Contenu connexe Similaire à Guidelines for management of dyslipidemia Similaire à Guidelines for management of dyslipidemia (20) Plus de Utai Sukviwatsirikul Plus de Utai Sukviwatsirikul (20) Guidelines for management of dyslipidemia1. Guideline1:แนวทางการดูแลรักษาความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด
Guidelines for Management of Dyslipidemia
พญ. คุณหญิงพึงใจ งามอุโฆษ นพ. บรรหาร กออนันตกูล
นพ. ปยะมิตร ศรีธรา นพ. เกรียงไกร เฮงรัศมี
นพ. กัมมันต พันธุมจินดา นพ. สามารถ นิธินันทน
นพ. สุรัตน โคมินทร นพ. มนตชัย ชาลาประวรรต
นพ. วิทยา ศรีดามา นพ. เพชร รอดอารีย
นพ. ชัยชาญ ดีโรจนวงศ พญ. วรรณี นิธิยานันท
นิยามของระดับไขมันผิดปกติในเลือด (dyslipidemia)
ระดับไขมันผิดปกติในเลือด เปนภาวะที่รางกายมีระดับไขมันในเลือดตางไปจากเกณฑที่เหมาะสม เปนผล
ใหเสี่ยงตอการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) และทําใหเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovas-
cular diseases) ตามมา ที่พบบอยคือ โรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disease) โรคหลอดเลือดสมอง
(cerebrovascular disease) และโรคหลอดเลือดแดงสวนปลาย (peripheral arterial disease) ความผิดปกติของ
ระดับไขมันในเลือดมีไดหลายรูปแบบไดแก
1. ระดับโคเลสเตอรอลรวม (total cholesterol, TC) สูงในเลือด
2. ระดับ low density lipoprotein-cholesterol (LDL-C) สูงในเลือด
3. ระดับ high density lipoprotein cholesterol (HDL-C) ตํ่าในเลือด
4. ระดับไตรกลีเซอไรด (triglyceride, TG) สูงในเลือด
5. ระดับไขมันผิดปกติแบบใดแบบหนึ่งรวมกัน 2 อยางขึ้นไป
ผูที่มีระดับไตรกลีเซอไรดสูงในเลือดเพียงอยางเดียวมีอัตราเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเชนกัน แตผูที่
มีระดับไตรกลีเซอไรดสูงในเลือดควบคูกับระดับ HDL-C ตํ่าในเลือด มีอัตราเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้น
เนื่องจากภาวะนี้ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณลักษณะของ LDL ที่เปน small dense LDL
Metabolic syndrome เปนกลุมอาการซึ่งประกอบดวยลักษณะอวนลงพุง (abdominal obesity),
atherogenic dyslipidemia (ระดับไตรกลีเซอไรดสูงในเลือดและระดับ HDL-C ตํ่าในเลือด โดยระดับโคเลสเตอรอล
รวม หรือ LDL-C อาจปกติหรือสูง และเปน small dense LDL particles), ความดันโลหิตสูง, ภาวะดื้ออินซูลินโดย
ระดับนํ้าตาลในเลือดปกติหรือสูง (insulin resistance with or without glucose intolerance) รวมทั้ง prothrombotic
และ proinflammatory states ในปจจุบันจําเปนที่จะตองวินิจฉัยและรักษา metabolic syndrome อยางจริงจัง เนื่อง
จากมีอัตราเสี่ยงตอการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น และเปนกลุมเปาหมายของการรักษาที่สําคัญรองจากกลุมที่มี
ระดับ LDL-C สูงในเลือดเพียงอยางเดียว
เกณฑที่ใชตัดสินระดับไขมันผิดปกติในเลือด
การศึกษาทางวิทยาการระบาดพบวา ผูที่มีความเสี่ยงนอยตอการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจนั้น ควรมีระดับ
ไขมันในเลือดดังนี้คือ TC <200 มก/ดล, LDL-C<100 มก/ดล, HDL-C ≥40 มก/ดล และ TG <150 มก/ดล นอกจากนี้
2. 2
ควรมีอัตราสวน TC/ HDL-C <4.5 และ LDL-C/HDL-C < 3.0 ตารางที่ 1 แสดงถึงเกณฑที่ใชตัดสินภาวะระดับไขมัน
ผิดปกติในเลือด และความรุนแรงของความผิดปกติ ซึ่งกําหนดโดย National Cholesterol Education Program
(NCEP)1
ตารางที่ 1. เกณฑตัดสินภาวะผิดปกติของระดับไขมันในเลือด
ระดับไขมัน (มก/ดล) ความหมายทางคลินิก
LDL cholesterol
<100 เหมาะสม
100-129 ใกลเคียงคาเหมาะสม (ยอมรับได)
130-159 กํ้ากึ่ง
160-189 สูง
>190 สูงมาก
Total cholesterol
<200 เหมาะสม
200-239 กํ้ากึ่ง
>240 สูง
HDL cholesterol
<40 ตํ่า
>60 สูง
Triglyceride
<150 เหมาะสม
150-199 กํ้ากึ่ง
200-499 สูง
>500 สูงมาก
การสํารวจหาบุคคลที่มีภาวะไขมันผิดปกติในเลือด
ภาวะไขมันผิดปกติในเลือดเปนปจจัยเสี่ยงสําคัญอยางหนึ่งของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โดยเฉพาะอยาง
ยิ่งโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะฉะนั้นตองทราบวาควรจะเริ่มตรวจหาภาวะไขมันผิดปกติในเลือดในประชากรกลุมใด
เมื่ออายุเทาใด และตรวจอะไรบาง มีรายละเอียดดังนี้
ประชากรกลุมที่ควรไดรับการตรวจระดับไขมันในเลือด
ประชากรกลุมที่มีความเสี่ยงสูง เปนกลุมที่ควรไดรับการตรวจประเมินระดับไขมันในเลือด ไดแก
1. ผูปวยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งไดแก โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอด
เลือดแดงสวนปลาย
2. ผูปวยที่มีปจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตอไปนี้
. อายุเพิ่มขึ้นคือ ผูชายอายุ >45 ป ผูหญิงอายุ >55 ป
3. 3
. ประวัติครอบครัวคือ พี่นองหรือพอแมเปนโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยผูชายเปนเมื่ออายุ <55 ป ผู
หญิงเปนเมื่ออายุ <65 ป
. โรคเบาหวาน
. ความดันโลหิตสูง >140/90 มม.ปรอท หรือไดรับยาลดความดันโลหิตอยู
. สูบบุหรี่
ผูที่มีโรคหรือภาวะที่พบความผิดปกติของไขมันในเลือดที่เสี่ยงตอการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ไดแก
โรคอวน หรือภาวะนํ้าหนักเกิน (BMI >25 kg/m2
) รวมทั้งโรคไตที่เปนกลุมอาการเนโฟรติกและไตวายเรื้อรัง ควรไดรับ
การตรวจคัดกรองเชนกัน
3. ผูที่ตรวจรางกายพบลักษณะที่บงชี้วาระดับไขมันผิดปกติในเลือดไดแก corneal arcus, เอ็นรอยหวาย
หนาและแข็ง, tendon xanthoma, xanthelesma, palmar xanthoma, eruptive xanthoma
ควรตรวจเมื่อใด
การตรวจคัดกรองประชากรกลุมที่มีความเสี่ยงขางตน สามารถตรวจวัดระดับไขมันในเลือดไดทุกเมื่อ ทุก
เพศ และทุกวัย
การตรวจคัดกรองในประชากรทั่วไปคือประชากรกลุมที่ไมมีความเสี่ยงที่ระบุขางตน ควรจะทําในผูที่อาศัยใน
เขตเมืองที่มีอายุตั้งแต 35 ปขึ้นไป2, 3
ควรตรวจระดับไขมันอะไรบาง
1. โดยทั่วไปในผูที่มีปจจัยเสี่ยงและผูปวยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ควรตรวจระดับ TC, TG และ
HDL-C โดยกอนเจาะเลือดตองงดอาหาร ยกเวนนํ้าเปลา 9-12 ชั่วโมง คาที่ไดนํามาคํานวณหาระดับ
LDL-C จากสมการ2
LDL-C = TC - TG - HDL-C โดยระดับไตรกลีเซอไรดตองนอยกวา 400
5
มก/ดล ถาผลอยูในเกณฑปกติควรตรวจซํ้าทุก 1-3 ป
2. ในผูที่ไมมีปจจัยเสี่ยง แตมีอายุ 35 ปขึ้นไป ถาเปนไปไดควรตรวจทั้ง 3 อยางดังเชน ขอ 1 แตถาผูที่รับ
การตรวจเลือดไมไดอดอาหาร ใหตรวจเฉพาะ TC และ HDL-C ถาระดับอยูในเกณฑผิดปกติ จําเปน
ตองตรวจซํ้าโดยตรวจครบทั้ง 3 อยางเพื่อการวินิจฉัยและการรักษา ถาระดับอยูในเกณฑปกติ ควร
ตรวจซํ้าทุก 5 ป เพื่อเฝาดูความเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือด
การวัดระดับไขมันเลือด
การเตรียมตัวกอนเจาะเลือด
1. งดอาหารประมาณ 9-12 ชั่วโมง โดยใหดื่มนํ้าเปลาได
2. รับประทานอาหารดังเชนที่รับประทานอยูประจํา เปนระยะ 3 สัปดาหกอนการเจาะเลือด
3. ผูที่ตั้งครรภ ผูที่ปวยหนัก เชน ไดรับอุบัติเหตุอยางรุนแรง, ผูปวยหลังผาตัด, ผูปวยที่มีอาการติดเชื้อ การ
ตรวจไขมันในเลือดอาจไดผลที่คลาดเคลื่อน ควรตรวจเมื่อภาวะดังกลาวหายไปแลว 12 สัปดาห
4. ผูปวยที่มีการตายของกลามเนื้อหัวใจอยางเฉียบพลัน (acute myocardial infarction) ควรเจาะภายใน
12 ชั่วโมงแรก หรือ 6 สัปดาหหลัง acute myocardial infarction จึงจะไดคาที่เปนจริง อยางไรก็ตาม
ผลที่เจาะไดในระยะเฉียบพลันแตพนระยะ 12 ชั่วโมงยังมีประโยชน ถาหากระดับไขมันสูงกวามาตร
ฐาน แสดงวาผูปวยมีระดับไขมันสูงในเลือดจริง สามารถใหการรักษาไดโดยไมตองรอเปนระยะเวลาถึง
6 สัปดาห
4. 4
5. ผูปวยที่มีโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ควรตรวจวัดระดับไขมันในเลือดทันที(ภายใน 48 ชั่วโมง) หรือ
12 สัปดาหหลังจากนั้น4
เทคนิคการเจาะเลือดและการตรวจวัดระดับไขมัน
1. ควรใหผูปวยอยูในทานั่งอยางนอย 5 นาที กอนเจาะ เพราะการเปลี่ยนทาจะทําให plasma volume
เปลี่ยนแปลง และผลที่ไดจะคลาดเคลื่อน
2. ควรเก็บเลือดที่ไดในหลอดที่ไมใสสารปองกันการแข็งตัวของเลือด เพื่อที่จะใหไดเปนระดับไขมันในซีรั่ม
แตหากจําเปนก็อาจใชหลอดที่มีสารปองกันการแข็งตัวของเลือดได คาที่ไดจะเปนระดับไขมันในพลาส
มา ซึ่งจะตํ่ากวาใน serum ประมาณรอยละ 3
3. ควรสงเลือดไปตรวจในหองปฏิบัติการที่มีมาตรฐานเชื่อถือได คือมี quality assurance และ quality
control ที่ตรวจสอบมาตรฐานของระดับโคเลสเตอรอลหลายๆ ระดับ โดยเฉพาะในระดับโคเลสเตอรอล
ตั้งแต 100 มก/ดล ถึง 300 มก/ดล โดยใชวิธีเอนไซมาติก
สาเหตุของภาวะไขมันผิดปกติในเลือด
ความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดแบงไดเปน 3 กลุม5,6
ตามสาเหตุที่ทําใหเกิดขึ้นดังนี้
1. ไขมันผิดปกติในเลือดปฐมภูมิ (primary dyslipidemia)
2. ไขมันผิดปกติในเลือดทุติยภูมิ (seconary dyslipidemia)
3. ไขมันผิดปกติในเลือดจากอาหาร (dietary dyslipidemia)
ไขมันผิดปกติในเลือดปฐมภูมิ
ภาวะนี้เปนความผิดปกติจากสาเหตุทางพันธุกรรม โรคที่พบบอยในกลุมนี้คือ polygenic hypercholeste-
rolemia, familial hypercholesterolemia (FH) และ familial combined hyperlipidemia
ไขมันผิดปกติในเลือดทุติยภูมิ
ภาวะนี้เกิดจากโรคทางกายหรือยาบางชนิดที่มีผลตอกระบวนการสรางและ/หรือสลาย lipoprotein ทําให
ระดับไขมันผิดปกติในเลือด โดยสาเหตุที่ทําให LDL-C สูงไดแก hypothyroidism, cholestasis, nephrotic
syndrome, ยาบางชนิดเชน thiazides, progestogens, cyclosporine สาเหตุที่พบบอยที่ทําใหระดับไตรกลีเซอไรด
ในเลือดสูงไดแก โรคเบาหวาน โรคอวน ไตวาย การดื่มสุรา การตั้งครรภ ภาวะเครียด และยาบางชนิดเชน estrogen,
beta-blockers, glucocorticoids, thiazides, protease inhibitors สาเหตุที่ทําให HDL-C ในเลือดตํ่า ไดแก โรค
เบาหวาน โรคอวน การสูบบุหรี่ และยา anabolic steroids, testosterone, progestogen, beta-blockers เปนตน
ไขมันผิดปกติในเลือดจากอาหาร
การบริโภคอาหารที่กอใหเกิดภาวะ LDL-C ในเลือดสูง คือ อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงและ/หรือกรดไขมัน
อิ่มตัวมากไดแก ไขมันสัตว หมูสามชั้น เนย เนื้อสัตวที่มีมันมาก หนังสัตว ไสกรอก ไขแดง เครื่องในสัตว หอย
นางรม และ กะทิ เปนตน อาหารที่กอใหเกิดภาวะไตรกลีเซอไรดในเลือดสูงไดแก การรับประทานอาหารที่ใหพลังงาน
เกินความตองการของรางกาย การรับประทานอาหารที่มีคารโบไฮเดรต โดยเฉพาะนํ้าตาลฟรุกโทสและซูโครสสูง การ
ดื่มสุรา เปนตน
5. 5
แนวทางการคนหาสาเหตุของภาวะไขมันผิดปกติในเลือด5,6
การซักประวัติ
ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ, ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
กอนวัยอันควร ไดแก โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดแดงสวนปลายอุดตัน ประวัติโรค
ประจําตัว เชน โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคทัยรอยด ชนิดและปริมาณของอาหารที่รับประทาน การดื่มสุรา การ
สูบบุหรี่ การออกกําลังกาย และการใชยาตางๆ
การตรวจรางกาย
บันทึกนํ้าหนักตัวและความสูง เพื่อคํานวณหา body mass index (BMI) โดยใชนํ้าหนักตัวเปนกิโลกรัม หาร
ดวยกําลังสองของความสูงเปนเมตร, ตรวจหา tendon xanthoma, การหนาตัวของ archiles tendon, xanthelasma,
corneal arcus, palmar xanthoma, eruptive xanthoma อาการแสดงของตอมธัยรอยดทํางานตํ่า ภาวะบวม รวม
ถึงการตรวจ reflex
การตรวจทางหองปฏิบัติการ
ควรตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม ไดแก plasma glucose, การทํางานของตอมธัยรอยด (TSH), การ
ทํางานของตับ, creatinine, urine protein
การจัดระดับความเสี่ยงเพื่อควบคุมภาวะไขมันผิดปกติในเลือด (Risk stratification)
ระดับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มี 3 ลําดับ1
ซึ่งมีผลตอการกําหนดระดับ LDL-C ที่พึง
มีในเลือด หากมีระดับไตรกลีเซอไรดสูงในเลือดรวมดวย (>200 มก/ดล) ใหใชระดับ non-HDL-C แทน ระดับ non-
HDL-C คือคา total cholesterol ลบดวย HDL-C (ตารางที่ 2)
ระดับ 1 เปนกลุมที่มีความเสี่ยงสูงมากในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ไดแกผูที่เปนโรคหลอดเลือดหัวใจอยู
แลว และผูที่มีโรคอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงเทียบเทากับเปนโรคหลอดเลือดหัวใจไดแก
- โรคเบาหวาน
- Ischemic stroke ที่เกิดจากหลอดเลือด carotid artery, transient ischemic attack
- Symptomatic peripheral arterial disease
- Abdominal aortic aneurysm
ในกลุมนี้ระดับไขมันที่พึงมีในเลือด คือ LDL-C <100 มก/ดล หรือ non-HDL-C <130 มก/ดล
ตารางที่ 2. ระดับไขมันที่พึงมีในเลือดตามระดับความเสี่ยง
ระดับความเสี่ยง
ระดับ LDL-C ที่
พึงมีในเลือด
(มก/ดล)
ระดับ TG ที่
พึงมีในเลือด
(มก/ดล)
ระดับ HDL-C ที่
พึงมีในเลือด
(มก/ดล)
ระดับ non-HDL-C
ที่พึงมีในเลือด*
(มก/ดล)
เปนโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ
เปนโรคที่มีความเสี่ยงเทียบเทา
<100 <150 >40 <130
มีปจจัยเสี่ยง 2 ขอขึ้นไป <130 <150 >40 <160
มีปจจัยเสี่ยง 0-1 ขอ <160 <150 >40 <190
* ระดับ non-HDL-C ใชในกรณีที่ TG>200 มก/ดล
6. 6
ระดับ 2 เปนกลุมที่มีความเสี่ยงสูงปานกลางในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ไดแกผูที่มีปจจัยเสี่ยงตั้งแต 2
ขอขึ้นไป ปจจัยเสี่ยงที่สําคัญ ไมรวม LDL-C ไดแก
- สูบบุหรี่
- ความดันโลหิตสูง (ความดัน >140/90 mmHg หรือ ไดรับยาลดความดันโลหิต)
- HDL-C ตํ่า (< 40 มก./ดล)
- มีประวัติครอบครัวเปนโรคหลอดเลือดหัวใจ ผูชายเปนอายุนอยกวา 55 ป, ผูหญิงเปนอายุนอยกวา 65 ป
- อายุ ผูชายมากกวาหรือเทากับ 45 ป, ผูหญิงมากกวาหรือเทากับ 55 ป
ในกลุมนี้ไขมันระดับที่พึงมีในเลือด คือ LDL-C <130 มก/ดล หรือ non-HDL-C <160 มก/ดล
ระดับ 3 เปนกลุมที่มีความเสี่ยงสูงนอยในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ไดแกผูที่มีปจจัยเสี่ยง 0-1 ขอ ซึ่ง
เปนปจจัยเสี่ยงเชนเดียวกับระดับ 2 ในกลุมนี้ไขมันระดับที่พึงมีในเลือด คือ LDL-C <160 มก/ดล หรือ non-HDL-C
<190 มก/ดล
ทั้งในระดับ 2 และ ระดับ 3 หากคา HDL-C >60 มก/ดล นับปจจัยเสี่ยงลดลง 1 ขอ
เปาหมายของการรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
LDL-C ใชเปนเปาหมายสําหรับการกําหนดการรักษา1,7
โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิต (Total
Lifestyle Change, TLC) และการรักษาดวยยาในลําดับความเสี่ยงที่แตกตางกัน
ตารางที่ 3. เปาหมายการรักษาและการกําหนดการรักษาตามลําดับความเสี่ยง
ลําดับความเสี่ยง LDL-C เปาหมาย
(มก/ดล)
ระดับ LDL-C ที่เริ่มตนให
การรักษาโดยการปรับ
เปลี่ยนพฤติกรรม (มก/ดล)
ระดับ LDL-C ที่พิจารณา
ใหการรักษาดวยยา
(มก/ดล)
เปนโรคหลอดเลือด
หัวใจหรือเปนโรคที่มี
ความเสี่ยงเทียบเทา
<100 >100 >130
(100-129 ใหยาไดหากเปน
โรคหลอดเลือดหัวใจ )
* ปจจัยเสี่ยง 2 ขอขึ้นไป <130 >130 >160
* ปจจัยเสี่ยง 0-1 ขอ <160 >160 >190
* กรณีที่ HDL-C >60 มก/ดล นับปจจัยเสี่ยงลดลง 1 ขอ อนึ่งในประชากรไทยอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจตํ่ากวาประชากรใน
ประเทศแถบตะวันตก ดังนั้นประโยชนจากการใชยาในกลุมนี้อาจไมคุมคา
ในผูปวยที่เปนโรคหลอดเลือดหัวใจหรือมีโรคที่มีความเสี่ยงเทียบเทา การรักษาจัดเปนการปองกันทุติยภูมิ
(secondary prevention) ระดับเปาหมายของ LDL-C ในเลือดคือ นอยกวา 100 มก/ดล ระดับ LDL-C ที่เริ่มตนให
การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิต คือ ระดับมากกวาหรือเทากับ 100 มก/ดล ระดับ LDL-C ที่
พิจารณาใหการรักษาดวยยาคือระดับมากกวาหรือเทากับ 130 มก/ดล ผูที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจหากระดับ LDL-C
อยูระหวาง 100-129 มก/ดล ควรพิจารณาใหยา ผูที่มีโรคที่มีความเสี่ยงเทียบเทาโรคหลอดเลือดหัวใจพิจารณาใหยา
ตามความเหมาะสม
7. 7
ในผูปวยที่มีปจจัยเสี่ยง 2 ขอขึ้นไป การรักษาจัดเปนการปองกันปฐมภูมิ (primary prevention) แกผูที่มี
ความเสี่ยงสูงปานกลาง ระดับเปาหมายของ LDL-C ในเลือดคือ นอยกวา 130 มก/ดล ระดับ LDL-C ที่เริ่มตนใหการ
รักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิตคือ ระดับมากกวาหรือเทากับ 130 มก/ดล ระดับ LDL-C ที่
พิจารณาใหการรักษาดวยยาคือระดับมากกวาหรือเทากับ 160 มก/ดล
ในผูปวยที่มีปจจัยเสี่ยง 0-1 ขอ การรักษาจัดเปนการปองกันปฐมภูมิแกผูที่มีความเสี่ยงสูงไมมาก ระดับเปา
หมายของ LDL-C ในเลือดคือ นอยกวา 160 มก/ดล ระดับ LDL-C ที่เริ่มตนใหการรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การดําเนินชีวิตคือ ระดับมากกวาหรือเทากับ 160 มก/ดล ระดับ LDL-C ที่พิจารณาใหการรักษาดวยยาคือระดับมาก
กวาหรือเทากับ 190 มก/ดล
การปองกันทุติยภูมิไดประโยชนและเปนที่ยอมรับ8,9
การควบคุมใหระดับไขมันอยูในเกณฑที่ตองการมักจํา
เปนตองใชทั้งอาหารและยาลดไขมัน แตถาเปนการปองกันปฐมภูมิ การรักษาควรเนนหนักไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติ
กรรม การควบคุมอาหาร และการออกกําลังกาย หากระดับไขมันเกินเปาหมายเพียงเล็กนอย ยังไมจําเปนที่จะตองใช
ยาลดไขมันเสมอไป เนื่องจากในประชากรไทยอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจตํ่ากวาประชากรในประเทศแถบ
ตะวันตก ดังนั้นประโยชนจากการใชยาในกลุมที่มีความเสี่ยงสูงปานกลางและสูงไมมาก อาจไมคุมคาเพียงพอ
กรณีที่มีระดับไตรกลีเซอไรดสูงในเลือดรวมดวย (>200 มก/ดล) ใหใชระดับ non-HDL-C เปนเปาหมาย
แทนการใชระดับ LDL-C โดย non-HDL-C จะมีคามากกวา LDL-C 30 มก/ดล ในทุกเปาหมาย
การรักษา
ประกอบดวย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิต และการใหยาลดระดับไขมันเมื่อจําเปน1,2
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิต (Total Lifestyle Change, TLC)
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิต หมายถึงการกําจัดปจจัยเสี่ยงที่เกิดจากการดําเนินชีวิตประจําวัน
ใหหมดสิ้นไป ไดแก การสูบบุหรี่ การนั่งการยืนอยูกับที่เปนสวนใหญในแตละวัน (sedentary life) ความเครียด รวม
กับการออกกําลังกาย และการรับประทานอาหารอยางถูกตอง
การสูบบุหรี่ ทําใหระดับ HDL-C ลดลง เปนอันตรายตอ endothelial cell และมีผลตอการเกิดลิ่มเลือดใน
หลอดเลือดแดง (thrombus) รวมทั้งทําใหเกร็ดเลือดจับตัวกัน10,11
การออกกําลังกาย อยางสมํ่าเสมอและพียงพอมีประโยชนมาก เพราะทําใหภาวะดื้ออินสุลินลดลง12
ทําให
ไขมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กลาวคือลดระดับไตรกลีเซอไรด และโคเลสเตอรอล เพิ่มระดับ HDL-C และมีผล
ตอ mononuclear cell ทําใหเซลลลดการหลั่ง cytokines ที่กระตุนขบวนการ atherosclerosis13
นอกจากนี้การออก
กําลังกายยังเปนวิธีการสําคัญในการลดและควบคุมนํ้าหนัก
กอนใหผูปวยออกกําลังกายควรตรวจสุขภาพกอน โดยเฉพาะผูปวยสูงอายุ หรือ ผูปวยที่เปนเบาหวานหรือ
ความดันโลหิตสูง ตองทดสอบระบบหัวใจและหลอดเลือด เพื่อดูวามีโรคหรือภาวะที่เสี่ยงหรือเปนอุปสรรคตอการออก
กําลังกายหรือไม และจัดโปรแกรมการออกกําลังกายใหเหมาะสม ขอพึงปฏิบัติสําหรับการออกกําลังกายที่สําคัญ คือ
เริ่มออกกําลังกายแตนอยและคอยๆ เพิ่มขึ้น การออกกําลังกายที่ถูกตองประกอบดวย มีความสมํ่าเสมอ(frequency)
คือทุกวันหรือวันเวนวัน หรืออยางนอยสัปดาหละ 3 ครั้ง ระยะเวลาออกกําลัง (duration) นานเพียงพอ คือครั้งละ 30-
45 นาที ความหนักของการออกกําลังกาย (intensity) พอเหมาะ ซึ่งในทางปฏิบัติใชอัตราเตนของหัวใจเปนเกณฑ โดย
ออกกําลังใหไดอัตราเตนของหัวใจเปนรอยละ 60-85 ของอัตราเตนหัวใจสูงสุด อัตราเตนหัวใจสูงสุดไดจากการ
8. 8
คํานวณโดยลบอายุเปนปออกจาก 220 การกําหนดอัตราเตนหัวใจระหวางออกกําลังกายขึ้นกับสุขภาพพื้นฐานของ
ผูปวย การออกกําลังกายทุกครั้งตองมีการอุนเครื่อง (warm up) กอนออกกําลังกาย และการผอนคลาย (cool down)
หลังการออกกําลังกาย
การรับประทานอาหารที่ถูกตอง หมายถึงรับประทานอาหารที่มีพลังงานพอเหมาะ และมีอาหารหลักครบ
ทุกหมู โดยมีสัดสวนและปริมาณโคเลสเตอรอลที่เหมาะสม1,2
ซึ่งมีหลักการคือ
1. ปริมาณอาหารหรือพลังงาน (kilocalories) ตอวันพอเหมาะ ทําใหนํ้าหนักตัวอยูในเกณฑมาตรฐาน
2. ปริมาณไขมันตอวันใหพลังงานรอยละ 25-35 ของพลังงานทั้งหมด โดยตองคํานึงถึงประเภทของไขมันที่
ใช คือ ใหเปนกรดไขมันอิ่มตัวไมเกินรอยละ 7 ของพลังงานทั้งหมด เปนกรดไขมันไมอิ่มตัวหลายตําแหนงไมเกินรอย
ละ 10 ที่เหลือเปนกรดไขมันไมอิ่มตัวหนึ่งตําแหนง ดังนั้นควรปรุงอาหารดวยนํ้ามันพืชที่สกัดจากถั่วเหลือง ขาวโพด
เมล็ดดอกทานตะวัน หรือ เมล็ดดอกคําฝอย รําขาว มะกอก
นอกจากนี้ตองหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงดวยการทอด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใชไขมันที่ไดรับการแปรรูปใหแข็ง
เชน เนยเทียม (margarine) เนยขาว (shortening) โดยเฉพาะอยางยิ่งที่ทําจากนํ้ามันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก เชน นํ้า
มันมะพราว นํ้ามันปาลม เพราะไขมันแปรรูปเหลานี้จะมี trans fatty acids สูง ปริมาณ trans fatty acids ที่รับ
ประทานจะทําใหระดับ LDL เพิ่มขึ้นเปนสัดสวนกัน14
3. ปริมาณโปรตีน ใหพลังงานรอยละ 12-15 ของพลังงานทั้งหมด
อาหารประเภทโปรตีนไดแกเนื้อสัตวและถั่ว ประเภทเนื้อสัตวยึดหลักดังนี้
ตองงด เครื่องในสัตวและหนังสัตวทุกชนิด ไมวาจะปรุงในรูปแบบใดๆ
ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานเล็กนอยเปนครั้งคราว
อาหารทะเล เชน กุง ปู ปลาหมึก เนื้อสัตวติดมันและหนัง ไขแดง และ เนื้อสัตวแปร
รูป เชน ไสกรอกทุกชนิด, แฮม, โบโลนยา, แหนม, หมูยอ, กุนเชียง
รับประทานไดประจํา
เนื้อปลาทุกชนิด ไก เปด หมู เนื้อ ที่ไมติดหนังและมัน ปริมาณที่ควรรับประทาน คือ
วันละ 2-4 ขีด (200-400 กรัม)หรือเนื้อสัตวสุก 4-6 ชอนโตะตอมื้อ ขึ้นกับนํ้าหนักตัว
และระดับไขมันในเลือด
4. มีโคเลสเตอรอลไมเกิน 200-300 มก/วัน ขึ้นกับความรุนแรงของโรคและระดับไขมันในเลือด
5. พลังงานที่เหลือ (รอยละ 55-65 ของพลังงานทั้งหมด) ไดจากคารโบไฮเดรท คือ อาหารประเภทแปง ซึ่ง
ควรเปนคารโบไอเดรทเชิงซอน ไดแก ธัญญพืชหรือขาว ถั่วชนิดตางๆ เนื่องจากจะใหทั้งใยอาหาร(dietary fiber) และ
โปรตีน ควรหลีกเลี่ยงการใชนํ้าตาลหรืออาหารที่มีนํ้าตาลปริมาณสูง
6. รับประทานผักปริมาณมาก และผลไมทุกมื้อ เพื่อใหไดใยอาหารมากพอ
7. ดื่มแอลกอฮอลไดบาง ไมควรเกิน 6 สวนตอสัปดาห (แอลกอฮอลหนึ่งสวนไดแก วิสกี้ 1½ ออนซ หรือ
เบียร 12 ออนซ หรือ ไวน 4 ออนซ) ยกเวนผูที่มีระดับไตรกลีเซอไรดในเลือดสูง หามดื่มแอลกอฮอล
การรักษาโดยการใชยา
หลังจากไดขจัดสาเหตุของระดับไขมันสูงในเลือด รวมทั้งใหการรักษาโดยการควบคุมอาหารและการออก
กําลังกายเปนระยะเวลา 3 – 6 เดือนแลว ระดับไขมันในเลือดยังสูงเกินเปาหมายที่กําหนดไว จึงพิจารณาใชยาเพื่อ
ชวยลดความผิดปกติของระดับไขมัน1,2
การเลือกยา หากเลือกไมถูกตองจะทําใหเสียคาใชจายมากโดยผลลัพธไมดี
ในปจจุบันยาลดไขมันที่ใชมีหลายกลุม15,16,17
(ตารางที่ 4, 5) ไดแก chelating agent (resin) ซึ่งไมถูกดูดซึมเขาราง
9. 9
กาย ทําหนาที่ดึงโคเลสเตอรอลออก โดยยับยั้งการดูดซึมนํ้าดีกลับ ยาที่ลดการสรางโคเลสเตอรอล คือ statins และ
ยาที่เพิ่มการเผาผลาญโคเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด ไดแก statins, fibrates และ nicotinic acid สวน
probucol นั้น เพิ่มการเผาผลาญโคเลสเตอรอลโดยไมมีผลตอไตรกลีเซอไรด การใชยาที่เหมาะสมนั้นตองพิจารณา
ชนิดและความรุนแรงของระดับไขมันที่ผิดปกติในเลือด แนวทางการเลือกใชยาแสดงไวในตารางที่ 4 สําหรับประสิทธิ
ภาพของยาชนิดตางๆแสดงไวในตารางที่ 5
ตารางที่ 4. การเลือกใชยาเพื่อลดระดับไขมันในเลือดตามรูปแบบไขมันที่ผิดปกติ
ชนิดและระดับไขมันสูงในเลือด กลุมยาที่เลือกใช ยากลุมที่อาจใชทดแทนได
LDL-C TC TG
130 - 190 200 – 400 ปกติ - Statins - Fibrates
มก/ดล มก/ดล - Bile acid sequestrant - Nicotinic acid analogue
- Nicotinic acid - Probucol
สูงไมเกิน - Statins + Fibrates - Fibrates
400 มก/ดล - Nicotinic acid - Nicotinic acid analogue
สูงเกิน 400
มก/ดล
- Fibrates + Statins - Nicotinic acid analogue +
Statins
- Nicotinic acid + Statins - Fish oil concentrate + Statins
เกิน 190
มก/ดล
เกิน 400
มก/ดล
ปกติ - Statins + Bile acid
sequestrant
- Statins + Probucol
เกิน 200
มก/ดล
- Statins + Fibrates
- Statins + Nicotinic
acid
- Statins + Nicotinic acid
analogue
ตํ่ากวา /เทา
กับ 130
มก/ดล
ตํ่ากวา /เทา
กับ 200
มก/ดล
สูงเกิน 400
มก/ดล
- Fibrates
- Nicotinic acid
- Nicotinic acid analogue
+ หมายถึงใชกลุมใดกลุมหนึ่งโดยเลือกกลุมหนาเปนหลัก หรือใชรวมกัน
แมวายากลุม statins จัดเปนยาที่ออกฤทธิ์ดีที่สุด สําหรับผูที่มีระดับ TC สูง แตสําหรับผูที่เปน combined
hyperlipidemia คือ TC และ TG สูงรวมกัน ยากลุม fibrates และ nicotinic acid หรือ analogue จะไดผลดี การใช
statins จะมีผลตอ TG นอย (ตารางที่ 5) ในระยะหลังพบวา fish oil ขนาดสูงสามารถลด TG ไดดีมาก18,19
โดย
เฉพาะที่เปน fish oil concentrate ซึ่งใชเปนยา จะมีความบริสุทธิ์ของ n-3 fatty acids สูงถึงรอยละ 84 เมื่อเทียบกับ
fish oil ทั่วไป ซึ่งมี n-3 fatty acids ประมาณรอยละ 30 และมีโคเลสเตอรอลปนอยู
ในการเลือกใชยานั้นจําเปนตองระวังอาการไมพึงประสงค17
ซึ่งบางครั้งอาจเปนปญหาสุขภาพได แมวายา
สวนใหญทําใหเกิดอาการแนนทอง, คลื่นไส, ทองเสีย แตบางชนิด (resin) ทําใหเกิดอาการทองผูกไดมาก บางชนิด
(statins, fibrates) ทําใหตับอักเสบ หรือปวดเมื่อยกลามเนื้อจนเดินไมไหว โดยเฉพาะเมื่อใชในผูปวยที่มีปญหาตับ
10. 10
และไตทํางานไมดี หรือมีการใชยารวมกันในขนาดสูง แมวาผลขางเคียงของยา statins จะเปน class effect แตใน
ยากลุมนี้ยังมีรายละเอียดในเมตะบอลิสมตางกัน20,21
เชน พบวา fluvastatin ถูกเผาผลาญผาน cytochrome P450
subtype 2C9 ซึ่งตางจากตัวอื่นๆที่เผาผลาญผาน cytochrome P450 3A4 เปนสวนใหญ จึงทําใหปญหา drug
interaction นอยลง และนาจะมีผลดีกับผูปวยที่ตองกินยาหลายๆชนิด สวน fish oil concentrate ทําให platelet
aggregration ลดลง18
เกิดจํ้าเลือดงาย โดยเฉพาะหากใชรวมกับ aspirin หรือยาที่ตาน platelet aggregration
อาการไมพึงประสงคที่พบบอยจากการใช nicotinic acid และ analogue คือ อาการคัน และ flushing เนื่องจากยามี
ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดจึงทําใหเกิด flushing ดังนั้นหากไดอธิบายใหผูปวยเขาใจผลขางเคียงนี้กอนใชยา จะทําใหการ
ยอมรับยาดีขึ้น การใช nicotinic acid นอกจากไดผลดีแลว ยังมีราคาถูกดวย
ตารางที่ 5. ประสิทธิภาพของยาชนิดตางๆ ตอระดับไขมันในเลือด
ชนิดของยา ขนาดเม็ด วิธีใช การเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือด (%)
(มก.) (ตอวัน) TC LDL-C HDL-C TG
HMG CoAR inhibitors 16 - 50 18 - 50 3 - 16 5 - 30
Atorvastatin 10, 20 5 – 80 q pm. 29 - 50 29 - 50 3 - 8 13 - 30
Fluvastatin 20, 40, 80 20 – 80 q pm. 17 - 24 24 - 36 7 - 16 7 - 25
Simvastatin 10, 20, 40, 80 5 – 80 q pm. 28 - 36 28 - 40 6 - 12 9 - 19
Pravastatin 5, 10, 40 5 – 40 q pm. 16 - 25 18 - 28 5 - 16 5 - 11
Fibric acids 10 - 20 10 - 20 7 - 25 20 - 50
Bezafibrate 200, 400 R 200 tid, 400 R OD 10 - 20 10 - 15 10 - 25 20 - 25
Fenofibrate 100, 300,
200 M
300/d, 200 M OD 17 - 20 10 - 20 7 - 15 25 - 45
Gemfibrozil 300, 600, 900 300 – 600 bid
900 OD
10 - 15 10 - 15 11 - 20 35 - 50
Nicotinic acid and analogue 3 - 19 5 - 25 10 - 25 21 - 30
Nicotinic acid 50 25– 750 tid, qid* 3 - 19 10 - 25 10 - 25 25 - 30
Acipimox 250 250 bid - tid 3 - 10 5 -14 18 - 22 21 - 28
Bile acid sequestrant (resin)
Cholestyramine 4 กรัม 4 – 8 กรัม, OD-tid 10 – 15 15 - 30 3 – 5 อาจเพิ่ม
เล็กนอย
Biphenolic group
Probucol 250 250 – 500 bid 10 – 15 10 - 15 ลดลง 20
-25
ไมเปลี่ยน
Omega- 3 fatty acids
Fish oil
capsule
EPA+DHA
840
1680 bid อาจเพิ่ม
เล็กนอย
อาจเพิ่ม
เล็กนอย
0 - 9 3 - 52
* พบผลขางเคียงของยาไดบอย เริ่มใหจํานวนนอยแลวคอยๆเพิ่มขึ้น
11. 11
เมื่อใชยา ผูปวยจําเปนตองปฏิบัติตัวเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดําเนินชีวิต ควบคุมอาหาร และ ออก
กําลังกายอยางตอเนื่อง หากยาตัวใดตัวหนึ่งที่ใหอยูไมสามารถลดระดับไขมันในเลือดลงถึงเปาหมายที่ตั้งไว แมจะ
เพิ่มขนาดยาเต็มที่แลวก็ตาม แพทยสามารถเสริมยาชนิดที่สองซึ่งมิใชกลุมเดียวกันกับยาตัวแรก15
(ตารางที่ 4) เมื่อ
ผลเลือดดีขึ้นควรพิจารณาวาอาจจะลดขนาดยาตัวใดตัวหนึ่งลงไดหรือไม ทั้งนี้เพื่อหลีกเลียงโอกาสเกิดอาการไมพึง
ประสงคจากยา ยากลุม bile acid sequestrant และ fish oil concentrate เปนยาที่คอนขางปลอดภัยที่จะใชรวมกับ
ยาอื่น15,22
การใชยารวมกันหลายชนิดตองพิจารณาอยางรอบคอบ
การติดตามการรักษาผูปวยที่มีภาวะไขมันผิดปกติในเลือด
กอนที่จะใหยาลดระดับไขมันในเลือดควรตรวจการทํางานของตับและไตกอน ถาระดับ transaminase มีคา
มากกวา 3 เทาของเกณฑสูงสุดของคาปกติ (upper limit of normal) ไมควรใชยาในกลุม statins และ fibrates ถา
ระดับ creatinine มีคามากกวา 2.0 มก/ดล การใชยาในกลุม fibrates ตองลดขนาดที่ใชลง เนื่องจากยาในกลุมดัง
กลาวมีการทําลายที่ไต หากระดับ creatinine มีคามากกวา 4 มก/ดล ไมควรใชยาในกลุม fibrates เลย
การติดตามระดับไขมันในเลือดหลังการรักษา ควรทําหลังใหการรักษาแลวประมาณ 6-12 สัปดาห ตอจาก
นั้นควรไดรับการตรวจระดับไขมันในเลือดทุกตัวทุก 3 - 6 เดือนตามความเหมาะสม
เมื่อเริ่มรักษาดวยยาในกลุม statins หรือ fibrates ควรตรวจระดับ transaminase หลังจากที่ไดรับยาไปแลว
6-12 สัปดาห เพื่อเฝาดูอาการไมพึงประสงคจากยาดังกลาว ถาอยูในเกณฑปกติ ควรติดตามเปนระยะๆ ปละ 1-2
ครั้งแมจะมีขอมูลวาการใชยาระยะยาวมีความปลอดภัย9
กรณีที่ใชยาขนาดสูง หรือ ใชยา 2 ชนิดขึ้นไปรวมกัน ควรติด
ตามทุก 3 – 6 เดือนหรือตามความเหมาะสม เมื่อพบระดับ transaminase เพิ่มขึ้นเกิน 3 เทาของเกณฑสูงสุดของคา
ปกติ ใหหยุดยา หากมีอาการปวดเมื่อยกลามเนื้อควรตรวจระดับ CPK ดวย ถามีคามากกวา 10 เทา บงชี้วาเกิด
myopathy ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นเปน rhabdomyolysis จําเปนตองหยุดยาเชนกัน
ในกรณีที่ตองใช statin รวมกับ fibrate ผูปวยควรมีการทํางานของตับและไตที่อยูในเกณฑปกติคือระดับ
transaminases และ creatinine อยูในเกณฑปกติ และควรติดตามระดับ SGOT, SGPT และ CPK ทุก 1-2 เดือน
ในระยะ 6 เดือนแรก เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงตอการเกิด rhabdomyolysis และ hepatitis ได
ความรูสําหรับประชาชนเกี่ยวกับภาวะระดับไขมันผิดปกติในเลือด
ไขมันในเลือดคืออะไร?
ไขมันเปนสารอาหารจําเปนที่รางกายใชเปนพลังงาน, สรางฮอรโมนและวิตามินบางชนิด ไขมันในเลือดมา
จากอาหารที่รับประทานและรางกายสรางขึ้น ไขมันรวมตัวอยูกับโปรตีนเปนอณูไขมันโปรตีน การวัดระดับไขมันใน
เลือด วัดเปนระดับโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด ซึ่งระดับโคเลสเตอรอลวัดแบงยอยไปตามหนาที่จําเพาะ ระดับ
ไขมันในเลือดที่ตรวจวัดคือ
1. ระดับโคเลสเตอรอลรวม
2. ระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL–C คือโคเลสเตอรอลในอณูไขมันโปรตีนความหนาแนนตํ่า)
3. ระดับ เอ็ช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL-C คือโคเลสเตอรอลในอณูไขมันโปรตีนความหนาแนนสูง)
4. ระดับไตรกลีเซอไรด
12. 12
โคเลสเตอรอลในอณูไขมันโปรตีนความหนาแนนตํ่าถูกนําไปสูอวัยวะตางๆ และผนังหลอดเลือดทั่วรางกาย
หากมีจํานวนมากจะเกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดและอุดตันหลอดเลือดได ทําใหเกิดโรคหัวใจและหลอด
เลือดไดแก โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและกลามเนื้อหัวใจตาย โรคอัมพฤกษ อัมพาต โรคหลอดเลือดสวนปลายอุดตัน
เชนที่ขา ดังนั้น แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล จึงเปน “ไขมันไมดี” จําเปนตองไดการรักษาหากระดับ แอล ดี แอล
โคเลสเตอรอลสูงในเลือด
โคเลสเตอรอลในอณูไขมันโปรตีนความหนาแนนสูง เปนโคเลสเตอรอลที่ถูกลําเลียงออกจากอวัยวะตางๆ
และผนังหลอดเลือด ทําใหลดการอุดตันของหลอดเลือด ดังนั้นเอ็ช ดี แอล โคเลสเตอรอล จึงจัดเปน”ไขมันดี” การมี
ระดับเอ็ช ดี แอล โคเลสเตอรอลสูงในเลือดชวยลดการอุดตันของหลอดเลือด
จะทราบไดอยางไรวาระดับไขมันในเลือดผิดปกติ?
การตรวจระดับไขมันในเลือดจะบอกไดชัดเจนวาระดับไขมันในเลือดผิดปกติหรือไม ทําไดโดยเจาะเลือดใน
ตอนเชาหลังจากงดอาหารเปนเวลา 12 ชั่วโมง แตสามารถดื่มนํ้าเปลาได ระดับไขมันในเลือดที่พึงมี หรืออยูในเกณฑ
มาตรฐาน หรือเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนอย คือ
โคเลสเตอรอลรวม นอยกวา 200 มก/ดล
แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล นอยกวา 100 มก/ดล
เอ็ช ดี แอล โคเลสเตอรอล มากกวา 40 มก/ดล
ไตรกลีเซอไรด นอยกวา 200 มก/ดล
ถาระดับไขมันในเลือดเบี่ยงเบนไปจากเกณฑดังกลาว จะเพิ่มความเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจและหลอด
เลือด ยิ่งเบี่ยงเบนมากก็จะเพิ่มความเสี่ยงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับปจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของแตละบุคคลดวย
ผูใดควรไดรับการตรวจระดับไขมันในเลือด?
ผูที่มีความเสี่ยงสูงและควรไดรับการตรวจระดับไขมันในเลือดคือ
1. ผูที่ปวยเปนโรคหัวใจและหลอดเลือดอยูแลว ไดแก โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและกลามเนื้อหัวใจตาย
โรคอัมพฤกษ อัมพาต โรคหลอดเลือดสวนปลายอุดตัน
2. ผูที่มีความเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
2.1ผูชายอายุมากกวา 45 ป, ผูหญิงอายุมากกวา 55 ป
2.2มีสมาชิกในครอบครัวเปนโรคหลอดเลือดหัวใจหรือเสียชีวิตกะทันหัน โดยผูชายเปนเมื่ออายุ <55
ป ผูหญิงเปนเมื่ออายุ <65 ป
2.3มีความดันโลหิตสูง , เปนเบาหวาน หรือ สูบบุหรี่
3. มีโรคที่เกี่ยวของกับระดับไขมันผิดปกติ เชน โรคอวน โรคไตวายเรื้อรัง หรือกลุมอาการบวมจากโรคไต
4. มีการตรวจพบลักษณะที่บงชี้วามีระดับไขมันสูงในเลือด เชน กอนไขมัน ที่บริเวณเสนเอ็นที่ขอศอก เอ็น
รอยหวาย หรือกอนไขมันใตผิวหนังที่มีลักษณะคลายหัวสิวบริเวณหลังและสะโพก
หากตรวจแลวพบวาระดับไขมันอยูในเกณฑปกติควรตรวจซํ้าทุก 1-3 ป สําหรับประชาชนที่อาศัยอยูในเขต
เมืองควรตรวจระดับไขมันในเลือดตั้งแตอายุ 35 ป และควรไดรับการตรวจซํ้าทุก 5 ป
อะไรคือสาเหตุของระดับไขมันในเลือดผิดปกติ?
ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ อาจเกิดจากปจจัยภายในตัวเอง เชน พันธุกรรม หรือความเจ็บปวยบางประการ
ไดแกโรคเบาหวาน, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคตับ, ขาดธัยรอยดฮอรโมน หรือจากยา เชน ยาลดความดันบางชนิด
ยากลุมสเตียรอยด และที่สําคัญคือ ไขมันในเลือดผิดปกติจากการบริโภคอาหารไมเหมาะสม อาหารที่ทําใหระดับ
13. 13
โคเลสเตอรอลสูงในเลือดไดแก อาหารที่มีปริมาณโคเลสเตอรอลมาก และ/หรือ มีไขมันอิ่มตัวมาก ไดแก กะทิ, มันหมู,
เนย, หนังสัตว, ไขแดง และเครื่องในสัตว สวนอาหารที่ทําใหไตรกรีเซอไรดสูงไดแก อาหารที่ใหพลังงานเกินความจํา
เปน การรับประทานนํ้าตาลมาก และการดื่มสุรา
จะรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติไดอยางไร?
การรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติเริ่มดวย การรักษาที่ไมตองใชยา รวมกับการใชยาเมื่อมีความจําเปน
การรักษาที่ไมตองใชยา ประกอบดวย การงดสูบบุหรี่ การควบคุมนํ้าหนักตัว การผอนคลายความเครียด
การออกกําลังกาย และการรับประทานอาหารอยางถูกตอง ซึ่งเปนพื้นฐานสําคัญของการปองกันและการรักษาภาวะ
ไขมันผิดปกติในเลือด ควรปฏิบัติตามที่แพทยและนักโภชนาการแนะนําอยางเครงคัดและตอเนื่อง ถาการรักษาโดยไม
ตองใชยาไมไดผล จึงใชยารวมดวย
แพทยจะเปนผูพิจารณาเลือกยาที่เหมาะสมใหเปนรายๆ ไป จะมีการปรับขนาดยาจนกระทั่งสามารถควบคุม
ระดับไขมันในเลือดไดตามเปาหมาย นอกจากนี้แพทยจําเปนตองใหการรักษาภาวะเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจและ
หลอดเลือดอื่นๆ เชน ความดันโลหิตสูง เบาหวานรวมไปดวย
เอกสารอางอิง
1. Expert Panel on Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Cholesterol in Adults. Executive
summary of the third report of the National Cholesterol Education Program (NCEP) expert panel on
detection, evaluation, and treatment of high blood cholesterol in adults (adult treatment panel III);
JAMA 2001; 285: 2486-97.
2. วิชัย ตันไพจิตร. การวินิจฉัยและการบําบัดภาวะความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด. โภชนศาสตรคลินิก
2540; 1: 1-22.
3. Bhuripanyo K, Leowattana W, Ruangratanaamporn O, Mahanonda N, Sriratanasathavorn C,
Chotinaiwattarakul C, et al. Are routine checkups necessary? : the Shinawatra’s employee study. J
Med Assoc Thai 2000; 83 (Suppl 2): S163-S171.
4. Butterworth R, Marshall W, Bath P. Changes in serum lipid measmements following acute ischemic
stroke. Cerebrovascu Dis 1997; 7: 10-13.
5. Ginsberg HN, Goldberg IJ. Disorders of lipoprotein metabolism. In: Harrison’s Principle of Internal
Medicine, 15th
ed, Braunwald E, Fauci A, Kasper DL, et al, eds . New York, McGraw-Hill, 2001: 2245
–57.
6. Goldstein JL, et al. Familial hypercholesterolemia. In: The Matabolic and Molecular Basis of Inherited
Disease, 8th
ed. Scriver CR, et al, eds. New York, McGraw-Hill, 2001: 2863-913.
7. Smith SC, Blair SN, Bonow RO, et al. AHA/ACC guidelines for preventing heart attack and death in
patients with atherosclerotic cardiovascular disease: 2001 update. Circulation 2001; 104: 1577-9.
8. Tonkin AM. Clinical relevance of statins: their role in secondary prevention. Atherosclerosis 2001;
Suppl 2: 21-25.
14. 14
9. Heart Protection Study Collaborative Group. MRC/BHF Heart Protection Study of cholesterol lowering
with simvastatin in 20536 high-risk individuals: a randomized placebo-controlled trial. Lancet 2002;
360: 7-22.
10. Newby DE, Wright RA, Labinjoh C, et al. Endothelial dysfunction, impaired endogenous fibrinolysis
and cigarette smoking : a mechanism for arterial thrombosis and myocardial infarction. Circulation
1999; 99: 1411-1415.
11. Fusegawa Y, Goto S, Handa S, Kawada T, Ando T. Platelet spontaneous aggregation in pleatelet-
rich plasma is increased in habitual smokers. Thromb Res 1999; 93: 271-278.
12. Wojtaszewski JFP, Goodyear LJ. Cellular effects of exercise to promote muscle insulin sensitivity.
Curr Opin Endocrinol Diabetes 1999; 6: 129-134.
13. Smith JK, Dykes R, Douglas JE, Krishnaswamy G, Berk S. Long-term exercise and atherogenic
activity of blood mononuclear cells in persons at risk of developing ischemic heart disease. JAMA
1999; 281: 1722-7.
14. Lichtenstein AH, Ausman LM, Jalbert SM, Schaefer EJ. Effects of different forms of dietary
hydrogenated fats on serum lipoprotein cholesterol levels. N Engl J Med 1999; 340: 1933- 40.
15. Knopp RH. Drug treatment of lipid disorders. N Engl J Med 1999; 341: 498-511.
16. สุรัตน โคมินทร. Appropriate use of hypolipemic agents. ใน: โรคตอมไรทอและเมตาบอลิสมสําหรับเวช
ปฏิบัติ 3. วิทยา ศรีดามา, บรรณาธิการ. โครงการตําราจุฬาอายุรศาสตร, ยูนิตี้ พับลิเคชั่น, กรุงเทพฯ 2541: 144
–56.
17. Witzum JL. Drugs used in the treatment of hyperlipoproteinemias. In: Goodman and Gilman’s The
pharmacological basis of therapeutics 9th ed. Hardman JG, Limbird LE, et al, eds. New York, NK.
McGraw-Hill 1996: 875-97.
18. Nestel PJ. Effects of n-3 fatty acids on lipid metabolism. Ann Rev Nutr 1990; 10: 149-167.
19. Harris WS, Ginsberg HN, Arunkul N, et al. Safety and efficacy of Omacor in severe
hypertriglyceridaemia. J Cardiovasc Risk 1997; 4: 385-91.
20. Corsini A, et al. New insights into the pharmacodynamic and pharmacokinetic properties of statins.
Pharmacology & Therapeutics. 1999; 84: 413-28.
21. Elizabeth LM. Update: Clinical significant CYP - 450 drug interactions. Pharmacotherapy 1998; 18: 84
–112.
22. Contacos C, Baber PY, Sullivan OR. Effect of pravastatin and omega-3 fatty acids on plasma lipids
and lipoproteins in patients with combined hyperlipidemia. Arterioscl Thromb 1993; 18: 1755-62.