช้วิช ำ
เลี้ยงชีพได้จริงและรู้จักดำำ รงตนด้วยดี ที่จะเป็นประกันให้ดำำ เนิน
ชีวิตดีงำมโดยสวัสดี มีควำมสุขควำมเจริญ**
(ที .ป ำ .
๑๑/๒๐๐/๒๐๓)
- 4. บทที ่ ๒
หลั ก ธรรมสำ ำ หรั บ ผู ้ เ ล่ ำ เรี ย นศึ ก ษำ
คนที่ เ ล่ ำ เรี ย นศึ ก ษำ จะเป็ น นั ก เรี ย น นั ก ศึ ก ษำ หรื อ นั ก
ค้นคว้ำก็ต ำม นอกจำกจะพึงปฏิบัติตำมหลักธรรมสำำ หรับ คนที่จ ะ
ประสบควำมสำำ เร็ จ คื อ จัก ร ๔* และอิท ธิบ ำท ๔* แล้ว ยั งมี หลั ก
กำรที่ควรรู้ และหลักปฏิบัติที่ควรประพฤติอีก ดังต่อไปนี้
ก . ร ู ้ ห ล ั ก บ ุ พ ภ ำ ค ข อ ง ก ำ ร ศ ึ ก ษ ำ คือ รู้จั กองค์ ประกอบที่เ ป็ น
ปั จ จั ย แห่ ง สั ม มำทิ ฏ ฐิ ๒ ประกำร ดังนี้
๑. องค์ประกอบภำยนอกที่ดี ได้แก่ ม ี ก ั ล ย ำ ณ ม ิ ต ร หมำย
ถึ ง รู้ จักหำผู้แนะนำำ สั่ งสอน ที่ ปรึ กษำ เพื่อ น หนั งสื อ ตลอดจนสิ่ ง
แวดล้อมทำงสังคมโดยทั่วไปที่ดี ที่เกื้อกูล ซึ่งจะชักจูง หรือกระตุ้น
ให้เกิดปัญญำได้ด้วยกำรฟัง กำรสนทนำ ปรึกษำ ซักถำม กำรอ่ำน
กำรค้นคว้ำ ตลอดจนกำรรู้จักเลือกใช้สื่อมวลชนให้เป็นประโยชน์
๒. องค์ประกอยภำยในที่ดี ได้แก่ โย น ิ โ ส ม น ส ิ ก ำ ร หมำย
ถึง กำรใช้ควำมคิดถูกวิธี รู้จักคิด หรือคิดเป็น คือ มองสิ่งทั้งหลำย
ด้ ว ยควำมคิ ด พิ จ ำรณำ สื บ สำวหำเหตุ ผ ล แยกแยะสิ่ ง นั้ น ๆ หรื อ
ปัญหำนั้นๆ ออกให้เห็นตำมสภำวะและตำมควำมสัมพันธ์แห่งเหตุ
ปัจจัย จนเข้ำถึงควำมจริง และแก้ปัญหำหรือทำำ ประโยชน์ให้เกิด
ขึ้นได้
กล่ำวโดยย่อว่ำ
ข้อหนึ่ง รู้จักพึ่งพำให้ได้ประโยชน์จำกคนและสิ่งที่แวดล้อม
ข้อสอง รู้จักพึ่งตนเอง และทำำตัวให้เป็นที่พึ่งของผู้อื่น
(ม .มู .
๑๒/๔๙๗/๕๓๙)
ข . ม ี ห ล ั ก ป ร ะ ก ั น ข อ ง ช ี ว ิ ต ท ี ่ พ ั ฒ น ำ เมื่ อ รู้ ห ลั ก บุ พ ภำคของ
กำรศึกษำ ๒ อย่ำงแล้ว พึงนำำมำปฏิบัติในชีวิตจริง พร้อมกับสร้ำง
คุณสมบัติอื่นอีก ๕ ประกำรให้มีในตน รวมเป็นองค์ ๗ ที่เรียกว่ำ
แ ส ง เ ง ิ น แ ส ง ท อ ง ข อ ง ช ี ว ิ ต ท ี ่ ด ี ง ำ ม หรื อ ร ุ ่ ง อ ร ุ ณ ข อ ง ก ำ ร
ศึ ก ษำ ที่พระพุทธเจ้ำทรงเปรียบว่ำเหมือนแสงอรุณที่เป็นบุพนิมิต
แห่งอำทิตย์อุทัย เพรำะเป็นคุณสมบัติต้นทุนที่เป็นหลักประกันว่ำ
จะทำำให้ก้ำวหน้ำไปในกำรศึกษำ และชีวิตจะพัฒนำสู่ควำมดีงำม
และควำมสำำเร็จที่สูงประเสริฐอย่ำงแน่นอน ดังต่อไปนี้
๑. แสวงแหล่งปัญญำและแบบอย่ำงที่ดี
๒. มีวินัยเป็นฐำนของกำรพัฒนำชีวิต
๓. มีจิตใจใฝ่รู้ใฝ่สร้ำงสรรค์
- 5. ๔. มุ่งมั่นฝึกตนจนเต็มสุดภำวะที่ควำมเป็นคนจะให้ถึงได้
๕. ยึดถือหลักเหตุปัจจัยมองอะไรๆ ตำมเหตุและผล
๖. ตั้งตนอยู่ในควำมไม่ประมำท
๗. ฉลำดคิดแยบคำยให้ได้ประโยชน์และควำมจริง
ดูคำำอธิบำยใน หมวดนำ ำ คนกับควำมเป็นคน ๑. คนผู ้ เ ป็ น สั ต ว์
ประเสริ ฐ
ค . ท ำ ำ ต ำ ม ห ล ั ก เ ส ร ิ ม ส ร ้ ำ ง ป ั ญ ญ ำ ในทำงปฏิ บั ติ อำจสร้ ำ ง
ปั จ จั ย แห่ ง สั ม มำทิ ฏ ฐิ ๒ อย่ ำ งข้ ำงต้ น นั้ น ได้ ด้ ว ยกำรปฏิ บั ติ ต ำม
หลัก วุ ฒ ิ ธ รรม* (หลักกำรสร้ำงควำมเจริญงอกงำมแห่งปัญญำ)
๔ ประกำร
๑ . สั ป ปุ ริ ส สั ง เสวะ เ ส ว น ำ ผ ู ้ ร ู ้ คื อ รู้ จั ก เลื อ กหำแหล่ ง วิ ช ำ
คบหำท่ำนผู้รู้ ผู้ทรงคุณควำมดี มีภูมิธรรมภูมิปัญญำน่ำนับถือ
๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟ ั ง ด ู ค ำ ำ ส อ น คือ เอำใจใส่สดับ ตรั บฟั ง
คำำ บรรยำย คำำ แนะนำำ สั่ ง สอน แสวงหำควำมรู้ ทั้ ง จำกตั ว บุ ค คล
โดยตรง และจำกหนั ง สื อ หรื อ สื่ อ มวลชน ตั้ งใจเล่ ำ เรี ย น ค้ น คว้ ำ
หมั่นปรึกษำสอบถำม ให้เข้ำถึงควำมรู้ที่จริงแท้
๓. โยนิโสมนสิกำร คิ ด ให ้ แ ย บคำย คือ รู้ เห็น ได้อ่ำน ได้
ฟังสิ่งใด ก็รู้จักคิดพิจำรณำด้วยตนเอง โดยแยกแยะให้เห็นสภำวะ
และสืบสำวให้เห็นเหตุผลว่ำนั่นคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่ำงไร ทำำ ไม
จึ ง เป็ น อย่ ำ งนั้ น จะเกิ ด ผลอะไรต่ อ ไป มี ข้ อ ดี ข้ อ เสี ย คุ ณ โทษ
อย่ำงไร เป็นต้น
๔. ธรรมำนุธรรมปฏิบัติ ปฏิ บ ั ต ิ ใ ห ้ ถ ู ก ห ล ั ก นำำ สิ่งที่ได้เล่ำ
เรียนรับฟังและตริตรองเห็นชัดแล้ว ไปใช้หรือปฏิบัติหรือลงมือทำำ
ให้ถูกต้องตำมหลักตำมควำมมุ่ งหมำย ให้หลักย่อยสอดคล้องกับ
หลักใหญ่ ข้อปฏิบัติย่อยสอดคล้องกับจุดหมำยใหญ่ ปฏิบัติธรรม
อย่ำงรู้เป้ำหมำย เช่น สันโดษเพื่อเกื้อหนุนกำรงำน ไม่ใช่สันโดษ
กลำยเป็นเกียจคร้ำน เป็นต้น
(อ งฺ .จ ตุ กฺ ก .
๒๑/๒๔๘/๓๓๒)
ง . ศ ึ ก ษำให ้ เ ป็ น พห ู ส ู ต คือ จะศึกษำเล่ำเรียนอะไร ก็ทำำ ตนให้
เป็นพหูสูตในด้ำนนั้น ด้วยกำรสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจให้แจ่มแจ้ง
ชัดเจนถึงขั้นครบ องค์ ค ุ ณ ของพหู ส ู ต (ผู้ได้เรียนมำก หรือผู้คง
แก่เรียน) ๕ ประกำร คือ
๑. พหุสฺสุตำ ฟั ง มำก คือ เล่ำเรียน สดับฟัง รู้เห็น อ่ำน สั่งสม
ควำมรู้ในด้ำนนั้นไว้ให้มำกมำยกว้ำงขวำง
- 6. ๒. ธตำ จำ ำ ได้ คือ จับหลักหรือสำระได้ ทรงจำำเรื่องรำวหรือ
เนื้อหำสำระไว้ได้แม่นยำำ
๓. วจสำ ปริจิตำ คล่ อ งปำก คือ ท่องบ่น หรือใช้พูดอยู่เสมอ
จนแคล่วคล่องจัดเจน ใครสอบถำมก็พูดชี้แจงแถลงได้
๔. มนสำนุเปกฺขิตำ เจนใจ คือ ใส่ใจนึกคิดจนเจนใจ นึกถึง
ครั้ งใด ก็ ป รำกฏเนื้ อ ควำมสว่ ำงชั ด เจน มองเห็ น โล่ งตลอดไปทั้ ง
เรื่อง
๕. ทิฏฺฐิยำ สุปฏิวิทฺธำ ข บไ ด ้ ด ้ ว ย ท ฤ ษ ฎ ี คือ เข้ำใจควำม
หมำยและเหตุ ผ ลแจ่ ม แจ้ ง ลึ ก ซึ้ ง รู้ ที่ ไ ปที่ ม ำ เหตุ ผ ล และควำม
สัมพันธ์ของเนื้อควำมและรำยละเอียดต่ำงๆ ทั้งภำยในเรื่องนั้นเอง
และที่ เ กี่ ย วโยงกั บ เรื่ อ งอื่ น ๆ ในสำยวิ ช ำหรื อ ทฤษฎี นั้ น ปรุ โ ปร่ ง
ตลอดสำย
(อ งฺ .ป ญฺ จ ก .
๒๒/๘๗/๑๒๙)
จ . เ ค ำ ร พ ผ ู ้ จ ุ ด ป ร ะ ท ี ป ป ั ญ ญ ำ ในด้ ำ นควำมสั ม พั น ธ์ กั บ ครู
อำจำรย์ พึงแสดงคำรวะนับถือ ตำมหลักปฏิบัติในเรื่องทิศ ๖ ข้อว่ำ
ด้วย ทิ ศ เบื ้ อ งขวำ* ดังนี้
๑. ลุกต้อนรับ แสดงควำมเคำรพ
๒. เข้ำไปหำ เพื่อบำำรุง รับใช้ ปรึกษำ ซักถำม รับคำำแนะนำำ
เป็นต้น
๓. ฟังด้วยดี ฟังเป็น รู้จักฟังให้เกิดปัญญำ
๔. ปรนนิบัติ ช่วยบริกำร
๕. เรี ย นศิ ล ปวิ ท ยำโดยเคำรพ เอำจริ ง เอำจั ง ถื อ เป็ น กิ จ
สำำคัญ
(ที .ป ำ .
๑๑/๒๐๐/๒๐๓)